เมื่อจิตเกิด-ดับ การดูจิตจะเป็นไปตามความเป็นจริงได้อย่างไร???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 สิงหาคม 2009.

  1. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    นี่มันต้มฉับฉ่ายหม้อใหญ่ หรือ กรรมฐานหลบภัยพิจารณาให้ดี

    มีทั้งความเป็นจริง กับ ของแปลกปลอม

    แยกธาตุดู ดูธาต ธาตุ ๔
     
  2. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    จิตเกิด ก้เกิดด้วยพร้อมเจตสิก
    จิตดับ ก็ดับพร้อมด้วยเจตสิก

    จิตกับเจตสิกเป็นพลังงานที่เกิดร่วมกัน

    เหมือนมีเทียน ก็ต้องมีออกซิเจนด้วย ไม่งั้นไฟติดต่อเนื่องไม่ได้


    ถ้าบอกว่าจิตเกิดภายในขันธ์ 5 นี้ ก็คือ จิตที่ทำหน้าที่เป็นวิญญาณขันธ์นั่นเอง

    ถ้ามีทิฏฐิว่า จิตไม่เกิดไม่ดับ ก็เป็นสัสสตทิฏฐิ
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับเล่นถามแบบกว้างๆหาขอบไม่พบเลย
    ผมก็ขอตอบแบบเป็นไปตามความเป็นจริงของชีวิต
    ไม่ใช่แบบคิดเองเออเองนะครับ

    ท่านถามว่า จิตในอดีต เป็นจิตของจริงไหม คุณธรรมภูต?
    ผมขอถามว่าแล้วเรื่องที่เกิดกับจิตในอดีตของท่านหนะเป็นเรื่องจริงไหม???...
    ถ้าจริง เรารู้ไว้เพียงเป็นครู สอนเราเท่านั้น ไม่ต้องไปยึดมาเป็นอารมณ์....
    ถ้าไม่จริง ที่ท่านเอาของที่เกิดขึ้นมาแล้ว มาพูด ก็เป็นเรื่องโกหกทั้งนั้นสิ???

    จิตในอดีต ย่อมเป็นของจริงมีอยู่จริง แต่วุฒิภาวะของจิตในขณะนั้นๆ
    ย่อมแตกต่างกันกับจิตในปัจจุบันแล้วแต่ว่าได้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง
    ถ้าจิตในอดีตที่ผ่านมาไม่ใช่ของจริง แสดงว่าเรื่องที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหกเพทั้งนั้นสิครับ???
    จิตในอดีตที่ผ่านมา ท่านยังพอระลึกรู้ได้ถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาแล้วมั้ย???

    ท่านถามว่า จิตที่ดับไปแล้ว เป็นจิตของจริงไหม คุณธรรมภูต?
    ผมขอถามว่า "จิตดับไป"ท่านรู้ได้ยังไงว่าจิตดับไป???
    อะไรกันแน่ที่ดับไป เรื่องที่เกิดขึ้นที่จิตดับไป? หรือจิตดับไป?
    ถ้าจิตดับไป แล้วกรรมดี กรรมชั่ว ดับตามจิตไปด้วยมั้ยครับ???

    ท่านถามว่า จิตสังขารที่เป็นอดีต เป็นจิตสังขารของจริงไหม คุณธรรมภูต?
    ขึ้นชื่อว่าจิตสังขารนั้น ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นอาการของจิตที่แสดงออกมา
    ทางกาย วาจา ใจ(อายนตะภายใน ๖) จิตสังขารคือจิตที่มีอารมณ์ปรุงแต่งอยู่ในขณะนั้นๆ...
    ย่อมมีอยู่จริงเป็นอยู่จริงในขณะนั้นๆ แต่ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นเพราะ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตนของเรา
    จิตสังขารใช่อาการของจิตหรือเจตสิกมั้ย???

    ท่านถามว่า จิตสังขารที่ดับไปแล้ว เป็นจิตสังขารของจริงไหม คุณธรรมภูต?
    ผมตอบไปแล้วข้างบนครับ อย่าลืมตอบคำถามผมเช่นเดียวกันนะครับ...

    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับใครกันแน่ครับที่เป็นสัสสตทิฐิ???
    ท่านเอาอtไรมาพูด เรียนรู้จากตำราแล้วเอามาคิดต่อจนตกผลึก
    คิดเองเออเองก็ได้ เอาหลักฐานพุทธวจนะในพระสุตตะมาด้วยครับ

    เจตสิกเกิดขึ้นที่จิตรู้มั้ย??? เจตสิกดับไปจากจิตรู้มั้ย???
    จิตเปรียบเหมือนบ้าน เจตสิกเปรียบเสมือนเครื่องปรุงแต่งบ้าน
    เครื่องปรุงแต่งบ้านจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีบ้านให้ปรุงแต่ง
    มีบ้านโดยไม่มีเครื่องปรุงแต่งบ้านได้มั้ย??? แต่มีเครื่องปรุงแต่งบ้านโดยไม่มีบ้านได้ด้วยหรือ!!!

    เอาพระพุทธวจนะมาวางด้วยนะครับว่า ทรงตรัสไว้ที่ไหนว่า จิตคือวิญญาณขันธ์....

    ;aa24
     
  5. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง
    คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อ
    นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตาย
    ก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับ
    จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียก
    ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
    ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้
    เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือ
    ไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
    ดังนี้ ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลาย
    กำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

    [๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา
    ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ
    เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย
    อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี
    บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี
    บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น
    ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
    ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ


    [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อย
    กิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย
    อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
    บ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ


    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๒๕๑๙ - ๒๕๖๖. หน้าที่ ๑๐๔ - ๑๐๕.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=2519&Z=2566&pagebreak=0
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    องค์เก่า...มาอีกละ

    [​IMG]
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ไปๆมาๆ ก้อมาที่เดิม ครบรอบไหม ครบรอบหรือยังพี่ขวัญ 555
     
  8. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    จิตนั้นเป็นไฉน วิญญาณจิต ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว จิต คือ
    มนะ มานัส หทัย ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์
    มโนวิญญาณธาตุ
    อันสมควรแก่จิตนั้น วิญญาณจิต ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว
    ฯลฯ ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจออก จิต คือ มนะ
    มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่จิตนั้น นี้เป็นจิต ฯ

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๔๙๒๓ - ๔๙๔๕. หน้าที่ ๒๐๑ - ๒๐๒.
    http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=4923&Z=4945&pagebreak=0


    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสูงสุด
    ผมอ้างอิงพระธรรมบางส่วนจากพระสูตรชัดๆ
    ไม่ได้อ้างทิฏฐิตนเองนะ

    </pre>
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ครบรอบ แต่ยังไม่รอบจัด ต้องกวนต่อไปอีก หลายๆรอบ --"

    [​IMG]

    ยัง [​IMG] ไม่พอ... ง่ะ ต้องให้มันเยินกว่านี้อีก... 555
     
  10. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อยเป็นอย่างไร? ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิตเป็นอดีต ย่อมไม่
    เป็นอยู่ จักไม่เป็นอยู่. ชีวิตจักเป็นอยู่ ในขณะจิตเป็นอนาคต ย่อมไม่เป็นอยู่ ไม่เป็นอยู่แล้ว.
    ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบัน ไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาค
    ตรัสว่า

    ชีวิต อัตภาพ สุขและทุกข์ทั้งมวล เป็นธรรมประกอบกันเสมอด้วยจิต
    ดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน เทวดาเหล่าใดย่อมตั้งอยู่ตลอดแปด
    หมื่นสี่พันกัป เทวดาเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้ประกอบด้วยจิตสองดวง
    ดำรงอยู่เลย ขันธ์เหล่าใดของสัตว์ผู้ตายหรือของสัตว์ที่เป็นอยู่ในโลก
    นี้ดับแล้ว ขันธ์เหล่านั้นทั้งปวงเทียว เป็นเช่นเดียวกันดับไปแล้ว
    มิได้สืบเนื่องกัน ขันธ์เหล่าใด แตกไปแล้วในอดีตเป็นลำดับและขันธ์ เหล่าใดแตกไปแล้วในอนาคตเป็นลำดับ ความแปลกกันแห่งขันธ์ทั้ง หลาย ที่ดับไปในปัจจุบันกับด้วยขันธ์เหล่านั้น
    ย่อมมิได้มีในลักษณะ สัตว์ไม่เกิดแล้วด้วยอนาคตขันธ์ ย่อมเป็นอยู่ด้วยปัจจุบันขันธ์
    สัตว์โลกตายแล้วเพราะความแตกแห่งจิต นี้เป็นบัญญัติทางปรมัตถ์

    ขันธ์ ทั้งหลาย แปรไปโดยฉันทะ ย่อมเป็นไป ดุจน้ำไหลไปตามที่ลุ่ม

    ฉะนั้น ย่อมเป็นไปตามวาระ อันไม่ขาดสายเพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย

    ขันธ์ ทั้งหลายแตกแล้ว มิได้ถึงความตั้งอยู่ กองขันธ์มิได้มีในอนาคต

    ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแล้วย่อมตั้งอยู่ เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ตั้งอยู่บนปลาย เหล็กแหลม

    ฉะนั้น ก็ความแตกแห่งธรรมขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแล้วนั้น สกัดอยู่ข้างหน้าแห่งสัตว์เหล่านั้น ขันธ์ทั้งหลายมีความทำลายเป็นปกติ มิได้รวมกับขันธ์ที่เกิดก่อน ย่อมตั้งอยู่ ขันธ์ทั้งหลายมาโดยไม่ปรากฏ แตกแล้วก็ไปสู่ที่ไม่ปรากฏ ย่อมเกิดขึ้นและเสื่อมไป เหมือนสายฟ้า แลบในอากาศ ฉะนั้น.


    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๑๙๘๐ - ๒๑๘๖. หน้าที่ ๘๔ - ๙๒.
    http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=1980&Z=2186&pagebreak=0
     
  11. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    กระทู้เดจาวูเหยอ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แล้วคุณธรรมแชร์อ่านพระสูตรแล้วได้ความว่าอย่างไรหละ

    ก็ในบรรดา มนะ มานัส หทัย ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์
    วิญญาณ วิญญาณขันธ์มโนวิญญาณธาตุ เหล่านี้ปรากฏ
    ขึ้นเพราะการเข้าไปหมายว่าเป็นจิต คนที่ไม่เคยสดับเมื่อ
    ฝึกกรรมฐานพิจารณาลมไป ก็จะไปเห็น มนะ มานัส หทัย
    ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์มโน
    วิญญาณธาตุ ปรากฏขึ้นแล้วไปสำคัญหมายว่านี่คือจิตเข้า
    แล้วแต่ว่าตอนนั้นจะไปเห็นอะไร... แต่ให้สังเกตคำสอนให้
    ดีว่า สิ่งเหล่านั้นจะปรากฏเป็นจิตเพราะมีความเห็นผิด ท่าน
    จึงกล่าวว่า "จิตปรากฏ ไม่ใช่สติ"

    แต่เมื่อฝึกระลึกเห็นผิดๆไปอย่างนั้นเนืองๆ สติถึงจะเกิดขึ้น
    ตามหลัง จึงใช้คำว่า "สติเป็นอนุปัสสนาญาณ" เมื่อสติ
    เกิดแล้ว มันเล็งเห็นว่าที่สำคัญว่าจิตเป็นเพียงสภาพธรรมแล้ว
    ก็ให้เอาสภาวะสติที่พึ่งเกิดนั้นพิจารณาอีกที พิจารณาลงไป
    ที่จิตที่สำคัญผิดไปนั่นแหละ ก็จะเห็นว่ายังมีสภาวะธรรมที่เหนือ
    กว่าการสำคัญว่า มนะ มานัส หทัยปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์
    วิญญาณ วิญญาณขันธ์มโนวิญญาณธาตุ นั้นเป็นจิต

    การพิจารณาเห็นจิต จึงเป็นเรื่อง เห็นจิตในจิต

    ก็เหมือนกับที่ผมกล่าวถึง มหาภูตรูป นั่นคือการสำคัญผิดว่าเป็น
    จิต พระพุทธองค์บอกว่าไปสำคัญผิดอย่างนั้นจะดีเสียกว่าไปสำคัญ
    ผิดใน มนะ มานัส หทัยปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์มโน
    วิญญาณธาตุ ว่าเป็นจิต เพราะจะทำให้เห็นว่าไม่ใช่ได้ง่ายกว่า

    สรุปคือ มนะ มานัส หทัยปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์มโน
    วิญญาณธาตุ และ มหาภูตรูป เป็นเรื่องสำคัญผิดว่าเป็นจิต แท้จริงแล้วไม่ใช่ ต้อง
    พิจารณาให้พ้นกว่านั้น เกินกว่านั้น

    และจะเห็นถูกได้ก็ต่อเมื่อ สติมันต้องเกิดก่อน หากไปพิจารณาว่านั่นนี่เป็นจิตก่อน
    ก็แปลว่า ขาดสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2009
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
     
  14. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    คุณธรรมภูติกล่าวไว้ว่า...

    วิญญาณขันธ์นั้นเป็นเพียงขันธ์หนึ่งในขันธ์๕เท่านั้น ไม่ใช่จิต

    ถ้าจิตเกิด/ดับตามที่สอนให้เชื่อตามๆกันมาแล้ว เราจะชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร
    เมื่อกำลังฝึกอบรมชำระจิตอยู่ จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
    เราไม่มีทางชำระให้บริสุทธิ์ได้หรอกครับ เดี๋ยวเกิด/เดี๋ยวดับ
    ซึ่งเป็นเรื่องที่ขาดเหตุผลอย่างมากๆ


    ......................


    สรุปว่า ควรจะใช้วิจารณญาณกับทิฎฐิเช่นนี้ ว่าเป็นสัสสตทิฏฐิหรือไม่
    เปรียบเทียบกับ พระธรรม ให้ละเอียด ใช้วิจารณญาณให้รอบคอบ

    ที่สำคัญ ที่อ้างมานั้น พระสูตรล้วนๆ
    ถึงแม้กระทั่ง ต่อให้อ้างพระอภิธรรม ก็ยังมีความน่าเชื่อถือกว่าประโยคข้างต้นของคุณธรรมภูติหลายล้านเท่านัก..

    ที่เสนอนี้ ไม่ได้ต้องการจะฉีกหน้า
    แต่เห็นว่า การเผยแพร่ หากไม่ศึกษาข้อมูลรอบด้านให้ชัดเจน
    จะเป็นการเผยแพร่ทิฎฐิอันจะทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้า
    ซึ่งเป็นบาปกรรมร้ายแรงในหมู่ผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์

    จึงได้ติงมา ณ ที่นี้ หากล่วงเกินไป ขออภัย

    ผมมีธุระ อาจจะไม่ได้มา 2-3 วัน
    ลาละ
     
  15. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    คุณธรรมภูติกล่าวไว้ว่า...

    วิญญาณขันธ์นั้นเป็นเพียงขันธ์หนึ่งในขันธ์๕เท่านั้น ไม่ใช่จิต

    ถ้าจิตเกิด/ดับตามที่สอนให้เชื่อตามๆกันมาแล้ว เราจะชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร
    เมื่อกำลังฝึกอบรมชำระจิตอยู่ จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
    เราไม่มีทางชำระให้บริสุทธิ์ได้หรอกครับ เดี๋ยวเกิด/เดี๋ยวดับ
    ซึ่งเป็นเรื่องที่ขาดเหตุผลอย่างมากๆ

    ..........

    ติงเพื่ออ้างอิงสิ่งที่ควรอ้างอิงคือพระธรรม
    เปรียบเทียบกับทิฎฐิของเสขบุคคลท่านหนึ่ง
    ล่วงเกินไป ขออภัย ขออโหสิ
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG] [​IMG]

    ถ้าลิงน้อย... ล่วงเกิน...เกินไป ก็ขอ...อโหสิด้วย(2)คน...น้า
     
  17. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    หลับต่อดีกว่า แคร้งๆๆๆ คร๊อก
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก่อนจะลาไป ขอฝากอีกนิดละกัน

    อะไรก็ตามที่คุณเห็นเป็นสภาวะคู่ แล้วไปทำให้เหลือเพียงหนึ่งแล้วคิดว่า จิต นั้น

    ขอให้กลับไป ระลึกดูสภาวะคู่นั้นใหม่ เนืองๆ ให้เห็นเป็นสภาวะธรรมคู่ เมื่อ
    เห็นธรรมคู่เนืองๆ สติ มันถึงจะเกิด

    เมื่อ สติ เกิดแล้ว ขณะจิตที่เกิดสตินั้นจะทวนกระแสไปเห็นสภาวะการเห็นผิด
    ว่านั่นคือจิต จะปรากฏขึ้น ให้ฝึกการเห็นตรงนี้เนืองๆ ไม่ใช่ไปสำคัญเอาด้าน
    ใดด้านหนึ่งให้เที่ยง ให้ไม่มี

    เมื่อฝึกแบบนี้ไปเนืองๆอีก ถึงจะทำให้เห็น และเข้าใจ ปัจจุบันสันตตติที่จิต
    ไปหยิบฉวยการเห็นผิดได้ ก็จะรู้ธรรมหนึ่งในที่สุด

    และจะเข้าใจว่า ปัจจุบันเท่านั้นที่ทำให้เห็นตามความเป็นจริง
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เมื่อจิตเกิดดับท่านยังมั่วหาอะไรกันอยู่


    นอกจาก
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รูปท่านตอนนี้กับรูปท่านตอนอยู่ ณ ดุสิตสถานนั้นเหมือนกันไหม หากเหมือนก็สุดแต่ท่านหากไม่เหมือนก็สุดแต่ท่าน แต่หากไม่เหมือนแล้ว สิ่งนั้นจึงไม่ได้เป็นไปเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเลย จริงไหมท่าน ท่านต้องฝึกอีกหลายอสงไขยเลยนะหากท่านยังไม่ถึงพร้อม
     

แชร์หน้านี้

Loading...