ΟΟ ร่างกายและจิตใจจะแย่ถ้าเปิดรับสิ่งที่ปลอมมาเป็นพระ-เทพ ΟΟ

มาบอกเล่าวิธีในการพิสูจน์ นิมิต ญาณ องค์เทพ พระ ครูอาจารย์

พระโพธิสัตว์ ว่าเป็นท่านจริงหรือไม่ดีไหมครับ


คำถามนี้สำคัญมาก

จะป้องกันการครอบงำจากพลังด้านลบ และช่วยตน คนอื่นได้จริงๆ



มาบอกเล่าเป็นธรรมทานกันเถิดครับ

 

ไม่แปลกนี่

กระแสไฟฟ้า ยังมีขั้วบวก และขั้วลบ
พลังจิต ก็มีฝ่ายบวก + และฝ่ายลบ -

กระแสไฟฟ้า หากไม่มี +- แล้วมันจะเป็นกระแสได้อย่างไร
พลังจิต ถ้าไม่มีฝ่ายธรรม และ ฝ่ายอธรรม ก็ไม่สนุกสิเน๊อะ

เหอ เหอ เหอ

 

เหอะๆ จริงคับต้องมี ธรรมมะ VS. อธรรม

 

พิสูจน์ไม่เป็นเหมือนกันค่ะ

 

หรืออาจจะเดาได้เช่น

ท่านมีเมตตา

 

หรืออาจจะเดาได้ เช่น
ท่านมีเมตตาจิต คิดช่วยคนเดือดร้อนจริง โดย ไม่เอาค่าครูเยอะ ๆ เป็นต้น

 

ถ้าปกติ เป็นผู้ไม่ปรุงแต่ง กระทำสิ่งใดให้เป็นวิบากในทางเสื่อมแก่ตน และผู้อื่นในภายหลัง คงไม่เป็นไร

แต่ กรณีที่ปรุงแต่ง กระทำกรรมโดยถูกสิ่งนั้นหลอกใช้
ก็น่าเป็นห่วง


หลายครั้ง ที่สหายธรรมมักจะบอกเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่มาสัมผัส
แต่เขาไม่ประมาท ตรวจเช็คดูตามที่ครูอาจารย์สั่งสอนมา

จึงรอดพ้นการเป็นร่าง เป็นเครื่องมือให้กับพวกผี ปีศาจ

ก็เลยขอคำแนะนำจากผู้รู้ ทั้งหลายเพิ่มเติม เพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่นครับ

 

เมื่อประตูจิต เปิด ไม่ใช่มีแต่สีขาวที่จะมาเคาะประตู สีดำย่อมมาด้วย

ลำพังเพียงตัวเรา อาจมีวิชาเอาตัวรอดได้ คุ้มกันตัวได้
( อาจกันได้แค่ระยะแรกๆ)

แต่ คนอื่นๆในครอบครัว ที่เขาจิตอ่อน ไม่รู้วิธีป้องกันตัว คุณจะรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดกับเขาได้หรือไม่ หลายชีวิตกว่าจะรู้ตัว ก็ต้องตามแก้กันไม่หมดไม่สิ้น
สักที ถ้ายังไม่เผลอทำกรรมหนักก็พอไหว ที่ล่วงละเมิดพระรัตนตรัย
บุพการี ผู้มีศีลมีธรรม ไปก็หนักหน่อย


เหตุนี้ จึงเป็นห่วงและขอความเห็น คำชี้แนะจากผู้ที่รู้จริงมาแนะนำด้วยครับ

 

1. ถ้ายังไม่เคยติดต่อ รับขันธ์ หรือ เปิดจิตรับสิ่งนั้นมาเต็มที่

ก็คงเบาใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะถ้าเสริมวิปัสสนาญาณ
เสริมสติ-สัมปชัญญะ หรือ วิธีการตรวจสอบ ป้องกัน จากครูอาจารย์ที่ไว้ใจได้ในสายตนเอง แล้วได้สัมผัส ก็ยังพอจะมีทางเอาตัวรอดได้

2. ถ้าเคยรับขันธ์( จากสิ่งที่แปลกปลอม อันเป็นมิจฉาฯ) หรือเปิดจิตรับพลังนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในขันธ์ห้าแล้ว

ยิ่งนาน ยิ่งแก้ยาก ถ้าวิบากกรรมไม่เบาบาง หรือเขาไม่ยอมปล่อย ก็แก้ยาก

จะคิดทำอะไร บางครั้งเขาก็ทราบความคิด เขาจะดักคอ หรือขัดขวางไม่ให้ทำสำเร็จ ต้องขึ้นตรงกับเขา


ผมจึงพิจารณาว่า เมื่อเรายังเตือนกันไว้ได้ ป้องกันไว้ ระวังไว้ ดีกว่าตามแก้กันทีหลังครับ


"ตนย่อมเป็นที่รักของตน และ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน (ถ้าตนฝึกตนไว้ดีแล้ว)"

 

ครั้งหนึ่ง ปลอมมาเป็นพระพุทธองค์

เมื่อ รวบรวมสติ กำหนดรู้ แล้วเข้ากลางของกลางตัวเราจนถึงเหตุว่าง

กลางเหตุว่าง เข้ากลางของกลาง ว่างในว่าง จนสุดเหตุ ลึกเข้าไปเรือยๆ

เกิดรู้ในที่สุดละเอียดกลางว่าง อฐิษฐานบารมีพระรัตนตรัย ครูอาจารย์ทั้งหมด

เข้ามาศูนย์กลางกายเรา แล้วส่งรู้เข้าไปศูนย์กลางสิ่งที่เห็น

ข้างในเป็นฤาษี กายสีดำนิล เกือบไป

ครูบอกว่า ถ้าเรานำสิ่งที่ไม่ใสสะอาดเข้าศูนย์กลางกาย และใจเรา

เสมือนนำระเบิดเวลาเข้าไปในหลุมหลบภัยประจำตัวเราเอง ให้เราคิดตรองดู

 

อืม..น่ากลัวนะคะ..ทำกรรมดี ธรรมะย่อมคุ้มครอง..

 

ก็มองรวมๆครับแล้วใช้ปัญญาไตร่ตรองเอา แต่พวกที่เป็นร่างทรงจริงๆอะ เค้าจะรับค่าครูแค่ประมาณ50สตังค์ บาทนึงเท่านี้แหละ พวกที่เรียกเยอะๆแพงๆพวกนี้ร่างทรงปลอมชัวร์ครับ

 

OO

 

ที่ว่ามานั้นเป็นค่ายกครูสมัย จอมพล ป.ยังแก้ผ้าวิ่งเล่นอยู่เลยนะครับ ตามกาลยุคสมัย 50ปีผ่านไป ลองคำนวณค่าเงิน 50ส.ต.(สตางค์)กับ 1 บาท สมัยนี้ก็จะอยู่ในราว100-300 บาท เพราะสมัยก่อน ก๋ยวเตี๋ยวชามละ5 สตางค์ ก็กินแทบไม่หมดชามแล้ว(แถว เยาวราชนะ)
(b-oneeye)

 

สาธุเจ้าของกระทู้นี้อย่างยิ่ง

1. เมื่อฝึกจิตแก่กล้าระดับหนึ่งเท่านั้นมารจึงจะสนใจเรา หากเราไม่มีอะไรดีเลย
มารจะเมินไม่สนใจ พอเรามีกำลังจิตแก่กล้าเท่านั้น พวกเขาจะมาดึงเราเข้าพวก
หากเราหลงทางก็เข้าทางมารทันที การที่มารแปลงเป็นพระพุทธเจ้ามีเยอะมาก
ทั้งมารที่จุติบนโลก แล้วมาหาเครื่องเซ่นสังเวยหรือให้คนกราบไหว้ ช่วยคนได้
ด้วยฤทธิ์ แต่ช่วยเพราะต้องการสิ่งตอบแทน และมารสวรรค์ ที่ไม่ค่อยสนใจเรา
เลย ต่อเมื่อเราเก่งมีค่าพอสำหรับเขาเท่านั้น เขาจึงเสียเวลามายุ่งกับเรา แล้ว
ยังมีมารจากนรก ที่ปกติออกจากนรกมาไม่ได้ แต่หากบางท่านถอดกายทิพย์ไป
นรกจริงๆ ก็ยังต้องระวัง เพราะพวกเขาไม่สนใจอะไร ถือว่าเป็นถิ่นเขา

2. เมื่อฝึกกสินและได้นิมิต จากนั้น ตาที่สามเริ่มเปิด จะเริ่มเห็นของจริงปนเป
กับนิมิต ช่วงแรกจะจงและสับสนไปหมดว่าอะไรจริงอะไรนิมิต งงเพี้ยนไปนาน
เมื่อละวางนิมิตได้จึงเห็นของจริง แต่ของจริงไม่ใช่ตัวจริง เพราะในโลกทิพย์
สามารถกำหนดรูปเองได้ เช่น เรากำหนดด้วยจิตให้มีรูป ก็คือ รูปฌาน ไม่มีรูป
ก็คืออรูปฌาน ดังนั้น สิ่งที่เห็นใช่ว่าจริง ต้องมีการทดสอบกัน อย่างเช่น ที่พระ
พุทธเจ้าเสด็จมาเยี่ยมพระอาจารย์มั่น ก็มีการทดสอบกันนิดหน่อย โดยการถาม
หลักธรรม เมื่อได้รับฟังธรรมก็เห็นได้ว่าจริงหรือไม่จริง ซึ่งในโลกทิพย์ไม่ถือว่า
เสียมารยาท แต่การทดสอบต้องทำด้วยความเคารพกัน อย่าทำเพื่อลองภูมิ

 

สาธุ OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 

ลักษณะของผู้มีพลังบริสุทธิ์

1. จะเป็นพลังเย็นที่แผ่ซ่านช้าๆ ต่อเนื่อง ไม่มีหมดสิ้น แต่หากเป็นพลังร้อนรุ่ม
อัดแน่นโดยเฉพาะบริเวณหน้าอก อันนั้นไม่ใช่พลังด้านดี หรือหากมีเย็นๆ แต่ไม่
ต่อเนื่อง ก็อาจมีพวกมารที่ฝึกพลังเย็น จะไม่ใช่พลังเย็นแบบพุทธะ ที่แผ่ซ่านไร้
ประมาณ แต่ไม่มากเกินไป

2. ความละเอียดของจิต หากเรามีจิตที่ละเอียดมาก ย่อมสัมผัสสิ่งที่ละเอียด
มากในระดับเดียวกันได้เท่านั้น ดังนั้น หากเรายังไม่บรรลุอรหันต์แล้ว อย่าเพิ่ง
มั่นใจตัวเองว่าตนเองจะรู้ได้ว่ากายทิพย์ที่มาหาเรานั้นเป็นจิตอรหันต์จริง เพราะ
จิตอรหันต์มีความละเอียดสูงมาก หากเราไม่บรรลุ เราไม่มีทางรู้เลย หรือต่อให้
บรรลุแล้ว แต่ยังมีร่างสมมุติอยู่ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ละเอียดถึงระดับวิมุติของ
จิตอรหันต์ที่ละสังขารแล้ว ดังนั้น ให้พิจารณาภูมิจิตตนเพื่อประมาณตนด้วย

3. ดวงตา (อ่านมาจากอนุตราจารย์ชิงไห่สอนครับ) ให้ดูดวงตาที่สดใสเปล่ง
ประกาย มีความกว้างไกลเวิ้งว้างเหลือประมาณ แบบนั้นเป็นดวงตาผู้บรรลุธรรม
ซึ่งมีบ้างเหมือนกันที่ผู้บรรลุธรรมเจอกันแล้วเห็นดวงตาใสแบบนี้ทันที แต่หาก
เป็นร่างพระพุทธทว่านัยตาหม่นหมองเศร้าสร้อย อันนี้ปิดไม่มิดมารมีความทุกข์
หนัก ดวงตาของพวกเขาหม่นหมองเศร้าสร้อยมาก ถึงขนาดที่เมื่อเราถูกมารทำ
ร้าย แค่มองดวงตามารเท่านั้น ความโกรธแค้นของเราจะหายไปเลย เพราะมีแต่
ความสงสารเขาเท่านั้น แต่การจะเห็นดวงตาคนหรือกายทิพย์แล้วรู้ได้ทันทีว่า
เป็นดวงตาแบบมารนั้น จำต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึงระดับหนึ่งจริงๆ ก็จะรู้ได้เลย
ว่าคนบางคนเขาทุกข์มากนักหนา แต่แสร้างหัวเราะร่า มีอยู่มากมาย

4. ภูมิธรรม ทดสอบโดยลองถามข้อธรรมที่ตนเองไม่ทราบจริงๆ และอยากรู้
จริงๆ อย่าถามสิ่งที่ตนเองรู้แล้วเพื่อลองภูมิเด็ดขาด (เป็นการเสียมารยาทมาก
ในโลกทิพย์) เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยแนะนำสั่งสอน จำต้องทำอย่างให้เกียรติ์ ก็จะ
เห็นได้ว่ามารอธิบายได้ซับซ้อนและทำให้เราไม่เข้าใจแต่น่าทึ่งจริงๆ ส่วนผู้มี
จิตบริสุทธิ์จะอธิบายชัดเจนจนเราเข้าใจจริงๆ ซึ่งบางทีเป็นคำที่เราไม่นับถือ
ด้วยซ้ำ (เพราะอีกฝ่ายก็สอนด้วยการลองใจคนฟังเช่นกัน)


ลองใช้ดูนะครับ เป็นเคล็ดลับบางส่วนเฉพาะตัวไม่อาจรับรองความถูกต้องได้

 

ถ้าเป็นผมคงสัพเพพุทธา...(สายหลวงปู่ดู่)ไปให้ครับ ต่อด้วยคาถาปรับภพปรับภูมิให้กับเขา

 

หากมีญาณทัสนะ ก็อาจจะดูจากกระแสพอได้ มันเป็นไปตาม ความเป็น กุศล หรือ อกุศลเช่น ว่า กระแส ละเอียด หรือ หยาบ สว่าง หรือ มืด ทึบ หรือ โปร่ง ใส่ และ องค์ ประกอบอื่นที่จะต้องอาศัยความละเอียดในการพิจารณา แต่ หากเจอชั้นสูง ๆ ฝ่ายอกุศลที่ละเอียดมาก ๆ กว่า ก็อาจจะโดนหลอก ตุ่นเราจนเปื่อยได้เช่น กัน อีกประการที่การไว้นั้นเป็นการใช่ทัศนะในการทำความเข้าใจ แต่ เราจะต้องเอาส่วนของญาณเข้าไปหยั่งด้วยอีกที่ คือ ให้รู้สึกถึงกระแสที่สัมผัส ว่า เบา สบาย โปร่ง หรือ กดดัน อึดอัด หรือ รุนแรง หรือ นุ่มนวน ให้ความรู้สึกเช่นไร ใช่ความรู้สึกประเมินเอา ก็พอจะพอเอาตัวรอดได้บ้างที่กล่าวนี้ ไม่นับเอาพวกของปลอม ทรงเจ้าหลอก หรือที่ไม่หลอก แต่ถูกแฝงมั่วมาอ้างว่าเป็นโน้นเป็นนี่เพราะหวังในอามิส พวกนี่ ส่วนใหญ่ยัง หยาบครับ ก็สามารถเอาสิ่งที่กล่าวไว้แล้ว เข้าไปตรวจสอบดูก็พอรู้ได้ครับ แต่ถ้าเป็นระดับสูง ๆ ระดับต้นๆ บางท่าน ก็จะเช็คลำบาก เหมือนกันครับต้องใช่เวลาพิจารณา นานๆ วิธีป้องกัน ก็ ยึดหลัก พระพทุธ พระธรรม คำสอนเอาไว้ อะไรที่ออกนอกความเป็นกุศลแล้วก็ต้องระวัง แล้วก็ต้องเจริญให้ละเอียด ภูมิธรรมให้ละเอียด สูงยิ่งๆ ขึ้นไป จนพวกที่ต่ำกว่าเรา ที้ง อินทรีย์ และ พละ ก็จะทำอะไรได้ อยาก คือ ต้องไม่ประมาท ความประมาท คือ ความอ่อนแอ ส่วนความไม่ประมาท คือ ความมีสติ สมาธิ สมบรูณ์พร้อม ตลอดหวังว่า พอจะเป็นประดยชน์ ต้องออกตัวก่อนว่า ผมเองก็ยัง บ่อยครั้งต้องให้อาจารย์ ช่วยเช่นกัน

 

กระทู้อย่างนี้แหละครับ ที่ผมชอบมากจริง ๆ เป็นการสนทนาของผู้มีภูมิธรรมที่ดี ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษา และผมได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องการลองถาม คำถามที่ผู้ถามรู้แล้ว สำหรับผม คงจะทำครับ เพราะเราไม่รู้ว่า ภูมิธรรมของคนที่ถามเป็นอย่างไร เขามีความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่ เป็นของแท้หรือเป็นของเทียม เมื่อทราบแล้วว่าเป็นของแท้ ก็จะไม่ถามลองเชิงอีก จะถามในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือหาทางแก้ไม่ได้จริง ๆ ครับ อนุโมทนากับการสนทนากระทู้นี้ครับ