นิพพาน ในอุดมคติของคุณเป็นอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นายเมธี12, 28 พฤษภาคม 2009.

  1. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    สวัสดีครับ ผมเป็นคนนึงที่อยากจะบรรลุทางธรรมไปถึงซึ่งนิพพาน แต่ ทว่า อาจจะยังไม่ถึงเวลาบุญบารมียังไม่พอกำลังใจยังไม่สูงพอ แต่ ตอนนี้ผมอยากทราบว่า ทุกท่านมีลักษณะ นิพพาน เป็นอย่างไรบ้าง เพราะตอนนี้ผมรวบรวมเก็บข้อมูลจะทำกราฟฟิก ทำเป็น movie และ control movie สามารถบังคับว่าเราอยากจะไปที่ใดก็ได้ แจก ซึ่งทำไว้สำหรับผู้ที่สนใจและยังไม่มีบารมีถึงพอที่จะได้สัมผัส แต่ได้เห็นผ่านทาง vdo จะได้เข้าใจแล้ว มีความศรัทธามากขึ้นด้วยครับ และก็เข้าใจง่ายขึ้นมองเห็นภาพง่ายขึ้นสำหรับคนที่ปฏิบัติ เดี๋ยวผมจะลองทำแล้วเสนอ สำนักต่างๆ ว่า สามารถเผยแพร่ได้ไหม ต้องผ่านวิธีการต่างๆจึงจะแจกจ่ายได้แต่ตอนนี้ได้แค่ ทำเป็น ตัวอย่าง แต่ไม่มีข้อมูลอีกทั้งผมก็ยังมีบุญไม่ถึงพอที่จะเห็นชัดเท่าใดก็เลยรบกวน สอบถามพวกเพื่อนๆพี่น้องๆในเว็บนี้ว่า ท่านที่เคยเห็นแล้ว ไปมาแล้ว หรือยังไม่ได้ไปแต่มีจิตนาการอย่างไร ก็ บอกกล่าวกันมาได้นะครับ ผม จะฟังและอาจจะนำไปเขียนเป็นกราฟฟิก3D movie แต่ไม่ได้ทำเป็น รูปแบบการ์ตูนแต่จะทำเป็นของจริงเลย

    ส่วนนี่เป็นนิพพานที่ผมเห็น เลยทำเป็นรูปขึ้นมาอาจจะใช่ตามความเป็นจริงหรืออาจจะไม่ใช้ตามความเป็นจริง แต่ผมก็ทำขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยาทานครับ
    [​IMG]

    ขอบคุณมั๊กๆครับ อนุโมทนาสาธุครับ
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ลองอ่านดูครับ...
    นิพพาน อันปรากฎแก่ผู้สิ้นตัณหา
    ธัมมัตถาธิบาย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ต่อไปนี้ เป็นเนื้อความ ในธัมมัตถาธิบาย ขยายคำในพระพุทธอุทาน ต่อจากอรรถกถาออกไปอีก เพื่อให้เป็นที่เข้าใจแก่ผู้ใฝ่ใจทั้งหลาย กล่าวคือ ในพระพุทธอุทานนั้นมีเนื้อความว่า สิ่งที่ไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นของที่เห็นได้ยากของจริงไม่ใช่เป็นของที่เห็นได้ง่าย เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้แทงตลอดตัณหาแล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ดังนี้ คำเหล่านี้พระอรรถกถาจารย์ได้แก้ทุกคำแล้ว คือ คำว่า เห็นได้ยากนั้น พระอรรถกถาจารย์แก้ไขไว้ว่า ผู้ที่ไม่ได้สะสมญาณบารมีไม่อาจเห็นได้ เพราะนิพพานเป็นของลึก ตามสภาพ เป็นของละเอียดสุขุมอย่างยิ่ง ดังนี้<o:p></o:p>
    คำของพระอรรถกถาจารย์นี้ เป็นคำปฏิเสธว่า ไม่เห็นเสียเลย ไม่ใช่ว่าเห็นได้ยาก นัยที่ ๒ พระอรรถกถาจารย์แก้ไขไว้ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงการบรรลุนิพพานได้ยาก ด้วยคำว่าเห็นได้ยาก โดยอ้างเหตุว่า การอบรมสิ่งที่ไม่มีปัจจัย ไม่ใช่เป็นของที่สัตว์โลกทั้งหลายจะทำได้ง่ายโดยเหตุว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ได้อบรมสิ่งที่มีปัจจัยด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น ซึ่งเป็นของทำปัญญาให้ทุผลภาพเสียกำลังดังนี้ ฯ ได้ใจความตามนัยที่ ๒ นี้ว่า ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น คือ สำเร็จได้ยาก ฯ โดยเหตุนี้ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้เถิดว่า คำว่าเห็นได้ยากนั้น พระอรรถกถาจารย์ว่าไว้ ๒นัย นัยที่๑ ว่า ผู้ไม่ได้สะสมญาณบารมีไว้ไม่อาจเห็นได้ นัยนี้ชี้ให้เห็นว่า เห็นไม่ได้ทีเดียว ฯ นัยที่ ๒ ว่าสำเร็จได้ยาก ฯ นัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ต่อเมื่อไรได้สำเร็จจึงจะเห็นได้ การสำเร็จนั้นย่อมเป็นการสำเร็จได้ยากฯ ขยายคำข้อนี้ออกไปอีกชั้นหนึ่งว่า การจะเห็นพระนิพพานนั้น ต้องเห็นได้ด้วยปัญญาจักษุอันเป็นปัญญาที่ประเสริฐ ปัญญาจักษุนั้น เป็นของที่ทำให้เกิดขึ้นได้แสนยาก ด้วยเหตุว่า ต้องอบรมบารมี มีทาน ศีล ภาวนาเป็นต้น อยู่จนตลอดกาลนาน จึงอาจทำปัญญาจักษุ คือ ดวงปัญญาอันประเสริฐให้เกิดขึ้นได้ ขอให้ดูแต่พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายเป็นตัวอย่างเถิด คือพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญบารมี มาตลอด ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัลป์ นับแต่ได้พุทธพยากรณ์มาแล้ว ก่อนแต่ยังไม่ได้พุทธพยากรณ์มานั้น พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญมาแล้วตลอดกาลนานคือ ทรงบำเพ็ญในเวลาที่ตั้งความปรารถนาในใจว่า จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นอีก สิ้น ๙ อสงไขย จึงได้พุทธพยากรณ์จากสำนักพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์มี พระทีปังกรเป็นต้น รวมเวลาบำเพ็ญบารมีทั้ง ๓ ตอน เข้าด้วยกัน ก็เป็น ๒0 อสงไขยเศษแสนมหากัลป์ จึงจะทำพระปัญญาจักษุอันประเสริฐให้เกิดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็ยังทรงทำได้แสนยากต้องทนลำบาก พระองค์บำเพ็ญทุกขกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษาเพื่อแสวงหาดวงจักษุ คือ ปัญญาอันประเสริฐจึงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเห็นพระนิพพานแจ่มแจ้งด้วยพระองค์เอง โดยไม่เกี่ยวกับทุกขกิริยาที่ทรงกระทำมานั้น ไม่ใช่เป็นหนทางให้พระองคืได้ตรัสรู้ ส่วนหนทางที่ให้พระองค์ตรัสรู้นั้น ได้แก่ อัฏฐังกิมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฐิเป็นต้น มีสัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน ที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้นด้วยทรงเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน คือ ทรงตั้งพระหฤทัยกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์เมื่อพระองค์ทรงบ่ม อานาปานสติ การกำหนด ลมหายใจเข้าออกนั้นให้แก่กล้านั้นก็เกิดเป็นสมาธิชั้นที่ ๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ซึ่งเรียกตามบาลีว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เมื่อ จตุตฌานเกิดขึ้นแล้ว พระหฤทัยของพระองค์ดำรงมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง อ่อนโยน ละมุนละไม ตั้งอยู่ในฐานะที่จะบังคับได้ดังประสงค์ กำรงมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว พระองค์ก็ทรงน้อมพระหฤทัยไป เพื่อให้เกิด บุพเพนิวาสญาณ ให้ระลึกการหนหลังได้ ในลำดับนั้น พระองค์ก็ทรงระลึกกาลหนหลังได้ ตั้งแต่ ชาติหนึ่งเป็นต้นไป จนกระทั่งถึงปลายกัลป์ หากำหนดมิได้ พร้อมทั้งอาการและอุเทศ คือทรง ระลึกได้ว่า ในชาติโน้น พระองค์มีพระนาม และโครต ผิวพรรณ วรรณะ อาหาร สุขทุกข์ อายุ อย่างนั้นๆ จุติจากชาตินั้นแล้ว ได้มาเกิดในชาติโน้น ทรงระลึกได้อย่างนี้เป็นลำดับมา จนกระทั่งชาติปัจจุบันนั้น บุพเพนิวาสญาณ การระลึกชาติหนหลังนี้ ได้เกิดมีแก่พระองค์ในปฐมยาม ฯ ในปฐมยามนั้น พระองค์ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมจนตลอดแล้ว ก็ทรงเปล่งอุทานขึ้น ดังที่แสดงมาแล้วในกัณฑ์ ที่ ๑ โน้น<o:p></o:p>
    เมื่อถึง มัชฌิมยาม พระองค์น้อมพระหฤทัยไปเพื่อให้รู้การจุติ และอุบัติของสัตว์โลกทั้งหลาย พระองค์ก็ได้ทรงเห็นสัตว์โลกทั้งหลายที่จุติ และเกิดได้ทุกจำพวก คือจำพวกที่เลวและดี ทั้งพวกที่มีผิวพรรณดีและไม่ดี ทั้งจำพวกที่ไปดีและไปไม่ดีด้วยทิพพจักษุญาณ คือพระองค์ทรงทราบว่าพวกที่ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ถือมั่นมิจฉาทิฐิ ทำกาลกิริยาตายแล้ว ก้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก การที่พระองค์ทรงทราบนั้น คือ ทรงเล็งเห็นด้วย ทิพพจักษุ เหมือนกับบุคคลยืนอยู่บนปราสาทซึ่งเล็งเห็นผู้ที่อยู่รอบปราสาทฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงได้ทิพพจักษุอันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจตูปปาตญาณแล้ว พระองค์ก็ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาทในฝ่ายปฏิโลม แล้วทรงเปล่งอุททานเป็นครั้งที่ ๒ ดังที่แสดงมาแล้ว ในกัณฑ์ ที่ ๒ โน้น <o:p></o:p>
    เมื่อพระหฤทัยของพระองค์บริสุทธิ์ดังที่แสดงมาแล้วในกัณฑ์ที่ ๓ โน้น ฯ ในขณะที่พระองค์ทรงไว้ อาสวักขยญาณอันทำให้สิ้น อาสวะกิเลสนั้น สรรพปรีชาญาณทั้งสิ้น คือ เวสารัชชญาณ ๔ ทศพลญาณ ๑0 และสัพพัญญุตญาณเป็นต้น ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ฯ เป็นอันว่าในขณะนั้น พระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก เป็นอันว่าพระปัญญาจักษุ คือ ดวงปัญญาอันวิเศษ ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นพระหฤพาน ก็เกิดมีขึ้นแก่พระองค์ พร้อมทั้งพระพุทธจักษุพระสมันตจักษุ ทิพพจักษุทุกประการ ฯ เท่าที่สังวัณณนาการแล้วนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พระนฤพานนั้น เป็นของที่เห็นได้แสนยาก เพราะเหตุว่า เป็นของละเอียดลึกซึ้งไม่มีสิ่งจะเทียมถึง โดยเหตุนี้ ควรที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะอุตสาหะบำเพ็ญ บารมีทั้ง ๑0 ประการ คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี อันกล่าวโดยย่อว่า ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ บรรพชา ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตตา อุเบกขา ตามกำลังสามารถของตนๆ ตามภูมิชั้นของตน ๆ ที่ปรารถนาเป็น สาวก สาวิกา หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามโอกาส บริสุทธิ์ มาด้วยบุพเพนิวาสญาณ และ จุตูปปญาณ ในปฐมยาม และมัชฌิมยามดังนี้แล้ว พระหฤทัยของพระองค์ก้ผ่องแผ้วยิ่งขึ้น พระองค์จึงทรงน้อมพระหฤทัยไปเพื่อให้เกิดอาสวักขยญาณ ทำให้สิ้น อาสวะจากสันดานของพระองค์ ฯ <o:p></o:p>
    พระองค์ก็ทรงทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งไรเป็นทุกข์ สิ่งไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สิ่งไรเป็นความดับทุกข์ สิ่งไรเป็นทางหั้บทุกข์ฯ พระองค์ก็ทรงทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอาสวะ เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ เป็นความดับอาสวะ เป็นทางให้ดับอาสวะ ฯ เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นอย่างนั้น พระหฤทัยของพระองค์ก็หลุดพ้นจาก กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ เมื่อพระหฤทัยของพระองค์หลุดพ้นจากอาสวะ ทั้ง ๓ อย่างนั้นแล้ว ก็เกิดพระปรีชาญาณขึ้นว่า พระหฤทัยของเราหลุดพ้นแล้ว พระองค์สิ้นความเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในกำเนิด ๔ คติ ๕ สัตตาวาส ๙ อันนับเข้าในสงสารเสร็จแล้ว พระองค์สำเร็จพรหมจรรย์แล้ว ได้ทรงทำสิ่งที่ควรทำ สำเร็จแล้ว ลำดับนั้น พระองค์ก็ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทกลับไปกลับมาทั้งฝ่าย อนุโลมและปฏิโลม แล้วทรงเปล่งอุทานขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ดังที่ได้ ที่ควรกระทำ เมื่อผู้ใดพยายามบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑0 มีทานเป็นต้น ตามสมควรแก่เวลาแล้ว ผู้นั้นก็ใกล้ต่อการเห็นนิพพานไปโดยลำดับ ด้วยเหตุว่า จิตใจของผู้นั้น จะผ่องใสไปโดยลำดับ เหมือนกับทองที่ช่างทองได้ไล่ขี้ไปโดยลำดับฉะนั้น ฯ ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ทรงสอนไว้ว่า บุคคลผู้มีปัญญา ควรกำจัดมลทินของตนไปทีละน้อยๆ ไปตามขณะสมัย ในเวลาอันสมควร ให้เหมือนกับช่างทองไล่สนิมทองฉะนั้น ดังนี้ ฯ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่ขอเตือนท่านทั้งหลายอีกอย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายอย่าท้อใจว่า กว่าจะได้เห็นนิพพานนั้นต้องบำเพ็ญบารมีอยู่ตลอดกาลนาน เพราะเหตุว่าเมื่อเราทำไป วันเวลาเดือนปี ก็สิ้นไปตามลำดับ เมื่อเราดับจิตแล้ว เราก็เกิดชาติใหม่ เมื่อเราเกิดชาติใหม่แล้ว เราก็ลืมชาติเก่า เรานึกไม่ได้ว่าเราได้บำเพ็ญบารมีมานานแล้ว เมื่อเราเกิดอยู่ในชาติใด เราก็นึกได้แต่เพียงชาตินั้น อันนี้ไม่เป็นเหตุให้เราเบื่อหน่าย ท้อทอยต่อการบำเพ็ญบารมี ถ้าเราไม่ลืมชาติหนหลัง เหมือนดั่งเราเดินทาง แล้วไม่ลืมระยะทางที่เดินมาแล้วในวันก่อนๆนั้นแหละ จึงจักทำความหนักใจท้อถอยให้แก่เรา อีกประการหนึ่ง การเดินทางนั้น ย่อมทำให้เกิดความเหนื่อยมากในวันแรก และวันที่ ๒ ที่ ๓ เท่านั้น สำหรับวันต่อๆไป ความเหนื่อยนั้นก็คลายลงไปทีละน้อยๆ ด้วยเหตุว่า ความคุ้นเคยต่อการเดินทางนั้น ย่อมมีขึ้นกับเท้าและแข้งขาของเรา การบำเพ็ญบารมี ก็ทำให้เรามีความชำนิชำนาญขึ้นทีละน้อยๆ ฉันนั้น เหมือนเราไม่เคยให้ทาน รักษาศีล ฟังพระสัทธรรมเทศนา เราย่อมรู้สึก ลำบากใจ เห็นว่าเป็นของทำได้ยาก แต่ว่าเมื่อเราทำได้มากขึ้นแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นของทำได้ง่ายขึ้นทุกทีฯ อีกประการหนึ่งการบำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาเป็น สาวก สาวิกาปกตินั้น ย่อมไม่กินเวลานานเท่าไรนัก กินเวลาเพียงแสนมหากัลป์เท่านั้น ส่วนปรารถนาเป็นมหาสาวก และอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จึวกินเวลานานมากกว่ากันขึ้นไปเป็นลำดับ ฯ เมื่อเราทั้งหลายไม่เห็นพระนิพพานอยู่ตราบใด ก็ไม่เห็นความสิ้นทุกข์อยู่ตราบนั้น เหมือนกับเรายังไม่เห็นความมั่งมีตราบใดเราก็ไม่เห็นการสิ้นความจนอยู่ตราบนั้น ฉะนั้น โดยเหตุนี้ จึงควรที่ทุกคนจะพยายามบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑0 ที่มีทานบารมีเป็นต้น ให้มีขึ้นในตนเสมอไป แก้ไขมาในคำว่า นิพพานเห็นได้ยาก ก้พอเป็นที่เข้าใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายแล้ว จึงจะได้อธิบายคำอื่นต่อไป <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    มีคำว่า นิพพาน ไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นต้น คือ คำว่า นิพพานไม่มีเครื่องน้อมไปนั้น พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าตัณหาชื่อว่าเป็นเครื่องน้อมไป เพราะน้อมไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้นและน้อมไปในภพทั้งหลาย <o:p></o:p>
    มีกามเป็นต้น ซึ่งท่านย่นใจความว่า นิพพานนั้นไม่มีตัณหา ฯ คำของพระอรรถกถาจารย์ที่อธิบายดังนี้ เป็นอันได้ความแจ่มแจ้งแล้ว คือ พระนิพพานนั้น ไม่มีตัณหาที่จะให้น้อมไปในอารมณ์ และภพอันใดอันหนึ่ง จึงเป็นที่เกษมสุขอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีตัณหานั้น เป็นสิ่งที่ให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น คำว่านิพพานไม่มีเครื่องน้อมไป คือตัณหานี้ เป็นเครื่องชี้คุณของนิพพานให้เห็นว่า ไม่มีเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ จึงจัดเป็นเอกันตบรมสุขอย่างยิ่ง สมกับคำว่า นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมสุขดังนี้ <o:p></o:p>
    คำว่า ของจริงไม่ใช่เห็นได้ง่ายในพระอุทานนั้น พระอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ว่า นิพพานนั้นชื่อว่าเป็นของจริง เพราะเป็นของไม่วิปริต เป็นของมีอยู่โดยแท้ ใครจะแก้ไขให้เห็นว่า นิพพานไม่มีนั้นเป็นอันไม่ได้ นิพพานนั้นถึงผู้ได้สะสมบุญญาณไว้ได้ตลอดกาลนาน ก็ยังยากที่จะเห็นได้ ดังนี้ คำของพระอรรถกถาจารย์นี้เป็นคำที่แจ่มแจ้งอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงซ้ำอีกให้พิสดารเป็นแต่จับใจความว่า ตามถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์นี้มีมาว่า นิพพานซึ่งเป็นของจริงนั้น ถึงผู้บำเพ็ญบารมีมานานแล้ว ก็ยากที่จะสำเร็จได้<o:p></o:p>
    คำว่าแทงตลอดตัณหานั้น พระอรรถกถาจารย์ว่า ได้แก่ละตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ฯ คำว่าผู้รู้ผู้เห็นนั้น ได้แก่ ผู้รู้เห็นอริยสัจด้วยอริยมรรคปัญญา ฯ คำว่าไม่มีความกังวลนั้นได้แก่ไม่มีกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ คือ ความวนเวียนแห่งกิเลส และกรรมกับทั้งผลแห่งกรรม ดังนี้ ฯ ถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์เหล่านี้ ก็มีใจความแจ่มแจ้งแล้วทั้งนั้น โดยเหตุนี้ จึงของดธัมมัตถาธิบายในพระพุทธอุทาน ที่ ๗๒ อันมีเนื้อความว่า ธรรมชาติอันใดไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นของเห็นได้ยาก เพราะของจริงไม่ใช่เป้นของเห็นได้ง่าย เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผุ้แทงตลอดตัณหาแล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ดังนี้ ......<o:p></o:p>
    ที่มา กัณฑ์ ที่ ๗๒ คัมภีร์ ขุททกนิกาย พุทธอุทาน ว่าด้วยนิพพานอันปรากฎแก่ผุ้สิ้นตัณหา<o:p></o:p>
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    มีประโยชน์..และไม่มีประโยชน์....ครับ....

    ไม่ได้ห้ามนะครับผมว่า.....ถ้าใครอยากรู้....ให้เขาฝึกให้ได้เองจะดีกว่า....เสี่ยงต่อการปรามาสสูงมาก.....

    เพราะว่าไม่ใช่ได้....กันทุกคน...

    โมทนาสาธุธรรมครับ.......
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สิ้นทุกข์ ^-^
     
  5. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    นิพพาน ในความคิดของเราคือ เป็นที่ ที่นักแสดง อำลาวงการ เขาไม่กลับมาแสดงแล้วล่ะ
    เขารู้ว่ามันเหนื่อยแค่ไหน เขาขอนั่งดูเฉยๆ ดีกว่า โดยทิ้งบทบาทการแสดงให้นักแสดงไว้ดูต่างหน้า ตอนนี้พวกเขาก็ยังดูเราแสดงอยู่ ว่าเมื่อพวกเราจะเลิกแสดงบทบาทที่สมมุติกันสักที
     
  6. gumara

    gumara สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2009
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +0
    เป็นอาการทางจิต ไม่สามารถรับทางตาได้ครับ เหมือนใช้ตาฟังเสียงไม่ได้ ใช้หูดมกลิ่นไม่ได้ครับ
     
  7. ปัทมินทร์

    ปัทมินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +1,393
    เจริญสมถวิปัสสนากรรมฐานสิครับ คุณจะได้สัมผัสได้ถึง "กระแสพระนิพพานอย่างหยาบๆ" ได้
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยังไม่รู้จักนิพพาน แต่มีจินตนาการส่วนตัว
    นิพพานที่เราจิตนาการ เหมือนๆความรู้สึกที่ใฝ่หา ฝันหาตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
    รู้แต่ว่าถ้าได้สัมผัส เราจะมีความรู้สึก สงบ สันติสุข ไม่มีเหนื่อยล้า ไม่มีเบื่อ ไม่มีอยาก
    ไม่มีสั่นไหว ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ ไม่มีสงสัย มีแต่สภาวะปกติ สมดุลย์ ไม่เคลื่อนอีก
    ไม่มีทุกข์ เหมือนคนนอนหลับก็ไม่ฝัน ตื่นอยู่ก็ไม่ฝัน สงบจากฝันดี และฝันร้าย ตลอดกาล
    เป็นภาวะเสถียร สถาพร มั่นคง มีแต่ สันติสุขตลอดกาล
     
  9. Omjai_N

    Omjai_N เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +174
    คือการดับแล้วทั้งหลาย ไม่เจ็บปวด ไม่เศร้าหมอง ไม่อยากได้ ไม่ใฝ่หา มีแต่ความสงบ และในความสงบคือการ ดับทุกข์ คิดอย่างนี้จริงๆ อนุโมทนา
     
  10. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ครับท่านพูดมาตรงประเด็นถูกต้องมากๆผมเตรียมใจไว้แล้วหากมีใครมาปรามาสผมก็ไม่ใส่ใจอะไรมากนัก แต่หากว่าด้วยซึ่งประโยชน์นั้นแล้วไซร้ ให้กับคนที่หมองมัวกับชีวิต มืดมนและคนที่ไม่รู้จักคำว่าธรรมมะ หรือเด็กที่เค้าไม่ได้สนใจเลย มันสะดุดตาเห็นสิ่งที่สวยงานแล้วก็เริ่มสนใจทีนี้ มันก็ทำให้อยากรู้ ตัวนี้แหละครับ คือสิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยน ถึงจะมีประโยชน์ไม่มาก นัก แต่ หาก ว่าด้วยแล้ว ในเมื่อยุคสมัยอดีตกาล ผู้คนมากมาย ได้เห็น สิ่งต่างๆทั่งที่เป็นเรื่องจริงและไม่ได้เป็นเรื่องจริงตั้งแต่ พระพุทธเจ้าที่ท่านได้เปิด3โลกมนุษย์ในยุคนั้นได้เห็นและเลื่อมใสในสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ยุคนี้ สื่อต่างๆ มีกิเลสมากมายโดยสื่อที่เป็นสิ่งสำคัญก็คือ คอมพิวเตอร์ และ ผับสถานต่างๆซึ่ง ยุคสมัยก่อนไม่มี สมัยนี้ + กับเทคโนโลยีแล้วก็ต้องปรับมาใช้ครับ ล้วนแล้วแต่ใครจะนำไปใช้ในทางด้านใด อีกสักพักผมจะมาอธิบายรายละเอียดว่าทำไมผมจึงมีแนวความคิดแบบนี้นะครับ
     
  11. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ตอนนี้ผมฝึก มโนอยู่ครับ ผมสัมผัสได้ตามภาพที่ผมนำมาให้ดูหน่ะครับ
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ถ้าได้เช่นนั้นก็โมทนาสาธุบุญครับ......

    น่าจะโพสห้องหลวงพ่อนะครับ.....ผู้ได้มโนในนั้นมีมากกว่าที่นี่.....ที่นี่เขาไม่ค่อยมา.....

    ภาพสวยครับ....แต่จริงแล้วสวยกว่านั้นมาก.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  13. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ...หมดกิเลสไม่ยึดติดกับสิ่งใด..

    ...เป็นไปตามธรรมชาติ..
     
  14. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ละครปิดฉาก ลงเรือข้ามฟาก ที่นี่..เงียบ เงียบ ฝากให้รู้ข่าว...^^
     
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ลองเข้าไปดูห้องพลังจิตพิชิตภัย...ด้วยสิครับ......
     
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    นิพพานคือการหลับสนิท ไร้ความฝันตลอดไป ชั่วฟ้าดินสลาย
     
  17. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณมากคับ ท่าน
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Phanudet<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2138150", true); </SCRIPT>
    สำหรับคำแนะนำมีประโยชมากๆครับ ผมก็อยากจะมองความคิดในแต่ละมุมด้วยคับอ่อแล้วอีกอย่างนึงผมไม่ได้ทำแต่เพียง นิพพานเท่านั้น ผมจะทำสวรรค์ทุกชั้น นรกทุกขุม เมืองที่มนุษย์ไม่เคยไป ที่ๆคนไม่เคยเจอ ยกตัวอย่าง เช่น ป่าหิมพานต์ เป็นต้น นิพพานเป็นเพียงการเริ่มต้นที่สวยงามครับ
    ต้องขออภัยที่ผมกล่าวเพียงแค่นิพพานครับ ^^;
    และผมก็ไม่ได้ทำในรูปแบบที่ผมคิดเองมาทำเองทั้งหมด ผมต้องมีหลวงพ่อเพื่อนๆพี่น้องๆทุกคนรวมกัน ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวครับที่จะเนรมิตสื่อที่เป็นรูปแบบสัมผัสนี้ได้ เพราะ ผมไม่เก่งทุกอย่าง ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะรู้ทุกเรื่องครับ แต่ผมมีฝีมือที่พอใช้ได้ในการสร้างสรรผลงานไม่ได้เก่งอะไรมากเลย ก็ เลยมาตั้งห้อง ดูมุมมองและความคิดของแต่ละท่านครับผม ^^;
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤษภาคม 2009
  18. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณคับสำหรับ ข้อมูลดีๆที่นำมาให้อ่านครับ
     
  19. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ประโยคที่ผมขีดเส้นใต้เห็นด้วยนะคับ...เอาแค่นั้นก่อนเถอะคับ..เพื่อประโยคทั้งผู้ให้และผู้รับ.. เอาแค่ปูพื้นฐาน ให้เห็นกฏแห่งกรรม รู้จักรักษาศีลให้ได้ก่อน..ที่เหลือ คนที่เข้าใจได้ก็จะเดินทางต่อกันเองคับ.. เดินตามที่พระพุทธองค์ มุ่งสอน เพื่อความพ้นทุกข์.. ไม่ใช่ไปอยู่เมืองสวรรค์ เมืองนิพพาน
     
  20. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    จากกระทู้ข้างต้น.. ในความรู้สึกของคุณนิพพาน เป็นสถานที่สินะ...
    ..คุณมีกุศลเจตนาที่ดีนะคับ ผมอนุโมทนาสาธุ แต่ระวังถึงจะมีเจตนาที่ดี แต่ถ้าคุณชี้ทางผิดจากที่พระพุทธองค์ สอนไว้.. เท่ากับว่าคุณชี้คนเดินผิดทาง..กรรมในส่วนนี้จะตกที่ใคร??....
    ...นิพพาน ในความเข้าใจของผม.. คือ ความดับไม่เหลือ ..เหนือบุญเหนือบาป และคำกล่าวในบาลีก็มีบอกไว้ว่า.. ธรรมทั้งหลาย จัดเป็น สังขตธรรม แปลว่า เกิดได้จากเหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้เกิด.. มีธรรมข้อเดียวที่ไม่มีเหตุอะไรปรุงแต่งให้เกิด หรือบาลีที่ว่า อสังขตธรรม..นี่คือบัญญัติ ความหมายของนิพพาน ในพระอภิธรรม..
    อันนี้เห็นด้วยคับ...แต่เริ่มจาก 1 ไป 2 3 4 ก่อนดีไหม? อย่าเพิ่งเริ่มจากนิพพานเลยคับ (ไม่อยากให้ คุณชี้บอกใครในทางที่ไม่ถูก กรรมหนักจะเกิดกับคุณ...
    เริ่มอยางไร คือ 1 2 3 เริ่มจากศีล บาป บุญ กรรมดี กรรมชั่ว ก่อนดีไหม?...เอาแค่ศีล..คุณไป ถามคนทั่วๆไปทีไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรม..ก็จะได้คำตอบที่น่าปลงสังเวชแล้ว.. ศีลแค่ 5 ข้อ ถ้าทุกคนพร้อมใจกันรักษา กฏหมายบ้านเมืองไม่ต้องมีสักข้อก็ยังได้.. นี่คือพระปรีชาของพระพุทธองค์.. พิจารณาให้ดี เอาคำสอนของพระพุทธองค์แท้ๆ มาพิจารณาจะดีกว่านะคับ..นี่แค่ นับ1 นะ ที่เหลือก็คิดเอาเองละกันคับ... สาธุ
    นี่ไงคือคำตอบว่า ทำไม? คุณถึงมองนิพพานเป็นสถานที่..สิ่งที่เห็นทั้งหลายในนิมิต ไม่ใช่ของจริงเสมอไปนะคับ.. สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...