วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160

    เรียนอ.คณานันท์ และขออนุญาตคุณประตูสู่แสงสว่างเจ้าของคำถามด้วยครับ

    ผมขอเรียนถามอาจารย์

    - ในขณะที่ผมเจริญสมาธิรู้สึกคันตามมือและลำคอเหมือนโดนยุงกัด
    อย่างนี้เป็นอาการของปีติหรือเปล่าครับ

    - ทุกครั้งที่รู้สึกคันก็จะออกจากสมาธิเพื่อเกา พร้อมทั้งนึกว่าเอเรา
    โดนยุงกัดได้ไงนี่ ในห้องพระก็ไม่มียุงสักหน่อย จากนั้นก็เริ่มเจริญ
    สมาธิใหม่ เป็นอย่างนี้ทุกที

    - ที่อาจารย์แนะนำให้แผ่เมตตาให้ตัวเองนั้น เป็นการนึกเอาโดยจิตของ เราใช่ไม๊ครับ หรือว่าผมจะต้องเพ่งไปที่จิตของตัวเอง กรุณาอธิบายตรงนี้ด้วยครับ

    - การแผ่เมตตาไปยังบุคคลอื่น สถานที่อื่น ให้นึกเอาใช่ไม๊ครับ เหมือนกับการอธิษฐานหรือเปล่าครับ

    - มีวิธีอย่างไรให้เราจับภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใสครับ หรือต้องใช้เวลาในการฝึกนานแค่ไหนเราถึงจะสามารถจับภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใส
    ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถจับภาพพระได้ครับ

    - ในการฝึกจับภาพพระของผม ผมยังไม่มีแบบของภาพพระที่ติดตาติดใจเลย บางครั้งในขณะที่ผมเจริญสมาธิ ผมก็นึกภาพพระเป็นพระพุทธเจ้าที่เป็นกายเนื้อที่เราเห็นในรูปวาด บางครั้งก็นึกเป็นพระพุทธชินราช บางครั้งก็สับสน บางครั้งเวลาอยู่นอกบ้านมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ใจก็นึกเห็นภาพพระ เห็นเป็นเหมือนพระธรรมกายองค์ใหญ่ ๆ ที่วัดพระธรรมกายลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่ผมไม่ได้ฝึกสายธรรมกายนะครับ ผมฝึกตามแบบหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง และหนังสือวิชชาฯ ที่ได้รับจากอาจารย์

    กรุณาให้ความกระจ่างแก่ผู้ปฏิบัติใหม่ด้วยครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

     
  2. ประตูสู่ทางสว่าง

    ประตูสู่ทางสว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,173
    เวลาแผ่เมตตาผมทำตามคำบรรยายของอาจารย์ครับ อาณาปานสติ-ภาคเช้า
    ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกขอคำแนะนำจากอาจารเพิ่มเติมด้วยครับ
    หาฟ้งในกระทู้นี้ครับผมลิ้งไม่เป็น (ผมฉลาดน้อยไปหน่อย)
    อนุโมทนา ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  3. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขอบคุณพี่ประตูสู่ทางสว่างสำหรับคำแนะนำครับ

    ยังไงรบกวนอาจารย์คณานันท์ให้ความกระจ่างด้วย

    ขอบพระคุณครับ
     
  4. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ไฟล์เสียงแนะนำสมาธิ โดย กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ - Buddhism Audio

    ไฟล์เสียงแนะนำสมาธิ โดย กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ<!-- google_ad_section_end -->


    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1">
    โดย: คุณคณานันท์ ทวีโภค
    <fieldset class="fieldset"> <legend>ไฟล์แนบข้อความ</legend> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3"> <tbody><tr> <td width="20"><input id="play_22959" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22959.value;" name="Music" value="attachment.php?attachmentid=22959" type="radio">ฟัง</td> <td>[​IMG]</td> <td>01-อานาปานสติ-ภาคเช้า.mp3 (28.48 MB, 4204 views)</td></tr><tr> <td width="20"><input id="play_22960" onclick="document.all.music.url=document.all.play_22960.value;" name="Music" value="attachment.php?attachmentid=22960" type="radio">ฟัง</td> <td>[​IMG]</td> <td>02-กสิน อรูปฌาน มโนมยิทธิ-ภาคบ่าย.mp3 (29.85 MB, 1807 views)</td></tr></tbody></table></fieldset>
     
  5. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญ

    กับคุณnuttadet ด้วยครับ
     
  6. mata_tuk

    mata_tuk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +11
    ข้อแนะนำดีๆ ทำสมาธิหมู่กู้วิกฤติโลก

    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><o:smarttagtype namespaceuri="urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" name="place"></o:smarttagtype><o:smarttagtype namespaceuri="urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" name="City"></o:smarttagtype><o:smarttagtype namespaceuri="urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" name="State"></o:smarttagtype><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:16.0pt; font-family:"Angsana New"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 1.0cm 72.0pt 1.0cm; mso-header-margin:35.45pt; mso-footer-margin:35.45pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} /* List Definitions */ @list l0 {mso-list-id:932323740; mso-list-type:hybrid; mso-list-template-ids:-1010279734 67698703 67698713 67698715 67698703 67698713 67698715 67698703 67698713 67698715;} @list l0:level1 {mso-level-tab-stop:36.0pt; mso-level-number-position:left; text-indent:-18.0pt;} ol {margin-bottom:0cm;} ul {margin-bottom:0cm;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapedefaults v:ext="edit" spidmax="1026"/> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapelayout v:ext="edit"> <o:idmap v:ext="edit" data="1"/> </o:shapelayout></xml><![endif]--> “อีก 3 ปีโลกนี้จะมีภัย”
    เตรียมตัวทำแผนที่โลกใหม่กันได้แล้ว
    โดย อ.ปริญญา ตันสกุล <st1:place w:st="on"><st1:city w:st="on">MBA.</st1:city>,<st1:state w:st="on">MS</st1:state></st1:place>
    นักวิชาการสัมผัสพิเศษ และนักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมทางจิต
    <o:p> </o:p>
    ในวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา ชมรมจิตจักรวาล และชมรมผู้ประพฤติธรรมแห่งประเทศไทย ได้เชิญ ท่านอาจารย์ปริญญา ตันสกุลอบรมธรรมะภาคปฏิบัติ ให้กับผู้ที่ร่วมสนใจรับฟัง ในหัวข้อเรื่อง “ อีก 3 ปีโลกนี้จะมีภัย”
    เนื้อหาที่ท่านอาจารย์ได้สื่อสอนมานั้น เป็นความรู้ใหม่จริงๆที่หลายๆคนยังไม่เคยรู้เลยว่าตนเองจะต้องรู้ ทั้งๆที่ตนเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่เหยียบยืนอยู่บนโลกใบนี้เหมือนกันเราที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และความรู้ที่ท่านอาจารย์ได้สอนในวันนั้น เราคนหนึ่งที่ต้องการจะบอกกล่าวไปยังเพื่อนๆอีกหลายๆคนว่า ไม่เสียดายเลยจริงๆที่เราได้ไปร่วมรับฟังธรรมะในวันนั้น เป็นการรวบรวมเอาธรรมะของพระศาสดาทุกๆพระองค์มาสอนให้เข้าใจในแนววิทยาศาสตร์ พร้อมกับแจ้งข่าวสารเตือนภัยพิบัติต่างๆซึ่งสอดคล้องกับความจริงที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้จริงๆ สำหรับความรู้ที่เราได้เรียนรู้มาก็พอจะสรุปคร่าวๆ ดังนี้ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เรื่องราวต่างๆของดาวเคราะห์โลกดวงนี้มีหลายอย่างที่มนุษย์อย่างเราๆยังไม่รู้มีมากมาย อย่างเช่น
    วันมหาสุญตา เป็นวันเริ่มต้นการหมุนของดาวทุกดวงในระบบสุริยจักรวาล และบอกตำแหน่งต่างๆของดาวเคราะห์ ซึ่งมันอาจจะแตกต่างจากความรู้เดิมที่เราเรียนกันมา แต่ว่าพอได้ฟังท่านอาจารย์สอนแล้ว ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าเหตุใดมันถึงได้แตกต่างจากความรู้เดิม (เราขอแนะนำว่า คุณควรจะอ่านศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือสหพันธ์ทางจิต กับพฤติกรรมมนุษย์ ของสำนักพิมพ์จิตจักรวาล )
    โลกทางกายภาพ มีแกนกลางเป็นธาตุออกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100 % และมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นประจุลบ ซึ่งสามารถทำปฏิกริยากับประจุบวก (มนุษย์ พืช และสัตว์เป็นผู้ผลิตให้กับโลก) และเป็นปฏิกริยาที่รุนแรงระดับนิวเคลียร์ ที่เรียกว่า NUCLEAR FISSION ทำให้ใจกลางโลกร้อนและช่วยทำให้โลกหมุนอย่างคงที่ตลอดมาเพราะแรงระเบิดในใจกลางโลก นอกจากนี้ยังมีผลผลิตเป็นก๊าซออกซิเจนที่เราใช้หายใจอยู่กันในทุกวันนี้อีกต่างหาก นอกเหนือที่ได้จากพืชที่ให้เราได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น
    สำหรับเรื่อง วิกฤตโลก ที่มนุษย์จะต้องเผชิญนั้น เป็น ความจริงที่ไม่มีใครรู้ว่า ตนจะต้องรู้ ว่าเหตุใดโลกถึงได้วิกฤตถึงเพียงนี้ อาจารย์ให้เหตุดังนี้ คือ
    <!--[if !supportLists]-->1.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]-->เป็นยุคที่จิตมนุษย์ตกต่ำอย่างรุนแรง เพราะมนุษย์รักไม่ได้ ให้ไม่เป็น โลกถึงได้วิกฤติ และ
    <!--[if !supportLists]-->2.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]-->เป็นช่วงเวลาปฏิบัติการชำระโลกก่อนสิ้นยุค และ ข้อ 3. (เราจดไม่ทันจริงๆ ขอโทษด้วยค่ะ)
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะว่ามนุษย์วิกฤติด้านจิตสำนึก ด้วยการใช้ วิธีคิดแบบจิตมนุษย์โดยใช้ ทฤษฎี ด.โมเดล คือ 1.ดู 2.เดา 3.ดึง 4.โดน และ 5.ดำ เป็นวิธีคิดโดยใช้มิติทางกายภาพอย่างเดียว ใช้สมองซีกซ้ายอย่างเดียว
    <o:p> </o:p>
    วิกฤติโลกที่เคยเกิดมาแล้วบนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้นั้น ท่านอ.ได้บอกว่า เกิดมาแล้ว 6 ครั้งในอดีต และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 ซึ่งมันจะรุนแรงมากกว่าครั้งที่ผ่านมา เป็น 2 เท่า เป็นการสร้างใหม่ที่เสื่อมโทรม กับการเก็บกวาดและการชำระล้างขั้นสุดยอดก่อนวันสิ้นยุคพลังงานเก่า และการชำระโลกครั้งนี้ มีขั้นตอนในการชำระดังนี้
    ขั้นที่ 1 : วิกฤตโลกร้าย เกิดจากมนุษย์มีศีลธรรมเสื่อมโทรม เกิดอาชญากรรมทุกวัน ฆ่ากันเองอย่างไร้มนุษยธรรม<o:p></o:p>
    ขั้นที่ 2 : วิกฤตโลกร้อน เป็นเพราะดาวเคราะห์โลกเสียสมดุล น้ำท่วม เชื้อโรคร้ายระบาดอย่างรุนแรง<o:p></o:p>
    ขั้นที่ 3 : วิกฤตโลกร้าว เปลือกโลกทรุดต่ำลง
    ขั้นที่ 4 : วิกฤตโลกรั่ว เปลือกโลกทะลุ ทำให้เกิดพายุไซโคลน ภูเขาไฟระเบิด
    ขั้นที่ 5 : วิกฤตโลกรอด เป็นวันเวลา 56 วัน 7 ราตรี
    ทุกเรื่องที่วิกฤตนั้น มีผลมาจากจิตสำนึกมนุษย์ที่ตกต่ำทั้งสิ้น ดังนั้นมีหนทางเดียวที่ช่วยให้โลกเราบอบช้ำน้อยที่สุด และเป็นการยืดเวลาให้กับโลกเราได้นั้น มันขึ้นอยู่กับการกระทำที่จิตสำนึกของพวกเราทั้งนั้น และในวันนั้น ท่านอาจารย์ได้ชี้แนะให้มนุษย์ทุกคน ช่วยกันใช้หลักธรรมะเข้าช่วยโลก คือ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก พืชให้ความรักจากธรรมชาติ ช่วยค้ำจุนโลกอยู่แล้วนั้น ถ้าเราไม่ไปตัดไม้ ทำลายป่า ก็เป็นการช่วยโลกให้รอดได้ระดับหนึ่ง ต่อมาก็คือสัตว์ ที่ใช้ความรักจากสัญชาตญาณในการค้ำจุนโลกเช่นกัน แต่มนุษย์เรากลับฆ่าสัตว์ กินเป็นอาหารมากมาย และสุดท้าย มนุษย์ที่ใช้ความรักจากจิตวิญญาณช่วยค้ำจุนโลก ซึ่งในทุกวันนี้เราได้รับความรักจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแสนยากเย็น เพราะว่า โลกต้องการบวกจาก พืช สัตว์ และมนุษย์เรา แต่ว่าเราทำกันไม่ได้
    แต่ด้วยความเมตตาที่ท่านอ.สื่อสอนในวันนั้นท่านสอนว่า ถ้าเราต้องการจะช่วยโลกให้รอดได้นั้น เราต้องทำตัวเราให้เป็นมนุษย์อันประเสริฐให้ได้ ด้วยการ เป็นคนที่สมดุล โดยใช้กาย จิต และจิตวิญญาณ เป็นการหมุนธรรมจักรในตนเองให้ได้ ด้วยวิธีธรรมชาติสมาธิ และกฏแห่งการเป็นหนึ่งเดียว กันกับผู้อื่นให้ได้ ด้วยวิธี 4 ย. คือ ยอมรัก ยอมรับ ยอมปรับ ยอมร่วม และบันได 6 ขั้น คือ รักให้ได้ ให้ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร ใช้จิตสำนึกในการดำเนินชีวิต ไม่หลงยึดติดอัตตา มีมหาสติในยามตื่น ถ้าเราทำกันได้ ก็เป็นการหมุนธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร สุดท้ายก่อนการจบการสอนธรรมะ ท่านอ.ได้ชี้แนะวิธี ทำสมาธิหมู่กู้วิกฤตโลก ให้ช่วยกันทำ ทำได้ทุกวัน ที่ไหนก็ได้ ถ้าจะให้ดีก็ตามเวลานี้ 6.00น , 9.00 น , 12 .00 น. , 3.00 น. ครั้งละ 15 นาที <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ขอขอบคุณท่านอาจารย์ปริญญา ตันสกุลที่ช่วยบอกกล่าว ชี้แนะเรื่องราวเหล่านี้ให้เราได้รับรู้ (ท่านเป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่จริงๆ)
    ขอบคุณทีมงานของท่านทุกๆคน ที่จัดให้มีการอบรมแบบนี้ แล้วจัดอีกนะค่ะ <o:p></o:p>
    และขอบคุณ เว็บพลังจิตด้วย ที่ช่วยบอกข่าวให้เราได้รู้
    <o:p> </o:p>
    มาตา ^_^
    <o:p> </o:p>
    ปล.ความรู้ที่เราได้รับเราบอกได้เลยว่า เรารู้อะไรมากมาย และเราไม่สามารถที่จะเก็บเงียบๆไว้คนเดียวได้ เราจึงต้องขอบอกต่อๆไปให้กับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกของเราได้รับรู้ความรู้และเรื่องราวเหล่านี้ไว้ด้วย
    <o:p> </o:p>
     
  7. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    paitoon : เรียน อ.คณานันท์ และ ขออนุญาต คุณประตูสู่แสงสว่าง
    เจ้าของคำถามด้วยครับ ผมขอเรียนถามอาจารย์


    - ในขณะที่ผมเจริญสมาธิรู้สึกคันตามมือ และ ลำคอเหมือนโดนยุงกัด นี้เป็นอาการของปีติหรือเปล่าครับ
    - ทุกครั้งที่รู้สึกคันก็จะออกจากสมาธิเพื่อเกา พร้อมทั้งนึก ว่า เอ๋ .. เรา โดนยุงกัดได้ไงนี่ ในห้องพระก็ไม่มียุงสักหน่อย จากนั้น ก็เริ่มเจริญ สมาธิใหม่ เป็นอย่างนี้ทุกที
    --------------------------------------------------------------------------------
    อาการที่ คุณ paitoon * เป็น น่าจะเป็นอาการปิติ ในข้อที่ 4 ค่ะ เชิญ อ่านดู รายละเอียด
    ของ ปิติ ~ อาการของ จิต ก่อนที่จะเคลื่นเข้าสู่อารณ์ที่ละเอียด คือ ฌาน ค่ะ


    06-09-2006, 07:37 PM
    Kananun
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    ปิติ * นั้นเป็นอาการของจิตก่อนที่จะเคลื่อนเข้าสู่อารมณ์
    ที่ละเอียดขึ้น คือ ฌาน นั่นเอง * ปิติทั้ง 5 ได้แก่ ....*

    1.ปิติมีอาการขนลุกซู่ * เป็นอาการของปิติ ที่มีการอิ่มเอมใจ สุขใจ
    บางครั้งก็เกิดขึ้น เนื่องจาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ท่านยืนยันเหตุการณ์หรือ เรื่องราวบางอย่าง
    ปิติ ชนิดนี้จะมีผลทางวิทยาศาสตร์ทางร่างกาย คือ จะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจากไขสันหลังเข้าสู่
    สมอง กระตุ้นให้ต่อมฮอร์โมน ที่ใต้สมองหลั่งฮอร์โมนที่มีความสุข ออกมาหลายชนิด ครับ ปิติ
    ชนิดนี้มีผลดีอย่างยิ่งในการปฏิบัติสมาธิครับ วิธีรับมือ หรือ จัดการเมื่อเกิดปิติชนิดนี้ ก็คือ
    การกำหนดรู้ ถ้าทำให้ปรากฏได้บ่อยก็จะทำให้จิตใจสบาย มีความสุขครับเมื่อ
    ปิติผ่านไป ก็ จงปล่อยวาง แล้วเคลื่อนจิตขึ้นสู่ความละเอียดของจิตที่สูงขึ้นครับ

    2.ปิติที่มีอาการตัวโยก ตัวเอียงเอนตัว *มักเกิดขึ้นเวลานั่งหลับตาทำสมาธิ
    เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้จิตเกิดความสงสัย ว่าตอนนี้เรานั่งตัวเอียงตัวเอน หรือเปล่า เมื่อลืมตา
    ขึ้นก็จะพบว่าที่จริงตัวเราตั้งตรงอยู่ ไม่ได้เอียงแต่อย่างไร แต่ความสงสัย และ ลืมตาดูก็จะ มี
    ผลให้จิตถอนออกจากสมาธิ วิธีจัด การกับปิติชนิดนี้ก็ คือการ

    กำหนดรู้ว่าสิ่งที่เกิดอยู่นี้ คือ ปิติ ก็ไม่ต้องไปสงสัย + ไม่ต้องสนใจ
    ไม่ต้องไปลืมตาดูแล้วจิตจะเคลื่อนสู่ฌาน และ อารมณ์ที่ละเอียดขึ้น

    3.ปิติที่มีความรู้สึกว่าตัวพองใหญ่ * หรือ จิต มารวมกัน
    ที่หัว แล้วรู้สึกว่า หัวโตขึ้นขยายขึ้นวิธีการปฏิบัติ เหมือนข้อที่ผ่านมา
    คือ กำหนดรู้แล้วปล่อยวางผ่านเข้าสู่สมาธิขั้นต่อไปครับ

    4.ปิติที่มีอาการเหมือนมี มด หรือ แมลง มาไต่ตามใบหน้า *
    หรือ ตามแขนขาครับ ปิตินี้จะทำให้จิตใจเราเกิดความรำคาญหงุดหงิด และ ออกจากสมาธิลืมตาขึ้นดู
    หรือลูบตามหน้าตามตัวดูแต่ก็ไม่มีตัวอะไรทั้งสิ้น ความจริงเกิดจากการที่ จิตเราเริ่มหยุดนิ่ง + ลดการ
    ทำงานของประสาทสัมผัสอื่น คือ ตา หู จมูก ลิ้น คงเหลือแต่ผิวหนังร่างกายที่ ทำให้ประสาททำงาน
    ละเอียดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังเพียงเล็กน้อย เราก็รู้สึกได้ชัดเจนกว่าปรกติ จึงทำให้รู้สึก
    ว่า คล้ายว่ามีแมลงไต่ตอมอยู่วิธีปฏิบัติ คือ การ กำหนดรู้ครับว่าเรารู้ว่าที่ปรากฏนี้คือปิติ เมื่อจิตเรา
    รู้ทัน แล้ว ปิติตัวนี้ จะไม่เกิดอีกในครั้งนั้น และ จิตจะเคลื่อนสู่ฌานที่สูงขึ้น

    [​IMG]

    5.ปิติที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเราเบาเหมือนจะลอย หรือ จะเหาะไปในอากาศ*
    ปิติตัวนี้เมื่อเกิดขึ้นในครั้งแรกจะทำให้ตกใจบ้าง หลงบ้าง ว่าเราได้อภิญญา แล้ว
    เหาะ ได้แล้ว ที่จริงเป็นปิติเป็นความดีขั้นต้นก่อนที่จิตจะยกขึ้นสู่ฌาน ดังนั้นจึง
    ควรกำหนดรู้แล้วปล่อยวางเพื่อให้จิตเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น

    สรุปแล้ว * ปิตินั้นเป็นสิ่งที่ดี และ เป็นเครื่องแสดงว่าจิตใจเรากำลังจะเข้าสู่สมาธิ
    ที่สูงขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้หลายๆคน ติดอยู่ในจุดนี้นาน เป็นปี ๆ ก็มี จนกว่า
    จะผ่านปิติไปได้ปิตินั้น ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะเกิดปิติครบทั้ง 5 ประการ บางคนก็เกิด
    บางคนก็ไม่เกิดปิติอะไรเลยแต่ก็เข้าสู่ ฌาน ได้เช่นกัน
    บางคนได้ปิติก็เข้าใจว่าบรรลุธรรม เหาะ ได้แล้วก็มีปรากฏ * บางคนก็บอกว่าตนเอง ไม่สามารถ
    นั่งสมาธิได้ เพราะ นั่งที่ไรก็รู้สึกว่า มี มด แมลง มาไต่มาตอมทุกครั้ง ถาม อาจารย์บางท่านท่าน
    ก็บอกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร แต่ความจริงแล้ว อาการที่ปรากฏ เป็น อาการของปิติ ถ้ากำหนดรู้
    หรือ จิตรู้ ทัน ก็จะหายไปเอง เหมือน เราทำข้อสอบ หรือ ผ่านด่านทดสอบได้
    เพื่อการก้าวขึ้นสู่สมาธิที่ลึกขึ้นสูงขึ้นครับ

    ส่วนปิติชนิดที่ตัวสั่น *ซึ่งเป็นอาการของฌานหยาบคล้ายเวลา ฝึกมโนเต็มกำลัง *
    วิธีการก็ คือ ปล่อยวางจากร่างกาย อย่าไปสนใจในอาการสั่นอย่ารู้สึกว่าสั่น แล้วจะดี
    เพราะ เป็นการแสดงว่าจิตของเรายังมีความยึดในร่างกายอยู่อีกมาก ให้พิจารณา
    ในวิปัสสนาญาณให้มากขึ้นจนจิตเคลื่อนขึ้นสู่อารมณ์ที่สูงขึ้นละเอียดขึ้นครับ<O:p</O:p


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <center>Re: รายงานผลการปฏิบัติ

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ remixsong
    สวัสดีครับ อ.คณานันท์
    ตอนนี้พอ จิตเป็นสมาธิ จิตเริ่มเข้าสู่ฌาน ดวงธรรมจะส่องแสงขึ้นไปข้างบน คล้ายกับดอกไม้ไฟสีขาวใส จากนั้นพอจิตสงบ ก็จะเกิด ดวงแสงสว่างสีขาว
    ลอยอยู่เหนือหัว อย่างช้าๆจากซ้ายไปขวา และส่องแสงสว่างคล้ายกับพลังออร่า จากด้านบนส่องลงมายังตัวเรา มีลักษณะคล้ายหมอกควันลอยลงมา
    สู่ตัวเราอย่างช้าๆ ผมจึงน้อมเอาพลังแสงสว่างนั้นเข้ามาใส่ตัว รู้สึกจิตเป็นสมาธิดีมาก
    จากเมื่อก่อนที่เห็นภาพมือของดวงวิญญาณมากมาย ใน ญาณสมาธิ ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว เห็นแต่ ก้อนเมฆ อากาศ ความว่างเปล่า แสงสว่าง
    คล้ายกับเป็น ดินแดนที่ว่างเปล่า ผมจึงนำเอาอารมณ์ที่เห็นในขณะนั้นมาพิจารณาในอรูปฌาน ได้เลย เสร็จแล้วผมก็ เปิด mp3 ตัด สังโยขน์ 10
    ของหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ ฟังต่อเลยทันที คือว่าตอนนั่งสมาธิผมเอาหูฟังจากมือถือใส่หูคาไว้เลย พออารมณ์จิตเข้าถึงเมื่อไร่
    ก็เปิดฟังทันที เพราะว่าในตอนนั้นให้คิดเอง คิดอะไรไม่ออกเลย อาศัยรับรู้ รับฟังอย่างเดียว ปล่อยให้จิตคล้อยตาม ปรากฏว่า สมาธิทรงตัวดีมาก
    ตอนนี้ อารมณ์หยุด สามารถทรงได้นานขึ้น ประมาณ 30 นาที หรือ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงถอนออกเอง บางทีก็ไม่อยากออก แต่ต้องถอนออก
    เพราะว่ามีธุระต้องไปทำ คือว่าผมสนใจศึกษาเรื่อง
    การใช้เคลื่อนออกตามตำแหน่งเช่นกลางกระหม่อม เพื่อถอดกายทิพย์
    การใช้ตั้งเป็นแก้วกายสิทธิ์ อธิฐานฤทธิ์ ในฌานจากดวงธรรมที่ปรากฏ
    ไม่ทราบว่า ต้องปฏิบัติด้วยตนเองอย่างไร อ.คณานันท์ พอจะสอนได้ใหมครับ
    ขออนุโมทนาที่ให้คำแนะนำผมทุกเรื่อง ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
    </td> </tr> </tbody></table>

    นับว่าเป็นผู้ฉลาดในธรรมมะปฏิบัติอย่างน่าโมทนาอย่างยิ่งครับ


    เพราะอารมณ์จิตที่เป็นความว่าง หรืออรูปสมาบัตินั้น หากเราใช้กำลังอรูปฌานมาพิจารณาในวิปัสสนาญาณแล้ว จิตก็จะเจริญสู่โลกุตรภูมิได้โดยง่ายครับ

    จุดสำคัญที่สุด คือการตัดกิเลสเป็นเป้าหมายสูงสุด ครับ

    สำหรับวิชชาต่างๆ หากสนใจหาโอกาสมาเรียนด้วยตนเองกันครับ
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    -อาการที่ปรากฏเป็นอาการของปิติครับ

    -เรากำหนดรู้ว่าเป็นปิติแล้วปล่อยวางอาการทางกายทุกอย่างที่ปรากฏและมา สนใจที่จิตและอารมณ์ใจเป็นสำคัญครับ

    -การแผ่เมตตานั้นเป็นอารมณ์พิจารณาหรืออารมณ์คิดจนกระทั่งจิตเราเกิดความสุข ความชุ่มฉ่ำใจอันเป็นการแผ่เมตตาให้จิตเราเองให้จิตใจเราอิ่มเต็มเป็นสุขจากภายในจนเต็มที่ก่อนแล้วจึงแผ่ออกมาให้กับดวงจิตอื่นครับ เป็นอารมณ์คิดนึกในฌานสมาธิ นั่นคือการแผ่เมตตาด้วยการอธิฐานจิตครับ

    เป็นเมตตาบารมี ควบ อธิฐานบารมี

    -การนึกภาพพระในจิตนั้นหากยังไม่อาจนึกภาพให้ติดตาติดใจได้นั้น

    มีกุศลโลบายในการฝึกอยู่ดังนี้

    หาพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงาม หรือเป็นรูปพระพุทธรูปก็ได้ จากนั้น นั่งมองด้วยอารมณ์ใจสบายๆ จนลืมตาเห็น หลับตาเห็น

    หาพระพุทธรูปองค์เล็กๆหน้าประมาณ 3-4 นิ้วมา จากนั้น ปิดทองคำองค์ท่าน โดยอธิฐานว่าด้วยอานิสงค์แห่งการปิดทองคำพระพุทธปฏิมานี้ ขอพุทธนิมิตรสถิตอยู่ในจิตของข้าพเจ้าตลอดไปตราบเท่าถึงพระนิพพานด้วยเทอญ

    พยายามหาให้ได้ว่าเราชอบพระแบบไหนก่อนครับ

    วิธีก็คือ ดูองค์ที่เราได้เห็นภาพของท่านแล้วใจเรายิ้ม ใจเราแช่มชื่น

    นี่คือหัวใจของการทรงภาพพระ ในพุทธานุสติกรรมฐานครับ
    เพราะเป็นจิตเรามีความชุ่มใจ ย่อมเกิดฉันทะ ความพอใจในการปฏิบัติ


    อันเป็นจุดเริ่มต้นในอิทธิบาทสี่

    การเจริญอิทธิบาทสี่ นำมาสู่อภิญญาและความสำเร็จทั้งปวง มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    ขอโมทนาในความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมด้วยครับ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <table id="post2174264" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175">city<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_2174264", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: วิภาวดีรังสิต กทม.
    ข้อความ: 32
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 389
    ได้รับอนุโมทนา 329 ครั้ง ใน 31 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_2174264" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start -->ก่อน ที่จะกล่าวถึงประสบการณ์หรือสิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ในการไปปฏิบัติกรรม ฐานในทริป ถ้ำวัวแดงนี้ จะขอกล่าวถึงที่มาที่ไปและกำลังใจที่จะเขียน ให้ผู้ไม่ได้ไปหรือผู้ที่เริ่มสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมได้รู้ ได้เห็น ในสิ่งที่ผมได้รู้ ได้สัมผัสมา ด้วยเห็นถึงความไม่พร้อมในหลายๆด้านที่แต่ละคนต้องเจอและประสบอยู่ ณ ขณะนี้ สำหรับคนที่ได้ไป


    ผมเองก็ขอโมทนาในกำลังใจของแต่ละท่านที่เสียสละเวลา ตลอดจนภาระหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบร่วมกันไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ นี่ก็เป็นทานที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งมีค่าและกำลังใจยิ่งกว่าการทำทานในครั้ง ใดๆ ผมเองกว่าจะได้ไปก็โดนภรรยาต่อว่าอยู่หลายครั้งหลายคราวเพราะปกติตั้งแต่ แต่งงานกันมาผมไม่เคยทิ้งเธอไว้คนเดียวเลย เธอหาว่าผมทิ้งเธอไปมีความสุขคนเดียว จริงอยู่การไปปฏิบัติธรรมต้องทนต่อความลำบากทางกายแต่สบายใจ แต่ผมกลับทิ้งเธอไว้เผชิญกับปัญหาความวุ่นวายและภาระทางโลกไปมีความสุขคน เดียว ผมเองก็เห็นใจและสงสารเธอเหมือนกัน ดังนั้นคราวนี้อาจจะเป็นทริปสุดท้ายที่อาจจะได้ไป คิดแล้วก็ให้เห็นถึงกำลังใจ และสงสารพระเวสสันดรเป็นอย่างยิ่ง เราเองโดนแค่นี้ ทำอะไรแทบไม่ถูก



    กลับเข้ามาถึงเรื่องของเรากันต่อดีกว่า เดิมทีผมว่าจะไม่เขียนอะไรเพราะรู้สึกเหนื่อย หลังจากกลับมา ไม่ใช่เหนื่อยกายหรอกนะครับ เหนื่อยใจกับปัญหาทางโลกมากกว่า คิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวฟังธรรมจาก file เสียงของพระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญไปเรื่อยๆดีกว่า แต่ก็มาคิดได้ว่าถ้าเราเก็บความรู้และสิ่งที่ได้รับรู้มา ไว้กับตัวเราแค่คนเดียว มันก็จะไม่เกิดประโยชน์หรือเป็นข้อเตือนใจ เตือนสติ ให้กับเพื่อนๆสหมิกธรรมหรือเพื่อนๆชาวเวปพลังจิตของเราเลย ไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้จะเป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆมากมาย แต่ผมก็ได้แนวทางปฏิบัติที่ดีพอสมควรและหวังว่าสิ่งที่ผมเขียนนี้จะเป็น ประโยชน์ให้กับเพื่อนๆได้บ้างตามสมควร หรือเป็นการขายความโง่(ความไม่รู้)และความเลวของผมเสียก็ไม่รู้ แต่ก็มาคิดว่า เราเองเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง ถึงจะเกิดจากการแอบอ้างหรือตู่เอาก็เถอะ



    แม้แต่องค์หลวงพ่อเองสิ่งไหนที่เป็นสิ่งไม่ดีของท่านหรือคนอื่นอาจจะดูถูก เอาได้ แต่ถ้าตัวอย่างหรือประสบการณ์ที่ไม่ดีนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือผู้ ฟังหรือต่อลูกศิษย์รุ่นหลังๆแล้วท่านก็มิได้รู้สึกอับอายและขายหน้าลูกศิษย์ แต่อย่างใด ผมเองเป็นศิษย์ที่แทบไม่มีภูมิความรู้อะไรเลย มโนมยิทธิเองก็ฝึกไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไปเต็มกำลังไม่ได้ซักที ได้แต่ครึ่งกำลัง และไอ้ที่ได้ครึ่งกำลังก็ไม่ใช่จะชัดหรือต้องการรู้ต้องการเห็นแล้วจะรู้ได้ เลยทันทีเป็นแค่แบบจิตตอบจิต(ภาษาครูมโนฯเขา) แต่ผมเองจะเรียกว่าเกิดความรู้ขึ้นมาในใจ แต่ถ้าบังเอิญเหตุการณ์บางอย่างที่มันเกิดตรงหรือเกิดขึ้นมาแบบหน้าประหลาด ใจหรืออธิบายไม่ได้ ผมก็จะนึกว่าสงสัยจะบังเอิญหรือเป็นอุปทานรึเปล่า(ดูความเลวของใจ) สิ่งนี้เองหรือความสงสัยนี้เองที่กลายเป็นวิจิกิจฉาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะมัวแต่หาเหตุการณ์หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ผมเองก็ไม่ได้เสียใจหรือคิดจะเปลี่ยนนิสัยหรอกนะครับ เพราะก็เป็นเหตุให้เราพยายามหาเหตุผลและข้อบกพร่องของตัวเองอยู่เสมอๆ ดังนั้นการที่ผมจะเขียนอะไรไปก็คงไม่มีอะไรที่จะเสียเพราะไม่รู้ว่าจะเสีย อะไร แต่ถ้าสิ่งที่ผมเขียนลงไปแล้วจะน้อมให้เพื่อนๆสหมิกธรรมได้น้อมเข้าถึงธรรม โดยเร็วและไม่เสียเวลา 3-4 ปีในการปฏิบัติลองผิดลองถูกอยู่คนเดียวเหมือนผม คิดว่ามีตำราก็เหมือนมีครูบาอาจารย์ สงสัยอะไรก็เปิดตำราหรือเปิด internet หาเอา แต่พอได้ครูบาอาจารย์หรือเพื่อนๆสหมิกธรรมมาแนะนำและสะกิดให้หน่อยไอ้ที่เรา ติดหรือสงสัยอยู่มันก็คลายตัวได้เร็ว นี่เองผมถึงมองเห็นประโยชน์ของการมีครูบาอาจารย์หรือเพื่อนๆสหมิกธรรมมาแนะ นำจะได้ไม่หลงหรือเสียเวลาในการปฏิบัติอย่างผม



    เมื่อเดือนที่แล้วผมได้รับ CD การสอนสมาธิของพี่เล็กจากพี่ตุ๊กตาก็ได้นำมาปฏิบัติ ภายในวันเดียว ก็รู้สึกว่าถ้าสมาธิมันง่ายอย่างนี้หรือสอนง่ายๆอย่างนี้คงจะทำให้วัยรุ่น หรือคนรุ่นใหม่ๆ น้อมหรือนำไปปฏิบัติกันได้ง่าย เราควรที่จะตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆจังๆเสียที่ เมื่อรู้เป้าหมายในการปฏิบัติแล้วก็มาดูว่าสิ่งไหนที่เราขาด ก็มานึกได้ว่า(ส่วนใหญ่ผมจะใช้คำว่านึกนะครับ) อานาปานสติและมโนมยิทธิเรายังไม่ทรงตัว ก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าแล้วทำอย่างไร มโนมยิทธิเราจะทรงตัว และมีอานาปานสติสมบูรณ์ ก็ได้หาข้อมูลทาง internet และ file ต่างๆที่ตัวเองเก็บไว้ ก็บังเอิญมาเจอ ในหนังสือสมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อในหัวข้อ นิพพานสมาบัติ เรื่องการทรงอารมณ์มโนมยิทธิ ในหน้าที่ 292 หลวงพ่อได้กล่าวไว้ว่าทำอย่างไรมโนมยิทธิจะทรงตัว ผมขอกล่าวไว้ย่อๆเผื่อมีท่านที่ไม่รู้ดังนี้



    ประการแรกให้เข้าถึงสะเก็ดของความดี คือ
    1. เราไม่สนใจจริยาของใครเลย
    2. ไม่โอ้อวด
    3. ไม่ยกตนข่มท่าน
    4. ไม่ถือตัวเกินไป



    ประการที่สองให้เข้าถึงเปลือกของความดี คือ
    1. เราต้องไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
    2. ไม่ยุยงให้บุคคลอื่นทำลายศีล
    3. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว


    เมื่อศีลครบถ้วนจิตจะมีความเข้มแข็งสามารณระงับนิวรณ์ได้ ปฐมฌานก็จะเข้ามา จิตก็จะผ่องใส ต้องการรู้ต้องการเห็นอะไรเมื่อไรได้ทันที


    และประการสุดท้ายให้ทรงพรหมวิหาร 4 ไว้เป็นประจำ การรู้การเห็นจะไม่ผิดและแจ่มใส


    นี่คือการบังเอิญรู้ของผมหลังจากการฝึกกรรมฐานจาก CD พี่เล็กและก็ยังสงสัยว่าเหตุใดการปฏิบัติมาตลอด 3-4 ปี ของผมจากการนั่งสมาธิในตอนเช้าและตอนเย็น จึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ก็ได้มาถึงบางอ้อในหน้าที่ 295-296

    นี่เองเพราะหลังจากออกจากห้องพระเราก็ทิ้งลมหายใจและกรรมฐานไว้ในห้องเสีย แล้ว ตลอดระยะเวลาทั้งวันหรือระหว่างวัน น้อยนักที่เราจะกำหนดรู้ลมหายใจ คงหมกมุ่นอยู่กับความคิดและหน้าที่การงาน แล้วสติสัมปชัญญะที่ไหนมันจะบริบูรณ์ ก็เลยอยากให้เพื่อนๆสหมิกธรรมได้อ่านกัน ในการโพสครั้งแรกสำหรับท่านที่มุ่งหวังการปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพาน และความหลุดพ้นซึ่งผมเองก็คงจะยึดถือไว้เป็นหลักในการปฏิบัติต่อๆไป ส่วนหน้าที่เหลือไปลองหาอ่านกันดู
    แล้วจะมา update ต่อนะครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมซึ่งปัจฉิมวาจาของพระตถาคต"สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ของผู้ อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"
    </td></tr></tbody></table>
     
  11. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]

    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนามิ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  12. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160

    ขอบพระคุณคุณ Sawiiika มากครับ
    ที่กรุณาให้ความกระจ่าง
     
  13. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160


    เรียนอาจารย์คณานันท์

    ขอบพระคุณที่กรุณาให้ความกระจ่างครับ

    ผมจะน้อมนำไปปฏิบัติตามที่อาจารย์กรุณาแนะนำครับ

    และขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  14. namsompun

    namsompun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,365
    [​IMG]นำคำอธิษฐานช่วงเช้ามาฝากค่ะ
    [​IMG]ขอกราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนากับคุณพี่ LEOzenith<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_220330", true); </SCRIPT>สมาชิก กิตติมศักดิ์ (ก๊อบ) ที่กรุณาแนะนำคำอธิฐานดีดีมาฝากน้อง ๆ ค่ะ

    �Ѵ�ط������ѭ�� (�Ѵ������ͧ��)
    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=10467<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p> [​IMG]
    จากงานทัวร์บุญอารมณ์ดีในหลายงานที่ผ่านมา
    มักจะมีญาติธรรมบอกให้ผมเขียนคำอธิษฐานที่ผมนำสวดบนรถในตอนเช้า
    PM มาก็หลายคน เลยต้องจัดให้ครับ

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจากคำสอนของหลวงปู่ หลวงตาโดยทั้งสิ้นครับ
    หลวงตาเคยเมตตาสอนว่า "การอธิษฐานตอนเช้าเนี่ย...สำคัญนะ!"

    คำอธิษฐานตอนเช้า


    เริ่มต้นด้วยการสวดจักรพรรดิทันทีที่รู้สึกตัวตื่น
    จากนั้น ลุกขึ้นล้างหน้า
    และตั้งจิตสวดจักรพรรดิในตอนเช้า
    ๑, ๓, ๙ จบก็ได้
    สำหรับผม ผมสวดตามกำลังวันครับ

    หลังจากสวดจักรพรรดิเสร็จ
    ให้อธิษฐานแผ่บุญก่อน
    แล้วสัพเพฯ ไป ๕ รอบ
    เวลาสัพเพฯ ให้นึกถึงคนที่เราต้องการแผ่ไปให้ครบ
    หากมีมาก จะสัพเพฯ มากกว่า ๕ รอบก็ได้
    หรือให้นึกภาพรวมของกลุ่มที่เราต้องการจะแผ่
    อย่างเรานึกถึงแผนที่ประเทศไทย
    ก็จะได้ทั้งหมด แม้แต่เทวดาก็ได้ด้วย...

    จากนั้นให้อธิษฐานรวมบุญดังนี้

    ข้าพเจ้าขอตั้งสัจอธิษฐาน
    สิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อชาติ ศาสนา ราชบัลลังก์
    หมู่คณะ สัตว์ และมนุษย์ทั้งหมดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด
    สิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งสัจอธิษฐานขอบารมีกำลัง
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์ ถึงองค์ปัจจุบัน
    บรมมหาจักรพรรดิ์ทุกๆ พระองค์
    ขอบารมีพระแก้วแดง
    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม
    และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    ขอบารมีรวม หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่เป็นที่สุด

    ขอได้โปรดเมตตารวมบุญบารมี
    ที่ข้าพเจ้าเคยสะสม เคยอบรมมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันชาติ
    ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ
    ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
    และทศบารมี
    เพื่อนำกำลังนี้มาเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน
    .....(อธิษฐานเอาตามปรารถนา)....
    เป็นประโยชน์กับชาติ พุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์

    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวล
    แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์
    พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหมดทั้งมวล
    หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่
    พระศรีสยามเทวาธิราช
    หลวงตาม้า
    ผู้สวดคาถามหาจักรพรรดิทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ
    นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตเทอญ

    ข้าพเจ้าขออธิษฐานขออาราธนาบารมี
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ได้โปรดเมตตาสถิตย์เหนือเศียรเกล้าของข้าพเจ้า
    หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ อยู่เบื้องซ้ายและขวา
    เสมือนข้าพเจ้าสวดคาถามหาจักรพรรดิอยู่ตลอดเวลา
    ขอให้กายทิพย์ของข้าพเจ้าสวดจักรพรรดิตลอดเวลา
    และขอทุกลมหายใจเข้าออกของข้าพเจ้า
    เป็นการสัพเพฯ แผ่กุศลผลบุญไปทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุอย่างไม่มีประมาณ
    แผ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวร และผู้เกี่ยวข้องทุกลมหายใจด้วยเทอญ

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีหลวงปู่ดู่
    สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า
    ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย และใจ
    ขอข้าพเจ้ารู้ได้ตามสภาพความเป็นจริง

    ข้าพเจ้าขออธิษฐานต่อองค์พระศรีสยามเทวาธิราช
    โปรดเมตตาขจัดปัดเป่าปัญหาและอุปสรรคในชีวิตข้าพเจ้าให้หมดสิ้นไป

    ขออธิษฐานต่อองค์พระอุปคุต
    โปรดเมตตาช่วยให้การงาน การเงินของข้าพเจ้ามีความคล่องตัว
    ไม่มีอุปสรรคใดๆ

    ขออธิษฐานต่อองค์พระกาล
    โปรดเมตตาเลื่อนเวลาแห่งความดีงาม ความสำเร็จ
    ทั้งในทางโลกและทางธรรม
    เข้ามาสู่ชีวิตของข้าพเจ้าโดยพลัน
    เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
    ต่อชาติ พุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป

    สัพเพฯ ๕ รอบ
    หรือมากกว่า
    เวลาสัพเพฯ ให้นึกไปถึงธุรกิจ การงานต่างๆ
    รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง หากมีมากให้นึกถึงภาพรวม

    การสวดจักรพรรดิคือการชาร์จพลังงาน
    การสัพเพฯ คือการแผ่กระจายพลังงานออกไป

    จากนั้นให้อธิษฐานขอหลวงปู่ท่านอีกครั้ง
    ขอท่านตรงๆ ง่ายๆ เลยครับ
    แต่ต้องขอในสิ่งที่เป็นประโยชน์นะครับ

    และอธิษฐานว่า
    ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมีีหลวงปู่ดู่
    ด้วยกำลังแห่งพระมหาจักรพรรดิ
    ขอสิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานนี้
    สำเร็จเป็นจริงโดยฉับพลันทันใจทุกประการ
    ด้วยอิมังสัจจะวาจานังอธิษฐามิ
    พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ


    คำอธิษฐานนี้
    สามารถนำไปใ้ช้ในตอนสองทุ่มครึ่งได้เช่นกัน

    ขออนุโมทนาทุกท่านครับ
    ขอให้สมปรารถนาทั้งในทางโลกและธรรมครับ

    [​IMG]ชุดนี้เป็นชุดอธิษฐานเต็ม
    เพราะญาติธรรมหลายท่านขอให้ผมบันทึกไว้ให้ เพราะเห็นว่าครอบคลุม
    สามารถปรับได้ตามสถานการณ์ของแต่ละท่านครับ

    หากไม่มีเวลาจริงๆ
    ก็อาจจะขออาราธนาบารมีหลวงปู่ แล้วอธิษฐานขอสิ่งที่ปรารถนาไปเลย
    ที่หลวงตาท่านเน้นคือ

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีหลวงปู่ดู่
    สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า
    ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย และใจ
    ขอข้าพเจ้ารู้ได้ตามสภาพความเป็นจริง


    จะทำให้เรามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติครับ
    แต่จริงๆ แล้วหลวงตาท่านเคยสอนว่า
    เวลาที่เหมาะจะทำสมาธิที่สุดคือ เวลาเช้าครับ
    ท่านบอกว่า ตอนกลางคืนให้นอนเร็วและตื่นให้เช้าขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย
    จะทำให้เรามีเวลาสวดมนต์และทำสมาธิไำด้

    การทำสมาธิในช่วงเช้านี้จะดีมากครับ
    เพราะเป็นช่วงเวลาที่เงียบ ปราศจากเสียงรบกวน
    และที่สำคัญ ธาตุขันธ์ของเราได้ผ่านการพักผ่อนมาแล้ว
    เมื่อธาตุสบาย ใจเราก็จะสบายด้วยครับ


    บทสวดมหาจักรพรรดิ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ครั้ง)
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    * สวดตามกำลังวัน เช่น สวดในวันอาทิตย์ให้สวด๖จบ,จันทร์๑๕,อังคาร๘,พุธ๑๗,พฤหัส๑๙,ศุกร์๒๑,เสาร์๑๐จบนะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา(อ่านว่าสุ-ทำ-มา) พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
    บทอัญเชิญพระเข้าตัว(แผ่เมตตา)
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง อรหันตานัญจะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส (๕จบ) พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ (ให้อธิษฐานเอา)
    <!-- / message --><!-- attachments -->



    <FIELDSET class=fieldset>



    </FIELDSET>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับวันนี้เราจะได้มาพูดคุยกันในส่วนของการปฏิบัติธรรมแบบสบายๆ ไม่เป็นเนื้อธรรมมะโดยตรงแต่เป็นส่วนประกอบที่ทำให้การปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้าและตั้งมั่นอยู่ได้

    สิ่งที่สำคัญนั้นคืออารมณ์ใจในการปฏิบัติของเรา

    ความสำคัญในเรื่องของอารมณ์ใจ นั้น หากเราวางอารมณ์ใจได้อย่างถูกต้องในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ละส่วนแต่ละกอง รู้จักเน้นในสิ่งที่ควรเน้น รู้จักว่าจะควรละในอารมณ์ที่ควรละได้ แล้วเจริญให้ยิ่งขึ้นไป การปฏิบัติก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


    การปฏิบัติในส่วนของสมถะกรรมฐานนั้น อารมณ์ที่เราต้องการคือ อารมณ์จิต ที่นิ่งเป็นเอกัตคตารมณ์ อารมณ์หยุด จนจิตนิ่งลมดับเป็นฌานสี่ หากอารมณ์จิตไม่นิ่งไม่ตั้งมั่นก็ไม่เกิดเท่าที่ควร

    อารมณ์จิตขณะตั้งจิตอธิฐาน ต้องมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคง ตั้งมั่น ยิ่งอธิฐานในฌานสี่ยิ่งปรากฏผล หากอารมณ์ในขณะอธิฐาน เหลาะแหละ ล่องลอย สับสน การอธิฐานก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควร

    ส่วนอารมณ์จิตของการเจริญเมตตา พรหมวิหารสี่นั้น อารมณ์จิตที่เราต้องการคือ อารมณ์จิตที่มีอาการปิติสุข ชุ่มเย็นจิตใจ อาการที่จิตแผ่กระแสชุ่มเย็นออกไป เป็นสำคัญ ยิ่งแผ่ออกจิตยิ่งเย็นยิ่งอิ่มใจ มีความสุข มีความสบายใจ อันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตสร้างฉันทาคติในการทรงฌานสมาธิและการทำความดีสร้างกุศลต่อไป ดังที่พระท่านว่า พรหมวิหารสี่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ศีลให้อ้วน หล่อเลี้ยงฌานสมาบัติให้ตั้งมั่น หากเจริญได้เต็มอารมณ์ ยิ่งเกิดผล เกิดอานิสงค์สูง

    อย่างจุดนี้ ที่สังเกตุเห็นปรากฏอยู่ก็คือ หลายท่านยังปฏิบัติได้ไม่เ้ต็มอารมณ์ของเมตตาอัปปันณานฌานได้อย่างแท้จริง อารมณ์จิตยังไม่อิ่ม ไม่เต็ม อุปมาดังดอกไม้ที่ยังตูมๆอยู่ ยังไม่บานเต็มที่ ซึ่งหากมีความเข้าใจและ ทรงอารมณ์จิตได้เต็มอารมณ์ จิตจะมีกำลังและฌานจะยิ่งมีความตั้งมั่นอย่างมากมาย ดังั้นขอเน้นอารมณ์จิตตรงจุดนี้ให้มาก


    สำหรับ ส่วนของ วิปัสสนาญาณนั้น อารมณ์จิตที่ต้องการก็คือ อารมณ์จิตแรก คือให้จิตของเราน้อมรับธรรมและทำความเข้าใจ ในสัจจะธรรมความจริง จนจิตเกิดความยอมรับตามความเป็นจริง ความเป็นไปในสังขารขันธุ์ทั้งปวง

    -จิตพร้อมยอมรับความเป็นจริง ในกฏไตรลักษณ์ อย่างแท้จริง

    หากพิจารณาเพียงผ่านๆไม่เกิดผล เป็นเพียงสัญญาความจำ

    จะเกิดผลเมื่อจิตน้อมยอมรับอย่างแท้จริง

    อารมณ์จิตต่อไปก็คือ

    -ความรู้สึกรู้เท่าทันในสังขาร รู้เท่าทันในทุกข์ รู้เท่าทันในกิเลสทั้งปวง

    ว่าแท้จริงมันเป็นอย่างนี้หนอ เมื่ออารมณ์จิตนี้ปรากฏ

    -จิตเราก็จะเกิดปัญญามองเห็นในไตรลักษณ์ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนมีเกิด มีเสื่อม มีสลาย หาแก่นสารไม่ได้ หากไปยึด ไปผูกก็ก่อให้เกิดทุกข์ และแท้จริงเราทุกข์เพราะเราไปมีอุปทานว่า เป็นเรา เป็นของเรา เมื่ออุปทานคลายตัวเข้าใจในสมมติได้

    -อารมณ์จิตก็จะเกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายใน การเวียน ว่ายตาย เกิด เบื่อหน่ายในการดิ้นรนจนเกินไปในทางโลก จนที่สุดจิตเกิดความเบื่อหน่ายรู้ทันในร่างกายขันธุ์ห้า จนจิตเริ่มปล่อยวางไปทีละน้อย

    อารมณ์จิตนี้เป้นอารมณ์จิตที่รู้เท่าทัน รู้แล้วละ รู้แล้วคลาย รู้แล้ววาง ดังนั้นสภาวะจิตดังกล่าวจะยิ่งผ่องใส ไม่เศร้าหมอง หรือมีอารมณ์จิตที่รังเกียจคิดทำลายทำร้ายร่างกายชีวิตของตนเองแต่ประการใด

    ดังนั้นอารมณ์จิตในการปฏิบัติในทุกอารมณ์หากเราสังเกตุจากการปฏิบัติและครูบาอาจารย์ดูแล้ว

    จิตท่านจะมีความสบาย ความเบา ความผ่องใส ปรากฏในจิตเป็นปกติ

    แม้สภาวะทางกายท่านอาจมีความลำบาก บำเพ็ญเพียรสูงแต่ ท่านก็รักษาจิตของท่านให้ทรงอยู่ในอารมณ์ที่ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา


    ดังนั้นหากเราพิจารณาดูให้ดี เน้นอารมณ์จิตที่ควรเน้น ในสภาวะธรรมที่เราพิจารณาอยู่ในขณะนั้นให้เข้าถึงกลางใจของเราอย่างเต็มอารมณ์ได้แล้ว เราย่อมมีความก้าวหน้าในธรรมปฏิบัติไปได้มาก


    อีกทั้งในส่วนของ บารมีที่แปลว่า กำลังใจ นั้น

    บางครั้ง บางเวลา บางอารมณ์ กำลังใจเราก็อาจจะ ย่อหย่อนลงบ้าง ขี้เกียจบ้าง มีอารมณ์จิต เบื่อๆแบบเซ็งๆบ้าง เวลาที่เราพบกับอุปสรรคหนักๆบ้าง

    เวลานั้น กำลังใจในการทำความดีของเราก็ดี กำลังใจในการปฏิบัติก็ดี ก็จะพลอย ตก พลอยล้า พลอยท้อถอยไปด้วย

    อุปมาดังสายพิณที่หย่อนย่อมมีเสียงที่ไม่ไพเราะฉันใด นักดนตรีผู้ฉลาดย่อม ปรับแต่งตั้งสายพิณให้ตึงพอเหมาะพอสมอยู่เสมอ

    ฉันใดก็ฉันนั้น เราเองก็ควรหมั่นทบทวนกำลังใจของเราเองด้วยเช่นกันว่า ขณะนี้กำลังใจของเราตกลงด้วยเหตุใด ตกลงเพราะเรากังวลเรื่องใด

    เราท้อแท้เพราะอารมณ์ความคิดใดที่เกิดขึ้นในจิต

    เมื่อเราตั้งสติทบทวนจิตใจ หาเหตุ หาปัจจัย แห่งความย่อหย่อนในกำลังใจของ ตัวเราให้ชัดเจน และขจัดออกไปจากจิตใจ

    และทำการอธิฐานตั้งกำลังใจของตัวเองขึ้นมาใหม่ให้มีความเข้มแข็งขึ้น

    เช่น เกิดวิบากจากบุคคล และสถานการณ์ที่เป็นเครื่องขัดขวางการทำความดีของเรานั้น เราก็จงตั้งกำลังใจใหม่ว่า

    "การทำความดีอันทำได้ยาก อันมีอุปสรรคนั้นนับเป็นเครื่องวัดกำลังใจของเรา ให้บารมีของเราเข้มแข็งและเต็มเร็วขึ้น ขึ้นชื่อว่า อุปสรรคทั้งปวงไม่เป็นเครื่อง ขัดขวางการสร้างบารมีของเราไปได้ ยิ่งทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นทั้งทางโลก ทางธรรมขึ้นด้วยเทอญ"

    "ถึงแม้่การทำกุศลความดีของเรา จะได้ส่งผลให้เรามีความสุขสบายทางโลกก็ดี ไม่ส่งผลให้มีคนยกยอสรรเสริญก็ดี ไม่มีใครเห็นความดีของเราหรือรู้เห็นว่าเราทำก็ดี

    แต่กระนั้น เราก็จะปิดทองหลังพระ ทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพื่อสงเคราะห์ให้ผู้อื่นเข้าถึงความดี ทำความดีเพื่อให้ผลแห่งความดีปรากฏเป็นอานิสงค์ต่อคนหมู่มาก ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร ขึ้นชื่อ ว่าบุญว่ากุศล สิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข เราก็จะไม่หยุดทำความดี ตราบจนถึงซึ่งพระนิพพาน"

    อารมณ์ใจ กำลังใจ ที่เข้มแข็งตั้งมั่น เด็ดเดี่ยวนี้ จะเป็นเครื่องส่งเสริมให้การปฏิบัติธรรมของทุกท่านตั้งมั่น มั่นคง ก้าวหน้า ปรับสภาวะให้เหมาะสมได้อยู่เสมอ

    ขอธรรมมะขององค์พระประทีปแก้วจงส่องสว่างนำทางทุกดวงจิตให้ทรงกำลัังใจเข้มข้น เจริญในธรรมขององค์พระศาสดาพระสมณะโคดมผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐนี้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับ วันอาทิตย์ที่ 21 มิย. 2552 นี้ มีจัดสอนสมาธิที่สวนลุมพินี บริเวณ ศาลาหกเหลี่ยม เกาะลอย เวลา 9.00 น. ขอท่านผู้สนใจเชิญได้ครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟรีเป็นธรรมทานครับ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    Forever In LoVE <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2007
    ข้อความ: 873
    [​IMG]
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 10,233
    ได้รับอนุโมทนา 10,387 ครั้ง ใน 773 โพส
    พลังการให้คะแนน: 139 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG] <center>ขอเชิญพี่ๆน้องๆโหลดไฟล์เสียงสอนสมาธิจากทริปถ้ำวัวแดงค่ะ

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> ขอเชิญพี่ๆน้องๆโหลดไฟล์เสียงสอนสมาธิของ อ.พี่เล็กคณานันท์ ค่่ะ

    -------------------

    มีข่าวดีมาแจ้งว่า ไฟล์เสียงการสอนสมาธิของ อ.คณานันท์
    ทั้งวันที่ 6 และวันที่ 7 มิถุนายน 2552 ในทริปถ้ำวัวแดงครั้งนี้
    ไฟล์เสียงสมบูรณ์ทั้ง 2 ไฟล์ค่ะ
    ได้นำมาตัดเสียงรบกวนออกไปบ้าง และปรับเสียงให้ดังขึ้นกว่าต้นฉบับแล้ว
    (เมื่อก่อนโน้น ยังปรับไม่เป็นค่ะ อิอิ)

    เสียงที่ตัดออกไปบ้างได้แก่ เรื่องเล่าบางเรื่องที่ขอบเขตเลยจากเนื้อหาหลักที่บรรยายอยู่,
    เสียงหัวเราะ, เสียงวางของ หรือ เสียงอื่นๆ
    ที่คลื่นเสียงดังขึ้นมามากเกินไป
    ซึ่งจะำำทำให้เวลาเปิดฟังเนื้อหา แล้วไปสะดุดเสียงเหล่านั้นได้
    เว้นแต่เสียง ตำป๊อกป๊อก ของพ่อหมอปรอท ของเรา เอาออกไม่ได้นะคะ ..อิอิ


    พี่ๆน้องๆลองโหลดไปฟังดูก่อนนะคะ ...หากไฟล์มีปัญหาตรงไหนอย่างไร
    ให้แจ้งมาเพื่อแก้ไขค่ะ

    และหากท่านไหนโหลดไม่ได้ โหลดไม่สะดวกเพราะไฟล์ใหญ่ไป หรือไม่มีเวลา
    ต้องการให้ซํนส่งไฟล์ใส่แผ่น CD ไปให้ ก็ แจ้ง ชื่อ+ที่อยู่ มาทาง pm ค่ะ
    จะได้จัดส่งไฟล์ที่แก้ไขล่าสุดไปให้ถึงบ้านค่ะ



    ...ขอโพสต์ไฟล์เสียง ไว้ที่นี่ที่เดียวก่อนนะคะ
    จนกว่าจะมีผู้โหลดไปทดลองฟังแล้วแจ้งผลกลับมาว่าไฟล์โอเคนะคะ
    ค่อยนำไปโพสต์ที่กระทู้อื่นต่อไปค่ะ


    ทริปถ้ำวัวแดง เพื่อการปฏิบัติธรรม วันที่ 5-8 มิถุนายน 2552
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับวันนี้ เรามาต่อในเรื่องกำลังใจในการทำกุศลและการทำความดี ซึ่งแต่ละบุุคคลก็ล้วนแต่มีความแตกต่างกันไปตามพละและกำลังบารมีของแต่ละบุุคคล

    เมื่อเรามองให้ครอบคลุมในวิสัยของบุคคลทั้งหลายแล้ว เราเองก็จะเข้าใจว่า เราไม่ควรไปตำหนิ การทำความดีของผู้อื่น ขึ้นชื่อว่าความดีเพียงน้อยนิดสักเพียงใด ตั้งกำลังใจอย่างไร เราพึงโมทนาในกุศลของเขาและให้กำลังใจในการทำความดีของเขาให้เกิดขึ้น ยิ่งขึ้น เพิ่มขึ้นไปอีก

    เรามาพิจารณาดูว่าการทำความดี การสร้างกุศล ของเราเองนั้นอยู่ในจุดใด และมีการตั้งกำลังใจไว้ถูกต้อง เพียงใด จะพึงเกิดประโยชน์และปรับกำลังใจของตัวเราให้สูงขึ้น ได้อีกหรือไม่

    หากแม้นว่าพิจารณาแล้วไม่เกินวิสัย ไม่เกินกำลัง ไม่เกินบารมี ไม่เกินภูมิจิตภูมิธรรมที่ทำได้เราก็พึงปรับกำลังใจของเราให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก


    การทำความดี หรือการสร้างกุศลนั้น โดยพื้นฐาน บุคคลทัั้้งหลายย่อมปรารถนาในอานิสงค์แห่งบุญ

    บุญ คือความสุข ความอิ่มเอมใจ ที่ปรากฏขึ้นในจิตจากการทำความดี

    ใบหน้าที่อิ่มบุญจึงเป็นใบหน้าที่อิ่มเอมใจ มีความสุข ความชุ่มใจ

    ดังนั้นกำลังใจที่คนทั่วไปปรารถนาในการทำความดีก็คือ ต้องการ บุญ




    แต่ในอีกหลายต่อหลายท่านนั้น ยังปรากฏความรำคาญหรือความขุ่นใจจากการทำความดีของผู้อื่น ซึ่งในกรณีเหล่านี้ ท่านได้เอาตนเองไปเป็นเกณฑ์วัดบรรทัดฐาน เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป


    มีผู้คนอีกมากมายที่ ทำบุญทำกุศล โดยตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่า

    -การทำความดี ทำไปเพื่อ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ในสังคมให้ตนเองดูดี ดูเป็นคนดี

    -การทำความดี เพื่อให้ผู้อื่นยกย่องสรรเสริญ เพื่อให้คนชม อันเป็นโลกธรรมแปด

    -การทำความดี เพื่อเป็นการแข่งบุญ แข่งดี แข่งวาสนากัน

    เหล่านี้นักปฏิบัติธรรมหลายท่าน เมื่อได้พบเห็นก็มักเกิดความขุ่นใจบ้าง ตำหนิบ้าง ซึ่งหากเรามาพิจารณาดูให้ลึกซึ้งแล้ว

    จงอย่าลืมว่า หลายๆท่านดังกล่าวทั่วไปในสังคมนั้น ท่านอาจมีภูมิธรรมในระดับหนึ่ง มีพละห้าในระดับหนึ่ง มีปัญญาบารมีในระดับหนึ่ง จึงทำให้ท่านเหล่านั้นมีทิษฐิ ความเข้าใจในการทำบุญไปในแบบนั้น

    บางท่านยังอาจไม่ได้สัมมาทิษฐิอย่างแท้จริง บางท่านยังไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิืด บางท่านยังคิดว่า การทำบุญในเด็ก ให้การศึกษามีประโยชน์มากกว่าการ สร้างกุศลเอาไว้ในพระพุทธศาสนา

    แต่อย่างไรก็ดี ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า จิตเขามาติด"ดี" ก็ย่อมดีกว่าที่เขามาติดชั่ว มีสุรา การพนันน อบายมุขทั้งปวงเป็นต้น

    เมื่อเขามาติดดี ทำดีโดยความเข้าใจที่อาจไม่ตรงสักทีเดียว คลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ก็จัดว่าอยู่ในเส้นทางแห่งความดี อันเริ่มต้นจาก "ทาน" เมื่อทำความดีไปเรื่อยๆ ความดีก็จะค่อยๆติดตัว ติดใจเขาไปทีละน้อยจนอานิสงค์แห่งความดีของเขาปรากฏส่งผลให้ยกระดับจิตข้ามสู่การ ทำทาน ไปยังการ รักษาศีล และก้าวไปสู่การภาวนาหรือการปฏิบัติธรรมฝึกจิตได้ในที่สุด แม้จะเป็นเวลาเนิ่นนานบ้างแต่ความดีย่อมมีผลเสมอ


    และหากเรามองอีกมุมหนึ่ง การที่เขาสละทรัพย์ทำบุญหรือการใช้กำลังใจสร้างกุศลอื่นๆนั้น ผลที่ปรากฏก็ย่อมปรากฏต่อส่วนรวมและพระพุทธศาสนาอยู่ดี

    ซึ่งก็ย่อมดีกว่าการที่เขานำทรัพย์ไปใช้ผลาญในอบายมุขหรือความฟุ่มเฟือยอื่นๆ

    เมื่อเรามองให้ลึก หรือในเหตุในผลที่ปรากฏแล้ว เราลองมา ย้อนกลับพิจารณาดูจิตของเราเองบ้างว่า

    ในเมื่อเขาสละทรัพย์อันมาก ทำบุญจนเด่นดัง เป็นที่รู้จัก

    ไอ้จิตของเราเมื่อรู้ข่าวเห็นข่าวทราบความแล้ว จิตเราโมทนาในความดี ในกุศลของเขาหรือไม่ หรือมีจิตตำหนิความดีของผู้อื่น

    หากจิตเราตำหนิความดีของผู้อื่น เราก็ต้องย้อนกลับมาดูจิตตนเองให้ลึกขึ้นไปอีก ว่า จิตเราหนัก จิตเราเศร้าหมองหรือไม่ หากจิตเราเศร้าหมอง

    เราก็ต้องดูจิตลึกลงไปอีกว่า เศร้าหมองเพราะจิตเกิดความ"ริษยา"ในความดีของผู้อื่นที่เขาทำดีได้มากกว่าตนเองหรือ ทำแล้วมีคนยกย่องสรรเสริญมากกว่าที่ตนเองทำหรือ หากเกิดขึ้น เราเองต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องปรับจิตปรับใจของเราให้รู้จักกับ

    "มุทิตาจิต" ความยินดีและโมทนาในความสุขความเจริญ ในความดีของท่านทั้งหลาย แม้เพียงเล็กน้อยสักประการใด

    หากเราปรับจิตได้ถูกต้องบุญทั้งหลายที่เขาทำ เราตั้งมุทิตาจิตโมทนาบุญเราก็ได้บุญ ได้กุศลกับเขาไปด้วย

    และความขุ่นใจก็ดี ความหมั่นไส้ ความริษยาก็จะไม่ปรากฏในจิตใจของเราแม้แต่น้อย

    มีแต่ความสุขความยินดีกับบุญของทุกๆท่าน




    คราวนี้เรามาลองดูกำลังใจในการทำความดี ทำกุศลกันต่อ

    -ทำความดี เพื่อ บุญ เพื่อหวังอานิสงค์ที่ตนเองจะพึงได้รับ ซึ่งกำลังใจในระดับนี้ เป็นผู้ที่เริ่มมีปัญญาบารมี มีสัมมาทิษฐิ เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด เป็นระดับที่การทำบุญเริ่มสะสมตัวเข้ามาเพิ่มขึ้นตามลำดับ

    -ทำความดี โดยปรารถนาที่จะทำบุญที่ให้อานิสงค์สูงๆ ผลมากๆ ซึ่งบางท่านไปตำหนิว่า การทำบุญแบบนี้เป็นความโลภ

    แต่ครูบาอาจารย์ท่านมีอัตถาธิบาย ว่าที่จริงเป็้นความฉลากในการทำบุญ หรือการใช้ปัญญาบารมีในการทำทานบารมีควบกันไป

    เรื่องนี้หมายรวมถึงท่านที่ทำบุญพิเศษ จำเพาะเจาะจงเพื่อเติมจุดที่ตนเองขาดให้ครอบคลุมให้ทั่วด้วย ซึ่งตรงนี้ยิ่งต้องมีปัญญาและความเข้าใจ เรื่องของอานิสงค์ และในกรรมผลของกรรมเป็นอย่างมาก

    ในช่วงนี้บารมีในการทำบุญสร้างกุศลจะเพิ่มขึ้นสูงขึ้น ปราณีตขึ้น

    สำหรับเราท่านทั้งหลาย หากเราพิจารณาให้ดี และเรียนรู้จากเขา เรายิ่งได้ภูมิรู้ ได้ปัญญาบามี ได้โมทนาบุญของเขาไปด้วย มีแต่ได้อย่างเดียว

    -การทำความดี สร้างบุญ เพื่อการสละ การละความโลภออกไปจากจิตใจ

    ในระดับนี้ ท่านจะไม่สนว่า ใครจะรู้ ใครจะชม อานิสงค์ที่ปรารถนาคือตัว ละความโลภอันเป็นกิเลสในจิต เพื่อภูมิธรรมความเข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยะเจ้า

    หากการทำทาน การทำบุญการสร้างกุศลของเราก้าวมาถึงจุดนี้
    ทานก็จะยิ่งมีกำลังสูงขึ้น จากความบริสุทธิ์ของจิต

    ระดับนี้ มีปัญญาน้อมสู่โลกุตรภูมิ อันมีดำริออกจากสังสารวัฏฏ์ ความยึดติดย่อมน้อยลง การสร้างกุศลเป็นปกติ

    การสร้างกุศล การทำความดี เพื่อความดี อย่างแท้จริง ไม่สนใจในโลกธรรมทั้งแปดประการ

    ทำความดีไป ใครชม เราก็เฉยๆไม่ฟู

    ใครไม่ชมเราก็เฉยๆ ใครไม่รู้ไม่เห็นเราก็้เฉยๆ

    ทำความดีไปคนเขามาด่้าว่า ใส่ความ เราก็เฉยๆ เพราะเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่และทำความดีเพราะเป็นความดี เพื่อความดี

    ในระดับนี้ การทำความดี สร้างกุศล จึงนับว่าเป็นการปิดทองหลังพระได้อย่างแม้จริง

    เรื่องนี้ หลวงพี่อนันต์ท่านได้เคยเมตตากล่าวตักเตือนผมในเรื่องการทำงานเพื่อส่วนรวม ว่า "ขอให้ทำความดีเพื่อความดีนะ"

    ซึ่งผมต้องขอน้อมกราบในคำสอนของท่านด้วยครับ

    หากทำได้ในระดับดี ก็นับว่าความดี กุศลตั้งมั่นไม่หวั่นไหว


    -และที่ใช้กำลังใจยิ่งขึ้นไปอีก ในการสร้างกุศล การทำบุญ การสร้างความดี นั้นก็คือ

    การทำความดี เพื่อความดีของผู้อื่น

    อันหมายถึง การทำความดี กุศลของเราที่เราต้องเหนื่อยยาก ใช้ความอุสาหะ วิริยะ ปัญญา สรุปรวมใน บารมีสามสิบทัศน์นั้น

    เราทำโดยไม่ได้สนใจอานิสงค์ของตนเอง แต่เราปรารถนาให้เกิดอานิสงค์ต่อผู้อื่นให้เขาเหล่านั้นเป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งความดี ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และมีพระนิพพานเป็นที่สุด

    ท่านที่ทรงกำลังใจในแบบนี้เพื่อเป็นแบบอย่างให้เราท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติ นั้น ก็นับเนื่องมาจากพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เป็นต้นมา พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์มีหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่เมตตา ยอมเหนื่อยยาก ตรากตรำ แม้ท่านจะป่วย นำทางให้ลูกหลาน ก้าวสู่เส้นทางแห่งความดี ปิดอบายภูมิ

    การทำความดีเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าถึงความดีนั้น ต้องใช้กำลังใจสูงมาก เรียกว่า อานิสงค์เพื่อตนเองเราไม่สนใจปรารถนาให้บารมีผู้อื่น กำลังใจผู้อื่น ความดีของผู้อื่นสูงขึ้น เข้าใกล้พระนิพพานขึ้นเป็นสำคัญ

    หรือแม้แต่หากทำให้ผู้อื่นได้ความดีเพียงเล็กน้อย มีความยินดีในกุศลก็ไม่ละเลย เพื่อให้ความดีปรากฏแก่ใจของเขาเหล่านั้น

    หากเราสามารถยกกำลังใจ ในการสร้างกุศล สร้างความดีของเราให้สูงขึ้นได้ตามลำดับแล้ว ภูมิจิต ภูมิธรรมเราก็จะพัฒนาขึ้นไป และก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

    พิจารณาจิตตนเพื่อยกกำลังใจของตนให้สูงขึ้นนั้น ย่อมเกิดผลดีกว่ามุ่งตำหนิติเตียนเพ่งโทษผู้อื่น

    ประโยชน์สุขย่อมเกิดกับทุกฝ่ายหากเราวางกำลังใจเอาไว้ถูก

    ขอกำลังใจตลอดจนบารมีในกุศลบุญอันบริสุทธิ์จงเกิดมี และงอกงามในดวงธรรมแห่งจิตอันพิสุทธิ์ทุกๆดวงด้วยเทอญ
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขอน้อมรับนำมาปฏิบัติค่ะ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีหลายท่าน ได้บ่นๆว่า สอนสมาธิทำไมง่ายจัง จึงทำให้เกิดวิกิจิจฉาว่า มันเป็น สมาธิจริงๆหรือ เกิดผลจริงหรือ

    ดังนั้นจึงขอจำแนกแตกธรรมออกมาก่อนว่า มีวิืสัยในการสอนที่สามารถจำแนกแตกธรรมปฏิบัติที่ยากพิศดารให้ง่าย กระจ่่างใจ ปรากฏแก่ใจ เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ เกิดผลจากการปฏิบัติของแต่ละบุคคล ให้ได้ตามกำลังบุญที่เคยได้ทำมาในกาลก่อน อันเป็นผลที่พระท่านเมตตาสงเคราะห์ผ่านผมมา

    ดังนั้นอย่าได้สงสัยในการปฏิบัติ แต่จงทำ ให้เจริญยิ่งขึ้นไปตามลำดับ

    และคราวนี้เรามาลองทบทวน อารมณ์กรรมฐาน ที่เคยได้ฝึกกันไปแล้วกัน

    และมาจำแนกแตกธรรมมะปฏิบัติที่ว่าง่ายนั้นว่ามีความละเอียดพิศดารและมีอานิสงค์หรือผลแห่งการปฏิบัติมากมายเพียงใด


    เริ่มต้น

    เราจับที่ลมสบาย ที่จิตสบาย ลมหายใจสงบระงับดับไป เห็นอาการของจิตที่หยุดนิ่งเป็น เอกัคคะตารมณ์ได้อย่างชัดเจน

    -จุดนี้ในทางปฏิบัติเป็นฌานสี่หยาบหรือฌานสี่ใช้งานอันเกิดจากอาณาปานสติ

    อานิสงค์แห่งอาณาปานสตินั้น ย่อมยังความสบายของจิต ยังความสบายทางกาย เป็นผู้ทรงสติอยู่เป็นปกติ เป็นผู้ไม่หลงตาย(ทรงสติก่อนตายกำหนดอารมณ์จิตเพื่อกำหนดภพภูมิได้) เป็นผู้รู้วันเวลาตายแห่งตน เป็นต้น

    อานิสงค์แห่ง ฌาน ย่อมยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังให้เกิดกำลังในวิปัสสนาญาณเพื่อน้อมไปสู่โลกุตรธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น
    ยังอิทธิบาทสี่ให้ปรากฏ จิตย่้อมตั้งมั่น และสงบระงับจากนิวรณ์ห้าประการอันเป็นเครื่องขัดขวางความดี

    ส่วนการทดสอบจิตของเราในขณะจิตที่ทรงในฌานสี่อยู่นี้ ว่าจริงหรือไม่

    อารมณ์ของจิตตั้งมั่นจนเห็นอาการหยุดของจิต ที่เรียกว่าเอกัตคตารมณ์

    หากชำเลืองจิตไปดูลมหายใจ จะพบว่า ลมหายใจดับนิ่งหายไป อันในภาษาการปฏิบัติเรียกว่า ลมสงบระงับ

    ใช้จิตที่ตั้งมั่นมากำหนดดู ผัสสะที่มากระทบอายตนะทั้งห้า อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราจะพบว่า เรารับสัมผัสทั้งหมดแต่จิตไม่ไปปรุงแต่ง ให้เกิดสุข ทุกข์ เป็นเพียงรู้สึกสักแต่ว่ารู้สึก เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น

    ซึ่งนั่นคือ การทรงฌานนั่นเอง เราจะพบว่าจิตเรานิ่งขึ้น จิตกระเพื่อมต่ออารมณ์กระทบและการปรุงแต่งน้อยลงจน ปรากฏได้ด้วยตนเอง

    และยิ่งเราเห็นอาการหยุดของจิตเรามากเท่าไร จิตนิ่งมากเท่าไร เจโตปริยญาณ หรือญาณเครื่องรู้ในวาระจิตก็จะปรากฏขึ้นเมื่อนั้น เกิดเอง รู้เองเห็นเอง ประจักษ์เอง ซึ่งเมื่อเจโตปริยญาณปรากฏแล้ว เราก็จะเข้าใจได้เองว่า สมาธิที่เราทรงได้เป็นฌานจริงๆ



     

แชร์หน้านี้

Loading...