ฌาน" ที่มีในคนยังลืมตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Amoxcycol, 14 สิงหาคม 2009.

  1. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ฌาน" ที่มีในคนยังลืมตา

    ผู้ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์ ต้องทำให้รู้ ทำให้แจ้ง แทงทะลุสิ้น แม้ศัพท์ แม้ภาษาใดๆ ก็ไม่ให้ติด ไม่ให้ขัด และไม่ให้ภาษา หรือที่เรียกกัน ในหมู่นักธรรมว่า "บัญญัติ" หรือ "สมมุติบัญญัติ" นั่นแหละ ติดอยู่ ข้องอยู่ ผูกยึด ตรึงมัดแน่นเอาไว้ อยู่ ณ สิ่งนั้น เขตนั้น ถ้าใครผู้ใด "หลงยึด" หลงผูก หลงตรึงเอาสิ่งนั้น สิ่งนี้ไว้กับศัพท์นั้น ภาษานั้น ผู้นั้นก็เท่ากับยึดถือ หรือเป็นผู้เห็น (ทิฏฐิ) ว่าสิ่งนั้นเที่ยง สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นคือสิ่งนั้นมั่นคง นั่นคือ ผู้นั้นยังไม่ทะลุ ยังไม่แจ้ง ยังไม่ใช่ผู้เข้าใจ และคือ ผู้ยังไม่สว่างไสว ในธรรม เพราะถ้าผู้ใด เข้าใจดังที่กล่าวแล้ว ผู้นั้นจึงยังคงเข้าใจผิดอยู่ (มิจฉาทิฏฐิ) เพราะกลายเป็นผู้เห็นว่า "เที่ยง" เป็นผู้ยึด ผู้ผูก ผู้ปักใจ มัดภาษา (ชื่อเรียกนั้นๆ) ใส่กับสภาวะนั้นๆไว้ จึงขัดกับสามัญลักษณ์ หรือ ไตรลักษณ์ อย่างจัง จึงยังไม่ใช่การรู้ที่แท้ ที่ถูก ที่ตรง ที่ควรที่สุด ยังรู้เพียงเปลาะหนึ่ง ช่วงหนึ่ง ชั้นหนึ่ง เท่านั้น ยังไกลกับคำว่า "รู้รอบ" (โพธิญาณ หรือพุทธะ) อยู่อีกมากนัก

    ดังเช่น ถ้าใครเห็นว่า " นิพพาน" คือ การไม่มีอะไรเลย เป็นสภาวะว่าง สูญเปล่า หมดสิ้นเกลี้ยง อย่างแท้จริง ผู้ใดเห็น และเรียก ลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยังเห็น "ไม่แท้" แต่ก็เรียกว่า ไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๑.

    ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การดับมอด ดับอย่างแท้ นิ่งสนิทอยู่ เรียกลักษณะอย่างนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ ไม่ใช่นิพพาน ผู้นั้น ก็ยังเห็น ไม่แท้อยู่อีก แต่ก็เรียกว่า ไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๒.

    ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การตาย การหมดสภาวะเดิม การไม่อยู่ในความเป็นไป อย่างเก่า การไม่เป็นไป อีกอย่างนั้น การหยุด ความเป็นไปลง ไม่เป็นไปอย่างนี้อีก เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยัง�เห็นไม่แท้ แต่ก็เรียกว่า ไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๓.

    ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การกระทำให้สิ่งนั้น หยุดลงเด็ดขาด การหยุดสิ่งนั้นลงเด็ดขาด การระงับ สิ่งนั้น ให้ขาดลงเด็ดขาด การไม่ให้สิ่งนั้น เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด การกระทำชั้น เด็ดขาดลงไป กับสภาวะ ทั้งปวงได้ เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยังเห็นไม่แท้ แต่ก็เรียกว่าไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๔. หรือ ถ้าใครเห็นว่า "นิพพาน" คือ การเป็นผู้เพียงพอดี ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ไม่ทำให้เอนเอียง ไปข้างรู้สึกทุกข์ ไม่ทำให้เอนเอียง ไปข้างรู้สึกสุข เป็นอยู่อย่างกลางๆ เป็นอยู่อย่างไม่กระทบอารมณ์ใด เป็นไปอยู่อย่าง "ว่างๆ" เป็นไปอยู่อย่างอะไร ก็ได้ตามแต่จะเป็นไป กับสิ่งที่ประสบอยู่แท้จริงขณะนั้น เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ถ้าผิดจากนี้ไม่ใช่ "นิพพาน" ผู้นั้นก็ยังเห็นไม่แท้ แต่ก็เรียกว่าไม่ผิด ทว่ายังไม่ถูกแท้ ถูกตรง ถูกที่สุด เพียงเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้า เป็นนัยที่ ๕.

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่า "นิพพาน" นั้น ถูกทั้ง ๕ นัย ๕ แบบ ตามที่ได้ยกขึ้นมากล่าวแล้วนั้น แต่ถ้าใคร ผูกยึดตรึง เพียงนัยหนึ่งนัยเดียว หรือแบบหนึ่งแบบเดียว หรือยึดผูกตรึงเพียงสองนัย สองแบบ หรือเพียง สามนัยสามแบบ หรือเพียงสี่นัยสี่แบบ หรือ แม้เพียงห้านัย ห้าแบบนี้ และสภาวะของ "นิพพาน" ก็ไม่ใช่ มีเพียง ๕ นัยนี้ เท่านั้นด้วย ก็คือ ผู้ยังหลงยึด ยังหลงผูก หลงมัดภาษาไว้กับสภาวะทั้งสิ้น ยังไม่ทะลุ ยังไม่แทงตลอด ต้องเห็นให้ได้ เข้าใจให้ได้ครบทุกนัย ทุกลักษณะ แม้ที่ยังไม่ได้กล่าวด้วยภาษา ที่เกินกว่า ๕ นัย ที่ได้ยกมาเป็น อาทินี้แล้ว มันต้องเข้าใจให้ได้ทุกลักษณะ ให้ถ้วนทั่ว ให้เป็นไปรอบ ไม่หลงยึดว่า "เที่ยง" อยู่กับที่ ไม่หลงยึดว่า ถูกตรง อยู่กับสิ่งเดียวตายตัว เพราะสภาวะย่อมเกิดขึ้นด้วย เหตุ-ปัจจัย และเวลา (ยุค) อันแตกต่างกันได้ จึงย่อมไม่ตายตัว เหมือนกันทีเดียว เสมอไป "นิพพาน" ทั้ง ๕ นัยนี้ ได้กล่าวมานั้น ล้วนถูก หรือดีเป็น "สัมมา" ทั้งสิ้น ใครได้พบ ลักษณะอาการใด กับตน ก่อให้เกิดผล กับตนได้ แม้นัยหนึ่งนัยใด นัยเดียว ก็�เรียกว่า ผู้นั้นถึง "นิพพาน" ได้ทั้งสิ้น เป็น "นิพพานแท้ นิพพานจริง" แต่ทว่า ยังไม่ใช่ เข้าใจรอบ หรือเป็นไปรอบ

    โดยความแท้จริง ผู้ปฏิบัติดี ก็จะได้ประสบ ได้พบกับ "นิพพาน" ดังกล่าวนั้นไปทีละขั้นๆ จากนัยที่ ๕ ไปเรื่อยๆ เพราะนัยที่ ๕ นั่นแหละคือ อาการแรก ที่ก่อสุข หรืออาการ "พ้นทุกข์" ขั้นประถม แล้วก็จะค่อย รู้จัก "นิพพาน" ขั้นสูงขึ้นๆ จนถึงขั้นนัยที่๑ นั่นแหละจึงจะแจ้งว่า ตนถึงแล้ว ซึ่งนิพพานทุกนัย และ ย่อมเข้าใจ "นิพพาน" ได้รอบ ได้ถ้วนทั่ว จึงจะไม่หลงยึดหลงผูก "นิพพาน" ไว้แต่เพียงนัยที่ ๕ หรือ เพียงนัยหนึ่ง นัยใด จึงจะเป็นผู้รู้รอบ เข้าใจได้สิ้น

    ด้วยเหตุดังนี้เอง ที่เถียงๆกันอยู่นั้น เถียงเพราะผู้เห็น เห็นกันยังไม่รอบ เห็นแต่เพียงคนละอย่าง คนละนัย เช่น คนตาบอด ๑๐ คน ไปคลำช้าง คนหนึ่งคลำได้ถูกแต่ขา ก็เห็นว่าช้างมีรูปเป็นเสา คนหนึ่งคลำถูกหาง ก็เห็นว่า ช้างมีรูปเป็นไม้กวาด คนหนึ่งคลำ ถูกงวง ก็เห็นว่าช้างมีรูปเป็นงู คนหนึ่งคลำถูกสีข้าง ก็เห็นว่า ช้างมีรูปเป็นแผ่นผนัง และคนอื่นๆ ก็คลำถูกแต่เฉพาะ ส่วนที่ตนไปคลำถูกนั้นๆ ฯลฯ จึงทำให้ คนตาบอด ทั้ง ๑๐ โต้เถียงกัน คอแตกตายเปล่า เพราะทุกคน คลำด้วยมือของตน รับรู้จากประสาทของตน อย่างแท้ ไม่ได้เลอะเทอะ หรือหลงใหลฟั่นเฟือน แต่อย่างใด ทุกคนมั่นใจ ทุกคนปักใจอย่างแน่วแน่ ว่าตนเห็นถูก แต่เมื่อนำมาบอกเพื่อนๆ กลับเป็นความเห็น ที่ไม่ตรงกันเลย มันจึงกลายเป็นเถียงกันไม่รู้ จนฆ่ากัน ตายเปล่าๆ แต่แท้จริงนั้น ทุกคนถูก ทุกคนจริง ทว่ามันถูก ยังไม่หมด มันจริงยังไม่ถ้วน จึงอย่าเพิ่งไปหัก ไปโค่นใคร ไปโต้ไปเถียงใคร เรารับฟัง รับรู้ รับคิดพิจารณาเถิด อย่ามีมานทิฏฐิ ถ้าเราเป็น พระอนุตตร สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนั่นแหละ จึงค่อยควรตัดสิน ลงมติว่า ผู้นั้นผิดจริง ไม่ผิดจริง ตราบใด เรายังไม่ถึง ขั้น รู้รอบ เป็นอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ก็อย่าเพิ่งไปหักล้างรุนแรง ลงมติเอาด้วยพลการเลย มันเป็น "มานะ" เป็นความถือดี เข้าข้างตน เป็นกิเลสแท้ ตัวสำคัญ อันศาสดาเจ้าแห่งลัทธิทั้งหลาย ได้ติด ได้พากันหลง มาแล้วมากมาย เพราะกิเลสแห่งสัญโยชน์ข้อที่ ๘. ตัว "มานะ" นี่เองแหละ จึงทำให้ปัญญา แม้ดีแล้ว เก่งแล้วทีเดียว ในตัวศาสดานั้นๆ ก็พาตนสู่ดี ทะลุตลอดไปไม่ได้ แม้เรื่องของ "นิพพาน" ดังที่นำมา กล่าวถึงแล้วนั้น จะยกมากล่าวต่ออีกว่า ถ้าแม้เพียงผู้ใดเห็นว่า "นิพพาน" คือ จิตสงบดิ่ง นิ่งอยู่เป็นหนึ่ง มีความวางเฉยเป็นปกติอยู่ หรือคือ ผู้มีเอกัคคตา อุเบกขา อันเป็นองค์ธรรมของฌาน ๔ (จตุตถฌาน) เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" คนผู้นั้น ก็ยังอนุโลม ให้เห็นว่าเป็น "นิพพาน" ได้ แต่เป็น นิพพาน ขั้นลำพอง ชั้นขั้นประถม ไม่ผิดแท้ ตรงทาง แต่ยังไม่ถึงที่สุด เป็นการไปอย่างดี เป็นผู้อยู่ใน "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้าได้

    และหรือ ผู้ใดแม้เพียงเห็นว่า "นิพพาน" คือความสุข ความแช่มชื่นใจ ในจิตอันสงบ ระงับเป็นหนึ่งอยู่ หรือคือผู้มีสุข เอกัคคตา อันเป็นองค์ธรรม ของฌาน ๓ (ตติยฌาน) เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" คนผู้นั้น ถ้าไม่ถือซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ไม่ไปปักใจ หลงยึด เอาแค่นี้ เป็นที่สุด จะเรียกจุดที่ถึงแล้วนี้ของตนว่า "นิพพาน" ของตนก็ยังได้ ก็เป็นการดี ยังเรียกว่า "สัมมา" ตามนัยของพระพุทธเจ้าได้

    หรือแม้จะเพียงเห็นว่า ความอิ่มอกอิ่มใจ ความแช่มชื่นใจในจิต อันสงบระงับเป็นหนึ่งอยู่ หรือคือ ผู้มีปีติ สุข เอกัคคตา อันเป็นองค์ธรรม ของฌาน ๒ (ทุติยฌาน) เรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" คนผู้นั้น ก็ยังนับเข้า โดยอนุโลมว่า เป็นผู้ปฏิบัติอยู่ในขั้น "สัมมา" ตามนัยของ พระพุทธเจ้าได้

    หรือแม้จะเพียงที่สุดจะเห็นว่า ความตริตรึกนึกตรอง อยู่แต่กับเรื่องราว ที่เกิดๆดับๆ อยู่ในจิตนั้น สงบระงับ ของตน จิตพ้นธรรม อกุศลออกมาได้แล้ว มีความเป็นอยู่แต่กับจิตนี้ โดยไม่เอากิเลส ตัณหา อุปาทาน มาปรุงมาแต่งด้วย หรือคือผู้มี วิตกวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จะเรียกลักษณะนี้ว่า "นิพพาน" ของคนผู้นั้น ก็ยังอนุโลมนับให้ได้ว่า ผู้นี้เป็นไปแล้วอย่างดี มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) กำลังเพียรตน อยู่ในทางที่ถูก ที่ควร ที่จะเป็นไปเพื่อ "นิพพาน" ที่แท้ที่จริงที่สูงสุด เป็นผู้เดินอยู่ในทางดี ทางตรงทางแท้ (อริยมรรค) ไม่ผิดเลย แต่ยังไม่ถึงเท่านั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่อยู่ในระดับจิตนั้นๆทุกระยะ ขอให้ตนอย่าหลงผิด อย่ามีมานะทิฏฐิ และต้อง เป็นผู้มี "สติ" หยั่งพากเพียรรู้อยู่เสมอ ว่าเรากำลังเป็นอยู่ในสถานะใดๆ เท่านั้น แต่จะอนุโลม กันไปจนถึง ขีดสุดกว่านี้โดย แม้ผู้เห็นว่า การเอร็ดอร่อย อยู่กับกามคุณ ๕ อันมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเป็นสุข (พ้นทุกข์) เป็นความเยี่ยม ความดี เป็นความถูก ความต้อง เป็น "นิพพาน" นั้น เห็นถ้าจะยอมไม่ได้ แม้จะเรียกผู้สมใจ ในการได้เสพรูป เสพรส เสพกลิ่น เสพเสียง เสพสัมผัส อย่างเต็มคราบ ดั่งพระมหาจอมจักรพรรดิ์ จะบันดาลเอาดั่งมหาเศรษฐี จะเสกสรรปั้นเอาได้ อันเขา จะพึงหามาเสพ ให้เหลือล้น จนมองหาทุกข์ ไม่เห็นอย่างไรก็ตาม ก็คงจะเรียกว่าเป็น การพ้นทุกข์ โดยนัยของ "นิพพาน" หรือ พ้นทุกข์อริยสัจ ตามนัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้แน่ นอกจากจะเรียกว่า "บำบัดทุกข์" หรือ หนีทุกข์ชั่วคราว อันเรียกว่า สุขอย่างโลกีย์เท่านั้นเอง

    ดังนั้น แม้ผู้ใดพึงเพียรปฏิบัติอยู่ และได้ละขาดจากกามคุณ ๕ ลงได้เพียงชั่วระยะหนึ่ง ระยะใด ขาดจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นสุขอยู่กับจิต พ้นอกุศลธรรม แม้จิตจะปรุงแต่งอยู่เป็นเกิดๆ ดับๆ อยู่แต่ในจิต อันยังไม่ดับ มอดลงได้ ก็ย่อมถือได้ว่าผู้นั้นมี "นิพพาน" เป็นอารมณ์ มี "นิพพาน" เป็นเครื่องอยู่ มี "นิพพาน" เป็นที่หมาย และเป็นที่สุดโดยแท้ การปฏิบัติที่เรียกว่า มี "นิพพาน" เป็นอารมณ์นั้นคือ การกระทำ อย่างนี้ ผู้นี้จึงคือ ผู้มีสัมมาปฏิบัติโดยจริง ผู้กำลังทำตน ให้เป็นไปอย่างถูก อย่างแท้ อย่างตรง อย่างควร ตามนัย คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    นั่นแหละคือ คนผู้ใด ลงมือหัดนั่งหลับตา ดำเนินตน ทำจิตให้เข้าสู่ "สมถะ" เมื่อจิตดำเนินเข้าสู่ฌานที่ ๑. อันมีองค์ธรรม วิตกวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ได้ละก็ คือ ผู้เริ่มมี "นิพพาน" เป็นอารมณ์ หรือ คือผู้กำลัง หมดกิเลส มีแต่จิตปรุงแต่ง ฟุ้งซ่านอยู่แต่ในจิตของตนเอง ไม่ออกมา นอกกาย เกิดๆ ดับๆอยู่อย่างนั้น เมื่อเริ่มไม่สร้างกามตัณหา อะไรให้ตน ผู้นั้นแหละคือ ผู้กำลังอยู่ในกระแสนิพพาน อยู่ในห้วง แห่งนิพพาน โดยจริงโดยแท้ เป็นผู้ห่างจากกิเลส คือ กามตัณหา โดยควร กำลังเป็นผู้ตั้งทิศ ติดเครื่องยนต์ ผลักดันตน ให้พุ่งเข้าหา จุดหมายปลายทาง คือ "นิพพาน" อันจะเป็นจุดสุดยอด

    แต่ถ้าผู้ใด พึงปฏิบัติตนให้ได้เพียงเท่านี้ สงบระงับได้เพียงเท่านี้ คือแค่ระงับกิเลส นิวรณ์ให้หมดสิ้น และจมอยู่กับจิต ระดับแค่นี้ ไม่ก้าวหน้า ไม่มีการ "ดับ" วิตกวิจาร (จิตฟุ้งซ่านอยู่กับอารมณ์ปรุงแต่ง แห่งการเกิดดับ ของจิตตัวเอง คือยังมีตัณหา ปรุงแต่งจิตอยู่ อันเป็นตัณหา แห่งการเกิด-ดับในจิต ที่เรียกว่า ภวตัณหา) ความตริตรึก นึกคิดอยู่กับจิตปรุงแต่ง ของตนนี้ เป็นไปอยู่แล้วๆเล่าๆ ไม่ระงับ ลงได้ (เพราะไม่ระงับตัณหา ตัวในอันคือ ภวตัณหา จึงคงทำงานอยู่เรื่อย) คนผู้นี้ ก็จะได้ อารมณ์นิพพาน ก็เพียงแค่นี้ จะสูงขึ้น กว่านี้ไม่ได้ จึงได้ "นิพพาน" ขั้นชั้นประถมจริงๆ จะเห็นแต่การเกิด คือ "นาม" และ การดับอันคือ "รูป" อยู่แล้วๆเล่าๆ เท่านั้น เมื่อนาม และรูป มันสัมพันธ์กัน มันปรุงแต่งกัน มันก็เกิด เป็นเรื่องเป็นราว เป็นชีวิตชีวา เป็นตัวเป็นตน ให้เรารู้ เราเห็นอยู่อย่างนั้น เรื่องแล้วเรื่องเล่า อยู่นั่นเอง "นิพพาน" จึงเป็น นิพพาน แค่ความสุข ที่ได้รู้ ได้เห็น เรื่องราวต่างๆ เห็นชีวิตชีวาต่างๆ ในจิตของตน เหมือนคน นำอาหารแห้ง หรือพวกของแห้งต่างๆ ไม่มีอาหารใหม่สดอันใด (สัญญา) ของตน ที่เคยเก็บ สะสมไว้ ออกมาปรุงเป็นต้น เป็นผัด เป็นแกง เป็นยำใหญ่ ให้ตนเองกินอีกที รสชาติก็เท่านั้นๆ

    ถ้าผู้ใด พยายามมี"สติ" อ่านสภาวะฌานที่ ๑ นี้ให้ออก ก็จะเห็นดังที่ข้าพเจ้าอธิบายนี้ ก็จะแจ้ง สภาพของฌานได้ จะรู้กำหนดขีดขั้น ของสภาวะฌาน ได้ด้วย บางคนเคยผ่านฌานที่ ๑ นี้มานักหนา แต่ไม่รู้ว่าตนผ่าน เพราะไม่รู้เรื่องแท้จริง ปฐมฌาน หรือ ฌานที่ ๑ นี้ไม่ได้ลึก ไม่ได้ไกลอะไร นักหนาเลย แค่คนผู้ระงับ กิเลส ระงับนิวรณ์ให้ได้เท่านั้น ก็เป็นฌานแล้ว

    ดังนั้น คนผู้ใด เข้าที่นั่งหลับตา แล้วก็สำรวมจิตเข้าระงับกิเลส ตัดนิวรณ์ให้ได้ ผู้นั้น ก็จะเข้าสู่ฌานขั้นที่ ๑ ทันที และโดยเช่นเดียวกัน สำหรับผู้ไม่ได้นั่งเข้าที่หลับตา (คือคนธรรมดา) แม้จะเป็นคนปกติลืมตา ก็จึงนับเป็น "ผู้มีฌาน" เป็นผู้รู้แจ้ง เห็นนาม-รูป ได้ เป็นผู้เรียกได้ว่า กำลังมีการปฏิบัติธรรม ของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า อย่างถูก อย่างแท้ได้เช่นกัน

    นั่นคือ คนผู้ใดพยายามมีสติ ระลึกรู้ตนให้ได้ แล้วก็พยายามตัดกิเลส ตัดนิวรณ์ต่างๆ อย่าให้เข้ามา ในจิตตนได้ เมื่อเป็นไปได้ อย่างนั้นขึ้นมา ขณะใด นั่นแหละคือ ผู้นั้นเป็นผู้มีฌานในตน เป็นผู้มีฌาน ประดับตนแล้ว เป็นผู้ไร้กิเลส ไร้นิวรณ์ ๕ เป็นสมุจเฉท แม้จะอยู่ในขณะลืมตา และ ปฏิบัติกิจ การงานใดๆ อยู่ก็ตาม

    คนผู้มี "ฌานประดับตน" ดั่งนี้ จึงคือผู้หมดยึดถือ คือ ผู้ไม่รู้สึกกาย หรือผู้ไม่เอาภาระกับตัวตน ขั้นที่ ๑ เรียกได้ว่า ละสักกายทิฏฐิ ได้เด็ดขาด จะมากน้อยแค่ใด ก็ตามแรง แห่งความละขาดของผู้นั้น ตราบใด เป็นอยู่อย่างนี้ จิตเป็นไปได้อย่างแท้จริง คนผู้นี้ก็จะทำ กิจการงานนั้นๆ อยู่อย่างไม่ยึดถือ อย่างไม่มี อารมณ์กิเลส และนิวรณ์ใดๆ ย่อมเป็นกิจการงาน ก็เพียงเพื่อกิจการงานนั้นๆ และ เพื่อผู้อื่นเท่านั้น คำว่า เพื่อ "ตัวตน" จึงไม่มี เพราะผู้นี้ไม่มี "ตัวตน" แล้ว

    ความสูง ความดี จึงเกิดอยู่ดังนี้ เป็นไปในลักษณะนี้ นี่คือ "คุณ" นี่คือ "ประโยชน์" ของพระอริยะ คนผู้ใดมี "ฌานประดับตน" ดังกล่าวนี้ และยังคงมีฌาน อยู่ในตน คือมีลักษณะจิต และอารมณ์ดังเล่ามานี้ ในตนอยู่ตราบใด คนผู้นั้นก็เป็น " พระอริยเจ้า" อยู่ตราบนั้น

    และถ้าคนผู้ใด เพียงทำตนให้อยู่ในสภาวะไร้กิเลส ไร้นิวรณ์ได้ มีสติครองตน หมดความยึดถือ "ตัวตน" ดังกล่าวแล้ว ครองอยู่ได้ ในชั่วระยะเวลาใด ก็ในช่วงระยะเวลานั้นแหละ คนผู้นั้น ครองความเป็น "พระอริยเจ้า" จะเป็นพระอริยเจ้า นานช้าเท่าใด ก็อยู่ที่คนผู้นั้น ทำตนให้มี "ฌานประดับตน" ให้มีสติ ครองตนให้ได้ ตามระยะเวลานั้นๆ เมื่อหมด "ฌาน" คือปล่อยกิเลส ให้นิวรณ์เข้าครอบงำ เสียเมื่อใด เมื่อนั้น ก็หมดความเป็น "พระอริยเจ้า" ลง ลักษณะของคน ผู้มีคุณแท้แก่โลก และแก่ตนก็หมดลง แต่ถ้าผู้ใด หมด "ฌาน" ลงแล้ว หากยังมี "สติครองตนอยู่ ก็ยังนับว่า คนผู้นั้นก็ยังดี ยังลดลง จากความเป็น พระอริยเจ้าลงไป เป็นผู้มี "ธรรม" คือมี "สติกำกับตน" เมื่อใด ปล่อยให้ "กิเลส" เข้าครอบงำได้ ก็ยังจะรู้ตัว ได้ว่า ตนแพ้กิเลสแล้วหนอ ก็รู้ล่ะ ว่าตนเลว ว่าตนชั่ว ตนเป็นผู้แพ้เมื่อใด ประหารกิเลส ลงได้ กิเลสนิวรณ์เข้ามาในตนไม่ได้ เมื่อนั้นก็มี "คุณลักษณะ" เป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาอีก แต่ถ้าขืนปล่อยให้ "สติ" ขาดหายหลุดไป จากตนเมื่อใด เมื่อนั้น เราก็คือ "ปุถุชน" คือผู้มีความเป็นโลก คนผู้หลง อยู่กับอารมณ์ แวดล้อม (อันก็คือโลก) ย่อมไม่ใช่ผู้ใฝ่สูง บุคคลผู้เรียกได้ว่า สมณะ เรียกได้ว่า ผู้ปฏิบัติธรรม เรียกได้ว่า ผู้พึงเพียร บำเพ็ญธรรม จักเป็นผู้พ้น ผู้หลุด เป็นผู้สูงได้ในอนาคต แม้พากเพียร อยู่ตราบใด ย่อมเป็นที่หวังได้ว่า จะเป็นผู้ถึงซึ่งอรหันต์

    เพราะฉะนั้น ลองมาสนใจกันอีกสักนิดเถอะว่า การทำตนให้สู่ที่สูง หรือที่เรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น คือ อย่างไรกันแน่

    นอกจากคือ ผู้ที่พยายามนั่งหลับตาบำเพ็ญฌาน อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้นนั้น เพื่อให้ "จิต" ได้ฝึก เพื่อให้ "จิต" ได้กระทบ ได้สัมผัส กับสภาวะที่เรียกว่า "ฌาน" ตามนัยดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ก็ยังมี อีกทางหนึ่ง คือ จงเป็นผู้หัดมี "สติ" ตรวจตราตนเอง หรือควบคุมตนเอง แล้วก็พยายามสะกัดกั้น ประหัตประหาร กิเลสนิวรณ์ให้ได้ ช่วงเวลาใดที่ "จิต" ผู้ใดเป็นผู้อยู่โดยมี "สติ" ครองตน และ สะกัดกั้น ประหารกิเลสนิวรณ์ ลงได้หมด ช่วงเวลานั้น คนผู้นั้น ก็คือผู้มี "ฌานประดับตน" เป็น "พระอริยเจ้า" ชั่วคราว เป็นผู้พ้น สักกายทิฏฐิ เป็นผู้มีคุณประโยชน์แก่โลก และแก่ตน เพราะเป็นผู้ไม่มีตัวตนแล้ว ขณะนั้น และผู้นั้น ก็คือคนดีๆ มีสติสัมปชัญญะ ลืมตาโพลงๆ นี่แล ไม่ใช่ผู้นั่งหลับตา แต่อย่างใด ผู้นี้แหละ ยิ่งคือ ผู้ได้ "ฌาน" ในขณะนั่งหลับตาอยู่เสียอีก เป็นผู้สูงกว่าผู้ได้ "ฌาน" ในขณะนั่งหลับตา เป็นไหนๆ

    นี้แหละคือ การปฏิบัติธรรมโดยแท้จริง การเป็นผู้อยู่โดยชอบโดยควร จะเป็นใคร ก็ได้ ทำมาหากินอยู่ อย่างหนักเท่าใดก็ได้ ปฏิบัติ ดังกล่าวแล้วนั้นได้ ทำตนอย่างนั้นได้ ก็จงได้เร่งทำ ได้เร่งลงมือเถิด คุณประโยชน์แท้ แก่นสารแท้จริง อยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น แลในคนนอกกว่านี้ หามีอันใด ที่จะเป็นทาง ที่น่ายึดถือ หรือสร้าง แก่นสารให้แก่ตนได้ไม่
     
  2. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรม
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ลอกมาหรือแต่งเอง ถ้าลอกมาก้บอกที่มาด้วยถ้าแต่งเองไม่ต้องบอก ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่รู้หรือไม่รู้เลย
    อนุโมทนา
     
  4. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ย่ามองโลกกว้างเกิน...อย่ามองโลกแคบเกิน

    อย่ามองโลกกว้างเกิน...อย่ามองโลกแคบเกิน

     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    นั่นแหละสอนตัวเอง ดี จะได้มีสติไม่หลง ลืม เดี้ยวผมจะนึกว่าท่านสำเร็จแล้วจบกิจนั้นแล้ว เพราะถึงอย่างไรหากธรรมนั้นเป็นของพระพุทธเจ้าก้บอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าเป็นของพระสาวกก้บอกว่าเป็นของพระสาวกเป็นของครูบาอาจารย์ก็บอกว่าเป็นของครูบาอาจารย์ อย่าอุปโหลกแล้วเที่ยวว่าคนโน้นทีคนนี้ทีว่าหลง ว่าไม่มีสติ สิ่งแค่นี้ก่อนทำก่อนโพสต์มีไหม พี่ธรรมภูตยังมี และมีมากด้วยเรื่องนี้
    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2009
  6. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ก็เหมือนกันนั้นหละ อ่อนทั้งคู่ เที่ยวว่าเที่ยวติ เที่ยววิพากวิจาร คนอื่นๆตลอด แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลย
    ห่วยจริงๆ ดูผมสิ ไม่ติไครเลยเห็นมะ ผมสิเริดสุด แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ติไคร
    แต่มันเอาไปไส่ตัวเองแหงๆ
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมว่าท่านอย่าโชว์ความโง่ออกมาเลยท่านอยู่แบบท่านนั่นแหละดีแล้ว อีกสองชาติไม่ใช่เหรอ ก้อทำไป มีสองอย่างในเวลาเดี่ยวกันยังมาทำมุสาอีก สติอยู่กับเนื้อกับตัวหรือเปล่า พึ่งทำลงไปแท้ๆยังบอกว่าไม่ได้ทำ ท่านยังไม่เข้าใจจุดประสงค์นี้ ท่านทำความเพียรตามแบบท่านไปเถอะ รักษาสติให้ดีก่อนทำอะไร อ่านของตัวเองดูแล้วได้อะไรจากของตัวเอง จะกี่ชาติก็ช่างถ้าเข้าใจถ้าเห็นแล้วมันไม่สำคัญ สำคัญที่ที่เห็นนั้นตรวจสอบหรือยังว่าถูกหรือควร
     
  8. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    อื้อ หือ . .จิ๊บๆ นกหนะ หุหุ
     
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เอ้าๆ 12คนเข้าไปแล้ว ชอบดูคนทะเลาะกันหรอ เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่า ชอบดูคนหรือสัตว์ทะเลาะกันแล้วรู้สึกสนุกสนานหนะ ตายไปเป็นผู้คุมอยู่ในนรกหนะ ก็คือ สัตว์นรกนั่นหละ ระวังนะ
    แต่ที่นี่ไม่มีคนทะเลาะกันนะ มีแต่ . . .
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เอาน่าท่าน อย่าชี้นำ เพราะเจตนามันมาจากจิต หากเป็นอกุศลจิต ก็เป็นอย่างนั้นแหละท่าน เวทีนี้ไม่มีดอกไม้เพื่อประดับมีแต่ความจริงเพราะเรากำลังค้นหาความจริงกันไม่ใช่เหรอ ถ้าความจริงคือมีกิเลส ก็ต้องรู้ว่ามีอยู้แค่ไหน ไม่ใช่ ไม่รู้แล้วทำเป็นรู้ แต่เอาเถอะหากท่านอยากเป็นดอกไม้ในแจกัน
     
  11. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    โอ๊ย จิ๊บๆ อีกละ นึกถึงสมัยเรียนแฮะ พูดจิ๊บๆนี้โดนเพื่อนว่าเลยว่า ป๊ะป๋าเอ็งเป็นนกหรือวะ

    โอ๊ยๆ จิ๊บๆ

    หุหุ
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เอ้า ให้เป็นแจกันยังอยากเป็นสัตว์อีกนั่น หากท่านอยากร่วมสนุกในจุดประสงค์ที่ไม่ใช่ของท่านผมก็จะจัดให้
     
  13. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ยังยิ้มอยู่เรยแฮะ อืม หึหึ
     
  14. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    และถ้าคนผู้ใด เพียงทำตนให้อยู่ในสภาวะไร้กิเลส ไร้นิวรณ์ได้ มีสติครองตน หมดความยึดถือ "ตัวตน" ดังกล่าวแล้ว ครองอยู่ได้ ในชั่วระยะเวลาใด ก็ในช่วงระยะเวลานั้นแหละ คนผู้นั้น ครองความเป็น "พระอริยเจ้า" จะเป็นพระอริยเจ้า นานช้าเท่าใด ก็อยู่ที่คนผู้นั้น ทำตนให้มี "ฌานประดับตน" ให้มีสติ ครองตนให้ได้ ตามระยะเวลานั้นๆ เมื่อหมด "ฌาน" คือปล่อยกิเลส ให้นิวรณ์เข้าครอบงำ เสียเมื่อใด เมื่อนั้น ก็หมดความเป็น "พระอริยเจ้า" ลง ลักษณะของคน ผู้มีคุณแท้แก่โลก และแก่ตนก็หมดลง แต่ถ้าผู้ใด หมด "ฌาน" ลงแล้ว หากยังมี "สติครองตนอยู่ ก็ยังนับว่า คนผู้นั้นก็ยังดี ยังลดลง จากความเป็น พระอริยเจ้าลงไป เป็นผู้มี "ธรรม" คือมี "สติกำกับตน" เมื่อใด ปล่อยให้ "กิเลส" เข้าครอบงำได้ ก็ยังจะรู้ตัว ได้ว่า ตนแพ้กิเลสแล้วหนอ ก็รู้ล่ะ ว่าตนเลว ว่าตนชั่ว ตนเป็นผู้แพ้เมื่อใด ประหารกิเลส ลงได้ กิเลสนิวรณ์เข้ามาในตนไม่ได้ เมื่อนั้นก็มี "คุณลักษณะ" เป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาอีก แต่ถ้าขืนปล่อยให้ "สติ" ขาดหายหลุดไป จากตนเมื่อใด เมื่อนั้น เราก็คือ "ปุถุชน" คือผู้มีความเป็นโลก คนผู้หลง อยู่กับอารมณ์ แวดล้อม (อันก็คือโลก) ย่อมไม่ใช่ผู้ใฝ่สูง บุคคลผู้เรียกได้ว่า สมณะ เรียกได้ว่า ผู้ปฏิบัติธรรม เรียกได้ว่า ผู้พึงเพียร บำเพ็ญธรรม จักเป็นผู้พ้น ผู้หลุด เป็นผู้สูงได้ในอนาคต แม้พากเพียร อยู่ตราบใด ย่อมเป็นที่หวังได้ว่า จะเป็นผู้ถึงซึ่งอรหันต์

    จัยความมีอยู่นิดเดียว เท่าที่ยกมาไห้ ไปวิพากวิจารความเป็นพระอรหัน นิพพาน เรื่องเกินตนทั้งนั้นนี่หรือคือการแสดง ปัญญา ที่คุนคอยไปตำหนิไปติคนอื่นผมได้อ่านแล้วนะเด่วจะหาว่าไม่อ่านก่อนแล้วมาพูด ที่ผมบอกคุณว่าไห้แสดงปัญญาที่มีออกมาบ้างอย่าเที่ยว ติอย่างเดียว วันนี้คุณแสดงไห้เห็นแล้ว ว่ามันมีอาการของปัญญาอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2009
  15. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    หุหุ ดูแล้วตลกโปกยานฮาจริงจริ๊ง หุหุ นานๆทีก็อยากสนุกๆบ้างก็แหย่เล่นไม่มีอะไรมากหรอกครับ วันนี้พอละเดี๋ยววันหน้าเอาไหม่นะ หุหุ
    อย่าคิดมากเลย ขำขำ อ่อ แต่ไครไม่ขำก็ไม่เป็นไรนะ ขำคนเดียวได้

    ท่านผู้เจริญ หุหุ
     
  16. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    คุณอัลเบอโต เราไม่ทำเพื่อสนองตัญหาของคุณ
    เราโพส คิดว่ามันมีประโยชน์ต่อส่วนรวม
    ความคิดของเราก็ไม่มีค่ากับเรา และความคิดของผู้อื่นจะมีค่ากับเราได้ไง
    มีแค่รู้กับไม่รู้ เอาหรือไม่เอาเท่านั้น

    เราไม่อยากทะเลาะกับใครนะ
     
  17. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    และที่สำคัญ ข้อมูลนี้จะมีประโยชน์กับผู้มีปัญญาเท่านั้น
     
  18. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    คุยไปอ่านไปนี่ผมเห็นธรรมทายาดอะ หุหุ ทายาดธรรมของท่านผู้นั้น ต่อไปภายหน้า เขาจะเหมือนท่านผู้นั้น . . . หุหุ

    สำหรับผมไม่มีอะไรในใจนะ มีแต่ขำๆ(อุ๊ยมีคนว่าตอแหล คิดไปเองมั๊ง 5 5)
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    พี่สองชาติอยากเป็นแจกันใบเล็กหรือใบใหญ่ครับ ถ้าใบเล็กก็คงใส่ดอกไม้ได้นิดเดียว ถ้าไปใหญ่ก็ใส่ได้มากเลย ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แจกจ่ายให้ครบทุกคนที่มาชม งานนี้ครับ
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ไอ้ปัญญาที่ว่านี่ลอกมา ฟังมา คิดมา หรือ สั่งสมความเพียรมาเหรอ ถึงมีอำนาจจัดระดับความเป็นมนุษย์ ด้วยปัญญาตนนั้นหนะ มันมีที่มาไหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...