สมัยพระพุทธเจ้ามีการสวดมนต์ไหมค่ะสงสัยๆ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย Igiko_L, 26 สิงหาคม 2009.

  1. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    he llo _ท่านผู้รู้ทุกๆท่านค่ะ คือหนูแค่สงสัย(หาเรื่องไม่อยากสวดมนต์)ว่าในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า มีการสวดมนต์ไหมค่ะ?????ถ้าไม่มี ก็แสดงว่าการสวดมนต์ไม่สำคัญ rabbit_eating เพราะแม้แต่พระพุทธองค์ ก็ยังไม่สวด เอ....หรือว่ายังไงคะ หนูเบาปัญญา ช่วยบอกด้วย ?????
    แล้วถ้าไม่มี ใครเหรอคะที่ตั้งหรือให้มีการสวดมนต์?????หนูเคยได้ยินว่าการสวดมนต์เพื่อให้มีสมาธิ ถ้าอย่างนั้นหนูนั่งสมาธิไม่เคยหลับเลย นั่งสมาธิจะดีกว่าสวดมนต์(ที่ชอบหลับ)จะดีกว่าไหมคะ qsqu อยากรู้ทำไมถึงต้องสวดมนต์ หากรู้อาจจะทำให้เข้าถึงธรรมได้ระหว่างสวดมนต์
    ;aa28ขอบคุณนะคะ ที่เข้ามาชี้แนะ
     
  2. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    บทสวดมนต์ต่างๆที่มีในปัจจุบันนะคะ

    หากเราลองหาคำแปลออกมา ส่วยใหญ่ก็จะเป็นคำอวยพรต่างๆ

    ซึ่งก็เกิดขึ้น จากพระสงฆ์ในสมัยนั้น

    ไล้จำไม่ได้นะ รู้สึกมีบทนึงที่ พระ.......(ลืมชื่อ) ในสมัยพุทธกาล

    ได้กล่าวแก่หญิงใกล้คลอด แล้ว หญิงผู้นั้นก็คลอดลูกออกมาอย่างง่ายดาย

    จากคำอวยพรนี้ จึงกลายเป็นบทสวดในปัจจุบัน

    ----------------------------------------------------------------
    และยังมีอีกหลายๆบทที่เป็นแบบนี้ เช่นกัน

    แม้แต่อาระหังสัมมาฯ ก็ตาม

    การสวดมนต์ ก็เพื่อเป็นวิธีรวมจิต อย่างหนึ่ง

    คือ จิต จะจดจ่ออยู่ที่ พระพุทธคุณฯลฯ

    ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ ผู้ใหญ่หลายๆคนบอกว่า

    ไม่ว่าจะเจออะไร ให้นึกถึงพระ หรือให้สวดมนต์

    เพราะะทำให้จิต รวมกันอยู่ที่พระ และไม่ไปยึดกับปัญหา เหล่านั้น

    เมื่อจิตรวมตัวกันดีแล้ว เกิดสภาวะนิ่งๆ สติ ปัญญา ก็กลับมาได้เอง ^-^
     
  3. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    ส่วนจะทำอะไร ก็ ให้มีจิตที่สงบ เป็นได้ เน้ออ ^^
     
  4. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พระพุทธเจ้า ท่านเป็นประธานในการเจริญพระพุทธมนต์พระปริตรมาแล้วครับตามพระบาลีมีดังนี้
    อานิสงส์ต่ออายุ
    ......บุญต่ออายุนี้นับว่าเป็นการไม่ประมาท เพราะทำตามประเพณีของพุทธศาสนา ได้อาราธนา
    พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ สวดพระปริตแล้วยังมาจัดให้มีพระธรรมเทศนาอีกด้วยดังนี้ แม้แต่ใน
    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดายังมีพระชนม์อยู่ พระองค์ได้ทำทรงทำมาแล้วกับอายุวัฒนกุมาร ดัง
    อาตมาภาพจักยกแสดงเป็นนิทัสนอุทาหรณ์ เพื่อจะได้เป็นเครื่องประดับสติปัญญาบารมีกุศลสืบต่อไป
    ดังมีใจความว่ามีพราหมณ์ ๒ คน เป็นชาวทีฆลัมพิกนคร บวชในลัทธิภายนอกพระศาสนาบำเพ็ญตบะ
    อยู่สิ้น ๑๘ ปี บรรดาพราหมณ์ ๒ คนนั้น คนหนึ่งคิดว่าประเพณีของเราจักเสื่อมจึงได้สึกขายบริขารของ
    ตนให้แก่ชนทั่วไป เสร็จแล้วได้ภรรยาคนหนึ่งพร้อมด้วยโค ๑๐๐ ตัว ทรัพย์ ๑๐๐ กหาปณะ ตั้งไว้เป็น
    ทุน ฝ่ายภรรยาของเขาคลอดบุตรแล้ว
    ส่วนสหายนอกนี้ไปสู่ต่างถิ่นกลับสู่นครนั้นเมื่อพราหมณ์สหายทราบข่าว จึงได้พาบุตรภรรยา
    ไปเยี่ยม เมื่อไปถึงพราหมณ์และภรรยาไหว้สหายก็กล่าวว่า ขอให้ท่านทั้ง ๒ จงมีอายุยืน ถึงคราวบุตร
    ไหว้สหายไม่ได้พูดว่ากระไร พราหมณ์ตกใจ จึงได้รีบถามว่าทำไมละสหาย เมื่อเราทั้งสองไหว้จึงกล่าว
    ว่าจงมีอายุยืน คราวบุตรไหว้ทำไมจึงไม่พูดว่ากระไร เหตุไรจะมีขึ้นหนอ สหาย เด็กนี้จะตายภายใน
    ๗ วัน พราหมณ์รู้สึกตกใจเป็นกำลัง จึงได้ถามอุบายแก้ว่าสหายมีวิธีแก้บ้างไหม สหายไม่มีแล้ว วิธีแก้
    นี่เราเห็นสมณโคดมพระองค์เดียวพระองค์มีวิธีแก้ไขอย่างเลิศสหาย เราจะไปได้อย่างไรเดี๋ยวตบะของ
    เราก็เสื่อมเท่านั้น ลูกตายกับตบะเสื่อมจะเอาอย่างไหนดี


    ...... พราหมณ์เลยตัดสินใจพาบุตร และภรรยาไปสู่สำนักของพระศาสดาเมื่อถึงแล้วก็ ไหว้พระ
    ศาสดาพระองค์ก็ตรัสว่าจงมีอายุยืน ต่อเมื่อบุตรน้อยไหว้พระศาสดาก็ไม่ตรัสว่ากระไร พราหมณ์จึง
    กราบทูลถึงวิธีแก้ไขเหตุนั้น พระศาสดาตรัสอุบายที่จะไม่ให้เด็กนั้นตายใน ๗ วัน แก่พราหมณ์ว่า ท่าน
    เองทำมณฑปไว้ เมื่อเสร็จแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์ ๘ รูป หรือ ๑๖ รูป พราหมณ์จึง
    รับได้พระเจ้าเข้า

    ....พระศาสดาเมื่อพราหมณ์สร้างมณฑปเสร็จแล้ว จึงได้ส่งภิกษุไปตามจำนวนที่พราหมณ์ต้องการ
    ภิกษุได้เจริญพระพุทธมนต์สิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ พระศาสดาได้เสด็จไปเอง เจริญพุทธมนต์ด้วยหมู่ภิกษุ
    อวรุทธกยักษ์ผู้บำรุงท้าวเวสสุวรรณ ต้องการจะจับเด็กนั้นไปกินเป็นอาหาร ก็กลับไปด้วยความผิดหวัง
    ในวันที่ ๘ สองสมีภรรยาได้นำบุตรมาวางไว้แทบพระบาทของพระศาสดา พระองค์จึงตรัสว่าขอเจ้าจง
    มีอายุยืน พราหมณ์ถามด้วยความสงสัยว่าจะมีอายุเท่าไร พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสตอบว่า ๑๒๐ ปี
    พราหมณ์

    พราหมณ์ ๒ สามีภรรยาจึงตั้งชื่อบุตรว่า อายุวัฒนกุมาร เมื่อเขาเติบโตแล้วได้มีอุบาสก ๕๐๐
    คน แวดล้อมแล้ว ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่าผู้มีอายุทั้งหลายอายุวัฒนกุมารนี้จะตายภายใน
    ๗ วัน แต่แล้วกลับจะมีอายุ ๑๒๐ ปี เหตุเป็นเครื่องเจริญแห่งอายุ ของสัตว์เห็นจะมี พระศาสดาเสด็จมา
    แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธอสนทนาด้วยเรื่องอะไรกัน เมื่อภิกษุกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้พระองค์
    จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายอายุเจริญอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ ก็สัตว์เหล่านี้ไว้ท่านผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญ
    ด้วยเหตุ ๔ ประการ พ้นจากอันตรายดำรงอยู่จนตลอดอายุทีเดียว
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ดูในพระไตรปิฎกมีจ้ะ
     
  6. ฉันทปาโล

    ฉันทปาโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +678
    องคุลิมาลปริตรครับ

    วันหนึ่งมีหญิงท้องแก่ใกล้คลอดเห็นองคุลิมาล
    ก็วิ่งหนีไปลอดรั้วด้วยความกลัว แต่ลอดไม่ได้
    ทำให้ต่อมาเกิดความลำบากในการคลอดลูก

    บรรดาญาติจึงต่างปรึกษากัน
    และเห็นว่าองคุลิมาลคงไม่ฆ่าใครแล้ว
    และเป็นสาเหตุให้หญิงนี้คลอดยาก
    จึงนิมนต์พระองคุลิมาลมาเล่าสาเหตุให้ฟัง

    ท่านฟังแล้วก็ตั้งสัตย์อธิษฐาน ความว่า

    ตนเองเกิดมาไม่เคยคิดฆ่าสัตว์โดยเจตนา
    ด้วยความสัตย์นี้ขอให้ความสวัสดิ์จงมีแก่ครรภ์หญิงนั้น
    ก็ปรากฏว่าทำให้นางคลอดลูกได้โดยสะดวก


    พระปริตรบทนี้ถือว่าสวดแล้วจะมีความสวัสดีและคลอดลูกง่าย
    นิยมสวดในพิธีมงคลสมรสด้วย




     

แชร์หน้านี้

Loading...