เมื่อ"ฆราวาสโสดาบัน"ถามปัญหา"หลวงปู่สิมอรหันต์"

ท่านครับ ท่านจงเป็นกบฏที่กลับใจเถิด ถ้าท่านฟังไม่เป็นไม่เข้าใจ
กรุณาเอาที่เต็มมาประกอบด้วยนะครับ

พระท่านพูดจิตพระอรหันต์เป็นธรรมะธาตุไปแล้ว ถ้ายังมีจิตสังขารอยู่ย่อมมีภพ
วันหลังตัดต่อเพียงนี้ก็ทำลิ้งให้คนไปฟังที่เต็มได้
จะได้ไม่สับสนเป็นกบฏอย่างท่าน....

ฟังเต็มๆที่นี่ครับ

;aa24

 

"ผู้รู้...ผู้รู้จะสงสัยอะไร...อย่าสงสัยเลย..." และ "ผู้รู้...ออก...ออกมา "ข้างนอก" นะ.."<O>

แปลว่าอะไรอ่ะครับ พักหลังผมก็นั่งนับลมไป1-1,1-2,.. 1-9 ถอดจิตไปอาหลับแล้วอ่ะ

แต่ถ้าตื่นใหม่ๆนี่ได้นะครับ นั่งยาวๆไป สติเต็ม รู้ตัวอยู่กับคำภาวนาตลอด

 

งานนี้คงมีคนได้ไปทัวร์นรกกันพอดูละครับ
การปรามาส พระอริยเจ้าบาปกรรมแค่ไหนก็คิดเอากันเอง

เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ หลวงพ่อปราโมทย์ท่านยังรับนิมนต์ไปแสดงพระธรรมเทศนาที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ อยู่เลยนะครับ

โดยหลวงพ่อพระโพธินันทมุนี (สมณะศักดิ์เดิมของท่านปัจจุบันท่านได้สมณะศักดิ์ใหม่แล้ว) หรือหลวงพ่อสมศักดิ์ ปัณฑิโต เจ้าอาวาสวัดบูรพารามรูปปัจจุบัน ซึ่งท่านเป็นศิษที่เคยอยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ดูลย์มายาวนาน และเป็นผู้เขียนหนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" อันเป็นบันทึกคติธรรมและเทศนาของหลวงปู่ดูลย์ที่เราๆ เคยอ่านกันจนชินตานั่นเอง คิดดูว่าท่านจะระดับไหน
ยังไม่เห็นหลวงพ่อสมศักดิ์ท่านจะคัดค้านหรือตำหนิคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์เลยนะครับ ตรงกันข้ามท่านกลับให้การต้อนรับสนับสนุนและส่งเสริมในเทศนาธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์ด้วยซ้ำไป


มีรายละเอียดรูปภาพชัดเจนนะครับเดี๋ยวจะหาว่าโมเมอีก

หลวงพ่อสมศักดิ์ ปัณฑิโตนิมนต์หลวงพ่อปราโมทย์แสดงธรรมวัดบูรพาราม
http://larndham.net/index.php?showtopic=34339&st=0

ภาพหลวงพ่อปราโมทย์กราบหลวงพ่อสมศักดิ์
http://larndham.net/index.php?showtopic=34339&st=50

..............
ยังไม่สายครับใครที่เคยหลงผิด คิดได้แล้วรีบกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยเสียแต่บัดนี้ยังพอทันนะครับ หนักจะได้กลายเป็นเบา

 

ผมมองว่าเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาก็ระดับหนึ่ง เอาสิ่งที่ตนรู้ตนเห็นมากล่าวกันไม่ต้องอ้างใคร เพราะว่าเรื่องบนนั้นเป็นเรื่องของพระท่าน ท่านทำได้เพราะบารมีท่านมีเหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เราเป็นใครจะไปกล่าวแบบท่านกล่าวนั้นแสดงว่าเราขาดสติ ประมาทแล้ว เชื่อถือไม่ได้แล้ว ก็พิจารณากันดูนะว่ามันจริงไหมครับ เราทำตัวเราและหาข้อถูกให้เจอ ข้อไหนผิดก็ละไว้แต่อย่าตำหนิ เพราะว่าเรามีบารมีต่างกับท่านมากเหลือเกิน มีสติในข้อนี้ด้วยนะครับทุกๆท่าน

 

ท่านครับ เวลาจนตรอกแล้วด่ากราดไปหมดใครกันแน่ครับ???
ผมเคยเอาชื่อครูบาอาจารย์ของใครมาปรามาสบ้างครับ??? เอาหลักฐานมาด้วยครับ
ถกธรรมนั้น เรามาว่ากันที่เนื้อธรรมครับ ท่านอย่าเอาอคติส่วนตัวมากล่าวร้ายกันสิครับ

ท่านไปฟังเต็มที่นี่ครับ มีพูดไว้ครับว่า หลวงปูดูลย์กล่าวธรรมคลาดเคลื่อน



http://www.sa-ngob.com/media.php?id=159&con=1

 

เอะใจถูกแล้ว ....

ให้สังเกตุว่า ตอนที่ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ แล้วรู้สึกว่า สติเต็ม รู้ตัว(รู้กาย-รู้ใจ) ตน
ตามที่เป็นจริง ไม่ใช่รู้เห็นนิมิตข้างใน ตรงนี้คือ การรู้ออกมานอกๆนี่ คือ
ถ้าถลำเข้าไปรู้ข้างใน จิตมันคล้อยความสงบนิ่งข้างใน พอจิตมันตามไป
มันก็เข้าไปพัก ตกจากการวิปัสสนา ( อย่าลืมว่า งานหลักคืองานวิปัสสนา
ถ้าไม่ตั้งงานหลักว่าเป็นวิปัสสนา จิตมันจะเข้าไปทำงาน สมถะ ถ่ายเดียว)

แล้วลองสังเกตดูนะว่า ความตั้งมั่นรู้ มีสติรู้เนื้อรู้ตัวที่เห็นกายเห็นใจตาม
ความเป็นจริงนี้ จะเป็นพื้นจิตเดียวกันที่เอามาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ได้ ทำให้จิตนั้นมีสภาพสม่ำเสมอกัน ไม่ต่างกันระหว่าง ปฏิบัติตามรูปแบบ
และ ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ประโยชน์เกิดครบรอบชีวิต ไม่ได้แบ่งออก
เป็นสอง เมื่อจิตไม่ได้แบ่งออกเป็นสอง มันก็นำไปสู่การเห็นเป็น "หนึ่ง"

 

ท่านครับ ใครกันแน่ครับที่เป็นหัวตอ เอาน้ำมารดก็ยังไม่รู้สึกรู้สม
ใครกันแน่ที่ชอบพูดพร่ำว่า "การรักษาศีลนั้น ใช้กายเป็นผู้รักษา"

ถ้าผมไม่เอาน้ำรดหัวตอบ้าง จะรู้สึกรู้สมหรือครับ แต่ท่านเผอิญเป็นหัวตอประเถทชอบเถียง
แม้เหตุผลก็ไม่เคยคิดจะฟัง ผมเตือนท่านให้รู้ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"เพราะอะไร
เพราะท่านเถียงคอเป็นเอ็นว่า "กายเป็นผู้รักษาศีล" ผมเคยถามว่า แบบนี้คนตายก็รับศีลและรักษาศีลได้สิ???

ท่านพูดถูกแล้วครับว่าจิตผมใกล้ถึงฝั่งแล้ว ส่วนพวกจิตที่ยังลองลอยอยู่กลางทะเลนั้น
ก็มั่นภาวนาเข้านะครับ สักวันคงจะเข้าถึงฝั่งได้ ผมเอาใจช่วยครับ อย่างมง่ายต่อไปอีกเลย

ผมขอหลักฐานมานานแล้วนะครับว่า ผมเอาชื่อครูบาอาจารย์ที่ไหนมาดูแคลนบ้างครับ
ท่านอย่ากล่าวหาใครด้วยอคติสิครับ มันไม่งามหรอก

ส่วนเนื้อธรรมนั้นเป็นของสากล ใครที่เป็นชาวพุทธสามารถนำมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ทั้งนั้น
ถ้าตรงไหนที่วิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีเหตุผลท่านแย้งได้นิครับ ผมไม่เคยห้ามใครกล่าวแย้งเลย
แต่ต้องยืนอยู่บนหลักเหตุผล ไม่ใช่เวลาจนตรอก ก็แถออกนอกเรื่อง แค่เรื่องศีลเรื่องเดียวยังเอาไม่รอดเลย

;aa24

 

ลิงค์นี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เทศนาแจกแจงหรือครับ น่าสนใจ...

 

ถ้ามีการกล่าวว่า หลวงปู่ดูลย์กล่าวธรรมคลาดเคลื่อน จริง จิตผู้กล่าวนับว่าแย่เอามากๆๆ

 

อนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ ที่ได้นำบทความดี ๆ ซึ่งได้ขจัดข้อสงสัยของผมออกไปได้ครับ

อนุโมทนาครับ

 

อันนี้เป็นพระสูตร สำหรับคนที่ถอยออกมารู้นอกๆ ฉลาดพอที่จะออกมา
สร้างสติสัมปชัญญะ อันพระพุทธองค์สรรเสริญว่า เป็นคนฉลาดกำหนดนิมิต
เพื่อเข้าหาธรรม ไม่ใช่จมอยู่แต่ในนิมิตที่ไม่ก่อให้เกิดสติสัมปชัญญะ

[FONT=MS Sans Serif, Arial, Courier]การเจริญสติปัฏฐานของคนฉลาด[/FONT]​

[FONT=MS Sans Serif, Arial, Courier] ภิกษุ ท ! ในกรณีนี้ ภิกษุบางรูป เป็นคนเขลา ไม่เฉียบแหลม ไม่ ฉลาด เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสตินำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่. เมื่อเธอนั้นตามเห็นกายในกายอยู่(เพราะความเขลาแห่งตน) ก็ทำจิตให้ตั้งมั่นไม่ได้ ทำอุปกิเลสให้ละไปไม่ได้กำหนดนิมิตนั้นไม่ได้. (ในกรณีแห่ง เวทนา จิต และ ธรรม ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกัน). [/FONT]
[FONT=MS Sans Serif, Arial, Courier] ภิกษุ ท ! ภิกษุซึ่งเป็นคนเขลา ไม่เฉียบแหลม ไม่ฉลาด นั้น จึง เป็นผู้ไม่ได้สุขวิหารในทิฏฐธรรมเลย ไม่ได้สติสัมปชัญญะ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ภิกษุ ท ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ภิกษุ ท ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ภิกษุนั้นเป็นคนเขลา ไม่เฉียบแหลม ไม่ฉลาด กำหนดนิมิตแห่งจิตของตนไม่ได้. [/FONT]
[FONT=MS Sans Serif, Arial, Courier] ภิกษุ ท ! ในกรณีนี้ ภิกษุบางรูป เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ฉลาด เป็นผู้ ตามเห็นกายในกาย มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก อยู่ เมื่อนั้นตามเห็นกายในกาย อยู่(เพราะความฉลาดของตน) ก็ทำจิตให้ตั้งมั่นได้ ทำอุปกิเลสให้ละไปได้ กำหนดนิมิตนั้นได้ (ในกรณีแห่ง เวทนา จิต และ ธรรม ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกัน). [/FONT]
[FONT=MS Sans Serif, Arial, Courier] ภิกษุ ท ! ภิกษุซึ่งเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ฉลาด นั้น จึงเป็นผู้ได้ สุขวิหารในทิฏฐธรรมเทียว ได้สติสัมปชัญญะ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ภิกษุ ท ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ภิกษุนั้นเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ฉลาดกำหนดนิมิตแห่งจิตของตนได้. [/FONT]
[FONT=MS Sans Serif, Arial, Courier]มหาวาร.สํ. ๑๙/๒๐๑,๒๐๒/๗๐๕,๗๐๗. [/FONT]

 

อย่าเถียงกันครับ พระอาจารย์ปราโมทย์ หรือเปล่าที่เขียนไม่รู้เพราะเขาระบุว่าอย่างนั้น และหนังสือของท่านเรื่อง แก่นธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโลเขียนไว้อย่างนี้ ข้อความตอนหนึ่ง
หน้า ๓๖
ข้อความที่ว่า "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย" นั้นน่าจะคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรมที่หลวงปู่สอน เพราะแท้จริงจิตจะเป็นตัวสมุทัยไปไม่ได้ เนื่องจากจิตเป็นวิญญาณขันธ์อันจัดอยู่ในกองทุกข์ ไม่ใช่ตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย หากใช้ถ้อยคำให้ตรงกับสภาวะธรรมจริงๆ จะต้องใช้คำว่า "ความส่งออกนอกของจิต เป็นสมุทัย ผลแห่งความส่งออกนอกของจิต เป็นทุกข์" ทั้งนี้เพราะ ความส่งออกนอกของจิตก็คือความทะยานอยากหรือตัณหา อันเป็นตัวสมุทัยตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง และความส่งออกนอกของจิตอันเป็นผลให้เกิดทุกข์นั้นที ๒ ลักษณะคือ

นี่ตัวอย่างครับ
เท่าที่อ่านที่ฟังก็ทราบว่า ต่างคนต่างตีความคำสอนของหลวงปู่ดูลย์กันอยู่ ผมคิดว่าคำว่าน่าจะนั้นหมายถึง คนอื่นที่อื่นที่คลาดเคลื่อนไปไม่ได้หมายถึงหลวงปู่ดูลย์ คลาดเคลื่อน อันนี้ข้อหนึ่ง ส่วนเรื่องของจิต มองแล้วก็ไม่รู้สิครับ คำว่าจิตนั้น ต้องโยนิโสมนสิการเอาเองครั้นจะฟังจะอ่านยังไงมันก็ไม่ทำให้เห็นมีแต่จะคล้อยตามไปกับคำพูดหรือข้อความเหล่านั้น แต่ผมคิดว่าอะไรก็ตามก่อนจะเป็นของบริสุทธิ์ได้นั้นต้องผ่านการกลั่นกรองแยกหรือวิธีต่างๆมากมาย จิตก็เหมือนกัน เมื่อเห็นว่ามีอันเดียวก็ต้องเห็นว่ามีหลายอันด้วยหลายดวงด้วยเพราะว่าก่อนจะมีอันเดียวก็มาจากหลายๆอัน จนสุดท้าย ไม่เอาไว้เลยสักอันเดียว ความสำคัญคืออย่าไปจับปลายของข้อความอย่างเดียวและน้อมไปตามนั้น หรืออย่าจับต้นของข้อความอย่างเดียวแล้วน้อมไปตามนั้น มันอาจจะหลงได้ ก็ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของผสมนี่แล้วจะบอกว่ามันบริสุทธิ์มาแต่กำเนิดได้อย่างไรครับ ผมก็ชอบอ่านชอบฟังและก็ชอบพิจารณาครับ

 

สำหรับ การที่มีคนวิจารณ์ว่า ยกขึ้นอ้างว่า พระท่านลิขิตกล่าวว่าหลวงปู่ดูลยคลาดเคลื่อน
นั้น ขอให้ไปอ่านหนังสือที่ถูกอ้างอิงให้ดี จะพบว่า ข้อความ "หลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน"
นั้น ไม่ได้ปรากฏในหนังสือแม้แต่วรรคเดียว

ข้อความ "หลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน" นั้นเป็น ของคนๆหนึ่ง ที่คัดลอกหนังสือไปส่งให้
พระอีกท่านหนึ่งอ่าน

พูดซื่อๆ คือ พระอีกท่านหนึ่งอ่านจดหมายของฆารวาสคนหนึ่ง ที่ "ชง" เรื่องไปให้อ่าน

และผู้ชง ได้ใส่ความเห็นของตนไปว่า

พระที่ลิขิตหนังสือ ธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ ท่านนั้น คลาดเคลื่อนไปจากอรรถทางธรรม
ของหลวงปู่ดลูย์ที่ตน(คนเขียนจดหมาย) เข้าใจ

ดังนั้น คำว่า คลาดเคลื่อน ก็คือ ข้อกล่าวหาที่ยกให้พระที่เขียนหนังสือ

ไม่ใช่ข้อความที่ปรากฏในหนังสือแต่อย่างใด

แต่เพราะ คนที่ชงเรื่องคงแบ่งวรรคตอนในการเขียนหนังสือไม่ถูก ทำให้พระอีก
ท่านหนึ่งอ่านแล้ว เกิดสันสน( หากฟังเสียงเทศน์ จะเห็นว่า พระท่านอ่านซ้ำแล้ว
ซ้ำอีก แล้วหันมาถามฆารวาสแถวนั้นว่า เขาเขียนแบบนี้จริงหรือ เพราะดูเหมือน
จะเป็นการกล่าวแบบ บุคคลที่สาม เพราะในหนังสือเขียนว่า "พระ....ท่านกล่าวว่า"
ซึ่งนี่ก็คือ สำนวนที่ชงว่าพระท่านกล่าวหาว่า พูดซื่อๆ คือ ไปเขียนคำขึ้นมายัดปาก
พระท่าน

หากอ่านหนังสือนั้นจริงๆ จะพบว่า ไม่มีตรงไหนเลยที่ พระท่านจะไปต่อว่าหลวงปู่ดูลย์

มีแต่ท่านกล่าวเปรียบเปรยถึง ความเคารพอันลึกซึ้งว่า ท่านเคารพหลวงปู่ดูลย์ดั่งพระสารีบุตร
ที่จะนอนหันศรีษะไปทางทิศที่พระมหากัสสปะอยู่ เพราะพระมหากัสสปะเป็นผู้เทศนา
จนพระสารีบุตรบรรลุโสดาบัน จึงเคารพพระมหากัสสปะเป็นดั่งพ่อแม่

* * * *

เมื่อไหร่ก็ตาม ที่พระท่านทั้งสอง พบปะกัน โดยไม่ผ่านข้อความที่ฆารวาสส่งผ่าน เมื่อนั้น
การณ์จะเป็นอย่างไร

แล้วคนที่อาศัยว่า พระท่านกล่าวเข้าทางทิฏฐิตนแล้วไปยก ไปสบช่องเอามาสนับสนุนตน
ก็ระวังไว้ให้ดี

 

เรื่องตีความนี่น่าปวดหัวมิใช่น้อย จะอย่างไรก็ตาม การได้รู้เห็นของจริงด้วยตนเองนับว่าเลิศสุดแล้ว

น่าแปลกใจนะที่ท่านนิวรณ์ไม่แม่นในพุทธประวัติเอาเสียเลย
ผู้เทศน์ให้พระสารีบุตรบรรลุโสดาบันก็คือ พระอัสชิ หนึ่งในห้าปฐมสาวก ไม่ใช่พระมหากัสสปะ
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพุทธประวัติพื้นฐานยังคลาดเคลื่อน แล้วธรรมะขั้นสูงจะไม่ให้คลาดเคลื่อนได้อย่างไร...

 

ขอบคุณครับที่ คัดลอกหนังสือมาแสดง

ก็จะเห็นแล้วว่า ไม่มีตรงไหนเลยที่จะไปกล่าวหาหลวงปู่ดูลย์ว่าคลาดเคลื่อน แต่เป็นการ
กล่าวไปถึงผู้เรียบเรียงหนังสืออีกท่านหนึ่ง เป็นใครไม่รู้ รู้แต่ว่า หนังสือเล่มนั้นพิมพ์ขึ้น
เป็นของชำร่วยในงานศพงานหนึ่ง

แล้วข้อความในจดหมายก็ใส่ร้ายลงไปอีกทีว่า หลวงพ่อไปปรามาสหลวงปู่ดูลย์ ซึ่งคน
ที่รู้จะทราบดีว่า หนังสือที่พระท่านได้มาจากงานศพนั้น ถูกจัดพิมพ์นอกระบบพุทธสมาคม
หรือวิทยาลัยสงฆ์

* * * *

ต่อประเด็นที่ว่า พระท่านกล่าวว่า จิตเป็นวิญญาณขันธ์ ตรงนี้ต้องอ่านให้ดี จะมีประโยค
ซ้อนสองประโยค ในงานเขียนนี้ ประโยคแรกเขียนขึ้นโดยอาศัยความเข้าใจพื้นฐานของ
ปุถชนที่เข้าใจผิดกันอยู่ ...แล้ว ประโยคที่สอง ก็เขียนขึ้นมาแก้ว่า จริงๆ ต้องเป็นอย่างไร

ทำไมปุถุชนถึงเข้าใจว่าจิตเป็นขันธ์5 อันนี้ไม่แปลก เพราะ จิตของปุถุชนจะแนบเป็นเนื้อ
เดียวกันกับขันธ์5 แยกไม่ออกว่านี่จิต นั่นขันธ์5 จึงอนุโลมเรียกวิญญาณขันธ์เป็นจิต
ความเช่นนี้ก็ปรากฏในพระไตรปิฏก โดยใช้สำนวนว่า ปุถุชนผู้ไม่เคยสดับสำคัญว่า..จิต
คือ วิญญารขันธ์บ้าง จิตคือ...บ้าง ฯลฯ

หากใครฟังเทศนาของพระอีกท่านที่ได้รับจดหมายชงให้อ่าน จะเห็นว่า เวลากล่าวจิต
ตามความเป็นจริงจะใช้ คำอธิบายในส่วนสีส้มเหมือนกันเป๊ะ ไม่ต่างกันเลย

 

ช่ายแล้วครับ อนุโมทนากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากธรรมทั้งหลายแห่งพระศาสดาเราทั้งหลายทุกผู้ทุกคนครับ ชงมากไปไม่ดี มันจะเสียรส เพราะรสอรรถรสธรรมไม่ใช่ของไว้ใช้ชง หรือปรุงแต่งให้เข้ากับตนแล้วใช้กับผู้อื่น ทำอะไรก็ต้องพิจารณามากๆเลย ผมเป็นเด็กแต่ไม่น้อย และทุกคนก็ต้องเติบโตและสิ้นลงตามกาล ก็ควรทำสิ่งที่เป็นแบบอย่างได้ และถูกต้องดีงาม สืบต่อกันไปจากเล็กๆไปสู่ใหญ่ๆ เริ่มต้นจากตนเองไปสู่คนรอบข้าง
อนุโมทนาครับพวกพี่ๆทั้งหลาย

 

ก็ดีแล้วที่มาแก้ให้ เพราะตอนพิมพ์ก็รู้อยู่ลึกๆว่า ผิด แต่เพราะยังตั้งใจเขียน
อีกกระทู้ ก่อนจะมาทบทวนแก้ที่ผิด

ก็ขอขอบคุณที่มาแก้คำผิดให้ แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายที่ต้องการสื่อว่า

พระท่านหนึ่งเคารพพระอีกท่านหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร

เป็นไปได้หรือที่พระท่านหนึ่งที่เคารพพระอีกท่านหนึ่งจะแสดงข้อความ
ไม่เคารพผู้ให้ตาธรรมแก่ตน ........อันเป็นเนื้อหาสาระ

สิ่งที่ว่าเข้าใจยาก จะจบทันที เมื่อมองเห็นว่า ปัญหาทั้งหมดไม่ได้เกิด
จากพระกับพระ แต่เกิดจาก ฆารวาสไม่รู้ว่าคนไหน แต่แน่นอนว่า ฆารวาส
นั้นไม่ได้กล่าวคำจริง เพราะความที่อยากคว่ำพระท่านหนึ่งเป็นเหตุ

 

เอาน่าครับ ผลเสียมันไม่เกิดกับใครนอกจากเขาจะต้องกลับไปทบทวน เพราะผมเองก็ไม่ได้จำไว้เช่นกันครับ แต่บทสรุปคือ การให้ความเคารพต่อครูบาอาจารย์ อุปปัชฌาจารย์ นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดครับ ขอให้เนื้อความนั้นถูกต้องแต่บัญญัติหรือชื่อจะคลาดเคลื่อนก็แก้ไขได้หากได้ทบทวน ผมเห็นเป็นเช่นนี้ครับ นอกเสียจากเนื้อความคลาดเคลื่อนนั่นจึงจะมีผลกระทบมากมายครับ
อนุโมทนาครับ

 

ท่านธรรมภูติ มีตอนไหนครับที่ผมบอกว่า กายเป็นผู้รักษาศีล นี้และน่าที่
บอกว่าความจำสั้น สอนของใหม่ก็ลืมของเก่า ผมไปเอากระทู้เก่าที่เราเคย
เถียงกันไว้เมื่อตอนสนทนากันครั้งแรก ผมบอกว่า กาย วาจาต้องมีศีล
คอยกำกับครับ ไม่ใช้อย่างที่ท่านว่าซักหน่อย เชิญดูหลักฐาน
ท่านธรรมภูติครับ ถ้ามีใครมาบังคับให้ผมยกมือไหว้ ระหว่างตัวท่านกับหัว
ตอ ผมเลือกยกมือไหว้หัวตอดีกว่าครับ
......แล้วไอ้คำพูดของท่านที่ท่านย้อนถามผมว่า"แบบนี้คนตายก็รับศีลรักษาศีล
ได้สิ" ทำมั้ยทำไมมันตลกสิ้นดี ย้อนถามได้ไร้เดียงสาจัง

 

ไปได้น้ำขุ่นๆนะครับ การกระทำที่ไม่เอาไหนของคนบางคนที่มีต่อครูบา
อาจารย์ ไม่มีใครเขาอยากฟื้นฝอยหรอกครับ มันบาป คำพูดเหล่านั้น
สมควรลงถังขยะครับ ตัวท่านบอกท่านแย้งได้ ผมทั้งแย้งพร้อมยกตัวอย่างให้
ท่านดูก็โดนท่านด่ากลับมาทุกที่ หรือท่านต้องการหลักฐานอีก ผมจะได้
ไปหามา วิธีปฏิบัติที่ท่านได้เที่ยวตะโกนบอกใครว่าผมคิดแต่เรื่องอกุศล ต้อง
อย่างท่านมั่นรักษาจิตให้บริสุทธิ์ เรื่องอกุศลอย่าได้กลายใกล้ แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม