สาเหตุที่ทำจิตเป็นสมาธิยาก ของคฤหัสถ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผู้พันจุ่น, 8 สิงหาคม 2009.

  1. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    การที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ยากนั้นมาจากภารกิจประจำวัน ๑ และ ความเข้าใจในการทำสมาธิ ๑ หรืออาจจะมีมากกว่านี้ ...............แต่จะเอาเท่านี้

    ๑.การทำงานทั้งสองอย่างพร้อมกัน

    การขับรถพร้อมกับฟังเพลงไปด้วย ทำให้จิตต้องแบ่งเป็นสอง กระโดดไป-มา เพื่อฟังเพลง และขับรถไปด้วย กรณีนี้รวมถึง โทรแล้วขับ ,คุยด้วย-ขับด้วย,ดูหนัง-ขับด้วย ฯลฯ จิตมันเก่ง เร็ว ทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ แล้วมันก็กลายเป็นความเคยชินตลอดไปโดยอัตโนมัติ

    ในการทำสมาธิ

    เราเริ่มทำสมาธิโดย ให้จิตยึด-เกาะ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คิดว่าเป็นเช่นนั้น เช่น หายใจ เข้า ภาวนา พุท - หายใจ ออก ภาวนา โธ รวมทั้งคำภาวนาอื่น ๆ ก็เป็นกรณีเดียวกัน คือ ยึดทั้งลมหายใจ และ คำภาวนา ไปพร้อมกัน จิตโดด ไป-มาใช่ไหมครับ มันก็ไม่เป็นหนึ่งสักที จนหมดเวลาแล้ว

    ลองคิดดูให้ดี....... ครูบาอาจารย์ ท่านมิได้สอนผิดหรอก แต่เราทำยังไม่ได้ตามที่ท่านสอน ท่านก็เลยยังไม่ได้ต่อให้ คือ การยึดลมหายใจ เข้า-ออก และภาวนาตามไปด้วย จิตจะกระโดด ไป-มา ทั้ง ตามลม และ ตามคำภาวนา ทำให้จิตของเราไม่รวมตัว เป็น หนึ่ง สักที จนเบื่อ และขี้เกียจ แต่..........ก็มีความสบายกาย พร้อมสบายใจในบรรยากาศที่สงบเงียบ แล้วการที่ไม่เคยสบายอย่างนี้มาก่อน เป็นอย่างไร......ก็หลับนะซีครับ หรือไม่ก็ดิ่งลงสู่ภวังค์ไปเลย

    ทีนี้จะแก้อย่างไร จิตที่กระโดดไป-มา ระหว่าง จับลม-คำภาวนา มีข้อดี คือ ทำให้จิตนั้นตื่นตัวดี เหมือนกับคนที่ไม่อยู่นิ่ง - กับคนอยู่นิ่ง ๆ ใครจะตื่น ใครจะหลับ เมื่อจิตไม่หลับ จิตก็จะระลึกรู้ได้ดีกว่าจิตที่สลึมสลือ ฝึกไปสักพักหนึ่งพอเวลาสมควร ก็ให้ผู้ฝึก ยึดอย่างเดียว คือ จะภาวนา หรือ ดูลมหายใจ เลือกเอา ไม่โดดไปมา ไม่นานจิตก็รวมตัวเป็นหนึ่ง ตรงหน้าเรานี่แหละ จิตรู้ ตื่น จะเริ่มปิติ เบิกบาน.........ต่อเอาเอง ได้ไหมครับ..................ใช้ความเพียรหน่อย

    หากท่านสงสัย ให้ทดลองขับรถแล้วท่องคาถาดู.... จิตเกาะคาถา ตาดูถนน ขับรถไปด้วย หูซ้ายฟังเพลง หูขวาโทรศัพท์ ทำงานทั้งวัน ตกค่ำดูข่าว กลางคืนดูหนัง ก่อนนอน ไหว้พระ สวดมนต์ แล้วจะนั่งสมาธิ ...........โอ้โฮ ยอดมนุษย์นะเนี่ย อาชีพอื่นนอกจากนี้ก็เทียบเคียงดู

    การทำภารกิจประจำวันให้ส่งเสริมการฝึกสมาธิ ก็คือ เราจะฝึกสติเป็นงานประจำ จนกว่าจะถึงเวลา ไหว้พระสวดมนต์ ด้วยการ ทำทีละอย่าง ด้วยการมีสติในการทำงาน เช่น ขับรถ ก็ ตั้งใจขับ ไม่เปิดเพลงฟัง ไม่โทร ไม่ทำอะไรที่พร้อมกันโดยไม่จำเป็น เพราะมันจะเป็นความเคยชินโดยอัตโนมัติ เราไม่ใช่นักบวช จะได้ว่างทั้งวัน แต่เราอยากปฏิบัติด้วย เพื่อให้มีความสุขในฐานะ เป็นคนนอกวัด หรือเป็นอะไรก็ช่าง........
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ใช่เลยครับแท้จริงเป็นอุบายในการฝึกครับเห็นว่ามันเป็นไปได้ยากด้วยตัวด้วยตนจิตมันจะเลือกของมันเอง แต่นั่นแหละครับเรียกว่าการฝึกรู้ คือ มีสติ ตลอดเวลานอกเสียจากละเลยนึกว่าไม่ได้อะไรก็ปล่อยสติให้หลุดไปสุดท้ายก็ครอกฟี้และก็มาโทษคุณพี่นิวรณ์ หากความจริงแล้ว พี่นิวรณ์เขาไม่ได้มายุ่งเลยถ้ายังมีสติอยู่ รู้อยู่ เมื่อถึงจุดหนึ่งจริงๆแล้ว จิตจะเลือกเองว่าตกลงจะบริกรรมหรือจับลมหายใจ ถ้าจับลมหายใจบริกรรมก็หายแต่เห็นลมหายใจละเอียดถึงละเอียดมากที่สุด ไปจนถึงจิตรวมใหญ่ คือ ไม่มีลมหายใจแล้วมีแต่จิต
    อนุโมทนาครับ ผู้พัน
     
  3. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    เอ่อ...ท่านผู้พันครับ ผมขอแสดงความคิดเห็นนิดนึงนะครับ เท่าที่ศีกษาและปฏิบัติมาจนได้ผลในระดับหนึ่ง นี่ ครูบาอาจารย์เคยสอนว่า การภาวนานั้น ต้องควบกับลมหายใจเข้าออกครับ กรรมฐานทุกกองหากทิ้งลมหายใจเข้าออก ไม่มีทางเป็นสมาธิได้แน่นอนครับ เพราะตัวลมหายใจเข้าออกนั้นเป็นกรรมฐานกองสำคัญเป็นแม่ของกรรมฐานทุกกอง ครับ สติจะทรงอยู่ได้เพราะรู้ลมหายใจเข้าออกเมื่อมีสติก็รู้คำภาวนาครับ ยกเว้นคนที่เป็นวิตกจริต หรือเป็นคนที่มีจิตฟุ้งซ่านชอบคิดไปมา นี่ท่านให้ทิ้งคำภาวนาไปก่อน จับแค่ลมหายใจหรืออานาปานุสติกรรมฐานกองเดียวครับ ผมนี่แหละคนฟุ้งซ่านมาก่อน พอทำตามคำสอนครูบาอาจารย์แล้วได้ผล จิตรวมง่ายครับ จำไว้ว่ากรรมฐานทุกกองต้องไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออก ต้องตามรู้อยู่เสมอทุกอิริยาบท จะภาวนาหรือไม่ นั้นแล้วแต่จริต ครับถูกไม่ถูกอย่างไรให้ท่านค้นคว้า กรรมฐาน 40 หรือมหาสติปัฏฐาน 4 ครับ โดยเฉพาะหมวดอานานปานบรรพ ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องปริยัติด้วย เพราะเรียนน้อย แต่เน้นปฏิบัติครับ เรียนแค่จุดที่ทำถึงเท่านั้น
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ไม่เสมอไปหรอกครับ จอมยุทธ การทำจิตให้ สงบ แล้วแต่คนถนัด
     
  5. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ถูกต้องครับแล้วแต่คนถนัด ก็คือ แล้วแต่จริต ครับ 6 อย่างแล้วแต่อย่างไหน แต่อย่าลืมนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ เราเองก็เป็นผู้มากไปด้วยอานาปานุสติกรรมฐาน" ฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนอย่างไรทำอย่างไร ก็ทำอย่างท่านไม่เท่าท่านแต่เดินตามทางที่ท่านเดิน ไปถามผู้ปฏิบัติที่ถึงฌานหรือสมาบัติจริง ท่านจะพบว่าทุกท่านยืนยันเหมือนกันว่า ทิ้งอานาปานุสติไม่ได้ครับ ใครจะเห็นแตกต่างอย่างไรไม่ทราบ แต่ผมทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าครับ ไม่อยากอยู่กะเทวทัต อิอิ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG] [ ปุ๊ม !!! ]

    วะ ฮะ ฮะ ฮ่า ช้าก่อน สัตตบุรุษ

    ไฉนจึงได้กล่าวหาว่าเราไม่ได้เข้าไปยุ่ง หากท่านสัตตบุรุษได้กระทำกิจ
    ส่งจิตจ้าออกไปในกิจอันหลากหลายเช่นนั้น ....นั่นแหละคือผลแห่งเรา
    เรียกว่า ธรรมอุธธัจจะ

    หากท่านสัตตบุรุษกระทำเช่นนั้น หากขับรถอยู่ มือไม้ท่านจะกลับเข้าสู่
    ฐานไม่ได้หากเกิดเหตุฉุกละหุก เพราะจิตของท่านถูกเรา นิวรณ์อุธัจจะ
    ครอบงำ ให้รู้สึกว่ามีปัญญาสว่างจ้า แต่แท้จริงแล้ว จิตที่ปรกติรับอารมณ์
    ได้เพียงอย่างเดียว จะถูกส่งส่ายซัดไปทั่ว ครั้นเมื่อเกิดเหตุฉุกละหุกขึ้นแล้ว
    ละก้อ......

    ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า ท่านจะเหยีบเบรกไม่ลง เพราะจิตไม่สามารถครองสติไปที่
    เท้าได้ เพราะคุ้นชินกับการเอาจิตจ้าไปที่ตา แขน หู ตา จมูกอยู่ ไม่อาจรั้ง
    กลับมารักษาจิต..........

    แต่กระนั้น การติดธรรมุธธัจจะนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถฝึกเพื่อเห็นโอภาส
    อันแรงกล้า เพื่อระงับ และดับโอภาสนี้ภายหลัง.........อันฆารวาสอย่างไร
    เสียก็สามารถใช้วิธีนี้เพื่อยังการงานแบบฆาราวาสอันยิ่งได้......ขอเพียงให้
    เลือกกิจกรรมที่เหมาะสม...ก็จะทำให้เห็นธรรมได้ตามพระอานนท์กล่าวไว้

    แต่จะไม่มีทางเห็นทางเลย หากท่านไม่สดับธรรมะบ่อยๆ เนืองๆ แทนการ
    ขาดโอกาสในการทำสมถะและวิปัสสนา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2009
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ธรรมอุธธัจจะ กับ นิวรณ์อุธัจจะ ตัวหนึ่งต้องเป็นเทวดาแต่อีกตัวหนึ่งต้องเป็นมารแน่เลยใช้ไหมครับ ตัวหนึ่งคอยรักษาแต่อีกตัวหนึ่งคอยฉุดรั้งใช่ไหมครับ
    แต่ผมชอบข้อความนี้มากจังเลย แต่ท่านช่วยแปลงออกมาให้ผู้อื่นเห็นความหมายที่แท้จริงด้วยเถิด สาธุ
     
  8. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ปริยัติ นั้นยังเข้าไม่ถึงอารมณ์แห่งการปฏิบัติ หรือพูดง่ายๆ คือ รู้แจ้งแต่ไม่เห็นจริง ถึงเมื่อไรจะเข้าใจ พระนักปฏิบัติที่ท่านเดินจงกรมหรือ รู้ลมหายใจในทุกอิริยาบท แม้แต่กินข้าว หรือ อุจจาระ เขาเรียกว่าพระทรงฌาน จะฌานไหนก็ช่างมันก่อน ถ้าจิตท่านถึงฌานแบบใช้งานจริงเมื่อไรจะรู้ว่าการเข้าสมาธิไม่ได้ทำได้ตอนแค่ตอนหยุดอิริยาบถเท่านั้น ความสามารถแห่งจิตเป็นอะไรที่เกินความสามารถของนักปริยัติจะเข้าใจได้ผมเองยังเข้าใจได้ไม่หมดตราบใดยังไม่เป็นพระอนาคามี หรือ เป็นอธิจิต อธิบายไปยิ่งมากยิ่งผิด ผมอธิบายได้แค่คำสอนครูอาจารย์บอกมาเป็นแนวทางเท่านั้น "รู้นั้นรู้ได้ยิ่งมากยิ่งดี แต่จะให้ดีกว่า รู้อย่างเดียวแล้วปฏิบัติจุดที่รู้ ให้แจ้งแทงตลอด จึงจะเอาตัวรอดในการปฏิบัติได้" สรุปก็คือ ท่านสอนไม่ให้เมาตำราครับ ผมเคยเมาและเลิกเมาและ
     
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ดีแล้วครับ จะได้เป็นกำลังเป็นอีกแรงหนึ่ง ที่ช่วยต่ออายุพระศาสนาขอแค่อย่างเดียวคือ เห็นให้จริงตามจริงไม่แต่งเติมครับ ถ้ามันดีทำแล้วเกิดประโยชน์กิเลสสังโยชน์ลดลง สอนใครไม่ได้ก็สอนคนใกล้ตัวเพราะคนใกล้ตัวบางทีอาจมีทิฐิมานะน้อยพอเข้าใจอะไรได้ด้วยตนเองครับ อนุโมทนาครับ
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ท่านนิวรณ์ครับ คำว่า ธรรมอุธธัจจะ กับ นิวรณ์อุธัจจะ เป็นผลจาก นิวรณ์ทั้ง ๕ มีเหตุแห่งการเกิดจากอะไรครับ จริงๆ สาเหตุที่ผมไม่พบนิวรณ์ขณะปฏิบัติสมาธิเพราะว่า ผมจะออกจากสมาธิครับ ถ้าหลุดไปแล้วหรือเกิดขึ้นแล้ว เพราะผมจะเจอ ๒ ตัวพร้อมกันเลย คือ ความฟุ้งซ่าน กับ ความง่วง ๓ อย่างที่เหลือไม่เจอ แต่เมื่อเจอก็รู้ว่าเจอและเมื่อถูกครอบงำแล้วก็รู้ว่าถูกครอบงำแล้วครับ ถ้ามันครั้งเดียวแล้วสติตามรู้ทันและไม่เกิดขึ้นอีกผมก็จะทำสมาธิต่อไปครับ แต่ถ้ามันหลายครั้งคือ หลุด จาก ลมหายใจแล้วจิตปรากฏสัญญาอื่น หรือ สัปหงก ผมจะออกจากสมาธิทันที อย่างนี้ทำถูกไหมครับ ถูกไม่ถูกไม่รู้แต่มันทำแบบนี้ทุกครั้งที่เป็นครับ เคยฝืนไปทั้งที่ไม่มีสติ ไหลครับ อยู่ในภวังค์ ตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้เลยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ความรู้สึกนี้แหละที่ผมไม่ชอบเลยตอนทำสมาธิ จึงต้องมีสติมั่นตลอดเวลาครับ
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG] [ ปุ๊ม !! ]

    ฮัดช่า.....

    นายท่านเกิดความฝุ้งซ่าน เพราะ ท่านใช้จิตไปกับการสนทนาธรรมแบบไม่เลือกฝ่าย

    นายท่านเกิดความง่วง เพราะ การสนทนาของท่านแบบไม่เลือกฝ่ายทำให้จิตคุ้นกับการถอยออกจากโลก

    ฮัดช่า....ใช่ไม่ใช่....ท่านต้องค้นคิดแบบทดสอบ...แล้วลองดู.....



    [​IMG]
     
  12. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    แนะนำเล็กน้อยไม่รู้ว่าท่านยินดีรับฟังไหม จากที่ปฏิบัติมา ผมศึกษานิวรณ์ก่อน
    1.กามฉันทะ พอใจ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ที่กระทบ
    2.ปฏิฆะ ไม่พอใจ
    3.อุธัจจะ กุกุจจะ ลังเลสงสัย ระหว่างปฏิบัติ
    4.ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ต่าง ๆ
    5.ง่วง
    ที่นี้ ถ้านิวรณ์เกิด ให้เอากรรมฐาน ที่เป็นตัวแก้ของแต่ละข้อมาพิจารณาหักล้างกันครับ เช่น พอใจรูปสวย ให้เอาอสุภกรรมฐาน หรือกายคตานุสสติกรรมฐานมาพิจารณา กรณีของท่านนี่ฟุ้งซ่าน ให้จับอานานปานนุสติกรรมฐานอย่างเดียวอย่าภาวนา ถ้าง่วงให้ลุกขึ้น เดินจงกรมไปมาบ้าง ล้างหน้าบ้าง ขยี้ตาบ้าง แหงนดูดาวบ้าง ถ้า ไม่ไหวท่านให้นอนภาวนาจนหลับไปเลย ถ้าตายตอนนั้นเป็นพรหมทันที เพราะถือว่าหลับในฌาน ถ้าไม่ถึงฌานมันจะไม่หลับ จะฌานไหนอย่าสนใจ อีกอย่างที่ท่านนั่งสมาธิแล้วไม่รู้ตัวนี่ผมเคยเจอแต่เนื่องจากครูบาอาจารย์ผมมรณะภาพไปแล้วจึงไม่ได้เรียนถามท่าน แต่เข้าใจว่า ได้ฌานหยาบ ให้สังเกตุว่า มีอารมณ์คิดอยู่ไหม ถ้าไม่มีอารมณ์คิดแสดงว่าท่านถึงระดับฌานแล้ว แต่ได้แบบหยาบคือมีอารมณ์เดียวแต่สติตามรู้ไม่ทัน คล้าย ๆ เราหลับไปแล้วตื่นมา อีกอย่างให้ดูอาการว่า มันสลืมสลือเหมือนตื่นนอนใหม่ ๆ หรื อปล่าวหรือว่า คล้ายหลับตาแล้วลืมตาเฉย ๆ ไม่มีอาการใด ๆ จริง ๆ แล้วท่านว่ากรรมฐานนี่เขาเอาแค่จิตเป็นสุข พอรู้ตัวจิตจะเริ่มคลายตัวจะเริ่มมีอารมณ์คิด ให้หันมาพิจารณา วิปัสสนา 9 เลือกเอาแล้วแต่ข้อไหน พอพิจารณา จนจะเริ่มฟุ้งซ่านก็กลับมากำหนดลมหายใจ ภาวนาใหม่สลับกันอย่างนี้จึงจะถึงมรรค ถึงผลอ่ะครับ
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คุยน่าสนุกดีนะ ^-^
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    การภาวนาโดยใช้ลมด้วยก็ดี กรรมฐานบางอย่างและส่วนใหญ่ จะเกิดสมาธิได้ก็ทิ้งลม ส่วนคนฟุ้งซ่านผมกลับเห็นว่าให้ควรใช้คำภาวนาให้มาก

    ตรงนี้อาปาที่เป็นยอด เพราะแทบจะไม่ต้องไปหาอุบายอื่นไกลตัว ซ้ำยังพลิกเข้าวิปัสสนาได้ง่าย

    ยังไม่ได้อนาคา แล้วได้อะไรแล้ว

    ก็ที่ท่านพูดมา ทั้งเรื่องจริต เรื่องอาปา เรื่องนิวรณ์ วิปัสสนา9 และเรื่องอาจารย์ ไม่ใช่ปริยัติทั้งนั้นเหรอ ^-^
     
  15. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983

    ถ้าผมขับรถอยู่ ผมไม่ได้จับลมหายใจหรอกครับ ต้องตั้งสติจับพวงมาลัยครับ มัวแต่จับลมหายใจบังคับรถไม่ได้หรอกครับ กรรมฐาน ๔๐ กองก็ต้องใช้ความจำในการกำหนดภาพนิมิต ไม่ได้จับลมอีก ถ้าอานาปานสติ นั้น ถูกต้องครับ ต้องจับลมหายใจ แล้วถ้าลมหายใจไม่มี จะจับอะไรดีละครับ.......แนะนำได้นะครับ

    ขอบคุณครับที่สนใจ และให้ความรู้เพิ่มเติม
     
  16. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ปริยัติของผมที่ท่านว่าอ่ะไม่ได้มาจากตำรา แต่มาจากการปฏิบิตัที่ครูบาอาจารย์บอกมั่ง ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง แม้จะเล็กน้อย ที่ผมว่าปริยัติของผมคือจุดที่ผมยังไม่ถึง แต่ยกคำสอนท่านมาอ้างอิงและอธิบาย ตั้งแต่ปฏิบัติมาไม่เห็นมีจุดไหนมันจะผิดไปตามคำสอนครูผมเลยนี่ อย่าลืมว่าคำสอนพระตถาคต ต้องพิสูจน์ได้จริง แล้ว ถ้าถึงแล้วผลต้องจริง ตามนั้น จำไว้พระ (หมายเอาตั้งแต่โสดาบัน ถึงพระอรหันต์)พูดแล้วต้องเป็นจริง ไม่จริงไม่พูด ที่ท่านย้อนผมว่าไม่ใช่อนาคามีแล้วเป็นอะไร เป็นคนที่ยังต้องแคะความเลว แล้วก็ใช้แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน และครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติตามแนวพระพุทธเจ้าสอนเป็นแนวทาง อย่างน้อยก็มีศีลเป็นสมบัติ ไม่เบียดใครด้วยวาจา หรือกาย โลภ โกรธ หลง มีครบ แต่พยายามชำระล้าง ส่วนที่ท่านค้านเรื่องอานาปานนุสติ นั้น ผมว่าท่านไปศึกษามาใหม่ ถ้าไม่อยากเชื่อใคร ก็พระไตรปิฏกมี สงสารหลวงพ่อมหากัสสปะ และ พระอริยะสงฆ์ทั้งหลายพากันเรียบเรียงเพื่อคนรุ่นหลังลำบากแทบตาย คนเหล่านั้นไม่เคยสนใจ จะค้นคว้า อะไรที่เห็นไม่ตรงกับตนก็ไม่รับรู้รับฟังหรือเปิดใจฟัง สงสารท่านผู้มีคุณทั้งหลายจริง ๆ พระพุทธเจ้าลำบากมา อย่างน้อย 4 อสงไขย กำไรแสนกัปล์ เพื่อหาทางพ้นทุกข์มาให้ บุคคลเหล่านั้นยังไม่รู้จักคุณ สอนคัดค้านคำสอนมั่ง ดัดแปลงแก้ไข มั่ง (พวกรู้เกินพระพุทธเจ้า) ผมไม่สนใจคนเหล่านั้น ไม่ได้อะไรขึ้นมาเอาเวลาสนใจมานั่งภาวนาระงับกิเลสดีกว่า อีกอย่างก่อนจะโพสต์ย้อนผมอ่ะ อ่านแล้วทำความเข้าใจก่อนว่าผมหมายความว่าอย่างไร คิดเสียก่อน ผมไม่ใช่พวกเมาตำรา บ้าวิชา แต่ชอบปฏิบัติตามที่พระท่านวางไว้ไม่นอกคอก
     
  17. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ท่านผู้พันครับ ท่านลองทดสอบสักอย่างก็ได้ เวลาท่านอาบน้ำก็ได้ ระหว่างอาบน้ำท่านลองตามรู้ลมหายใจไปด้วยดูซิ ว่าท่านจะอาบได้ไหม ถ้าคล่องแล้วมันไม่เป็นปัญหาครับ ผมเองขับรถอยู่ก็รู้ไปด้วย ขนิกะสมาธิอ่ะ ก็พอที่จะขับรถแล้ว ที่ให้รู้ลมเพื่อระงับฟุ้งซ่านบ้าง เพราะ โลภะ โทสะ โมหะ มันพร้อมที่จะเกิด เวลารถติดถ้าไม่จับลมหายใจ ท่านหงุดหงิดแล้ว ค่อย ๆ พิจารณาที่ผมโพสต์ดี ๆนะครับ ลองดูก่อนไม่จริงค่อยแย้ง ลองพยายามดูครับ ไม่ต้องการจับลมหายใจก็คือ การฝึกตั้งสตินั้นเอง
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    แสดงความเห็นต่าง และถามหน่อยเดียว ไล่ซะยาวเลยนะครับ

    อยู่ดี ๆ คุณก็กล่าวขึ้นมา ไม่ใช่พวกเมาตำรา และพวกรู้เกินพระพุทธ ผมก็อยากรู้ใครไปว่าคุณหรือครับ

    ไม่มีอะไรนะ ผมก็แค่อยากคุยด้วยเท่านั้น เผื่อว่าคุณจะชี้ทางที่เป็นประโยชน์แก่ผม ^-^
     
  19. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    แก้ไขนิดนึง การจับลมหายใจก็คือ การฝึกตั้งสตินั้นเอง<!-- google_ad_section_end --><!-- / message -->
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    จับไปก็เจอความว่างเปล่า อย่าจับเลย รู้ก็คือรู้ ทุกอย่างตรงตัว อย่าถือมั่นถือทิฐิเลย เหมือนกันแหละ แต่ต่างตรงที่ เห็นอะไรเท่านั้น คือ เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเอง หรือเห็นในสิ่งที่สร้างขึ้นเอง นี่แหละสมาธิ ส่วนเรื่องวิปัสสนา ถ้าจิตใจยังขุ่นมัวอยู่ผมแจ้งแล้วว่าไม่มีวันมองเห็น ไตรลักษณ์ ของสรรพสิ่งได้ เมื่อไม่เห็นไตรลักษณ์ ก็ไม่ควรจะเป็นไปได้ที่เห็นอริยะสัจ๔ นี่แหละครับเหตุและผล และการที่จะทำให้จิตที่ขุ่นมัวด้วยกิเลสตัณหานั้นไม่ขุ่นมัวก็คือการฝึกสมาธิ ในขณะที่ฝึกสมาธิก็จะมีการฝึกสติอยู่ในตัว ทุกอย่างที่เห็นจึงเป็นสักแต่ว่าเห็น ไม่ตื่นเต้นตกใจครับ อย่าเถียงกันเลยเสียเวลาเปล่า ในจักรวาลนี้มีอย่างเดียวที่ไม่เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ที่เหลือตามกฏหมดหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยครับ แต่สุดแล้วแต่เมื่อจิตพร้อมจะพิจารณา ว่าจะเลือกเข้าทางไหน มีทางเข้าแค่สามทาง เท่านั้นครับ
    ลองพิจารณาดูครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...