ทางแห่งการปฏิบัติเพื่อมรรคผล อย่างแท้จริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิยายธรรม, 11 สิงหาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เคยได้ยินมา
    เรื่องของเด็กเกิดใหม่ ไม่มีสักกายทิฏฐิ ไม่มีนิวรณ์ มีแต่อวิชชา มีสัญชาตญาณ
    เวลาหิวก็รู้จักร้องไห้ส่งเสียงบอกความต้องการ ดูดนมเป็น อารมณ์ดีก็หัวเราะ
    ไม่สบายก็ร้องไห้ รู้อิ่ม นอนหลับเป็น ตื่นนอนเป็น มีบางสิ่งไม่ต้องสอนก็ทำเป็น
    เด็กไม่มีทิฏฐิ ไม่มีสงสัย ไม่มีอยากดีอยากเป็น มีแต่ความต้องการที่เป็นพื้นฐาน
    ของการดำรงค์ชีวิตหล่อเลี้ยงขันธ์ให้เจริญ เพื่อความอยู่รอด พอโตขึ้นมาเริ่มเรียนรู้
    โลกภายนอก รู้จักสมมุติ เริ่มแยกแยะสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี รู้จักพอใจ ไม่พอใจ ชอบใจ
    ไม่ชอบใจ รู้จักที่รักมักที่ชัง เริ่มมีทิฏฐิส่วนตน เริ่มตั้งค่า มีความจำ มีคลังความคิด
    นิวรณ์ก็เริ่มสะสมเจริญตามกันมา กิเลสตัณหาก็เจริญเติบโตตามกรรมและเวลาที่เพิ่มขึ้น

    แล้วก็ได้ยินมาอีกว่า สติสัมปชัญญะ รู้ดีรู้ชั่ว เริ่มมีตอนอายุ 7 ขวบ เป็นมาตรฐาน
    แต่อาจมีคลาดเคลื่อนได้
     
  2. นิยายธรรม

    นิยายธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +20
    ตอบตามที่ผมเข้าใจนะ
    สักายทิฏฐิ คือการยึดมั่นถือมั่น ในขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เช่นรูป เราอยากแก่ไหม ทำมันมันยังแก่ เราอยากป่วยไหมทำไมมันยังป่วย เพราะมันใม่ใช่เราไม่ใช่ของเราบังคับไม่ได้ นามในขันธ์ 5 ก็เช่นกันลองพิจารณาตามไปด้วยดูว่าอะไรมันกำหนดบังคับได้มั่ง
    ที่นี้สักกายทิฏฐิ มี 3 ระดับ
    1. รู้ว่าร่างกายมันจะต้องตาย เท่านั้น แต่ยังยึดมั่นในขันธ์ 5 อยู่ แต่ยอมรับว่ามันจะต้องตายเป็นธรรมดา เวลาจะตายก็ไม่ดิ้นรน ยอมรับเป็นปกติ (อันนี้เป็นของพระโสดาบัน กับสกิทาคามี)ตอนนี้จะรู้จักรักษาศีลให้บริสุทธิ์เพราะเคารพคำสอนพระพุทธเจ้า เคารพในพระรัตนตรัยมาก ดังพ่อแม่ ให้กำเนิด มีจิตปรารถนานิพพาน ไม่อยากกลับมาเกิดอีก แต่กำลังใจยังอ่อนอยู่จึงต้องกลับมาเกิดอีก ไม่เกิน 7 -3-1 แล้วแต่กำลังใจคือเห็นทุกข์แต่เล็กน้อย
    2.รู้ว่าร่างกายนี้ มันสกปรก ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และต้องสลายไปในที่สุด พิจารณาจนเกิดความเบื่อหน่าย (พูดง่าย ๆ คือ รังเกียจร่างกาย) คืออารมณ์ นิพพิทาญานถ้าทรงตัวอารมณ์นี้จะเป็นพระอนาคามี ตอนนี้เริ่มจะเข้าถึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานิด ๆ คือตัดราคะ และปฏิฆะได้และประมาณว่าร่างกาย เหมือนหนังหุ้มขี้ เขาด่าก็ด่าหนังหุ้มขี้ แต่ยังตัดมานะไม่ได้ ไม่แปลนะครับค้นคว้าเอาเอง
    3. รู้ว่าร่างกายนี้ มัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง เป็นเพียงธาตุ 4 ประชุมกัน สุดท้ายก็สลายตัวไป มีมันก็มีทุกข์ วัตถุทุกอย่างเกิดขึ้นก็เพื่อรองรับร่างกายทั้งนั้น แต่ความรังเกียจร่างกายหายไป เป็นการวางเฉยในกองสังขารแทน (สังขารุเปกษาญาน)อารมณ์นี้คืออารมณ์ สักกายทิฏฐิของพระอรหันต์
    ฉะนั้นสักกายทิฏฐิตัวเดียวแต่ระดับ พี่เข้าถึงต่างกันครับ ถ้ายังสงสัยเข้าไปค้นดูในโหมดพระอริยะเจ้า ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แสดงว่าสักกายะทิฐิเริ่มตั้งแต่รู้ว่ามีตัวตนใช่ไหมครับ เพราะตอนเด็กเกิดมายังไม่รู้ว่าเอ๊ะ เราอยู่ไหนตอนนี้ แต่พอเริ่มมีสติระลึกรู้จึงรู้ว่ามีตัวตน ตอนนั้นแหละที่สักกายะทิฐิเกิดขึ้น ประมาณนั้นใช่ไหมครับพี่ขวัญ ของพี่นิยายธรรมเข้าใจครับไม่ได้สงสัยครับ เพียงแต่ สักกายะทิฐิ น่าจะมีส่วนร่วมเป็นอย่างมากในการที่จะเห็นความจริงคือ อริยะสัจ๔ ใช่หรือเปล่าครับ สามระดับนั้นตามนั้นแต่อันไหนที่นำมาใช้จริงในการพิจารณาธรรมทั้งหลายครับ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฟังพระท่านเทศน์มา ท่านว่าเด็กเล็กๆ ยังไม่มีทิฏฐิ ใจมันเปิด
    สอนอะไรก็ไหลเข้าสู่ใจตรงๆ เด็กๆก็เลยเรียนรู้ของใหม่ๆได้เร็ว
    เรียนรู้สิ่งใด ก็จำติดตัวไปจนตาย อย่างเช่นการเรียนรู้เรื่องภาษา
    ทั้งคำศัพท์และสำเนียง จะชัดเจนไม่ผิดเพี้ยนไปจากคนสอน

    แต่คนโตๆ ยิ่งโตยิ่งทิฏฐิมาก ยิ่งแก่ยิ่งทิฏฐิจัด เพราะสะสมความรู้ทางโลกไว้มาก
    ความรู้ทางธรรมถ้าไม่มีคนสอนก็ไม่รู้เรื่องเลย ท่านจึงว่าถ้าสอนธรรมให้เด็กๆ
    จะเรียนรู้และทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กยังไม่มีทิฏฐิไม่มีคลังความคิดมาขวาง
    ความรู้ทางธรรมที่ป้อนให้ใหม่ๆ เด็กๆฝึกสมาธิจะให้ผลเกิดได้เร็วกว่าผู้ใหญ่
    ตามสถิตินะ อย่างบางคนก็ระลึกได้ว่าเด็กๆ เคยนั่งสมาธิได้ดี พอเลิกไปมาทำตอนโตๆ
    แล้วก็ทำได้ไม่ดีเท่าสมัยเด็กๆ
     
  5. นิยายธรรม

    นิยายธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +20
    จิตใดยังไม่ถึงอรหัตผล ตราบนั้นดวงจิตนั้นย่อมมีสักกายทิฏฐิติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะมีร่างกายหรือไม่ก็ตามจะระดับไหนขึ้นอยู่กับดวงจิตนั้นจะยอมรับและปล่อยวางได้แค่ไหน การปฏิบัติท่านสอนว่า เราฝึกกันที่จิต ไม่ได้ฝึกที่กาย แต่แบบเรียนที่จิตจะใช้ฝึกก็คือกาย หรือคุณขวัญว่าไง..อยากอ่านมั่ง
     
  6. นิยายธรรม

    นิยายธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +20
    ส่วนที่ท่านสงสัยเรื่องตอนเด็กนั้น เพราะนิวรณ์มันยังน้อยครับ เด็กยังไม่ค่อยรู้จักปรุงแต่งทางความคิดเท่ากับผู้ใหญ่ จึงทำให้เด็กทำได้ดีกว่า ท่านต้องเข้าใจเรื่องนิวรณ์ให้มากหากจะค้นหาความรู้ทางสมาธิ หากระงับมันไม่ได้นอกจากจะไม่เข้าใจแล้วยังโดนมันหลอกเราให้คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ปรุงแต่งไปเรื่อย ผลสุดท้ายก็ตัดสักกายทิฏฐิไม่ได้แม้แต่ระดับเดียว
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เรื่องตรงนี้มีพระสูตรอยู่ ลองหาอ่านดู และพยายามอ่านหลายรอบหน่อยนะครับ เข้าใจยากอยู่เหมือนกัน ผมเคยได้ฟังมา อาจจะ ย้ำว่าแค่อาจจะไม่ตรงกับที่พี่พิมพ์ ผิดพลาดอันใดขออภัยด้วย ลองทำความเข้าใจดูแล้วกันครับ ^-^
     
  8. ผู้เห็นภัย

    ผู้เห็นภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +476
    มั่วกันไปใหญ่แล้ว

    จะมั่วกันไปถึงไหน คนทุกคนบนโลกนี้เกิดมาก็เพราะ มีกำลังนิวรณ์อยู่แล้ว คุณลองไปหาเด็กแถวบ้านคุณไม่ต้องถึง7-8ขวบหรอก เอาแค่1-2ขวบก็พอ ที่พอรู้เรื่องแล้วอะนะ ถ้าเด็กมีของเล่น คุณลองไปแย่งเอาจากเด็กสิ เด็กจะร้องไห้ทันทีเลย ร้องไห้เพราะไม่พอใจไช่ไหมครับ แล้วความไม่พอใจมาจากอะไรล่ะ พืนฐานก็ตัวเดียวกับความโกรธ ความโกรธก็เบากว่าความพยาบาทไช่ไหมครับ เพราะพยาบาท ต้องผูกใจเจ็บด้วยไช่ไหมครับ ก็หนักกว่า ปฏิฆะก็คืออารมณ์ที่ไม่พอใจข้อหนึ่ง(เด็กร้องไห้ เพราะว่าไม่พอใจ หรือว่าเด็กชอบใจ) ที่อยู่ในนิวรณ์ธรรมทั้งห้าประการ แล้วพระสูตรอะไรของคุฌที่ยกมาน่ะ อย่ามั่ว เอาไห้มันชัด เล่มไหน หน้าที่เท่าไร บรรทัดไหน คนที่เขาสนใจจะได้ไปค้นคว้าได้ถูกต้อง ไม่ใช่ยกขึ้นมาลอยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2009
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    [​IMG]

    พี่ขวัญ นี่ก็วัฏจักรครับ แต่ของ เครป ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าครับ ผมอยากให้ดูเท่านั้นครับไม่มีอะไรครับ ว่าแม้แต่วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) หรือวัฏจักรกรดซิตริก (Citric Acid Cycle) หรือ Tricarboxylic acid cycle (TCA) เกิดขึ้นที่บริเวณแมทริกซ์ของไมโทคอนเดรีย สารตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นในวัฏจักรนี้คือ กรดซิตริก (citric acid) จึงเรียกว่าวัฏจักรกรดซิตริก ขั้นตอนการเกิดปฏิกิริยา (ในเซลส์) ดังนั้นก็ต่อไปอีก...​
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [๑๕๔] ดูกรมาลุงกยบุตร เธอจำโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เหล่านี้ ที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ แก่ใครหนอ? ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวชพวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง ด้วยคำโต้เถียง
    อันเปรียบ(เหมือน)ด้วยเด็กนี้ได้ มิใช่หรือว่า แม้แต่ความคิดว่า กายของตน ดังนี้
    ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่(แบเบาะอยู่) ก็สักกายทิฏฐิ จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
    (หมายความว่า เหล่าอัญญเดียรถีย์ก็จะโต้ตอบเอาว่าเด็กอ่อนย่อมยังไม่มี ความคิด,ความเห็นว่า กายของตน หรือเป็นตัวตนหรือของตน )
    ส่วนสักกายทิฏฐิ อันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตาม(สั่งสมหรือนอนเนื่อง)แก่เด็กนั้น
    (แต่พระองค์ท่านทรงชี้ว่า แม้กุมารอ่อนที่แบเบาะยังไม่เกิดความคิด,ความเห็นดังกล่าวขึ้น ก็จริงอยู่ แต่เริ่มเกิดการสั่งสมหรือนอนเนื่องในสันดานเป็นอนุสัยโดยไม่รู้ตัวเพราะอวิชชาได้ นั่นเอง ถ้าพิจารณาจากปฏิจจสมุปบาทธรรม ก็คือการสั่งสมนอนเนื่องซึมซาบย้อมจิตของอาสวะกิเลสนั่นเอง)
    แม้แต่ความคิดว่า ธรรมทั้งหลายดังนี้ ย่อมไม่มี แก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
    ก็ความสงสัยในธรรมทั้งหลาย จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
    (ก็เมื่อยังไม่มีความคิดหรือการใช้สัญญา จักรู้ธรรมได้อย่างไร ความสงสัยในธรรมจึงไม่มี)
    ส่วนวิจิกิจฉาอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
    แม้แต่ความคิดว่า ศีลทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
    สีลัพพตปรามาสในศีลทั้งหลาย จักเกิดขึ้น แก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
    ส่วนสีลัพพตปรามาสอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
    แม้แต่ความคิดว่า กามทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนยังนอนหงายอยู่
    ก็กามฉันทะ ในกามทั้งหลาย จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
    ส่วนกามราคะอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
    แม้แต่ความคิดว่า สัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
    ก็ความพยาบาท ในสัตว์ทั้งหลาย จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
    ส่วนพยาบาทอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
    ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง ด้วยคำโต้เถียงอันเปรียบด้วยเด็กอ่อนนี้ได้ มิใช่หรือ?
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่าน พระอานนท์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เวลานี้เป็นกาลสมควร ข้าแต่พระสุคต เวลานี้เป็นกาลสมควรที่พระผู้มีพระภาคพึง
    ทรงแสดงโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ภิกษุ ทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้.
    ดูกรอานนท์ ถ้ากระนั้น เธอจงฟัง จงมนสิการให้ดี เราจักกล่าว
    ท่านพระอานนท์ทูลรับ พระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า.


    เพิ่มเติม http://www.nkgen.com/430.htm
     
  11. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +39,008
    ความเคยชินถ้าจะเรียกว่า ความหลง ก็น่าจะได้นะ เพราะถ้าทำตามความเคยชินแล้วก็ไม่น่าจะมีสติกำกับ จึงทำให้ไม่รู้ว่าที่ทำนั้นถูกหรือผิด บางคนอาจจะเคยพูดปดบ่อยๆ ก็สามารถพูดปดได้โดยไม่ตะขิดตะขวางใจ แต่ถ้าคนที่ไม่เคยพูดปดเลยก็ย่อมทำได้ยาก
    การอยู่หลังเขาก็ดีอย่างหนึ่งนะ พออยู่สูงหน่อยก็จะมองเห็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดี ถ้ามีสติรู้ทันก็สามารถที่จะระงับไม่กระทำตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ ดีก็ไม่หลงตามคิดตามยึดว่าตัวดี ชั่วก็สามารถระงับได้ว่าไม่ต้องทำ ยิ่งเราตามรู้แล้วเห็น รู้แล้วรู้ทันกิเลส เราก็จะมองเห็นว่ากิเลสเรามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะห่างไกลจากความเคยชินที่ทำ เราก็จะสามารถรักษาศีลทางกายได้เป็นปกติ อาจจะแถมทางใจต่อมาด้วยนะ
    เดี๋ยวนี้คนอยู่หลังเขามากนะ หลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า อยู่หลังเขาเย็นสบายดี อนุโมทนาด้วยครับ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310


    ตามความเข้าใจของพี่ขวัญนะ
    สักกายทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา กามฉันทะ เด็กแรกเกิดมีอยู่ในรูปของ
    อนุสัย แต่โดนผนึกอยู่ ยังไม่ทำงาน แต่มีอวิชชาทำงานอยู่ มีสัญชาติญาณ
    จนกว่าเด็กจะเริ่มการเรียนรู้การใช้สมมุติ มีสติสัมปชัญญะ อนุสัยถึงเริ่มทำงาน
    ได้ พอดีพี่ขวัญได้ไปศึกษาอ่านเรื่องเด็กออทิสติค มาจำนวนหนึ่ง พบว่าเด็ก
    บางส่วน ระบบประสาทและสมองบกพร่อง ไม่เข้าใจเรื่อสมมุติ สติสัมปัชัญญะ
    บกพร่อง แยกเรื่องสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้ ในระดับอาการหนักมากๆ
    พวกเขาเหลือแต่สัญชาติญาณการดำรงค์ชีพ กินอยู่หลับนอน แต่ไม่มีทิฏฐิ
    ความเห็น ไม่มีอคติ ขาดสติสัมปชัญญะ เหมือนก้อนหิน เหมือนต้นไม้ เติบโต
    ได้ แต่ไม่ตอบสนองทางสังคม ไม่มีกิเลสตัณหา อยากได้นู่นได้นี่ ไม่มีความ
    ทุกข์ มี่แต่โลกส่วนตัว

    ถ้าถามว่าพวกเขามี สักกายทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา กามฉันทะ ในรูป
    อนุสัยนั้นมีไหม มีอาสวะไหม ก็ตอบได้ตามคำสอนนี้คือมี แต่ในชีวิตจริงมัน
    ไม่ทำงาน ก็เลยเหมือนกับว่าไม่มี ถ้าคนไม่รู้ ไม่เคยไม่สดับธรรมเรื่องนี้ ก็จะเข้า
    ใจว่าไม่มี แต่ถามว่ามีอวิชชาไหม ก็ตอบได้ว่ามี เพราะยังละอวิชชาไม่ได้
    ยังมีเกิดมีภพมีชาติอยู่ เหมือนสัตว์โลกทั่วไปที่ยังละอวิชชาไม่ได้

    ถามต่อว่า พวกเขาบรรลุธรรมได้ไหม ก็ตอบว่าไม่ได้ เพราะสักกายทิฏฐิมีแต่
    ไม่ทำงาน ก็ไม่รู้จัก ไม่เห็น ไม่มีอะไรให้ใช้เพื่อการศึกษา
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ก็อวิชชานั่นแล ที่เป็นอนุสัย ^-^
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราอาศัยสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น และความเห็นผิด ในแบบปุถุชน เพื่อศึกษาความจริง
    เพื่อรู้ว่าสิ่งนี้ผิด พอรู้และเข้าใจเรื่องที่ผิด ต่อไปเมื่อปฏิบัติภาวนาจนรู้ถูก
    ขึ้นมา จึงรู้ว่าสิ่งนี้ถูกคือสัมมา เพราะรู้ว่าสิ่งที่ผิดคืออะไร ถ้าปัจจุบันอยู่ในฐานะ
    ปุถุชน ยังไม่รู้มิจฉาทิฏฐิที่ถูกต้องตามคำสอนว่าคืออะไร จะไม่รู้ว่าสัมมาทิฏฐิ
    ที่ถูกตามคำสอนคืออะไร

    สักกายทิฏฐิ พระอริยะเจ้าชั้นต้นตั้งแต่พระโสดาบัน เมื่อละได้แล้ว
    มันขาดสิ้นถาวร ไม่เห็นว่าเป็นตัวตนของเรา แต่จะมีอยู่หรือเปล่า
    อันนี้ไม่รู้ ไม่กล้าฟันธง หรือว่ามี แต่เราไม่ยึดว่าเป็นของเรา ไม่ทุกข์เพราะ
    สักกายทิฏฐิ อันนี้จินตนาการไปไม่ถึง

    เรารู้แต่ว่า สักายทิฏฐิที่เรายึดอยู่มีอยู่ เห็นอยู่ นั้นมี แต่มันละไม่ได้ จิตมันยึด
    ไม่ใช่เรายึด เราก็ปฏิบัติเจริญสติให้มีในจิตหนึ่ง อยู่แต่มันยากเพราะควบคุม
    สั่งการให้มีให้เป็นดังใจนึกไม่ได้ บทจะมีเขามีเองอย่างเรื่องศีล ความสงบ
    ก็เหมือนกันจะมีก็มีเอง บางทีอยากมีก็สั่งให้มีไม่ได้ อย่างเรื่องทุกข์บอกให้
    มันไม่ทุกข์ มันก็จะทุกข์ บอกให้มันเป็นสุขมันก็ไม่เป็นสุข สั่งยังไงมันทำเรื่อง
    ตรงข้ามซะงั้น แต่พอเลิกสั่งมันทำของมันเอง รู้ของมันเอง เป็นงั้นไปอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2009
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ผมมองว่าไม่ใช่มันไม่ทำงานนะ มันทำซะเต็มที่ ทำแต่จุดละเอียดสุดเลยน่ะ ^-^
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อย่าลืมทา ก.ย.15 เวลาเข้าป่า ยุงจะได้ไม่กัดไม่ต้องตีมัน จะได้ไม่ผิดศีล เดี้ยวนี้เขาเห็นอะไรก็กลายเป็นแข่งไปหมด มิน่าหลวงตาบัวชอบปรารถบ่อยๆ พวกชอบคิดเจ้าคิดเจ้าแข่งทำเหมือนสนามประลองยุทธเลย นั่นเห็นธรรมะเป็นระดับพลังว่าไปนั่นนะสำหรับบางคน หลงออกนอกโลกไปเลย
    พวกพี่ๆต้องระวังนะครับ ตั้งสติดีๆ พี่ขวัญ พี่จินนี่ด้วยครับ
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าคุยเรื่องวัฏจักร์ พี่ขวัญก็มีความเชื่อ(ทิฏฐิ)สะสมมาอยู่เหมือนกัน
    พี่ขวัญ ชอบคิดอยู่เรื่อยว่า เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับเครื่องกำเนิดอะไรซักอย่าง
    เป็นขุมพลัง เป็นตัวก่อเกิด เหมือนเมล็ดพันธ์ ที่พร้อมจะงอกอยู่ตลอดเวลา
    พออุปกรณ์เติบโตพร้อมทำงานทั้งฮาร์ดแวซอฟท์แวร์ มันก็เดินเครื่องแล้วก็
    หมุนไปทำงานไปทำหน้าที่ของมัน พอเครื่องมันทำงาน มันมีตัวตนงอกออก
    มาจากเครื่องกำเนิดได้ เหมือนสักายทิฏฐิมันทำงาน มันสะสมการเห็นพอได้ระ
    ดับหนึ่ง สักกายทิฏฐิก็กลับมาสั่งงานเป็นเจ้าของระบบแทน มันมีชีวิตมันเป็น AI
    กลับมาคุมตัวมันเองซ้อนไปอีก จนลืมความเป็นจริงของตนเอง หลงอยู่ในเรื่อง
    ราวของมายานั้นอีกที การปฏิบัติธรรมก็คือการเรียนย้อนศร ของตัวเองว่าเรา
    ทำงานอย่างไร จิต ใจ กาย สัมพันธ์กันอย่างไร ทุกข์ตั้งอยู่ที่ไหน พอรู้ความ
    จริงของตัวเราเองได้ รู้จักกิเลสตัณหา มันทำงานอย่างไร ถึงตอนนั้นก็คงเข้า
    ใจอริยสัจ ได้เอง
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ไม่มีอะไรหรอกครับ เวลาผมมองวัฏจักรเครป แล้วนึกถึง ปฏิสมุททบาท ครับ แค่รู้สึกว่าทุกอย่างมักมีเหตุที่มาครับ ไม่เกี่ยวกับทิฐิ หรอกครับ เห็นเองด้วยปัญญาของตนเองได้นั้นดีแล้วครับพี่ แต่การเห็นอะไรแล้วแน่ใจว่าเห็นก็บอกว่าเห็นไปเลยไม่ต้องกลัว พุทธพจน์นั้นแม้ผมไม่ได้อ่านมาเลยไม่ได้มุสา ผมก็รู้ว่า ความหมายที่พี่กล่าวคืออะไร เรื่อง สักกายะทิฐิ ที่มีที่เกิดขึ้นแก่บุคคล แต่ได้แค่ไหนก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ดีที่สุดครับ กิเลส หลักๆ ก็มีเท่าที่รู้แหละครับ อยากรู้ว่าถึงไหนก็ทดสอบตัวเองดูครับ เกือบลืมครับ จริงๆแล้ว ทิฐิ มันไม่ได้ถูกสะสมครับ แต่ การสะสมกิเลสไว้เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดทิฐิครับ เช่น กุศล จิต ที่คิดว่าทำดีโดยไม่หวังผล ก็เป็นทิฐิ ที่คิดว่าเป็นกิเลสฝ่ายกุศลเพราะ การทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นเป็นจาคะบารมี เป็นต้นครับ ซึ่งทั้งสองคือ ทั้ง กุศล และ อกุศล กิเลสล้วนแต่เป็นต้นเหตุของทิฐิ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำส่วนไหนมาใช้ เป็นองค์ประกอบครับ ซึ่งผมมองว่า ไม่ว่าจะยกพระไตรปิฏกมาทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรม แต่ผู้ยกมามิได้มีความเข้าใจในธรรมนั้นๆเลย วินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง อันนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น แบบนี้เรียก ทิฐิ ฝ่ายอกุศล ยังไงคงเข้าใจนะครับ

    อนุโมทนาครับพี่ขวัญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2009
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ติดใจเรื่องทิฏฐิ เท่าที่สังเกตตัวพี่เองนะ
    ทิฏฐิ ของพี่มันเป็นความเชื่อ อ่านมากก็สะสมทิฏฐิมาก
    มันเป็นความรู้ที่สะสมเป็นคลังความคิด มันเป็นเหมือนเข็มทิศของคนที่มีมันน่ะ
    คนที่ไม่มีทิฏฐิ ก็แบบหนึ่ง คนที่มีทิฏฐิก็เป็นแบบหนึ่ง
    คนที่ไม่มีทิฏฐิในเรื่องใด ถ้ามีผู้รู้มาสอนธรรม เขาจะไม่มีความเชื่อในเรื่องนั้นมาก่อน
    พอฟังไปมันจะไม่มีทิฏฐิที่เป็นความเชื่อมาค้านกับคำสอน มันก็เข้าใจตามคนสอนได้ง่าย
    แล้วพอเข้าใจคำสอนจากผู้สอนคนแรกแล้ว พอมีผู้รู้คนใหม่มาสอนเรื่องนี้อีก ถ้าสอนแบบ
    เดียวกันเข้ากับทิฏฐิเดิม จะยิ่งเข้าใจขึ้นมากกว่าเดิม แต่ถ้าเป็นคนละแบบ แถมค้านกับคำ
    สอนเดิม ความมันจะตีกันแล้วจะงง ถ้าศรัทธาคนแรกมากกว่า ก็จะค้านแล้วก็เถียงคนที่สอน
    ครั้งหลัง โดยไม่ได้พิจารณาเรื่องของเหตุผล ความถูกผิด แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีอคติ มีความ
    เป็นกลาง ก็จะพิจารณาคำสอนทั้งสอง แล้วเลือกด้วยตนเอง กลายเป็นทิฏฐิเกิดสะสมในตน
    อีก ถ้าทิฏฐิใดเป็นสัมมาก็โชคดีไป ถ้าเป็นมิจฉาก็แย่หน่อย

    แต่คนที่ละสักายทิฏฐิได้แล้ว คงจะมีความเป็นกลาง ไม่มีอคติ มั้งนะ อันนี้เดาไม่ถูก รู้แต่
    แบบมีทิฏฐิ แบบที่พี่ขวัญเป็นอยู่ ถ้ารู้ไม่ทันตัวทิฏฐิมันทำงานแล้วก็เถียงแหลกเหมือนกัน
    บางทีมันค้านอยู่ในใจ คิดแต่เรารู้ถูก แต่จริงๆคือมันยึดทิฏฐิในตนอยู่ พอเห็นต่างคนอื่น
    มันก็เดือดร้อน เป็นทุกข์ใจอยู่ที่ตัวเอง แต่ในความเป็นจริงมันไม่มีอะไร ก็แค่ความคิด
    ไม่ตรงกัน และถึงจะคิดตรงกันก็ใช่ว่าจะทำให้บรรลุธรรม มีแต่รู้ทันความคิดและทิฏฐิตน
    ถึงจะไม่ทุกข์เพราะความคิด
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผู้รู้ตนเองนั้นแหละประเสริฐสุด เช่นเดียวกันกับชนะคนอื่นเป็นหมื่นแสนยังไม่เท่าชนะใจชนะกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจของตนแค่ครั้งเดียวเลย
    พระศาสดาสอนไว้อย่างนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...