วิปัสนูกิเลส : ประสบการณ์ และ การแก้ไข

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Rupanama, 25 สิงหาคม 2009.

  1. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    รบกวนขอความรู้เรื่อง วิปัสนูกิเลส ครับ เตรียมไว้เพื่อเจอครับ

    อนุโมทนาบุญน่ะครับ
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    <TABLE width="97%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>อุปกิเลสของวิปัสสนาญาณ ๑๐ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ <HR SIZE=1></TD></TR><TR><TD>ในขั้นวิปัสสนาญาณ เป็นกฎการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล ท่านก็ต้องมีการเตรียมเครื่องอุปกรณ์การปฏิบัติให้ครบถ้วนอย่างปฏิบัติขั้นฌานเหมือนกัน เมื่อท่านตระเตรียมในขั้นบารมี ๑๐ ชื่อว่าเป็นการเตรียมปูพื้นให้เรียบเพื่อเป็นพื้นฐานขั้นต้น เช่นเดียวกับการปรับปรุงศีลให้บริสุทธิ์ขั้นปฏิบัติฌาน เมื่อท่านปรับปรุงบารมี ๑๐ เพื่อเป็นพื้นฐานแล้ว สิ่งที่ต้องระวังการพลั้งพลาดในการเจริญวิปัสสนา อารมณ์จิตอาจจะข้องหรือหลงใหลในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จนทำให้เสียผลในการกำจัดกิเลส เช่นเดียวกับจิตข้องในนิวรณ์ทำให้เสียกำลังสมาธิ ไม่ได้ฌานเช่นกัน อารมณ์กิเลสที่คอยกีดกันอารมณ์วิปัสสนาก็คือ อารมณ์สมถะที่มีอารมณ์ละเอียดคล้ายคลึงวิปัสสนาญาณ ท่านเรียกว่า อุปกิเลสของวิปัสสนา ๑๐ อย่าง คือ

    ๑. โอภาส โอภาสแปลว่า แสงสว่าง ขณะพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้น จิตที่กำลังพิจารณาอยู่ จิตย่อมทรงอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ สมาธิระดับนี้เป็นสมาธิเพื่อสร้างทิพยจักษุญาณ ย่อมเกิดแสงสว่างขึ้น คล้ายใครเอาประทีปมาตั้งไว้ใกล้ๆ เมื่อปรากฏแสงสว่าง จงอย่าทำความพอใจว่าเราได้มรรคผล เพราะเป็นอำนาจของอุปจารสมาธิอันเป็นผลของสมถะ ที่เป็นกำลังสนับสนุนวิปัสสนาเท่านั้น ไม่ใช่ผลในวิปัสสนาญาณ

    ๒. ปีติ ปีติแปลว่า ความอิ่มใจ ความปลาบปลื้มเบิกบาน อาจมีขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหล กายโยกโคลง กายลอยขึ้นบนอากาศ กายโปร่งสบาย กายเบา บางคราวคล้ายมีกายสูงใหญ่กว่าธรรมดา มีอารมณ์ไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ อารมณ์สมาธิแนบแน่นดีมาก อารมณ์สงบสงัดง่าย อาการอย่างนี้ไม่ใช่ผลของวิปัสสนา เป็นผลของสมถะ อย่าเข้าใจว่าบรรลุมรรคผล

    ๓. ปัสสัทธิ ปัสสัทธิแปลว่า ความสงบระงับด้วยอำนาจฌาน มีอารมณ์สงัดเงียบ คล้ายจิตไม่มีอารมณ์อื่น มีความว่างสงัดสบาย ความรู้สึกทางอารมณ์โลกียวิสัยดูคล้ายจะสิ้นไป เพราะความรัก ความโลภ ความโกรธ ความข้องใจในทรัพย์สินไม่ปรากฏ อาการอย่างนี้เป็นอารมณ์ของอุเบกขาในจตุตถฌาน เป็นอาการของสมถะ ผู้เข้าถึงใหม่ๆ ส่วนมากหลงเข้าใจผิดว่าบรรลุมรรคผล เพราะความสงัดเงียบอย่างนี้ตนไม่เคยประสบมาก่อน ต้องยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน อย่าด่วนตัดสินใจว่าได้มรรคผล เพราะมรรคผลมีฌานเป็นเครื่องรู้มีอยู่ ถ้าญาณเป็นเครื่องรู้ยังไม่แจ้งผลเพียงใด ก็อย่าเพ่อตัดสินใจว่าได้บรรลุมรรคผล

    ๔. อธิโมกข์ อธิโมกข์แปลว่า อารมณ์ที่น้อมใจเชื่อโดยปราศจากเหตุผล ด้วยพอได้ฟังว่าเราได้มรรคได้ผล ยังมิได้พิจารณาให้ถ่องแท้ก็เชื่อแน่เสียแล้ว ว่าเราได้มรรคได้ผล โดยไม่ใช้ดุลพินิจเป็นเครื่องพิจารณา อาการอย่างนี้ เป็นอาการของศรัทธาตามปกติ ไม่ใช่มรรคผลที่ตนบรรลุ

    ๕. ปัคคหะ ปัคคหะแปลว่า มีความเพียรกล้า คนที่มีความเพียรบากบั่นไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค เป็นเหตุที่จะให้บรรลุมรรคผล แต่ถ้ามาเข้าใจว่าตนได้บรรลุเสียตอนที่มีความเพียรก็เป็นการที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ความพากเพียรด้วยความมุมานะนี้ เป็นการหลงผิดว่าได้บรรลุมรรคผลได้เหมือนกัน

    ๖. สุข สุขแปลว่า ความสบายกายสบายใจ เป็นอารมณ์ของสมถะที่เข้าถึงอุปจารฌานระดับสูง มีความสุขทางกายและจิตอย่างประณีต ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต อารมณ์สงัดเงียบ เอิบอิ่มผ่องใส สมาธิก็ตั้งมั่น จะเข้าสมาธิเมื่อใดก็ได้ อารมณ์อย่างนี้เป็นผลของสมถภาวนา จงอย่าหลงผิดว่าได้มรรคผลนิพพาน

    ๗. ญาณ ญาณแปลว่า ความรู้อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่จิตมีสมาธิจากผลของสมถภาวนา เช่น ทิพยจักษุญาณ เป็นต้น สามารถเห็นนรก สวรรค์ พรหมโลกได้ และรู้อดีต อนาคต ปัจจุบันได้ตามสมควร เป็นผลของสมถะแท้ไม่ใช่ผลของวิปัสสนา เมื่อได้เมื่อถึงแล้วอาจจะหลงผิดว่าได้บรรลุผลนิพพาน เลยเลิกไม่ทำต่อไป พอใจในผลเพียงนั้นก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะญาณที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นญาณในสมถะ ไม่ใช่อารมณ์วิปัสสนาญาณ ถ้าพอใจเพียงนั้นก็ยังต้องเป็นโลกียชนต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะต่อไป

    ๘. อุเบกขา อุเบกขาแปลว่า ความวางเฉย เป็นอารมณ์ในสมถะ คือ ฌาน ๔ ถ้ามาเข้าใจว่าความวางเฉยนี้เป็นมรรคผล ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ความจริงก็อาจคิดไปได้ เพราะคนใหม่ยังเข้าใจอารมณ์ไม่พอ ท่านจึงบอกไว้ให้คอยระวัง

    ๙. อุปปัฏฐาน อุปปัฏฐานแปลว่า เข้าไปตั้งมั่น หมายถึงอารมณ์ที่เป็นสมาธิ มีอารมณ์สงัดเยือกเย็น ดังเช่นที่ท่านเข้าฌาน ๔ มีอารมณ์สงบสงัด แม้แต่เสียงก็กำจัดตัดขาดไม่มีปรากฏ อารมณ์ใดๆ ไม่มี เป็นอารมณ์ที่แยกกันระหว่างกายกับจิตอย่างเด็ดขาด เป็นปัจจัยให้นักปฏิบัติเข้าใจพลาดว่าบรรลุมรรคผลก็เป็นได้ ความจริงแล้วเป็นฌาน ๔ ในสมถะแท้ๆ

    ๑๐. นิกกันติ นิกกันติแปลว่าความใคร่ เป็นความใคร่น้อยๆ ที่เป็นอารมณ์ละเอียดไม่ฟูมาก ถ้าไม่กำหนดรู้อาจไม่มีความรู้สึก เพราะเป็นอารมณ์ของตัณหาสงบ ไม่ใช่ขาดเด็ดเป็นเพียงสงบ พักรบชั่วคราวด้วยอำนาจฌาน มีปฐมฌานเป็นต้น เข้าระงับ อารมณ์ตัณหาที่อ่อนระรวยอย่างนี้ทำให้นักปฏิบัติเผลอเข้าใจว่าบรรลุมรรคผลนิพพานมีไม่น้อย แต่พอนานหน่อย ฌานอ่อนกำลังลง พ่อกิเลสตัณหาก็กระโดดโลดเต้นตามเดิม อาการอย่างนี้ นักปฏิบัติก็ต้องระมัดระวัง

    วิปัสสนาญาณที่พิจารณาต้องมีสังโยชน์เป็นเครื่องวัด และพิจารณาไปตามแนวของสังโยชน์เพื่อการละ ละเป็นขั้นเป็นระดับไป ค่อยละค่อยตัดไปทีละขั้น อย่าทำเพื่อรวบรัดเกินไป แล้วคอยระมัดระวังใจ อย่าให้หลงใหลในอารมณ์อุปกิเลส ๑๐ ประการ ท่านค่อยทำค่อยพิจารณาอย่างนี้ ก็มีหวังที่จะเข้าถึงความสุข ที่เป็นเอกันตบรมสุขสมความมุ่งหมาย


    ข้อมูลจาก หนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หน้า ๖๘ ˹
     
  3. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ จะได้คอยระวัง
     
  4. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    เคยลงไว้ที่ห้อง เออ...ตามมาทำไมถ้าไม่รักยายผีป่า ถ้าเน็ตไม่ติดขัด สัญญาว่าจะมาตอบค่ะ
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เคยเห็นคนเวลาหลง ไหม ดูตัวเองก็ได้ เวลาที่เชื่อเป็นตุเป็นตะ ว่าตนเองถูกต้องแล้วก็ไม่ฟังใคร นั่นแหละ อาการแบบนั้นแหละ แต่จะแตกต่างกันที่ว่า มันจะคิดไปว่า ตนเองบรรลุธรรมแล้ว จนไม่ฟังอะไร เพราะว่า เหตุผลก็มี อัศจรรย์ใจก็มี แสงสว่างก็มี ความทุกข์ก็ไม่มี มันโปร่งมันโล่ง เพราะว่า มันมีโมหะบัง บางคนก็อ้างว่าก็ใจมันไม่ทุกข์อะไรแล้วนี่ บางคนก็ว่าก็ใจมันโปร่งมันไม่ีมีสมมติแล้วนี่ ดังนั้นส่วนมาก มักจะเกิดกับผู้ที่มีปัญญา วิปัสสนาแล้ว จึงเรียกว่า วิปัสสนูกิเลส


    ดังนั้นทางที่จะป้องกัน คือ อย่าประมาท อย่าหลงลืม ที่จะสังเกตุใจตน ให้ดี หากมันไม่มีทุกขเวทนา ก็ให้สังเกตุว่า เรายังขึ้นๆ ลงๆ อยู่ นี่แสดงว่า เรายังต้องศึกษาและพัฒนากันอีกมาก

    แต่ทีนี้ เวลาคนหลง มันก็ยังหลอกตัวเองได้อีกว่า ขึ้่นๆลงๆ เรื่องปกติ นี่แหละ พระโสดาบันแล้ว จากนั้นก็ไม่ศึกษาอะไร งอมืองอเท้าไปวันๆ

    ดังนั้น สิ่งที่ให้สำรวจ ด้วยความไม่ประมาทคือ ศีลเราดีหรือไม่ วินัยเราที่ดีที่มีอยู่พร่องไปหรือไม่

    สมาธิเราดีขึ้นหรือไม่ ปัญญาเราพัฒนาขึ้นหรือไม่ คนที่จบกิจคือพระอรหันต์เท่านั้น ดังนั้น ใครยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์ ให้ศึกษา และพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา โดยไ่ม่ต้องไปหยุด
    ดังที่ พระศาสดา พูดในปัจฉิมโอวาท ว่า อย่าประมาท ให้ทำกิจของตนให้สมบูรณ์ นั่นแหละ ท่านรู้ว่า พวกประมาทมีมาก
    นั่นแหละ จะเป็นทางป้องกัน ไม่ให้จิตเราหยุดชะงัก หลงลืมตนไป
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    เคยลงไว้ที่ห้อง เออ...ตามมาทำไมถ้าไม่รักยายผีป่า ถ้าเน็ตไม่ติดขัด สัญญาว่าจะมาตอบค่ะ
     
  7. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    เคยเห็นคนเวลาหลง ไหม ดูตัวเองก็ได้ เวลาที่เชื่อเป็นตุเป็นตะ ว่าตนเองถูกต้องแล้วก็ไม่ฟังใคร นั่นแหละ อาการแบบนั้นแหละ แต่จะแตกต่างกันที่ว่า มันจะคิดไปว่า ตนเองบรรลุธรรมแล้ว จนไม่ฟังอะไร เพราะว่า เหตุผลก็มี อัศจรรย์ใจก็มี แสงสว่างก็มี ความทุกข์ก็ไม่มี มันโปร่งมันโล่ง เพราะว่า มันมีโมหะบัง บางคนก็อ้างว่าก็ใจมันไม่ทุกข์อะไรแล้วนี่ บางคนก็ว่าก็ใจมันโปร่งมันไม่ีมีสมมติแล้วนี่ ดังนั้นส่วนมาก มักจะเกิดกับผู้ที่มีปัญญา วิปัสสนาแล้ว จึงเรียกว่า วิปัสสนูกิเลส


    ดังนั้นทางที่จะป้องกัน คือ อย่าประมาท อย่าหลงลืม ที่จะสังเกตุใจตน ให้ดี หากมันไม่มีทุกขเวทนา ก็ให้สังเกตุว่า เรายังขึ้นๆ ลงๆ อยู่ นี่แสดงว่า เรายังต้องศึกษาและพัฒนากันอีกมาก

    แต่ทีนี้ เวลาคนหลง มันก็ยังหลอกตัวเองได้อีกว่า ขึ้่นๆลงๆ เรื่องปกติ นี่แหละ พระโสดาบันแล้ว จากนั้นก็ไม่ศึกษาอะไร งอมืองอเท้าไปวันๆ

    ดังนั้น สิ่งที่ให้สำรวจ ด้วยความไม่ประมาทคือ ศีลเราดีหรือไม่ วินัยเราที่ดีที่มีอยู่พร่องไปหรือไม่

    สมาธิเราดีขึ้นหรือไม่ ปัญญาเราพัฒนาขึ้นหรือไม่ คนที่จบกิจคือพระอรหันต์เท่านั้น ดังนั้น ใครยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์ ให้ศึกษา และพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา โดยไ่ม่ต้องไปหยุด
    ดังที่ พระศาสดา พูดในปัจฉิมโอวาท ว่า อย่าประมาท ให้ทำกิจของตนให้สมบูรณ์ นั่นแหละ ท่านรู้ว่า พวกประมาทมีมาก
    นั่นแหละ จะเป็นทางป้องกัน ไม่ให้จิตเราหยุดชะงัก หลงลืมตนไป

    อันนี้มันอยู่ในข้อไหนใน 10 ข้อครับ รบกวน แนะนำเพิ่มเติมครับ เอาแบบขยายน่ะครับ เพราะว่าผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพวกนี้มากครับ

    อนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับ
     
  8. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถ้าเวลาเกิดอุปปกิเลสเหล่านี้ ไม่ว่าข้อหนึงข้อใดเกิดขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านเตือนไว้ดังนี้นะคะ ให้ผู้ปฏิบัติรีบกำหนดทันทีว่า "เห็นหนอๆ" หรือถ้านึกอะไรไม่ได้ ให้กำหนดว่า "รู้หนอๆ" อาการก็จะจางหายไป ถ้าหายไปช้าๆ หมายถึงสติปัญญาของท่านอ่อนไป ให้พยายามถอนออกแล้วไปเดินจงกลมสักพักนึง จึงจะได้ผลดี สภาวะญาณยังอยู่ในเขตของสมถะสมาธิ

    ถ้ากำหนดครั้งสองครั้งแล้วหาย แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญาเราดีขึ้นบ้าง ให้นั่งต่อไปได้ หมายถึงญาณดีขึ้นเข้าสู่เขตอุทยัพพยญาณอย่างอ่อนๆ ขอให้พยายามต่อไป อย่าประมาทและอย่านิ่งนอนใจ

    ถ้ากำหนดแล้วหายวูบไปเลย ตัวเองก็ผงะไปข้างหลัง ตกใจเล็กน้อยอย่างนี้ดี เข้าสู่เขตญาณ ๔ คือ อุทยัพพยญาณอย่างแก่เป็นภาวนายปัญญา ตั้งแต่จุดนี้จะเป็นจุดที่สมถะกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานแยกจากกัน

    ช่วงจุดที่แยกนั้น ถ้าเหมือนจิตจะขาดออกจากกาย เหมือนจะตาย ให้กำหนดจิตว่า ชีวิตนี้เราไม่มีอะไรควรเสียดายแล้ว ตายเป็นตาย ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ถ้ามีแสงและดวงแก้วโอบตัวเราเหมือนลูกโป่งใส เราอย่ากลัว มันไม่ใช่อาการปีติอีกต่อไป ตามแสงนั้นไป กายทิพย์เราออกไป เราตามดูจิต ดูกายทิพย์ไปเรื่อยๆ และอย่าลืมว่า ต้องได้ทั้ง สติ ปัญญานะคะ ไม่ใช่ไปตุเล้งๆ เรื่อยเปื่อย หาเป้าหมายไม่เป็น
     
  9. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    เอ้าแฟนคลับขอให้ขยายความ ขอขยายความตามที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำไว้ดังนี้นะคะ

    (ขอตัวไปพิมพ์บนโน้ตเพดก่อนค่ะ เพราะยาวมากจริงๆ ช่วยส่งยาลม ยาดม ยาหม่องมาให้ด้วยเน้อ)
     
  10. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    อุปกิเลส ๑๐ ควรระวังให้หนัก มีที่มาดังนี้

    เมื่อพระโยคาวจรได้ญาณที่ ๕ คือ มัคคามัคคญาทัศนวิสุทธิ์ จะเกิดวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ขึ้น ถ้าพระโยคาวจรขาดสติหลงเพลิดเพลินอยู่กับวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ นั้นจะไม่ได้บรรลุมัคผล ยิ่งกว่านั้นอาจทำให้เกิดวิปลาสเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นพระอรหันต์

    (จากคำสอนของหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน)
     
  11. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    หลายผู้รู้หลายสำนักบ้างก็บอกว่า อาการวิปัสสนูปปกิเลสทั้งหลายเหล่านี้เป็นมิจฉาวิปัสสนาญาณ แต่ขอบอกจากประสบการณ์ตัวเองนะคะ หากเราไม่เกิดอาการนี้ ไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปตามขั้นตอนได้ เราจะไม่สามารถเข้าสู่สถาวะวิปัสสนากรรมฐานได้เลยค่ะ
    เรียกแบบหนังจีนกำลังภายในว่าฝ่าด่านอรหันต์ได้เลยนะคะเนี่ย
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
  13. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    โอภาส อาการแสงสว่างเกิดขึ้นในจิต

    หลายท่านมักจะรู้สึกดีและติดตรงนี้ แหม...แค่ด่านแรกก็ปลื้มเสียคิดว่าเรานี่เก่งแล้วน๊า คือมันจะเกิดแสงสว่างขึ้นในจิตทำให้รู้เห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องหรือบริเวณนั้นๆ บ้างก็เกิดอากาผรณาปีติ คือมันจะแผ่ขยายออกไป ซาบซ่าน หลวงปู่สายท่านว่าถ้าเป็นสีขาวๆ ต่างๆ เรียกว่าขุททกาปีติ แยกย่อยออกมาจะมีอาการเยือกเย็น ขนลุก มึนตึงหนัก น้ำตาไหล ขนพองสยองเกล้า ตัวชา ตัวพองขึ้นๆ ใหญ่ขึ้นๆ บ้างรู้สึกว่าตัวยืดออก ขาแขนลำตัว ฟันฟางยาวไปหมด

    ถ้าเห็นแสงสีแดงๆ ต่างๆ เกิดในจักขุทวารดุจฟ้าแลบ เป็นประกายดังตีเหล็กไฟ แสบทั่วกาย กายแข็ง คันยุบยิบๆ เหมือนแมลงไต่ตามร่างกาย ร้อนตามเนื้อตัว หัวใจสั่น ขนลุกชันบ่อยๆ แต่ไม่มากนัก บ้างมีอาการตุ๊บๆ เหมือนปลาตอด เส้นเอ็นชัก หรือเหมือนน้ำร้อนเดือดปุดๆ เหมือนปลาผุดเหนือน้ำนั่นเอง

    ถ้าเห็นแสงสว่างเหมือนมีแสงพุ่งออกจาร่างกาย จิตใจของตัวเอง นี่คืออาการโอกกันติ ตัวไหว เอน โยกโคลงเคลง สบัดหน้ามือเท้าเหมือนมันมีพลังไกลออกไปหลายกิโลเมตร มีหลายคนที่พอเห็นแสงนี้แล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอรหันต์แล้ว แสงนี้จะเหมือนผีพุ่งใต้ หรือหิ่งห้อย แล้วค่อยขยายใหญ่ อาจเหมือนไฟหน้ารถยนต์ก็เป็นได้ค่ะ ทีนี้มันเหมือนจะสว่างไปหมดทั้ง้อง มองเห็นตัวเองได้ หลายคนเข้าใจว่า นี่เราถอดกายทิพย์ได้แล้ว เพราะเห็นตัวเอง สว่างจนทะลุห้องนะ เห็นทะลุสถานที่ต่างๆ จึงคิดว่านี่ย้อนอดีตหรือไปในอนาคตได้ หรือได้ตาทิพย์ เนรมิตรรูปต่างๆ ได้ รู้สึกว่ายืดมือไปทำนั่นนี่ได้ง่ายขึ้น ลืมตาหรี่ตาออกมาพิสูจน์มันเหมือนจริงมาก
     
  14. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    เหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ สงสัยอะไร อย่ามัวแต่อ่าน นี่เอาเลยคืนนี้

    นั่งสมาธิไม่ได้ ให้นอนไปเลย กำหนดจิตจากจิตก้นบึ้งของเรา

    จะก่อให้เกิดพลังจิตค่ะ กู๊ดไนท์ จุ๊บๆ

    อ้อ...คำภาวนาจะหาย ลมหายใจจะหาย อย่าไปสนใจ หลับในณาณโลด
     
  15. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    อย่าไปสนใจในความหมายหรือขั้นตอนต่างๆ อย่าบังคับจิตให้มันกำหนด ให้จิตมันรู้ มันกำหนดตัวมันเอง ยกตัวอย่างนะคะ

    น้องตั้มมาบ้านยายผีป่าแล้วพาเขาฝึกแบบติดเทอร์โบ เขาหงายหลังหัวโขกพื้นดังมาก แล้วนิ่งไปนานพอดู ยายผีป่ารู้ว่าเขาเข้าสู่จุดแยกระหว่างสมถะกับวิปัสสนากรรมฐานแล้ว เขาเข้าสู่สภาวะณาณที่เขาต้องการนักต้องการนาแล้ว แต่สุดท้ายเขางงไปไม่ถูก

    เชื่อไหมว่าเขาไม่เจ็๋บหรอกนะ แล้วเขาไม่รู้ตัวด้วยว่าเขาได้ณาณ ๔ และกำลังจะผ่านจุดที่เขารอคอยไปได้แล้ว

    ดังนั้นปล่อยมัน คอยตามดูเฉยๆ

    นักปฏิบัติต้องไม่สนใจอาการ ไม่สนใจรูป ไม่สนใจนาม
     
  16. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    โมทนาสาธุครับ...เข้าใจแล้ว....เอาตามหลวงพ่อบอกครับ...
     
  17. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สวัสดีจ้า มีใครอยากถามอะไรเพิ่มเติมไหมคะ ยินดีตอบให้ เนื่องด้วยยายผีป่าไม่เก่งศัพท์ทางธรรมนะคะ ดังนั้นการบลอกเล่าจึงเหมือนคนไร้การศึกษาทางการใช้คำทางธรรม แต่จะพยายามค่ะ ถ้าไม่เข้าใจ ขออภัยนะคะ มีผู้รู้ดีอีกหลายท่านที่ตอบเป็นหลักการเก่งกว่ายายผีป่า เชิญร่วมกันตอบนะคะ
     
  18. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    แสงสว่างที่เกิดขึ้นถ้ากำหนดแล้วยังไม่หาย จะทำอย่างไรครับ

    และเมื่อไหร่วิปัสนูกิเลส จะเกิด และ เลิกเกิดครับ
     
  19. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ตอนนี้ฝึกกรรมฐานแบบใหนอยู่ล่ะครับ....

    และที่บอกว่า แสงสว่างที่เกิดขึ้นถ้ากำหนดแล้วยังไม่หาย นี่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วหรือยัง....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2009
  20. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    สติปัฏฐาน4 ครับ ส่วนแสงสว่างเห็นแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...