เมื่อจิตเกิด-ดับ การดูจิตจะเป็นไปตามความเป็นจริงได้อย่างไร???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 สิงหาคม 2009.

  1. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ^
    ^
    ^
    พระพุทธเจ้าที่ท่านธรรมะสวนังเห็นแล้วใช่ไหมว่าท่านเป็นอะไร
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    <!-- google_ad_section_end -->

    ตอนที่เห็นอารมณ์นี้ จะมีจิตผู้รู้ปรากฏ ให้ระลึกเห็น จิตผู้รู้ไม่เที่ยง แทนการเห็นอารมณ์
    หรือ พฤติจิตเหล่านั้น .....แล้วจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก...แบบไม่ปรากฏอาการนะ หาก
    ปรากฏอาการแปลว่า ไปปรุงขึ้นมาเอง ใช้ไม่ได้
     
  3. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    พี่นิวรณ์ครับ อนุสัยนี่เห็นว่าจะโผล่มาตอนที่จิตว่างสงบ ใช่ไหมครับ เช่นสมมติว่าเมื่อก่อนสังเกตุเจอ ทะเลาะกับเพื่อนวันศุกร์ วันอาทิตย์นั่งชิว ชิว ก็หวนระลึกขึ้นมา พอเราดูเฉย
    ไม่อินอารมณ์ เหมือนว่าอุเบกขา ไม่ยินดี ยินร้าย
    อารมณ์นี้มันก็สลายตัวไป ไม่มีหวนระลึกมาอีก

    แล้วถ้าเรานั่งสมาธิแล้วไม่มีอะไรพุดขึ้นมาอีก เราไม่มีอนุสัยแล้วเหรอครับพี่
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    จิตมีมายาการsleeping_rb จึงมีโลภะโทสะโมหะ
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อืม...จริงๆด้วย มันกลืนไม่เข้า คายไม่ออก จนกว่ามันจะหายเอง
    เราไม่ได้ทำอะไรกับมัน ดูไปเฉยๆ มันก็ดับไปเองได้ ไม่ได้หาอุบายแก้ไข
    แต่ตอนดับไม่เห็นนะว่ามันหายไปตอนไหน แต่รู้ตัวอีกทีมันเบาไปแล้ว
    แล้วก็ กลับมา... สด...ใหม่ [​IMG]
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เวลา เค เห็นอารมณ์ย่อย ต้องหันเหการดู เป็น Top-Down อย่าไปเห็น แบบ
    Down-Top จะทำให้ติด Recursive

    หากยกขึ้นมองเป็น Top-Down ก็จะเห็นแบบเหนืออาการขึ้นๆ คาๆ รั้งๆ ไว้ อย่าให้ไหลไปตามโหนด ต้อง
    ฝืนการค้นคว้าดูบ้าง หากไม่ฝืนจะเห็นเลยว่ามันวิ่งไปตามโหนดตามทรีแตกแขนงไป
    หมด ทำให้เพลินได้ พอเพลินมันก็มาคิดดอกเบี้ย เพราะอาการเพลินของ เค ไม่เหมือน
    คนอื่นเขา ที่เขาเพลินกับการสงบ

    พอเราฝึกที่จะหยุดบ้าง มันก็จะหยุดอยู่ที่รู้สึกที่อธิปัจจัยตาได้บ้าง ก็จะทำให้เห็นอุบาย
    Devide & Conqur ได้ชัดขึ้น เอาไว้เป็นทางออก ไม่งั้น....จมกับการ DeBug
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    อริยเห็นเป็นของอย่างเดียว คือจิตหนึ่ง

    ปถุชนมองเห็นแต่ของอันเป็นของคู่ อยากที่จะเข้าถึงจิตหนึ่ง
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อยากตอบมั่ง พอดีเราก็เป็นอยู่นะ แต่เราไม่เรียกว่าอนุสัย เราเรียกว่า
    ไปทำกรรมมา แล้วพอจิตสงบหรือว่าง มันทวนกรรมที่เราไปทำมาเหมือน
    ตัวเรามันทวนศีล ทวนกรรม ถ้าทำดี มีศีลมีธรรม มันก็ทวนศีลให้ พอเราระลึก
    ได้ เราก็ได้ปิติเกิดอีก แล้วถ้าวิจารต่อ ก็ได้ ธัมมวิจยะ เพิ่ม แต่ถ้าไป
    ทำเวร ทำกรรมมา มันก็ทวนให้ถ้าเราสำนึกผิดขอขมา(ตัวเราเองหรือเจ้ากรรม
    นายเวร)ก็เบาไปได้ เป็นอุบายของเรานะ อาจมีวิธีอื่นอีก ถ้าเราเฉยๆทนรำคาญ
    ได้ เราก็จะได้ธรรมเรื่องปลงสังเวช สลดในกรรม ทำให้จำได้แม่นแล้วละได้เอง
    วันหน้าก็ไม่ทำอีก ต้องมีสมาธิตั้งมั่นมากและขันติมากๆ ก็จะได้รู้ธรรมะ แต่เรา
    มักเลือกสบายไว้ก่อน(เพราะขันติน้อย ทนได้น้อย) มันเลยไม่เข็ดกรรมแบบเดิมๆ

    ปล.อาการพวกนี้ถ้าเกิดขึ้นกับเราแล้วเราไม่สนใจมัน มันก็หายได้นะ พอหายไปเวลาทำกรรมอีก
    จะไม่มีอะไรเตือนแล้ว เวลาทำกรรมไปมันก็จะไม่รู้ตัว ไม่มีตนเตือนตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2009
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คำถามคล้ายๆกันแบบนี้

    ตามที่คุณบรรยายคำว่า อนุสัย มาเมื่อวาน ผมขอปรับนิดๆหน่อยๆละกันว่า

    อนุสัยนั้นจะปรากฏก็ต่อเมื่อเราเผลอ ดังนั้นยามที่คุณกำลังจะรู้ว่านี่อานุสัย
    ก็แปลว่า ตอนนั้นอนุสัยไม่ปรากฏ

    พูดอีกแง่ อนุสัยนั้นเป็นเรื่องที่พ้นการจงใจเข้าไปรู้

    ที่นี้ก็มาคำถามของคุณที่ว่า หากนั่งสมาธิ อนุสัยถูกทำลายไปแล้วใช่ไหม
    ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ เพราะตอนคุณทำสมาธินั้น คุณไม่เผลอตัว เมื่อไม่ได้
    เผลอตัวอนุสัยก็ไม่ปรากฏ มันแค่ซ่อน หากคุณยิ่งเอาสมาธิไปจงใจรู้ อนุสัย
    จะยิ่งซ่อนเข้าไปลึกขึ้น

    ดังนั้น ถ้าหากอยากเห็นว่า อะไรคืออนุสัย ให้คุณระลึกตอนที่เผลอกายเผลอ
    ใจอยู่แล้วรู้สึกตัวขึ้นมา ณ เวลานั้น คุณก็แค่นึกน้อมไปดูนิดเดียวพอ อย่าจงใจ
    ไปรู้แรงเกิน ก็จะพอๆ มองเห็นหางอนุสัยที่วิ่งหนีเข้าไปข้างในได้บ้าง

    คนที่ฝึกดูจิต เลยมีสำนวน เผลอแล้วรู้ เผลอแล้วตามรู้ ก็แปลว่า เป็นพวกที่
    ละความจงใจรู้ได้เก่งพอสมควร จึงหาญกล้าไปเล่นกับ อนุสัย หรือ กิเลส
    ตระกูลโมหะมูลจิตได้
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดี ตอนกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ระลึกดูดีๆ ว่าจะมาหลังจาก ไม่ฉวย

    หากได้ตามนี้ ก็ให้เล็งไปที่สภาวะธรรม กลืนไม่เข้า คายไม่ออก แทน
    การเห็นสภาวะ จิตผู้รู้ไม่เที่ยง ขึ้นมาอีก ...เห็นได้แล้วลองไปเมาท์กับ
    นานาเล่นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2009
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขออธิบายพี่ psi อีกเล็กน้อย

    การที่เราทำสมาธิ เรียกว่า ขณะนั้นกำลังก่ออนุสัยพรหมขึ้นมา อนุสัยในการเป็น
    พรหมนั้นมีกุศลสูงกว่าอนุสัยในการเป็นสัตว์ชนิดอื่นๆ เมื่อทำมากๆ อนุสัยของสัตว์
    ที่เราเคยเสวยชาติมานั้นจะส่งผลไม่ได้ เรียกว่า โดนข่มลงไป หลบหายเข้าไป
    อย่า กามฉันทะ อันเป็นอนุสัยของสัตว์ชั้นต่ำ เมื่อทำสมาธิมากๆ อนุสัยในกามก็
    จะหลบหายเข้าไป แต่ไม่ใช่ตัด เมื่อไหร่ก็ตามที่อนุสัยในการเป็นพรหมหมดกำลัง
    ลง เราก็พร้อมจะเสวยอนุสัยเป็นสัตว์ได้ทันที

    ทีนี้ ก็จะเห็นว่า มันก็เป็นอุบายธรรมอย่างหนึ่ง เหมาะกับตัณหาจริต

    แต่เมื่อฝึกสมาธิแล้วก็ดี หรือ มาฝึกวิปัสสนาแล้วก็ดี สิ่งที่ได้จากการมา
    ต่อยอดวิปัสสนาสติปัฏฐาน4 การเห็นอนสัยจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ไปกดมัน
    ไว้ แต่ในขณะนั้นเราประกอบอนุสัยใด เราจะเห็น เช่น อยู่ดีๆจิตใจเรา
    ก็วิ่งไปเกาะเกี่ยวลม ทำอานาปานสติ นี่คือ อนุสัยการเป็นพรหมมันปรากฏ
    การวิปัสสนาก็จะมาเห็นว่า อนุสัยพรหมปรากฏ เราก็ตามรู้ไป หลังจาก
    นั้นการเกาะลมรู้ลมก็หายไป อนุสัยสัตว์ชนิดอื่นลากเราไปแล้ว เราก็ตาม
    รู้ไปอีก

    แต่ถ้าเห็นแล้วมาจงใจหมายรู้ มันแค่เหมือนๆ การทำวิปัสสนา การทำวิปัสสนา
    จะต้องเป็นการเห็นที่พ้นคิด(จงใจ เจตนารู้) ดังนั้น หากวิปัสนาญาณเกิด เราจะ
    ทันเห็นอนุสัยที่พึ่งเกิด ซึ่งจะทำให้เห็นไปตามความเป็นจริง อนุสัยที่ถูกเห็นนั้น
    เมื่อถูกเห็นเนืองๆ เราจะค่อยๆ รู้ ไปสู่การรู้ชัด เมื่อรู้ชัดก็จะเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อ
    หน่ายก็จะคลายกำนหัด เมื่อคลายกำหนัดก็จะรู้ว่าหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นอนุสัยนั้นๆ
    ก็จะไม่ปรากฏอีก ตรงนี้จึงเรียกว่า อนุสัยถูกทำลายไปทีละน้อย ถูกทำลายจริง แต่
    ก็ยังกลับมาได้อีกหากไม่ถึงขนาด ตัดเป็นกลุ่มๆที่เรียกว่า ตัดสังโยชน์ ได้
     
  12. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    สรุป
    1.ทำความคิดให้ว่าง (เซนทำข้อนี้ข้อเดียวเลย)
    2.นั่งปล่อยวางสบายๆ (ตรงนี้ของท่านโกเอนก้าให้ทำในอานาปาณสติ)
    3.ดูเวทนาอารมณ์ที่เกิดขึ้นที่ส่วนต่างๆ ส่วนใดส่วนนึงในร่างกาย ในจิตใจ
    4.วางเฉย อุเบกขาไม่ยินดียินร้าย
    5.อนุสัยนั้นไม่เที่ยง ไม่ถูกยึดมั่นก็เสื่อมไป
    6.จิตก็ขาดผึงจากอนุสัยกิเลส พ้นโลก จบงานของใจกันเสียที
    ข้าพเจ้ากล่าวผิดไปหรือไม่ขอรับ ท่านอาจารย์พี่นิวรณ์
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตรงข้อ 4 การวางเฉย หากเป็นผลที่ได้หลังการทำสมาธิ จะถือว่าไม่ถูก

    การเฉยที่ได้หลังจากการทำสมาธิ จะเป็นประโยชน์ของสมาธิ ที่ให้ความสงบในการมีทิฏฐิ

    ให้เอาคุณภาพจิต(สงัดจากทิฏฐิ) นั้น มาภาวนาต่อยอด ในการเห็นอนุสัยที่มันจะทยอยปรากฏเมื่อยาม
    เผลอ เมื่ออนุสัยปรากฏแล้วใจเราไม่คล้อยตาม แถมยังเห็นว่ามันบังคับบัญชาไม่ให้
    ปรากฏก็ไม่ได้ เมื่อไหร่ที่มีเหตุ อนุสัยก็ปรากฏ เมื่อเห็นความเป็นจริงของจิตดังนี้ ก็จะ
    ถึงเกิดการเบื่อหน่าย ( แต่ไปทำอะไรมันไม่ได้ เพราะเราควบคุมเหตุปัจจัยกระทบไม่ได้)
    เมื่อนั้นก็จะคลายกำหนัด ( จากการยึดถือกาย ยึดถือใจ ว่าเป็นเรา ) จิตที่ถูกละวาง
    ก็จะไม่ถูกเกิดการละวางอนุสัยลากไปก่อกรรม เรียกว่า สำรอกกิเลสออก โดยเห็นสภาวะ
    กิเลสที่ผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไป ( ไม่ใช่ไม่เห็นอะไรเลย ) แต่เป็นการเห็นที่ห่างออก
    มีช่องว่าง(เซน)ที่เกิดขึ้นระหว่าง จิตหนึ่ง กับ จิตที่มีกิเลสผุด(ขันธ์5)

    เมื่อเห็นดังนี้ ก็จะรู้ จิตหนึ่ง นั้นมีอยู่ แต่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันกับ จิตที่อยู่ภายใต้การทำ
    งานของขันธ์5(ที่ยังกระทบกับเหตุปัจจัยไปตามกฏแห่งกรรมที่ต้องชดใช้) และจิตหนึ่ง
    ที่ปรากฏขึ้นมานั้น เป็นไปโดยอุบายธรรมที่ดี ที่ถึงพร้อม ไม่ได้ปรากฏเพราะเราไปจงใจ
    ทำมันขึ้นมา เป็นอสังขตธรรม เป็นอสังขตธาตุ เป็นนิพพานธาตุที่ปรากฏอยู่แล้ว เราไม่ได้
    เป็นผู้สร้างขึ้น
     
  14. ้ำspw

    ้ำspw Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +33
    ภาพประกอบที่กระทู้ของคุณขวัญ .... น่ารักจัง
     
  15. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เพราะมีจิตรู้ใช่มั๊ย ถึงบอกได้ว่า
    ก็ไม่อะไรเลยเป็นแต่ว่างซ้อนว่าง จนปราศจากว่างใด ๆ

    ถ้าไม่มีอะไรเลย จิตรู้ก็ไม่มี ก็บอกไม่ได้สิท่าน

    (smile)
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    การฝึก แนวท่านโกเอนก้า จะเป็นการฝึกดูเวทนาที่มีความเป็นกลาง ก็ต้องมาจำแนก
    เรื่อง การวางเฉย ลักษณะต่างๆ ให้ดี หากฝึกไปเห็นความเป็นกลางโดยเวทนาแล้ว ก็
    จะทำให้ฝึกต่อยอด เพื่อเข้าใกล้การเห็น ความว่างจากกิเลส ได้ง่ายขึ้น

    วางเฉย โดยการเกาะอารมณ์บัญญัติ เช่น ลม แบบนี้ ความยินดี ยินร้าย ก็สงบลงได้

    วางเฉย โดยผลของจิตไปเกาะอารมณ์เป็นหนึ่ง เอกัคคตา ความยินดี ยินร้าย ไม่ปรากฏ
    ไม่สามารถแทรกได้ แต่พอหมดกำลัง หรือ เผลอ เราจะไปยินดียินร้ายในผลที่พึ่งปรากฏ
    จึงต้องดู ยินดี ยินร้าย ที่เป็น อภิชญา โทมนัส ไว้

    วางเฉย โดยเป็นผลจากจิตเป็นกลางต่ออารมณ์บัญญัติ แบบนี้คือ เวทนามันแสดงคุณ
    ภาพเป็นกลาง เวทนาไม่ค่อนไปทางยินดี หรือยินร้าย แต่เวทนาปรากฏอย่างเป็นกลาง

    ทั้งหมด ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพที่จิตแสดงอาการเป็นกลาง

    ความเข้าใจนี้ ไม่ใช่เพื่อเป็น เพื่อเอา แต่เพื่อให้เข้าใจว่า จิตไปติดข้องที่สภาวะไหน

    ติดสภาวะไหน ก็ถือว่าไม่ใช่ทั้งนั้น ให้ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วถึงจะพบ คุณภาพของจิตอีก
    แบบหนึ่งที่ไม่เข้าข่ายอาการว่างๆ วางเฉย แบบนี้ เมื่อสภาวะนั้นปรากฏ ก็จะพอเห็น
    ความ วาง ว่างจากกิเลส อีกแบบหนึ่งขึ้นมา

    ดังนั้น เราก็ฝึกไปเรื่อยๆ ในทุกๆทาง รู้เท่าที่รู้ อย่าไปเติมรู้ อย่าไปสงสัยในสิ่งที่รู้
    ว่ามันไปรู้อะไรมา ฝึกไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆเห็นทาง

    * * * *

    ถ้าจะให้พูดสั้นๆ หากคุณ psi จะฝึกสายท่านโกเอนก้า อย่าสงสัย อย่าถามเยอะ

    ต้องละวางความคิด แล้วปฏิบัติไปเลย อย่าสรุปความเข้าใจ มันจะทำให้ลังเล

    คุณ psi ฝึกสมาธิมาก็น่าจะเยอะ (จริงๆต้องถึงระดับฌาณ) แล้วไปต่อยอด
    การฝึกสายดูเวทนา ก็ต้องหยุดคิด หยุดถาม ปราวณาตนแล้วลุยเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2009
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    สรรพสิ่งในโลก เรียกสั้นๆว่า สังขาร แบ่งเป็น ๒ คือ

    อุปาทินกสังขาร สังขารมีจิตครอง เช่น มนุษย์...
    เกิดจาก ธาตุ ๔ + ธาตุรู้(จิต)

    อนุปาทินกสังขาร สังขารไม่มีจิตครอง เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย
    เกิดจากธาตุ ๔ ไม่มีธาตุรู้(จิต)จึงรู้อะไรไม่ได้

    (smile) อ่านกำเนิดสังขตธรรม
     
  18. ้ำspw

    ้ำspw Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +33
    คุณธรรมะสวนัง อธิบายเข้าใจง่ายดีครับ
     
  19. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    คุณธรรมภูติ
    มีสิทธิอะไรไปขยายความพระสูตรใส่วงเล็บเอาเองครับ
    คุณหมดกิเลสหรือยังครับ?

    ถ้ายังไม่หมดกิเลส ความน่าเชื่อถือของคุณ
    ก็ไม่มีทางเทียบเท่าอภิธรรมและอรรถกถาของ พระเถราจารย์
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอาไปอธิบายใส่วงเล็บขยายพระสูตรตามใจชอบ
    ถ้านับตามพฤตินัยแล้ว คือการทำสัทธรรมปฏิรูปนะครับ
    บาปกรรมมากนะครับ

    คุณบอกว่า จิตคนละอย่างกับวิญญาณ
    แต่ในพระสูตร เขียนไว้ชัดๆ แล้วว่าอะไรยังไง
    และไม่ได้กล่าวอย่าง ทิฎฐิของคุณธรรมภูติบอกไว้

    พระสูตรชัดอยู่แล้ว จะนำมาท่อนเดียว หรือทั้งหมด
    ความหมายก็ไม่ได้เสียหายหรอกครับ
    ส่วนขยายที่กล่าวเรื่องสติ เป็นส่วนอธิบายเท่านั้นครับ

    จะเสียหาย ก็เพราะคนมีกิเลสไปอธิบายเพิ่มตามทิฏฐิตน
    ประเภทว่า ต้องไปใส่วงเล็บอะไรเพิ่มเติมอะไรเอาเอง
    ไม่ได้เกี่ยวว่าใครอ่านอะไรไม่เป็นหรือไม่เป็นหรอก

    ใครอ่านแล้วไปตีความเอาเอง เติมแต่งเอาเอง
    บาปกรรมที่ได้ ได้ไม่คุ้มเสียนะครับ

    ประเด็นสำคัญคือ คุณกล่าวไว้ว่า

    ถ้าจิตเกิด/ดับตามที่สอนให้เชื่อตามๆกันมาแล้ว เราจะชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร
    เมื่อกำลังฝึกอบรมชำระจิตอยู่ จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
    เราไม่มีทางชำระให้บริสุทธิ์ได้หรอกครับ เดี๋ยวเกิด/เดี๋ยวดับ
    ซึ่งเป็นเรื่องที่ขาดเหตุผลอย่างมากๆ


    "วิญญาณขันธ์นั้นเป็นเพียงขันธ์หนึ่งในขันธ์๕เท่านั้น ไม่ใช่จิต"



    แต่ในพระสูตร
    บอกไว้ชัดๆ ว่า (อ้างอิงที่มาไว้แล้ว)

    "จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
    ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ"


    "จิตนั้นเป็นไฉน วิญญาณจิต ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว จิต คือ
    มนะ มานัส หทัย ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์
    มโนวิญญาณธาตุ"



    .................

    ระหว่าง ข้อความของคุณธรรมภูติ กับพระสูตร ไม่เหมือนกัน
    ไม่ใช่คำอธิบายแบบเดียวกัน

    คำอธิบายของคุณธรรมภูติคือ "ทิฏฐิส่วนตัว"

    ส่วนพระสูตรคือ "พระธรรม"

    ชัดเจนที่สุดอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครอ่านเป็นหรืออ่านไม่เป็น
    มีแต่คนตะแบงตามทิฎฐิตนเองเท่านั้นครับ

    ตรงตามนั้น ล่วงเกินไปขออภัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2009
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็ยังไม่รู้จริงๆแหละค่ะ ว่าอะไรเป็นอะไร แต่มันมีบางอย่างอยู่ในใจ
    คอยบอกว่า ธาตุรู้มีอยู่ ในอากาศ และอวกาศ ด้วย ในรูปของปรมณูที่เล็กที่สุด
    ก็มีธาตุรู้ เป็นส่วนประกอบในลักษณะของการรู้หน้าที่ของตัวเอง ส่วนจิตที่ครอง
    สังขาร มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันพัฒนาขึ้นมาจากธาตุรู้อีกที เหมือนเป็นกลุ่มธาตุ
    รู้ที่รวมๆกันหนาแน่น แล้วมีอะไรซักอย่างที่มากกว่าธาตุรู้(ที่อยู่เป็นอิสระ) มา
    เข้าคู่ประกอบเกิดเป็น...เรียกว่านามว่าง จิตใจ จิตวิญญาณ ...
    จิตที่ครองสังขาร ประกอบด้วยธาตุรู้กับบางสิ่งบางอย่าง
    จิตที่ไม่ครองสังขารแล้ว เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่เป็นจิตบริสุทธ์ เป็นธรรมธาตุ
    แต่เทียบกับธาตุรู้เดิมๆแล้ว ไม่น่าจะเหมือนกัน อาจจะเป็นลักษณะ ธาตุรู้ที่มีปัญญา
    หรือจะเป็นอะไร ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ว่าไม่น่าจะเหมือนเดิมมีบางสิ่งบางอย่าง
    เรียกว่าปัญญารู้แจ้งธรรมเกิดขึ้นกับธาตุรู้นั้น แต่ไม่รู้จริงๆ จะเป็นอย่างไร

    ปล.เป็น ทิฏฐิความเชื่อที่ยังไม่รู้จริงด้วย อยู่ดี อ่านเอาบันเทิงเป็นเรื่องทิฏฐิฝังใจ
    เรามีความรู้สึกว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาก็มีนามของเขา รู้หน้าที่เขา และทำหน้าที่ของเขาอยู่นะ
    เราเชื่อว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีธาตุรู้ของตนเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...