พระโคตมพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 16 เมษายน 2006.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    [​IMG]

    <TABLE width="60%"><TBODY><TR><TD width="70%">พระโคตมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าหมายถึงใคร
    โคตมพระพุทธเจ้าของเราคือใคร
    พระพุทธเจ้าทรงเริ่มชีวิตอย่างไร
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างไร
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
    หลังตรัสรู้ทรงดำเนินชีวิตอย่างไร
    ทรงนิพพานอย่างไร
    สังเวชนียสถานคืออะไร

    </TD><TD>หากท่านมีคำถามเหล่านี้ในใจ กรุณาอ่านต่อไป บทความข้างล่างนี้มีคำตอบ โดย
    นพ. สมพนธ์ บุญยคุปต์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]


    พระพุทธเจ้าหมายถึงใคร

    พระพุทธเจ้าตามศัพท์หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หมายถึงมนุษย์ผู้สามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ถึงสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ ของโลก เห็นทางแห่งการพ้นทุกข์ พ้นวัฏสงสาร และได้นำธรรมะที่พระองค์ค้นพบมาสั่งสอนแก่บรรดามนุษย์และสัตว์โลกทั้งในภพภูมินี้และภพภูมิอื่น เพื่อให้พ้นทุกข์ได้เช่นพระองค์ เพราะสัจธรรมมีเพียงวิธีเดียว ดังนั้นในแต่ละยุคสมัยจึงมีพระพุทธเจ้าได้เพียงพระองค์เดียว

    เราทราบดีว่าโลกมีกำเนิดมาเป็นเวลานานมาก จนนับย้อนหลังไม่ได้ ก็ย่อมจะมีมนุษย์ เมื่อมีมนุษย์ก็ย่อมจะมีความเชื่อ มีลัทธิ มีศาสนา ย่อมต้องมีพระพุทธเจ้าที่ทรงค้นพบพระธรรมคำสอนมาก่อนแล้ว และเป็นพระธรรมคำสอนเดียวกัน เพราะสัจธรรมของชีวิตและธรรมชาติที่แท้จริงรวมถึงทางพ้นทุกข์ ไม่ว่ายุคใดๆก็ต้องเหมือนกัน จึงจะเป็นความจริง เป็นสัจธรรม คงจะมีเพียงข้อปลีกย่อยที่แตกต่างกัน สำหรับชีวิตคนในยุคต่างๆ เมื่อโลกมีภัยพิบัติของธรรมชาติรุนแรงขึ้น มนุษย์ในยุคนั้นและพระธรรมคำสอนต่างๆย่อมสูญหายไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายพันหลายหมื่นปีย่อมมีมนุษย์และมีพระพุทธเจ้าขึ้นใหม่อีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกตามอายุของโลกนี้

    ตามคำอธิบายถึงพุทธองค์ทางพุทธศาสนาจะได้มีพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้วถึง 27 พระองค์ พระองค์แรกที่สุดมีชื่อว่าพระตัณหังกร แต่ละองค์มีระยะเวลาของศาสนาของพระองค์แตกต่างกัน ก่อนจะถึงภัทรกัปที่เราอยู่นี้ ซึ่งจะมี 5 พระองค์ ที่ผ่านมาแล้วได้แก่พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ จึงถึงพระพุทธองค์ของเราเป็นองค์ที่ 4 ของภัทรกัปคือโคตมะพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ 28 และเมื่อสิ้นยุคของพระโคตมพระพุทธเจ้าซึ่งมีคำอ้างที่หาที่มาไม่ได้แน่นอนว่าจะมีอายุเพียงห้าพันปี คงจะมีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นที่ทำให้มนุษย์และคำสั่งสอนในปัจจุบันสูญหายไป และจะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานมากที่โลกไม่มีพระพุทธเจ้าเรียกว่า สุญญกัป ไม่ใช่ว่าหมด 5 พันปีแล้วจะมีพระพุทธเจ้าขึ้นใหม่ และมีพุทธศาสนาทันที ซึ่งสุญญกัปนี้เป็นเวลานานมากก่อนจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ขึ้น ที่มีชื่อว่า พระศรีอาริยเมตไตรย์ ซึ่งจะเป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัป คงจะทราบว่าขณะนี้ได้มีบางวัดบางคนสวดมนต์สำหรับพระศรีอาริยเมตไตรย์กันแล้ว โดยหวังจะไปเป็นสาวกในยุคท่านซึ่งว่ามีระยะเวลาของศาสนาของท่านถึงหนึ่งหมื่นปี ทั้งนี้อาจเห็นว่าคงจะไม่ทันพ้นทุกข์ในยุคพระพุทธโคดมนี้เป็นแน่นอน แต่อย่าลืมว่าต้องรอเวียนว่ายกันในวัฏสงสารอีกนานแสนนานกว่าจะถึงยุคท่าน เพราะช่วงเวลาที่มีพระพุทธเจ้านั้นสั้นนิดเดียวเมื่อเทียบกับเวลาที่ไม่มี ดังนั้นน่าจะคิดพยายามปฏิบัติธรรมเสียในยุคที่เราอยู่นี้ดีกว่า

    เนื่องจากพระพุทธเจ้าในยุคหนึ่งๆจะมีได้เพียงพระองค์เดียว จึงจะต้องเป็นคนพิเศษที่ได้มีการบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมีมาเป็นเวลาเนิ่นนานจนนับไม่ถ้วนอย่างเช่นในตำนานชาดกแม้เพียง 10 ชาติสุดท้าย เรียกว่าทศบารมีของพระพุทธองค์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้หนึ่งพระชาติในเรื่องพระมหาชนกจึงได้เป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือผู้ที่สร้างสมบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งมีจำนวนมากมายที่รออยู่

    ตามตำนานผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องได้รับคำทำนายจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งก่อนว่าต่อไปจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เช่น พระโคดมพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ได้รับคำทำนายเป็นครั้งแรกจากทีปังกรพุทธเจ้า (องค์ที่ 4) เป็นครั้งแรกและพระกัสสปะพุทธเจ้า (องค์ที่ 27) เป็นองค์สุดท้าย

    ยังมีพระโพธิสัตว์อีกไม่น้อยที่ท่านได้เกิดมาและสามารถปฏิบัติจนค้นพบสัจธรรมของการหลุดพ้นเช่นเดียวกัน แต่พระองค์ไม่ได้นำสัจธรรมนั้นๆมาสั่งสอนแก่มวลมนุษย์จึงเรียกว่าปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านเข้าสู่ปรินิพพานไปโดยมิได้นำผู้อื่นไปด้วย

    พระพุทธเจ้าของเราคือใคร

    เมื่อก่อนพุทธกาล มนุษย์ยังเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่จำนวนมาก ไม่ได้เป็นประเทศอย่างปัจจุบัน มีหัวหน้ากลุ่มและเกิดสงครามระหว่างกลุ่ม กลุ่มใดใหญ่ขึ้นก็สร้างบ้านเมืองขึ้น เช่น ในชมพูทวีป หรืออินเดียในปัจจุบันมีกลุ่มชนมากมาย ที่บริเวณเชิงภูเขาหิมาลัยติดเนปาลมีชนชาติอารยันหรืออริยกะที่เป็นคนผิวขาวที่บุกมาตั้งบ้านเมืองอยู่ประมาณ 400 ปีก่อนพุทธศักราช มีพระเจ้าโอกกากราชเป็นต้นราชวงศ์ศากยะ ซึ่งได้สืบต่อมาจนถึงพระเจ้าสุทโธทนะ มีมเหสีชื่อพระนางมหามายาซึ่งเป็นธิดาของแคว้นเทวทหะ ครองเมืองกบิลพัสดุ์ อยู่บริเวณป่าหิมพานต์ในเนปาล เมื่อพระนางมหามายาตั้งครรภ์แก่ก็จะเดินทางกลับไปคลอดที่เมืองของตนตามประเพณี แต่เมื่อมาถึงตำบลสวนลุมพินีที่ห่างจากเมืองมา 12 กิโลเมตร (ปัจจุบันชื่อเมือง Rummindei เหนือกุสินาราและแคว้นพาราณสี Varanasi หรือ Beneres) พระนางมหามายาเจ็บพระครรภ์ และประสูติพระโอรสชายใต้ต้นสาละในท่ายืนซึ่งเป็นท่าที่สตรีนิยมคลอดในสมัยนั้น ตรงกับคืนวันเพ็ญเดือนหก (ตรงกับวันศุกร์ปีจอ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช (623 ปีก่อนคริสตศักราช) ซึ่งต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างเสาจารึกตำแหน่งประสูติไว้ เช่นเดียวกับหลักฐานที่ตรัสรู้และปรินิพพานในเวลาต่อมา เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรื่องของพระพุทธองค์เป็นเรื่องจริงมิใช่การแต่งขึ้น มีการเกิด การตรัสรู้ และปรินิพพาน

    เนื่องจากพระโอรสมีลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ จึงได้รับคำทำนายจากอสิตดาบสว่า ถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิครองแผ่นดินทั้งปวง ถ้าออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก พระเจ้าสุทโธทนะจึงตั้งชื่อว่า สิทธัตถะ แปลว่าสำเร็จสมหวัง หลังจากประสูติได้ 7 วัน พระนางมหามายาก็สิ้นพระชนม์ พระสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของนางปชาบดีโคตมีผู้เป็นน้าสาว

    พระพุทธเจ้าเริ่มชีวิตอย่างไร

    จากคำทำนายทำให้พระเจ้าสุทโธทนะต้องการให้พระสิทธัตถะเป็นพระมหาจักรพรรดิ จึงให้เล่าเรียนวิชาการสู้รบต่างๆจากสำนักวิศวามิตรจนแตกฉาน และปรนเปรอให้ความสุขสบายทั้งปวงมีตำหนักสามฤดูพร้อมข้าราชบริพาร พยายามที่จะไม่ให้พบเห็นสิ่งที่ไม่น่าดูหรือเป็นทุกข์ จนอายุ 16 ปี ก็ได้สมรสกับพระนางยโสธราพิมพาซึ่งเป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่งเทวทหนคร

    อย่างไรก็ตามต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จออกประพาสนอกพระราชวังก็มีโอกาสได้เห็นความทุกข์จากคนชรา คนป่วย คนตาย และเห็นนักบวช ด้วยบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ได้สร้างสมมาทำให้ตระหนักว่าพระองค์คงจะต้องผ่านสิ่งเหล่านั้นเช่นเดียวกันและไตร่ตรองหาทางให้หลุดพ้นจากกองทุกข์เหล่านั้นและทรงดำริว่าการเป็นนักบวชอาจเป็นวิถีทาง พระองค์ได้ครองชีวิตคู่อยู่จนถึงอายุ 29 ปี ขณะที่พระนางพิมพาได้คลอดเจ้าชายราหุลแล้ว ทรงตระหนักว่าเริ่มมีห่วงของชีวิต หากรอเนิ่นช้าต่อไปความประสงค์ที่จะหาทางหลุดพ้นคงจะทำไม่ได้ จึงทรงตัดสินพระทัยทิ้งพระราชวังออกไปกับนายฉันนะ และม้ากัณฐกะ จนถึงแม่น้ำอโนมาแล้วใช้พระขรรค์โกนพระเกศา เพื่อตัดการดำรงชีวิตแบบผู้ครองเรือนเป็นนักบวชต่อไป

    ถึงจุดนี้ได้มีบุคคลผู้ถือศาสนาอื่นกล่าวหาว่าพระพุทธองค์ทรงเห็นแก่ตัวละทิ้งพระนางพิมพาและพระราหุลไป เพื่อตัวพระองค์เอง ในทางโลกการเห็นแก่ตัวจะต้องละทิ้งสิ่งอื่นๆเพื่อไปหาสิ่งที่ดีกว่า แต่พระพุทธองค์ทรงเสียสละความสุขสบายและข้าใช้สอยทั้งปวงในราชสมบัติ เพื่อออกไปหาลำบากด้วยพระองค์เดียว ละทิ้งวัง 3 ฤดูไปอาศัยอยู่ตามโคนไม้ ทิ้งเครื่องทรงที่สวยงามไปใช้ผ้าขาดนุ่งห่ม ละทิ้งอาหารอันโอชะไปฉันวันละมื้อเท่าที่จะมีคนถวาย พระองค์ต้องทนลำบากอยู่ตั้งแต่อายุ 29 จนถึง 35 ปี จึงสามารถตรัสรู้ได้ มิหนำซ้ำเมื่อพบสัจธรรมแล้วพระองค์ท่านใช้เวลาถึง 45 ปี เพียรตระเวณสั่งสอนบรรดานักบวชต่างๆ รวมทั้งประชาชนทั่วไปจำนวนมากให้พ้นทุกข์และสามารถบรรลุถึงอรหันต์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายในกองทุกข์อีก นอกจากนี้พระนางพิมพาและพระราหุลเองก็ได้รับผลบุญนี้ โดยได้เข้าบวชในพระพุทธศาสนาเป็นอริยบุคคลต่อไป จึงเป็นการตัดคำครหาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างไร

    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้เปลี่ยนสภาพเป็นนักบวชแล้วก็ได้ศึกษาและเสาะแสวงหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ต้องทราบว่าในระยะนั้นในชมภูทวีปมีลัทธิและความเชื่ออยู่มากมาย ที่เป็นหลักอยู่ก็คือ ลัทธิพราหมณ์ ซึ่งเป็นลัทธิของชาวอารยันเช่นเดียวกัน มีการแบ่งชั้นวรรณะเป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร ซึ่งต่อมาภายหลังจึงกลายเป็นศาสนาฮินดู ซึ่งมีผู้อธิบายว่าจากคนเปอร์เซียที่เข้ามาในอินเดียเรียกชาวอารยันที่อยู่ที่แม่น้ำ Sindhu เพี้ยนไปว่าฮินดูซึ่งศาสนาทั้งสองนี้มีการแก้ไขพัฒนามาตลอดเวลา มีคัมภีร์อรันยะกะ (Aranyakas) และอุปนิษัท (Upanishads) ซึ่งพระสิทธัตถะคงเคยศึกษาคัมภีร์เหล่านี้เล่มแรกที่อธิบายถึงธรรมชาติ จักรวาลวิญญาณของมนุษย์ การเกิดใหม่ของมนุษย์ กฎแห่งกรรม และการวนเวียนตายเกิด โดยเชื่อว่าพรหมหรือปรมาตมันเป็นต้นวิญญาณสูงสุดในจักรวาล และมีส่วนย่อยเป็นอาตมัน หรือชีวาตมันมาอยู่ในคนต่างๆ ถ้าคนเหล่านี้ได้บำเพ็ญเพียรและประกอบพิธีกรรมต่างๆอาจทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ ไม่เกิดอีก โดยอาตมันของตัวเองเข้าไปรวมกับปรมาตมันได้ สำหรับคัมภีร์อุปนิษัทอธิบายเรื่องกฏแห่งกรรมคล้ายพุทธศาสนา แต่ผิดกันในรายละเอียด โดยถือว่าเมื่อตายแล้วต้องไปขึ้นศาลพระยายมพิพากษาความผิด เมื่อรับโทษในนรกแล้วจะไปขึ้นสวรรค์ พระสิทธัตถะได้ศึกษาคัมภีร์เหล่านี้แล้วคงจะยังไม่พอใจ เพราะอธิบายธรรมชาติไม่ได้ทั้งหมด ความเป็นเหตุเป็นผลไม่สมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตามพระสิทธัตถะคงจะต้องศึกษาให้ครบถ้วนตามวิชาการที่มีในครั้งนั้น ซึ่งมุ่งในทางประกอบพิธีกรรมและบำเพ็ญเพียร จึงได้มุ่งไปหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุคนั้นคือ อาฬารดาบส ที่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ซึ่งก็ได้สั่งสอนให้จนหมดฝีมือ

    ต้องขอย้อนไปเขียนถึงกฎการเวียนว่ายตายเกิดก่อนว่าเจ้าชายสิทธัตถะนั้นได้บำเพ็ญเพียรบารมีมาในชาติภพต่างๆเป็นที่ยิ่งแล้ว ดังนั้นตั้งแต่เยาว์วัยจึงมิใช่เด็กธรรมดาอย่างเราๆ ขณะที่ทรงพระเยาว์ได้ติดตามพระราชบิดาไปในพิธีแรกนาขวัญ ขณะนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้จิตได้เข้าสู่สมาธิจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นระดับของจิตที่เป็นสมาธิตั้งมั่นได้แล้ว ซึ่งทำให้เจ้าชายเข้าใจเรื่องของจิต ของธรรมชาติมากอยู่แล้วโดยยังไม่มีใครสอน เมื่อได้มาปฏิบัติศึกษาอยู่กับอาฬารดาบส จนสามารถสำเร็จการปฏิบัติจิตถึงรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 3 เท่าอาจารย์ แล้วจึงไปศึกษาต่อกันอุทกดาบสจนได้อรูปฌาน 4 ซึ่งเป็นฌานขั้นสูงสุดเท่าอาจารย์ พระสิทธัตถะก็เห็นว่าการปฏิบัติและพิธีกรรมเหล่านี้คงไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ในระยะนั้นได้มีศาสดาจำนวนมากสละทางโลกออกบวชเรียกว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • big3.jpg
      big3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.8 KB
      เปิดดู:
      6,802
  2. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    สาธุ ขอน้อมอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวล


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...