ถามเกี่ยวกับนรก สวรรค์ และพระพุทธเจ้าครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 29 สิงหาคม 2009.

  1. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    อันนี้เป็นข้อสงสัยมานานแล้วครับ

    1. นรก สวรรค์ โลกทั้งสองนี้ มีอยู่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้ค้นพบหรือไม่ครับ?

    2. ถ้ามีอยู่ก่อนแล้ว คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าก่อนหน้านั้น พวกเค้ามีโอกาสที่จะเจอสวรรค์ นรก หรือโลกอีกมิติหนึ่งได้ด้วยตนเองหรือไม่ครับ?

    3. ถ้าไม่ได้มีอยู่ก่อน แปลว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนสร้างโลกทั้งสองขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกคนเลว คนดี ใช่หรือไม่ครับ?

    4. ไม่ว่าจะค้นพบก่อนหรือหลัง ทำไมเทวดาบนสวรรค์ ทำไมนายนิรยบาล จึงมีความเคารพพระอริยเจ้าทุกพระองค์ครับ ไม่ใช่ว่าบุคคลเหล่านี้อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าพระอริยเจ้าหรือครับ?

    5. หากสวรรค์ นรก มีอยู่จริง โลกของสวรรค์ (น้ำทิพย์ ดอกไม้นานาพันธุ์ ฯลฯ) กับโลกของนรก (กระทะทองแดง ต้นงิ้ว ฯลฯ) ที่เป็นการบอกเล่าต่อ ๆ กันมานั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามนั้น หรือ เป็นเพียงการอุปโลกน์ แต่งแต้มขึ้นมา่เพื่อให้เห็นภาพ โดยที่โลกสวรรค์ นรก เหล่านั้น เป็นเพียงมิติแห่งความสุข กับ ความทุกข์ ธรรมดา

    6. หากสวรรค์มีเพื่อจูงใจให้คนทำดี และ นรกมีไว้เพื่อเตือนสติไม่ให้คนทำเลว ทำไมถึงไม่มีตัวแทนจากโลกใดโลกหนึ่งเหล่านั้น หรือทั้งสองโลก มาฉายภาพที่เห็นได้จริง มาแสดงสิ่งที่จับต้องได้จริง บนโลกเหล่านั้น ให้คนบนโลกมนุษย์ได้เห็นว่า โลกเหล่านั้นมีอยู่จริง เพื่อจะได้หมดข้อสงสัย และตั้งหน้าตั้งตาทำความดี จำเป็นหรือไม่ที่คนจะต้องสิ้นชีวิตก่อนจึงจะได้สัมผัสโลกเหล่านั้น ทำไมไม่ให้คนที่มีชีวิตทุกคน ได้สัมผัสโดยไม่ต้องบำเพ็ญธรรม ทำไมการสัมผัสสิ่งเหล่านั้นจึงเป็นเรื่องยุ่งยากแทนที่จะทำให้เป็นเรื่องง่ายครับ?

    อันนี้ถามเพราะอยากรู้จริง ๆ และไม่เอาคำตอบแบบ "สวรรค์ นรก อยู่ที่ใจ" นะครับ ขอบคุณครับ
     
  2. hamstertaro

    hamstertaro เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +406
    ผมขอร่วมถามข้อ 6 ด้วยครับ
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เจ้า ของกระทู้ใจถึงมั๊ยครับ ไปกับผม มั๊ย
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    อันนี้เป็นข้อสงสัยมานานแล้วครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นรก สวรรค์ โลกทั้งสองนี้มีอยู่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้ค้นพบหรือไม่ครับ?<O:p</O:p
    มีอยู่ก่อนหน้าครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้ามีอยู่ก่อนแล้ว คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าก่อนหน้านั้นพวกเค้ามีโอกาสที่จะเจอสวรรค์ นรก หรือโลกอีกมิติหนึ่งได้ด้วยตนเองหรือไม่ครับ?<O:p</O:p
    ไม่เคยได้ข่าว
    <O:p</O:p
    ถ้าไม่ได้มีอยู่ก่อน แปลว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนสร้างโลกทั้งสองขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกคนเลว คนดี ใช่หรือไม่ครับ?<O:p</O:p
    กรรมเป็นตัวแบ่งแยก<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ไม่ว่าจะค้นพบก่อนหรือหลัง ทำไมเทวดาบนสวรรค์ ทำไมนายนิรยบาลจึงมีความเคารพพระอริยเจ้าทุกพระองค์ครับไม่ใช่ว่าบุคคลเหล่านี้อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าพระอริยเจ้าหรือครับ?<O:p</O:p
    ต้องพิสูจน์...ไปถามท่านเอง...
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หากสวรรค์ นรก มีอยู่จริง โลกของสวรรค์ (น้ำทิพย์ ดอกไม้นานาพันธุ์ ฯลฯ)กับโลกของนรก (กระทะทองแดง ต้นงิ้ว ฯลฯ) ที่เป็นการบอกเล่าต่อ ๆ กันมานั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามนั้น หรือ เป็นเพียงการอุปโลกน์แต่งแต้มขึ้นมา่เพื่อให้เห็นภาพ โดยที่โลกสวรรค์ นรก เหล่านั้นเป็นเพียงมิติแห่งความสุข กับ ความทุกข์ ธรรมดา
    <O:p</O:p
    ต้องพิสูจน์...ไปถามท่านเอง...<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หากสวรรค์มีเพื่อจูงใจให้คนทำดี และ นรกมีไว้เพื่อเตือนสติไม่ให้คนทำเลวทำไมถึงไม่มีตัวแทนจากโลกใดโลกหนึ่งเหล่านั้น หรือทั้งสองโลกมาฉายภาพที่เห็นได้จริง มาแสดงสิ่งที่จับต้องได้จริง บนโลกเหล่านั้นให้คนบนโลกมนุษย์ได้เห็นว่า โลกเหล่านั้นมีอยู่จริง เพื่อจะได้หมดข้อสงสัยและตั้งหน้าตั้งตาทำความดีจำเป็นหรือไม่ที่คนจะต้องสิ้นชีวิตก่อนจึงจะได้สัมผัสโลกเหล่านั้นทำไมไม่ให้คนที่มีชีวิตทุกคน ได้สัมผัสโดยไม่ต้องบำเพ็ญธรรมทำไมการสัมผัสสิ่งเหล่านั้นจึงเป็นเรื่องยุ่งยากแทนที่จะทำให้เป็นเรื่องง่ายครับ?<O:p</O:p
    ท่านยังไม่ได้แสดงให้คุณเห็นต่างหาก....อย่างนี้ต้องพิสูจน์....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คำถามที่คุณถามมันเป็นสิ่งที่ยากต่อการพิสูจน์...เพราะว่ามีความตายเป็นตัวขั้นกลาง....หลายสิ่งหลายอย่างนั้นวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้...อาจเป็นเพราะวิทยาการณ์สมัยนี้ยังไม่ดีพอ...ยังไม่เอื้อต่อการพิสูจน์....เหมือนยุคหินที่เขาไม่รู้จักไฟฟ้า....เหมือนแต่ก่อนนี้คิดว่าโลกแบน...ใช่ไมครับ.....แต่มันก็อาจเกินไปถ้าหากกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่ได้มีอยู่จริง.....พระธรรมคำสั่งสอนนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้...พระพุทธเจ้าเชิญชวนให้สดับและปฏิบัติตาม.....เราอาจเห็นได้ว่าจริงๆแล้วหลายๆสิ่งหลายๆอย่างวิทยาการสมัยใหม่ยังตาม...พระพุทธเจ้าอยู่มาก...พระพุทธเจ้าเห็นก่อนแล้วรู้ก่อนแล้ว...วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาพิสูจน์เจอ......ใช่ไหม...........
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คุณอยากรู้คุณก็ลองพิสูจน์ด้วยตนเองสิครับ......ถ้าคุณอยากรู้สิ่งเหล่านี้...คุณต้องก้าวผ่านขีดจำกัดระหว่างความตายนั้นไป....แล้วคุณจะเข้าใจ.... <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  5. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ใจไม่ถึงครับ ที่ถามไม่ใช่เพราะต้องการลองดี ลองวิชา ถามเพราะความไม่รู้ ถามผู้รู้เพราะต้องการคำตอบครับ ผมทราบดีว่าหากอยากรู้จริงต้องปฏิบัติเอง หรือแม้แต่ "ต้องพิสูจน์ ถามท่านเอง"

    แต่คำถามผมคือ ในเมื่อการปฏิบัติมันเป็นสิ่งที่ยาก ทำไมจึงไม่ทำให้การเข้าถึงเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องง่าย จับต้องได้จริง ทำไมต้องตายจึงรู้ ทำไมต้องบำเพ็ญเพียรจึงเห็น ผมเชื่อว่าหากสิ่งเหล่านี้ปรากฎให้เห็นชัดไปเลย จะทำให้คนตั้งใจทำความดี และกลัวการทำเลวมากขึ้นอย่างชัดเจนแน่นอนครับ

    อย่างไรก็ตาม ขอบคุณสำหรับคำตอบของคุณ Phanudet ซึ่งไขข้อข้องใจบางข้อให้ผมไปแล้วครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ของที่ได้มาโดยง่าย....มันไม่มีค่าหลอก....

    สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาโดยง่ายหลอกครับ....ไม่ใช่ของสาธารณะ.....

    ตั้งใจปฏิบัตินะครับ...........
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน


    [​IMG]


    The late Dr. Ian Stevenson, Founder of the Division of Perceptual Studies
    October 31, 1918-February 8, 2007



    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.)นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้”และ “การกลับชาติมาเกิด” มานานกว่า 47 ปี ได้เสียชีวิตแล้วที่ ชาร์ลลอตวิลล์ เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.2007(2550) ด้วยอาการปอดบวม ศิริอายุได้ 88 ปี นับว่าโลกได้สูญเสียบุคคลสำคัญไปอีกท่านหนึ่ง นสพ.วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกาได้สดุดีว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการยากที่จะปฏิเสธได้” นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ท่านเป็นเหมือน กาลิเลโอ ในยุค 2000”

    เนื่องจากในสมัยของ กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เช่น นิโคลัส คอบเปอร์นิคัส (Nicholas Copernicus) โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler) รวมทั้งกาลิเลโอ ได้เฝ้าสังเกตดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆ แล้วมีความเห็นว่า “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” แต่ความเห็นนี้ไปขัดกับคำสอนและความเชื่อทางศาสนาต่างๆ เช่น ศาสนาฮีบรู(ยิว)ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์

    เพราะศาสดาของศาสนาต่างๆเหล่านี้บอกว่า พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดิน แผ่นน้ำ คือโลก(สมัยนั้นศาสนิกชนของศาสนาเหล่านี้เชื่อว่าโลกแบน) ก่อนที่จะสร้างดวงดาว ศาสนิกชนของศาสนาเหล่านี้จึงเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

    ความคิดของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงขัดกับหลักคำสอนของศาสนาเหล่านี้ โดยเฉพาะไปขัดกับคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งคริสต์จักร มีอิทธิพลเหนือการเมืองการปกครองและความเชื่อความเห็นของผู้คนในยุโรป อเมริกา และประเทศราชอื่นๆในสมัยนั้น ผู้ที่เห็น คิด หรือเชื่อแตกต่างจากคำสอนของศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่า พวกนอกรีต(Heresies) ซึ่งเขามีวิธีการลงโทษพวกนอกรีตด้วยวิธีการที่โหดร้ายเกินบรรยาย เช่น ชาวบ้านชาวเมืองจะใช้ศาลเตี้ยตัดสินเอง โดยใช้ก้อนหินรุมขว้างจนตาย หรือการเผาทั้งเป็น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในสมัย กาลิเลโอ ก็ถูกอิทธิพลทางศาสนาคริสต์กดดัน ไม่ให้พูดหรือเผยแพร่ความคิดเรื่อง “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต และมีบางท่านถูกลงโทษแบบศาลเตี้ยจนเสียชีวิต

    ส่วน กาลิเลโอ ก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องใต้ดินในบ้านของตัวเอง โดยพระสันตะปาปา(Pope)ประมุขของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก และมีการขอให้ กาลิเลโอ ถอนและปฏิเสธคำพูด ความคิด ความเห็น ในเรื่องนี้แล้วจะไม่ถูกลงโทษ แต่ กาลิเลโอ ไม่ยอมปฏิเสธทฤษฎีนี้ จึงต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องใต้ดินในบ้านของตัวเอง จนกระทั่งล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด ต่อมาผลงานของ กาลิเลโอ กลายเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในทางวิทยาศาสตร์และทำให้โลกยกย่องให้ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกท่านหนึ่ง

    ในปัจจุบันนี้ความรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราทราบแล้วว่า “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” และดวงดาวต่างๆ เช่น ดวงอาทิตย์ ดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ถือกำเนิดขึ้นก่อนโลกของเราหลายล้านปี และเมื่อโคลัมบัส ได้เสี่ยงล่องเรือไปในมหาสมุทรจนค้นพบทวีปอเมริกาและสามารถลบล้างความเชื่อเดิมที่เชื่อว่าโลกแบนได้ (เพราะเชื่อว่าโลกแบนในสมัยนั้นจึงไม่มีใครกล้าล่องเรือไปในมหาสมุทร เพราะกลัวว่าจะตกขอบโลก)

    เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปมากจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก คริสต์จักรเพิ่งจะออกมาขอโทษนักวิทยาศาสตร์และครอบครัวทายาทของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี ค.ศ.1992(พ.ศ.2535)นี่เอง ในการตัดสินโทษที่ผิดพลาด ในสมัยนั้น
    เช่นเดียวกันกับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน

    ในยุคสมัยนี้ ที่ท่านทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้”และ “การกลับชาติมาเกิด” มากว่า 47 ปี ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1960(2503) ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆทั่วโลกทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย อัฟริกา และทวีปเอเซีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า 3,000 ราย ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็กที่จำอดีตชาติได้จำนวนมหาศาล ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน(Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย

    ท่านได้เขียนผลงานการศึกษาวิจัยของท่านออกมาเป็นรายงานทางวิชาการในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1964(2507)จนถึงปัจจุบัน มากกว่า 200 เล่ม จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่านเป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกันกับคำสอนและความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู(ยิว) คริสต์ และอิสลาม ที่เชื่อว่า คนเราเมื่อตายไปแล้วก็จะอยู่ในหลุมฝังศพ(ไม่เผาศพ) จนกระทั่งวันหนึ่งพระเจ้าจะบันดาลให้โลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่(วันสิ้นโลก) ทำให้มนุษย์เราทุกคนตายกันหมด จากนั้นพระเจ้าจะทรงให้คนที่ตายไปแล้วตั้งแต่แรกจนถึงวันสิ้นโลกกลับเป็นขึ้นมาอีกครั้ง(การเกิดใหม่อีกเพียงครั้งเดียว) จากนั้นทุกคนก็จะเข้าแถวให้พระเจ้าทรงตัดสิน

    ถ้าใครเชื่อและศรัทธาในพระเจ้า ถึงแม้ระหว่างที่มีชีวิตจะไม่เชื่อในพระเจ้า จะทำชั่วช้ามายาวนานสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าก่อนตายเกิดเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าขึ้นมาก็จะได้รับรางวัล คือได้ไปอยู่อย่างมีความสุขบนสวรรค์อยู่กับพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์ แต่ถ้าใครที่เคยเชื่อและศรัทธาในพระเจ้ามามากมาย ยาวนานเพียงใดก็ตาม หากก่อนตายไม่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าเสียแล้วก็จะได้รับการลงโทษ ให้ไปทุกข์ทรมานอยู่ในนรกชั่วนิจนิรันดร์เช่นเดียวกัน คือขอให้เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าอย่างเดียวทุกอย่างหลังตายไปแล้วจะดีทั้งหมด

    แต่ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าอย่างมากมายมั่นคง จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หรือทุกข์แสนสาหัสอย่างไร ครอบครัวและตัวเองจะลำบาก ถูกเอาเปรียบ ถูกคดโกง ถูกใส่ความ ถูกว่าร้าย ถูกทรมาน ถูกฆ่า ให้ถือว่าเป็นการทดลองจากพระเจ้า ขอให้อดทน จงเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าเพียงอย่างเดียว แล้วชีวิตหลังการตัดสินจะมีแต่ความสุขบนสวรรค์ และจะได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า และได้อยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นจนชั่วนิจนิรันดร์

    นั้นคือความเชื่อหลักของ 3 ศาสนาใหญ่ของโลก แต่ผลการศึกษาวิจัยของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน ในปัจจุบันนี้ กำลังบอกกับโลกว่า ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิดใหม่นั้น อาจจะไม่เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆเหล่านี้ เพราะผลการศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริง

    ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์

    ถึงแม้ว่าท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง ท่านก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับความเชื่อทางศาสนา ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป สุดท้ายเมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้พบความจริงและได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณีศึกษาใดๆ อีกต่อไป

    และการที่ นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ ยกย่องท่านว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ท่านเป็นเหมือน กาลิเลโอ ในยุค 2000” ก็คงเป็นเพราะ ถ้าหาก ดร.เอียน สตีเวนสัน อยู่ในยุคเดียวกันกับ กาลิเลโอ ผลงานการศึกษาเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ของท่าน คงจะทำให้ท่านต้องถูกกักบริเวณโดยพระสันตะปาปา ถูกชาวบ้านขว้างปาด้วยหิน หรือถูกเผาทั้งเป็น จนเสียชีวิต เหมือนอย่าง กาลิเลโอ และนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ถูกลงโทษในยุคนั้น เพราะท่านได้พิสูจน์และยืนยันสิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง แต่ขัดแย้งกับคำสอนทางศาสนา อย่างรุนแรงยิ่ง เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เป็นความคิดของพวก "นอกรีต" อย่างแท้จริง

    แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูกตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู(ยิว) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต(Heresy) หรือเป็นพวกนอกรีต(Heresies) ก็ตาม แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์และยืนยันในวันนี้ จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการวิทยาศาสตร์และจากผู้คนทั่วโลก นับตั้งนี้เป็นต้นไป



    ผู้เขียนขอแสดงความอาลัยต่อนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน





    อัตชีวประวัติ






    [​IMG]




    Dr. Ian Stevenson


    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปี ค.ศ.1918(2461) ในเมืองมอลทรีออลส์ บิดาของท่านเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ The Time of London ในกรุงอ็อตตาวา ประเทศแคนาดา(ในขณะนั้น) และต่อมาได้เป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ New York Times ท่านเรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุได้ 16 ปี และได้ทุนศึกษาต่อทางด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ในสก็อตแลนด์ ศึกษาอยู่ 2 ปี จึงได้เปลี่ยนมาเรียนแพทย์จนสำเร็จการศึกษาสูงสุด เกียรตินิยมเหรียญทองอันดับ 1 จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา เคยทำงานที่คลินิกโอชส์เนอร์ และที่มหาวิทยาลัยตูเลน ที่นิวออร์ลีนส์ เคยทำงานที่โรงพยาบาลนิวยอร์กและวิทยาลัยแพทย์คอร์แนล ซึ่งทั้งที่ตูเลนและคอร์แนลท่านได้ทุนวิจัยมาโดยตลอด ต่อมาท่านได้ร่วมทำงานวิจัยกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐหลุยส์เซียน่าเป็นเวลา 7 ปี และสุดท้ายท่านได้มาเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์และเป็นหัวหน้าแผนกจิตเวช อยู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ชาร์ลอตวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (University of Virginia) ท่านเป็นอาจารย์สอนจิตแพทย์ ที่มีความรู้ความสามารถสูง มีผลงานดีเด่นในการรักษาโรคจิตประสาทในระดับผลงานอัลฟ่าและโอเมก้าอัลฟ่า และได้รับรางวัลเกียรติยศอีกมากมาย

    ซึ่งช่วงอยู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียนี้เอง ที่ท่านได้มีโอกาสรวบรวมและนำเสนอเรื่องราวกรณีของผู้ที่จำอดีตชาติได้ 44 กรณีแรก ที่รวบรวมได้จาก หนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ พร้อมทั้งแสดงความเห็นประกอบไปว่า “มีความเป็นไปได้ที่จะทำการพิสูจน์สอบสวนเรื่องราวเหล่านี้ให้กระจ่างได้ ถ้ามีการค้นพบกรณีของการจำอดีตชาติได้มากขึ้น และมีการติดตามศึกษาตั้งแต่ต้นด้วยความรอบคอบ” เพื่อเสนอเข้าชิงรางวัลจาก American Society for Psychical Research ในปี 1960(2503) ซึ่งท่านได้รับรางวัลชนะเลิศ
    ต่อมาท่านได้ทุนจำนวนหนึ่งจากประธานของ Paraphychology Foundation นิวยอร์ก ให้ไปสอบสวนกรณีของผู้จำอดีตชาติได้กรณีหนึ่งที่ประเทศอินเดีย แต่พอไปถึงก็ได้พบกรณีศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 5 ราย หลังจากนั้นอีกประมาณ 4 สัปดาห์ท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้เพิ่มเป็น 25 ราย ซึ่งมักจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันในหลายๆประเทศที่ท่านไปสืบหา สอบสวน และพิสูจน์กรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในเวลาต่อๆมา
    หลังจากที่ท่านได้พบและได้สอบสวนผู้ที่จำอดีตชาติได้มากขึ้น 3 ปีหลังจากนั้น ในปี 1964 ท่านก็ได้เขียนหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Twenty cases Suggestive of Reincarnation และในปีนี้เองที่ท่านเริ่มได้รับทุนในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารคนแรกของโลก แต่ยังไม่มากนัก

    ต่อมาท่านได้เป็นประธานคณะจิตเวช แต่ท่านตัดสินใจลาออกจากประธานคณะจิตเวชมาเป็นหัวหน้าแผนกบุคลิกภาพศึกษา ซึ่งเล็กกว่าคณะจิตเวชมาก เพื่อจะได้มีเวลาทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้อย่างเต็มที่ โดยมี เชสเตอร์ คาร์ลสัน ผู้สนับสนุนทุนวิจัยมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะจิตเวชแทน หลังจากนั้นไม่นาน เชสเตอร์ คาร์ลสัน ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้ท่านคิดว่าคงจะไม่มีเงินทุนสนับสนุนการวิจัยของท่านแล้ว แต่เมื่อมีการเปิดพินัยกรรมของ เชสเตอร์ คาร์ลสัน ปรากฏว่าเขาได้เขียนพินัยกรรมมอบเงินจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และอีก 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับท่านเพื่อใช้เป็นทุนในการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ต่อไป ด้วยความตั้งใจเด็ดเดียวที่จะบริจาคเงินเพื่อทำประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
    และด้วยทุนวิจัยก้อนนี้เองที่ทำให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นศาสตราจารย์คาร์ลสันทางจิตเวช แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย มีเงินเดือนประจำ และมีค่าใช้จ่ายในการออกเดินทางไปสืบหาผู้จำอดีตชาติได้จากทั่วโลก และในประเทศไทย มาเป็นเวลากว่า 45 ปี นับแต่นั้น

    ตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้ทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้จำอดีตชาติมานานกว่า 47 ปี นับตั้งแต่ท่านเริ่มรวบรวมเรื่องราวของผู้จำอดีตชาติได้จาก หนังสือ หนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ เพื่อส่งเข้าชิงรางวัลเมื่อ ปี

    ค.ศ.1960(2503) จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตเมื่อ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 ด้วยอาการปอดบวม ศิริอายุได้ 88 ปี ท่านใช้เวลามากกว่าครึ่งชีวิตทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ ซึ่งท่านได้ค้นพบพยานหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมในระดับหนึ่งแล้ว ถึงกระนั้น ท่านไม่เคยบอกให้ใครเชื่ออย่างที่ท่านเชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่ท่านมักจะตอบคำถามเมื่อมีคนถามว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถหาหลักฐานใดๆมายืนยันได้ว่ามันไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหวังที่จะให้การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ของข้าพเจ้าไปมีผลต่อความเชื่อต่างๆ แต่ขอให้มาดูเถอะว่าข้าพเจ้าค้นพบอะไรบ้าง ลองพิสูจน์ทดสอบตรวจสอบสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นพบได้ตามต้องการ ลองคิดว่ามีข้อข้องใจสงสัยตรงไหนหรือไม่ ลองค้นหาสิ่งที่ข้าพเจ้าอาจจะพลาดไป และถ้ามีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากกว่านี้กรุณาบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วย”

    สำหรับในประเทศไทยนั้นท่านและคณะศึกษาวิจัยได้เคยมาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้หลายครั้ง โดยความร่วมมือจากคณะคนไทยที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วหลายท่าน ได้แก่ นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ , อาจารย์นาซิบ สิโรรส , อาจารย์เต็ม สุวิกรม , ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล เป็นต้น ซึ่งท่านได้เขียนไว้ใน กิตติกรรมประกาศ(Acknowledgments) ในหนังสือ Reincarnation and Biology ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1977(2520) และยังมีอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่าน เช่น คุณประสิทธิ์ การุณยวณิชย์ , ดร.บุญย์ นิลเกษ , อาจารย์สุตทยา วัชราภัย และ ดร.วิเชียร สิทธิประภาพร ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมศึกษาวิจัยกับคณะ ของท่านคนปัจจุบัน



    ขอเชิญท่านที่สนใจศึกษาหาความจริงเกี่ยวกับ


    จิต วิญญาณ ชีวิตหลังความตายและการเกิดใหม่
    เข้ามาศึกษาหาข้อมูลในเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวบรวม
    ข้อมูลการศึกษาทางวิชาการ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผลงานการศึกษาของ ดร.เอียน สตีเวนสัน มากกว่า
    370 กรณีศึกษา
    ชมคลิปวีดีโอ คนระลึกชาติ วิญญาณออกจากร่างฯลฯ
    ร่วมติดตามศึกษากรณีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดแบบ Real Time<O></O>​



    เข้าไปที่นี่




    หรือที่<O></O>


     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    หนึ่งในตัวอย่างที่วิทยาศาสตร์...ตามหลังพระพุทธเจ้าเป็น 2000 กว่าปี....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  9. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    1. นรก สวรรค์ โลกทั้งสองนี้ มีอยู่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้ค้นพบหรือไม่ครับ?

    มีอยู่ก่อนครับ ดังที่พระองค์ตรัสไว้ ธรรมของพระองค์ มีอยู่แล้วในธรรมชาติ (ถึงได้ชื่อธรรมะไง) เพียงแต่พระองค์เป็นหนึ่งในผู้ค้นพบเท่านั้น แม้ไม่มีพระองค์ สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ เพราะเป็นสัจธรรม

    เหมือนนักวิทยาศาสตร์ นั่นแหละ ถามว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก็มีของมันอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์แล้ว แต่เราไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน แค่นั้น เลยเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เมื่อมีผู้ค้นพบ ก็นำเอาพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์สารพัด

    2. ถ้ามีอยู่ก่อนแล้ว คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าก่อนหน้านั้น พวกเค้ามีโอกาสที่จะเจอสวรรค์ นรก หรือโลกอีกมิติหนึ่งได้ด้วยตนเองหรือไม่ครับ?


    ได้ครับ ไม่ต้องเป็นอริยเจ้า ก็ได้ เพราะ นรก กับ สวรรค์ ใช้สมาธิ ฌาน (สมถกรรมฐาน)สามารถถึงได้ครับ สบายมาก ไม่จำเป็นต้องมีพุทธศาสนา ครับ แต่อาจจะบัญญัติ คำว่า นรก กับ สวรรค์ ในภาษาที่ต่างกัน แค่นั้น

    ดังเช่น สมัยก่อนพระพุทธเจ้า ประสูติ ก็เชื่อพราหมณ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพรหม ซึ่งเป็นผู้สูงสุดครับ
    เพราะสมัยก่อน ชั้นพรหมโลก คือ ชั้นสวรรค์สูงสุดที่มนุษย์จะไปได้ ถึงได้มีการบูชา พระพรหม ในศาสนาฮินดูไงครับ

    อย่างเช่น ตามพุทธประวัติ อาฬารดาบส และ อุทกดาบส ที่เป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ก็นั่งฌาน ถึงชั้นพรหมโลกได้ครับ แต่ไม่เกินกว่านี้ ไม่มีทางถึงพระนิพพานเลย

    ไม่มีทางรู้จัก นิพพาน (วิปัสสนา)หรือโลกนิพพานได้เลย ครับ ถ้าไม่ได้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  10. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    3. ถ้าไม่ได้มีอยู่ก่อน แปลว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนสร้างโลกทั้งสองขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกคนเลว คนดี ใช่หรือไม่ครับ?

    ไม่ใช่ครับ อย่าเอามาปนกับศาสนาคริสต์ซิ พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างโลก พระองค์ เป็นเพียงแค่ผู้ค้นพบความจริง เท่านั้น เหมือน นักวิทยาศาสตร์ พระองค์ไม่ได้อะไรขึ้นมา ส่วนคนดีกับคนเลว มันเป็นกฎของธรรมชาติ ของจิต เท่านั้น อธิบายคงยาว

    สรุปคร่าวๆ เป็นกฏของกรรม Action=Reaction นั่นแหละ

    4. ไม่ว่าจะค้นพบก่อนหรือหลัง ทำไมเทวดาบนสวรรค์ ทำไมนายนิรยบาล จึงมีความเคารพพระอริยเจ้าทุกพระองค์ครับ ไม่ใช่ว่าบุคคลเหล่านี้อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าพระอริยเจ้าหรือครับ?

    อันนี้ ขอกรี้ดดังๆๆๆๆๆๆๆเลยครับ อย่าแม้แต่จะคิดแบบนี้อีก ปรามาสพระพุทธเจ้าสุดๆ แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

    คุณคิดว่า เทวดาบนสวรรค์ กับ นายนิรยบาล คือ ใคร ครับ ก็คือ เราๆปุถุชนนี่แหละ ที่เห็นกันเดินดินนี่แหละ ที่กระทำกรรมทั้งดีทั้งชั่ว ให้บังเกิดเป็นเทวดา หรือ นายนิรยบาล นั่นแหละครับ

    โลกสวรรค์ กับ นรก ต่างกับโลกมนุษย์ ตรงที่ โลกมนุษย์ มีทั้งจิตและกายจับต้องได้ แต่ สวรรค์นรก มีจิต ไม่มีกาย

    ดังนี้น กิเลส ตัณหา ความวุ่นวาย ที่คุณเห็นบนโลกมนุษย์ คุณก็จะเห็น ในสวรรค์และ นรก นั่นแหละ ไม่ต่างกันเลย เพียงแต่มีการแบ่งเป็นระดับๆ ตามความหยาบของกิเลส ความบริสุทธิ์ของจิต

    ถ้าเปรียบเหมือน โรงเรียน ก็แบ่ง เป็นระดับชั้น แต่ระดับชั้นแบ่งเป็นห้องๆๆ ตั้งแต่ห้องบ๊วย ห้องควีนส์ ห้องคิงส์ แบ่งห้อง ตามกลุ่มของนักเรียน นั่นแหละ คนไหนทำดีหน่อย ก็ไปสวรรค์ ทำดีมากๆหน่อย ก็ไปสวรรค์ชั้นดี ทำเลว ก็ไปห้องบ๊วย ไปเจอกับพวกทำเลวๆด้วยกัน ที่นรก พอเข้าใจไหม

    แต่สุดท้าย ไม่ว่าเทวดา พรหม นรก ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมไม่จบไม่สิ้น เพราะมีอวิชชา คือ ความไม่รู้ อันได้ แก่กิเลส เป็นตัวนำให้เกิด

    แล้วคุณคิดว่า จิตมนุษย์ เทวดา นิรยบาล จะเหนือพระพุทธเจ้าไหมล่ะ
    แม้แต่พระพรหมก็ยังต่ำกว่าพระพุทธเจ้าเลย เพราะพระพรหม คือ จิตใจมนุษย์ที่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังมีกิเลส อยู่ ในขณะที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นผู้หลุดพ้นจาก กิเลสเหล่านี้แล้ว
     
  11. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอบคุณสำหรับคำตอบในข้อ 4 ครับ รวมถึงการเตือนที่สำคัญ คือ ผมไม่มีเจตนาในการลบหลู่พระพุทธเจ้าครับ ที่ถามเพราะ ถ้าสิ่งเหล่านั้น มีอยู่ก่อน มนุษย์ทุกคนที่ตายไปก็ต้องอยู่ีภายใต้กฎเดียวกัน แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า พระพุทธเจ้าคือผู้ถึงพร้อม ค้นพบสิ่งสำคัญของมนุษย์ และตัดกิเลสโดยเด็ดขาดแล้ว จึงมีฐานะสูงสุด

    อนุโมทนาครับ
     
  12. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    5. หากสวรรค์ นรก มีอยู่จริง โลกของสวรรค์ (น้ำทิพย์ ดอกไม้นานาพันธุ์ ฯลฯ) กับโลกของนรก (กระทะทองแดง ต้นงิ้ว ฯลฯ) ที่เป็นการบอกเล่าต่อ ๆ กันมานั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามนั้น หรือ เป็นเพียงการอุปโลกน์ แต่งแต้มขึ้นมา่เพื่อให้เห็นภาพ โดยที่โลกสวรรค์ นรก เหล่านั้น เป็นเพียงมิติแห่งความสุข กับ ความทุกข์ ธรรมดา(มีคำอธิบายเรื่องนี้ได้ชัด แต่คิดว่าคุณยังคงไม่เข้าใจ เอาคร่าวๆ ไปก่อน)

    มีจริงครับ ตามนั้นแหละ ไม่ได้อุปโลกน์ นี่ไง คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ อธิบายการเกิดภพเกิดชาติ ของทั้งมนุษย์ เทวดา และ นรก

    คุณคงสงสัย และคงมีคำถามต่อไป ว่าทำไมเราต้องเวียนว่าย จากสวรรค์เป็นมนุษย์ จาก นรก ไปสวรรค์ วนไปมาไม่มีที่สิ้นสุดใช่ไหม

    คำตอบ คือ ปฏิจสมุปบาท


    สรุป ง่ายๆ ว่า ภพภูมิที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ นรก สวรรค์ มนุษย์ พรหมโลก ล้วนเกิดจากอวิชชา ความไม่รู้ครับ (ไปไล่ลำดับเอาเอง)

    ดังนั้นเมื่อใดที่คุณหลุดจาก สิ่งเหล่านี้ คุณก็หลุดพ้นจากความทุกข์ ถึงนิพพานนั่นแหละ

    ดังเช่น นรกกับกระทะทองแดง ถ้าคุณมีปัญญา คุณก็จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะทำให้คุณทรมานไม่ได้ เพราะมันอยู่ที่ใจ ของคุณเอง ตะหาก ไม่ได้อยู่ที่ความเจ็บปวด แม้ว่าคุณจะปวดจริงๆ

    นี่ธรรมของพระอริยเจ้า นั่นแหละ (แต่คนส่วนใหญ่คิดว่ากายกับใจเป็นของตัวก็ติดอยู่กับความทุกข์ความสุข จึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ไง)

    ดังที่เขา บอกว่า นรกอยู่ในใจ นั่นแหละไม่ผิดหรอก ถ้าคุณมีความทุกข์ แต่คุณไม่ไปยึดติดกับความทุกข์ คุณก็จะไม่ทุกข์ เพราะเราไม่ยึดติด ไม่หลงผิด ไม่คิดว่าความทุกข์หรือแม้แต่ความสุขเป็นตัวคุณ (อนัตตา)
     
  13. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    6. หากสวรรค์มีเพื่อจูงใจให้คนทำดี และ นรกมีไว้เพื่อเตือนสติไม่ให้คนทำเลว ทำไมถึงไม่มีตัวแทนจากโลกใดโลกหนึ่งเหล่านั้น หรือทั้งสองโลก มาฉายภาพที่เห็นได้จริง มาแสดงสิ่งที่จับต้องได้จริง บนโลกเหล่านั้น ให้คนบนโลกมนุษย์ได้เห็นว่า โลกเหล่านั้นมีอยู่จริง เพื่อจะได้หมดข้อสงสัย และตั้งหน้าตั้งตาทำความดี จำเป็นหรือไม่ที่คนจะต้องสิ้นชีวิตก่อนจึงจะได้สัมผัสโลกเหล่านั้น ทำไมไม่ให้คนที่มีชีวิตทุกคน ได้สัมผัสโดยไม่ต้องบำเพ็ญธรรม ทำไมการสัมผัสสิ่งเหล่านั้นจึงเป็นเรื่องยุ่งยากแทนที่จะทำให้เป็นเรื่อง ง่ายครับ?

    การที่คุณจะติดต่อได้ อย่างที่บอกครับ สวรรค์กับนรก มีเฉพาะนาม (มีเฉพาะจิต) ไม่มีรูป กาย เหมือนมนุษย์ คุณ คิดว่า คุึณจะติดต่อ กับสิ่งเหล่านี้ได้ทุกคนหรือไม่ล่ะ ง่ายๆ ขนาด การรู้สึกถึงความมีตัวตนของ อากาศ เรายังจับต้องไม่ได้ หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เราก็จับไม่ได้ มองไม่เห็น ไม่ได้ยินเช่นกัน

    ถ้าคุณ สามารถรับรู้ถึงพลังงานเหล่านี้ได้ ก็จะรู้ว่า เขาก็มาบอกอยู่เรื่อยๆๆนั่นแหละ เพียงแต่ใครจะรับได้ เท่านั้น

    ก็จะเห็น หนังสือ เรื่องตายแล้วไปไหน เขียนมากมาย จากผู้แต่งหลายคน หรือ มีคนที่เคยไปนรกสวรรค์แล้ว ว่าบอกกล่าว ให้เราได้ฟังอยู่บ่อยๆ ที่แน่ๆ เช่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (อันนี้เชื่อถือได้พระท่านเป็นพระอรหันต์แล้วไม่โกหก) ท่านเล่าถึงการไปนรกสวรรค์ของท่าน เขียนเป็นหนังสือเลย ไปหาอ่านดู

    ส่วนทำไม ทุกคน สัมผัสไม่ได้ เพราะ มนุษย์ มีกายหยาบ ทำให้สัมผัสไม่ได้ทุกคน จนคุณทำให้เนื้อกายและจิตละเอียดคุณก็จะสัมผัสได้ (ฌาน)
    ก็เหมือนที่ว่า คุณจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้ไหม หรือ เห็นอากาศไหม

    ไม่เห็น แต่เรารู้ถึงการมีอยู่ของมัน ใช่ไหม จนเรามีเครื่องมือ จับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เราก็รู้ถึงการมีของมัน ถ้าคุณมีเครื่องมือ จับจิตได้ คุณก็ติดต่อพวกเขาได้
    เครื่องมือในที่นี้ คือ การทำฌาน นั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  14. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ตั้งใจอ่านคำตอบของผม ค่อยๆๆอ่าน นะครับ อย่ารีบอ่าน

    ทุกคำตอบและทุกพยางค์ มีความหมายชัดเจน ในตัวมัน ถ้าอ่านข้ามๆ จะไม่ได้ประเด็นนะ

    อ่านหลายๆ รอบครับ
     
  15. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอบคุณมากครัีบ
     
  16. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,910
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,021
    ผมขอตอบข้อที่ผมตอบได้เเล้วกันนะครับ

    5 มีอยู่จริงครับ สวรรค์ นรก

    6 มีคนมาเล่าเรื่องนี้อยู่มากมายครับ เเต่เราไม่เชื่อเองเท่านั้น พระอรหันต์หลายๆท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ่อยๆ เรามองข้าม เเละไม่เชื่อกันไปเอง เเต่ก็เข้าใจครับ ของอย่างนี้ ต้องปฏิบัติเอง จะทราบเองครับ จขกท ลองหันมาปฏิับัติธรรมอย่างจริงจังสิครับ เช่น การสวดมนต์ นั่งสมาธิ เเผ่เมตตา กรวดนํ้าในทุกๆวัน ทําอย่างนี้ให้ได้ในทุกวัน ซักวันคุณจะกระจ่างในเรื่องเหล่านี้เองครับว่า มีจริงหรือไม่ ของพวกนี้บอกปากเปล่าไป เรามีสิทธิืที่จะเชื่อเเละไม่เชื่อได้ครับ ไม่ผิด เเต่สุดท้ายต้องลงมือปฏิบัติ ลองลงภาคสนามจริงด้วยความมุ่งมั่นดูครับ เเล้่วจะเข้าใจเอง เจริญในธรรมครับ
     
  17. นิยายธรรม

    นิยายธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +20
    ทุกอย่างมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นและตรัสรู้ขึ้น ทุกภพภูมิเป็นอีกโลกหนึ่งที่ตาเนื้อที่มีความหยาบมาก มองเห็นไม่ได้ ต้องฝึกทิพจักขุญาน นรก สวรรค์ พรหม นิพพานเป็นดินแดนที่เกิดขึ้นมารองรับผลแห่งการกระทำทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น พระพุทธเจ้าท่านรู้ก่อนใครจึงนำมาบอกกล่าวหรือสั่งสอนเรา พระพุทธเจ้ามิได้สร้างโลก หากแต่สอนธรรมดาของโลกให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นแล้วพากันละไปเสีย(นิพพาน) พระพุทธเจ้าก็มาจากคนธรรมดาอย่างเรา ๆ นี่แหละที่ปรารถนาสงเคราะห์ให้ผุ้อื่นพ้นทุกข์จึงเป็นที่นับถือของเทวดา ทั้งหลาย กว่าจะบำเพ็ญบารมีครบได้ลำบากมากบุคคลประเภทนี่จึงได้รับความเคารพ (พระโพธิสัตว์) ผู้เป็นเทวดาก็ดี พรหม ก็ดี นิริยบาลก็ดี มาจากกรรมบันดาล ทั้งนี้เพราะเหตุแห่งอุปาทานแห่งจิตคิดว่าดี อย่างนั้น ดีอย่างนี้ อยากเป็นอย่างนั้นอยากได้อย่างนี้(ตัณหา) จริง ๆแล้วเทวดาทั้งหลายก็ดี หรือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ดี หรือพระอรหันต์ทั้งหลายที่นิพพานไปแล้วก็ดี ท่านอยากจะให้เห็นทุกอย่าง แต่ตาเนื้อเรารับไม่ได้เอง ต้องใช้ตาจิต (ทิพจักขุญาน) ก็จะเห็นตามความเป็นจริง ท่านเจ้าของกระทู้รู้ไหมครับ ว่าหัวข้อที่ท่านถามอ่ะ เป็นอจินไตย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่าตามรู้ เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ผู้คิดมีส่วนของความเป็นบ้า(ไม่ได้ว่าท่านเจ้าของกระทู้นะครับ) ไม่ควรคิด ท่านตอบได้ แต่ไม่มีประโยชน์เมื่อ จิตพ้นไปจากกิเลสแล้วเข้าสู่นิพพานแล้วหมดอาสวกิเลสบังใจแล้วท่านจะรู้แจ้งแทงตลอดเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  18. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    ตอบดีมากครับ ชัดเจนดี เข้าใจง่าย สาธุ สาธุ สาธุ ฯ

    ขออนญาตเพิ่มเติมนิดหน่อย เรามีทีวีขาวดำ จะดูให้เห็นเห็นภาพสี (สี่สี) ไม่ได้หรอก ต้องดูภาพขาวดำไปเรื่อย ๆ ไปก่อน ถ้าอยากดูภาพสี ต้องซื้อ-หาทีวีสีมาดู แม้แต่มีทีวีสีแล้ว แต่ไม่มีสัญญญาณรับ หรือสัญญาณไม่ดี ก็ดูภาพ ในรายการต่างทั่วโลก ตามที่ต้องการไม่ได้หรอกครับ ฉันใด ความรู้เรื่องนรก-สวรรค์ หรือนิพพาน ต้องรู้ได้ด้วยใจของเราเอง ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเราเอง
    ถ้าเราทำ คือปฏิบัติธรรมได้ระดับต่าง ๆ ก็จะรู้จะเห็นได้ตามภูมิธรรมของเรานั้น
    มีหลายระดับ เหมือนคุณภาพทีวี ที่เรามีนั้น ฉันนั้นแหละครับ ฯ ต้องพิสูจน์ บอกไม่ได้ แม้แต่พระพุทธองค์ก็ไม่บอก เพราะบอกแล้วคนฟังไม่เชื่อ ก็ต้องปล่อยให้เห็นด้วนตนเอง เช่น<!--[if gte mso 9]><xml> <o:OfficeDocumentSettings> <o:AllowPNG/> </o:OfficeDocumentSettings> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:EnableOpenTypeKerning/> <w:DontFlipMirrorIndents/> <w:OverrideTableStyleHps/> </w:Compatibility> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true" DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99" LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="35" QFormat="true" Name="caption"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" Name="Default Paragraph Font"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Placeholder Text"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Revision"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="37" Name="Bibliography"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" QFormat="true" Name="TOC Heading"/> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin-top:0in; mso-para-margin-right:0in; mso-para-margin-bottom:10.0pt; mso-para-margin-left:0in; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]นรก สวรรค์ มีจริงหรือ[/FONT]?
    [FONT=&quot]เรื่องโดยท่าน ว.วชิรเมธี[/FONT] [FONT=&quot]สวรรค์-นรก มีจริงหรือเปล่าครับ และถ้ามีจริง สวรรค์-นรกอยู่ที่ไหน คนที่นับถือศาสนาอื่นมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกเหมือนชาวพุทธไหมครับ[/FONT]
    [FONT=&quot] นรก-สวรรค์มีจริงไหม[/FONT]
    [FONT=&quot] ถ้าตอบตามหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎกก็คงต้องตอบว่า [/FONT]“[FONT=&quot]มี[/FONT]” [FONT=&quot]แน่นอน[/FONT]
    [FONT=&quot] อยู่ที่ไหน[/FONT]
    [FONT=&quot] น่าจะอยู่ใน ๓ มิติ[/FONT]
    [FONT=&quot] (๑) มิติจิตใจ[/FONT]
    [FONT=&quot] (๒) มิติสถานที่ในชีวิตนี้[/FONT]
    [FONT=&quot] (๓) มิติหลังจากตายแล้ว[/FONT]
    [FONT=&quot] นรกสวรรคในมิติของจิตใจ คือ สภาวะของจิตใจที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะ เช่น ถ้ากำลังรู้สึกมีความสุข ความปลอดโปร่งโล่งเบา ร่าเริงเบิกบาน ผ่องใส อิ่มอกอิ่มใจ รวมถึงดีใจ อาการอย่างนี้เองคือสภาวะที่เรียกว่าสวรรค์ ทั้งนี้เพราะ สวรรค์แปลว่า [/FONT]“[FONT=&quot]อารมณ์อันดีเลิศ[/FONT]” [FONT=&quot]ในทางตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกเป็นทุกข์ อึดอัดขัดข้อง เดือดเนื้อร้อนใจ โศกเศร้าโศกาอาดูร หม่นหมอง ร่ำไห้พิไรรำพัน หวาดผวา วิตก ขมขื่นกลืนกล้ำช้ำใจ อยู่ที่ไหนก็หม่นหมองครองโศกเหมือนแบกของหนักเอาไว้ตลอดเวลา นี่คือสภาวะที่เรียกว่านรก ทั้งนี้เพราะ นรกแปลว่า [/FONT]“[FONT=&quot]สภาวะที่ปราศจากความเจริญ[/FONT]”
    [FONT=&quot] สวรรค์หรือนรกซึ่งแสดงผลออกมาที่จิตใจของเราทุกคนในแต่ละขณะจิตอย่างนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า [/FONT]“[FONT=&quot]สวรรค์ในอก นรกในใจ[/FONT]”
    [FONT=&quot] นรก-สวรรค์ในมิติสถานที่ในชีวิตนี้ คือ สถานที่ใดก็ตามที่คนชั่วกำลังได้รับผลแห่งกรรมชั่วของตนอยู่ในที่นั้น สถานที่เช่นนี้เองคือนรก สถานที่ใดก็ตามที่คนดีกำลังได้รับผลกรรมดีของตนอยู่ สถานที่เช่นนี้เองคือสวรรค์[/FONT]
    [FONT=&quot] นรก-สวรรค์ในมิตินี้อ้างอิงจากเรื่องราวในพระคัมภีร์พระธรรมบท ที่ครั้งหนึ่งพระอรหันต์ชื่อลักษณ์เดินลงจากยอดเขาคิชกูฎ ตรงเชิงเขานั่นเอง ท่านเห็นเปรตตนหนึ่งกำลังได้รับทัณฑ์ทรมานอย่างแสนสาหัสด้วยทิพยจักษุ เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ท่านจึงนำเรื่องนี้กราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงรับรองว่าพระองค์ก็เคยเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ที่ไม่ทรงนำมาเล่าก็เพราะไม่อยากให้คนที่ไม่เห็น ไม่เชื่อ ต้องมาเสียเวลาทักทวง อันเป็นการต่อความยาวสาวความยืดไม่รู้จบ จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราได้ข้อสรุปว่า นรก-สวรรค์ในมิติสถานที่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในชีวิตนี้ ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่า เราไม่สามารถมองเห็นสถานที่เหล่านั้นด้วยตาเนื้อ เพราะเราไม่มีทิพยจักษุนั่นเอง ใครอยากเห็นต้องพัฒนาตนจนมีทิพยจักษุให้ได้เสียก่อน[/FONT]
    [FONT=&quot] นรก-สวรรค์ในมิติหลังความตายไปแล้ว คือ สภาพชีวิตที่เราแต่ละคนได้ประสบในภพนั้น ๆ หลังจากล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ข้อนี้อ้างอิงจากข้อความที่พบบ่อย ๆ ในพระไตรปิฎกว่า [/FONT]“[FONT=&quot]เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ หริออบายทุคติ วินิบาต[/FONT]…” [FONT=&quot]ถ้านรก-สวรรค์ในมิติหลังจากตายแล้วไม่มีอยู่จริง ข้อความเช่นนี้ก็คงไม่ปรากฏทั่วไปในพระไตรปิฎกเป็นแน่ เช่นเดียวกัน หากนรก-สวรรค์ไม่มีอยู่จริง คนทำชั่วในชีวิตนี้ที่เราเห็นกันอยู่แล้วว่าทำชั่ว แต่กลับได้ดี มียศ ทรัพย์ อำนาจล้นฟ้า ดังนั้นถ้าชาติหน้าไม่มีจริง ก็หมายความว่าทำชั่วได้ดีมีอยู่จริง และกฎแห่งกรรมก็คงใช้ไม่ได้[/FONT]
    [FONT=&quot] วันเวลาในชีวิตของเราชาติหนึ่งนี้สั้นเกินไปที่จะทำให้เราได้เห็นการแสดงตัวของผลแห่งกรรมได้อย่างครบถ้วน ดังนั้นผลแห่งกรรมดีและชั่วนั้น บางอย่างจึงถูกยกยอดไปในภพหน้าด้วย เรื่องนี้มีกรณีของพระนางสามาวดีเป็นอุทาหรณ์ เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตชาติพระนางสามาวดี ชายาของพระเจ้าอุเทนแห่งนครโกสัมพี เคยเป็นธิดาเศรษฐี วันหนึ่งไปเล่นน้ำในแม่น้ำ ขึ้นจากน้ำแล้วหนาวมากจึงให้บริวารก่อไฟผิงกาย ระหว่างนั้นเองไฟได้ลามไปไหม้ป่า และในป่านั้นมีพระธุดงค์อรหันต์บำเพ็ญจิตภาวนาอยู่พอดี ท่านถูกไฟคลอกมรณภาพไปในคราวนั้น [/FONT]
    [FONT=&quot] พอไฟดับ ธิดาเศรษฐีเห็นซากของท่านที่เหลืออยู่ เกิดกลัวความผิด จึงสั่งให้บริวารจุดไฟเผาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จนร่างของพระอรหันต์ป่นเป็นผงธุลีดิน จากนั้นนางจึงกลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยเศษกรรมนั่นเอง(ซึ่งในชาตินั้นไม่ทันให้ผล) มาในปัจจุบันชาติ แม้พระนางจะมีบุญได้เป็นถึงพระชายาของกษัตริย์ ทั้งยังเป็นสาวิกาของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระอริยบุคคลอีกตั้งหาก แต่เมื่อกรรมนั้นตามมาทัน วันหนึ่งพระนางก็ถูกคู่อริจ้างคนร้ายมาเผาตำหนัก ทำให้พระนางต้องสิ้นพระชนม์ท่ามกลางกองไฟ ภิกษุทั้งหลายเห็นว่าคนดี ๆ อย่างพระนางทำไมตายอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า [/FONT]“[FONT=&quot]หากมองกันแต่เพียงชาตินี้ พระนางก็สิ้นพระชนม์อย่างน่าสมเพช แต่หากมองไปยังชาติที่แล้วก็จะเห็นว่า พระนางสิ้นพระชนม์ไปสาสมกับกรรม(ชั่ว) ที่ทำเอาไว้แล้ว[/FONT]”
    [FONT=&quot] คนส่วนใหญ่เห็นชีวิตคนแต่เพียงในชาตินี้ ที่บางทีทำดีแล้วชีวิตก็ยังแย่ ทำชั่วแล้ว แต่ชีวิตกับรุ่งโรจน์ แล้วพานสรุปเอาง่าย ๆ ว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี ทำชั่วก็ไม่เห็นว่าความชั่วจะตามรังควาน จากนั้นจึงไม่กลัวบาปกลัวกรรม ซ้ำบางทียังคิดวลีเด็ด ๆ มาหลอกคนอื่นให้เห็นผิดเป็นชอบว่า [/FONT]“[FONT=&quot]ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป[/FONT]” [FONT=&quot]คนเหล่านี้ หากเขามารู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้งเหมือนที่พระพุทธองค์ทรงทราบแล้วละก็ เขาจะต้องเสียใจที่ไม่เชื่อในเรื่องนรก-สวรรค์ และกฎแห่งกรรม[/FONT]
    [FONT=&quot] หากเรายอมรับว่า เรื่องนรก-สวรรค์เป็นความจริงสากลที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ ก็เป็นอันมั่นใจได้ว่า คนทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร ถ้าทำดีก็ต้องขึ้นสวรรค์ และหากทำชั่วก็ต้องตกนรกเสมอกันอย่างแน่นอน อุปมาดังไฟที่ร้อนเสมอกันทั้งคนที่เชื่อว่า ไฟร้อนและคนที่ไม่เชื่อว่าไฟร้อน แต่พอเอามือไปจี้ไฟ เขาย่อมรู้ด้วยตัวเองว่า ไฟ[/FONT]…[FONT=&quot]ถึงอย่างไรก็ร้อนเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ โดยที่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อหรือไม่เชื่อของใครเลย [/FONT]
    [FONT=&quot]หนังสืออ้างอิง:[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่าน ว.วชิรเมธี[/FONT], [FONT=&quot]นิตยสาร [/FONT]Secret [FONT=&quot]ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑๒ (๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๑)[/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...