สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ใครที่แม้แต่คุณธรรมเรื่องความซื่อสัตย์ต่อตนและผู้อื่นยังไม่มี ก็ไม่มีวันได้ธรรม

    ต่อหน้ามะพลับลับหลังมะไฟ แบบนี้ยังห่างไกลธรรม

    ยิ่งพวกขโมยธรรมคนอื่นมาเป็นของตน
    แล้วไม่มีสำนึกว่า เอาธรรมคนอื่นมาเป็นความรู้แต่กลับ มีอคติกับเขานั้นมันน่าละอาย
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    อีกครั้งหนึ่งท่านพระอานนท มีหน้าที่จะต้องให้โอวาทพระภิกษุณี
    ท่านวิงวอนขอร้องให้พระมหากัสสปะไปกับท่าน เพราะเห็นว่าพระมหากัสสปะเป็นพระนักปฏิบัติ เคร่งคัด โอวาทของท่านคงจะเป็นประโยชน์แก่ภิกษุณี<O:p
    ผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติ พระมหากัสสปะปฏิเสธถึง 2 ครั้ง เมื่อพระอานนทอ้อนวอนเป็นครั้งที่ 3 ท่านจึงไป ไปยังขัดพระอานนทไม่ได้ โดยปกติท่านเป็นผู้อยู่ป่าไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เมื่อถึงสำนักภิกษุณี ให้โอวาทพอสมควรแล้วท่านก็กลับต่อมาท่านทราบว่า ภิกษุณีรูปหนึ่งติเตียนท่านว่า พระมหากัสสปะไม่น่าจะกล่าวธรรมต่อหน้าเวเทหะมุณี คือนักปราชญ์อย่างเช่นพระอานนทเลย การกระทำเช่นนั้นเหมือนพ่อค้าขายเข็มนำเข็มมาขายแก่นายช่างผู้ทำเข็ม ช่างน่าหัวเราะ พระกัสสปะกล่าวกับพระอานนทว่า<O:p
    อานนท์เธอหรือเรากันแน่ที่ควรจะเป็นพ่อค้าขายเข็ม ก็พระศาสดาเคยยกย่องเธอบ้างหรือว่ามีวิหารธรรม คือธรรมเป็นเครื่องอยู่ประจำวันเสมอด้วยพระองค์ แต่เรานี่เหละพระศาสดายกย่องในท่ามกลางสงฆ์ เสมอว่ามีธรรมเสมอด้วยพระองค์ เช่นเดียวกับยกย่องพระสารีบุตรว่าแสดงธรรมได้เสมอด้วยพระองค์ ท่านผู้เจริญพระอานนทกล่าวด้วยเสียงเรียบปกติอย่าคิดอะไรเลย<O:p
    สตรีส่วนมากเป็นคนโง่เขลา มักขาดเหตุผล พูดพล่อย ๆ ไปอย่างนั้นเองการที่พระมหากัสสปะกล่าวกับพระอานนท อย่างนั้นไม่ใช่ท่านน้อยใจหรือเสียใจในการที่ภิกษุณีกล่าวดูหมิ่นท่าน แต่ท่านกล่าวด้วยคำพูดของท่านคงจะถึงภิกษุณีและเธอจะได้สำนึกตน แล้วกลับความเห็นเสีย การที่ภิกษุณีกล่าวเช่นนั้นไม่สมควรจะเกิดโทษและทุกข์แก่เธอเอง ด้วยจิตอนุเคราะห์อย่างนี้ พระมหากัสสปะจึงกล่าวอย่างนั้น<O:p
    โดยความเป็นจริงแล้วพระมหากัสสปะมีความสนิทสนมและกรุณาพระอานนทยิ่งนัก กล่าวกันว่าแม้พระอานนทจะมีอายุอย่างเข้าสู่วัยชรา เกศาหงอกแล้วพระมหากัสสปะก็เรียกท่านว่า เด็กน้อยอยู่เสมอ และพระอานนทเล่าก็ประพฤษตนน่ารักเสียจริง<O:p
     
  3. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมจะบอกวิธีการนะ เอาอย่างนี้
    คุณรู้สึกยินดีในรูปของหญิง ชาย คนไหนคุณทำอย่างนี้นะ
    นึกถึงหญิง ชาย คนนั้น
    แล้วลอกเอาหนังของหญิงคนนั้นออก แล้วเอาหนังกองเอาไว้
    ลอกเนื้อแดง ๆ ออก ให้เหลือแตะกระดูกแล้วกองเนื้อเอาไว้
    เอาเครื่องในตับ ไต ไส้ สมอง และส่วนต่าง ๆ กองไว้
    แล้วนึกให้กระดูกหลุดร่วงกองลงไปกับพื้นที่ละชิ้น แล้วกองเอาไว้
    กองเลือด กองน้ำเหลือง เอาไว้
    แล้วเอาอาการทั้ง 32 มากองรวมกัน
    แล้วกำหนดไฟเผา ให้เหลือแต่ขี้เถ้าขี้ถ่าน
    จนลมพัดขี้เถ้า พัดหายไปไม่เหลืออะไรซักอย่าง
    แล้วยกขึ้นมาพิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์(คุณไปศึกษาญาณจริยานะ)
    ทำเช่นนี้บ่อย ๆ ด้วยสติ ทั้งกายเรา กายคนอื่น พิจารณาเปรียบเทียบไป
    ว่ากายผู้หญิง กับ กายเรา เมื่อพิจารณาแล้วก็เป็นของสกปรกไม่ต่างกัน
    มากำหนัดยินดีกันตรงไหน มีแต่ของเหม็น ของเสีย ไม่น่ากำหนัดยินดี
    ทำบ่อย ๆ
    พอถึงเวลาที่ควรจะเป็นไป
    การพิจารณาอย่างนี้ จะทำให้จิตรวมลงเป็นสมาธิ
    แล้วพอพิจารณาไปอีกนี่ ตอนพิจารณา ความรู้สึกว่าร่างกายนี้เหมือนไม่มี
    จิตมันรวมขนาดนั้นเลยนะ ขณะพิจารณา กายคตาสตินี่นะ
    เมื่อพิจารณาไปเรื่อย ๆ ภาพอสุภะ หรือ อาการ 32 จะปรากฏในจิตชัดขึ้นเรื่อย ๆ
    เมื่อก่อนเห็นภาพหญิงสาวกำหนัดยินดีทันที แล้วนำรูปสัญญามาชื่นชมต่ออีกนะ เมื่อก่อนที่จะพิจารณากายคตาสติ
    แต่พอพิจารณากายคตาสตินี่ มันจะทันกันนะ แก้ได้ทันที นี่ของแก้กันมันเป็นอย่างนี่
    พอมองเห็นหญิง มันกำหนดทันทีนะ มองข้างในเลย มันไม่สนหนังหรอก
    แล้วกามราคะจะบรรเทาเบาบางไปนะ
    แล้วภาพอาการ 32 จะชัดขึ้นเรื่อย ๆ ในจิต
    เมื่อพิจารณาพอแล้วก็กลับมา บริกรรมพุทโธ หรือ ลมหายใจต่อ สลับกันไปกับการพิจารณากายคตาสติ
    ให้ทำเช่นนี้ ทำแล้วทำเล่า
    เมื่อถึงเวลาจะเป็นไปอีกนะ จะกำหนดแยกกายกับจิตได้อย่างชำนาญ
    กำหนดปั๊บ จิต กับ กาย แยกกันคนละส่วน

    นี่การพิจารณาให้ทำแบบนี้
    ผมไม่ได้ด้นเดามาตอบ ผมผ่านมาแล้วทั้งนั้น
    เป็นสันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเอง
    ก็ถอดออกจากหัวใจมาตอบนี่น่ะ
    ทำไมถึงจะพูดไม่ได้วะ

    คุณเวลาจะแสดงว่าตนรู้อะไรให้พิจารณาก่อนนะว่าเป็นใคร
    มาแสดงกับคนที่เค้ารู้เค้าเห็นด้วยตนเองมาแล้ว
    จะหน้าแตกเหมือนตอนนี้นะ ให้จำไว้

    คุณกล่าวถึงธรรมขั้นใดภูมิใด
    มีแต่คำโอ้อวดทั้งนั้นหาของจริงไม่มี
    มีแต่ด้นแต่เดา มาอวด
    ทำไมไม่มียางอายบ้างนะ
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาแบบนี้ ใครที่คิดว่ามีภูมิธรรมดี ผมจะขอเป็นกรรมการให้เป็นรายบุคคลต่อหน้าสาธารณชน แล้วผมจะบอกว่า ท่านติดตรงไหน จะได้ไม่ต้องเอามาอวดกัน
    และหากธรรมของใครตกไป ก็ต้องยอมรับในธรรมของคนอื่น
    ตกลงไหม

    และจะต้องยอมรับธรรม มากกว่า แถ บุคคลดังกล่าวมีดังนี้

    1 สมศรี
    2 เกสท์
    3 จินนี่
    4 ธรรมภูติ
    5 นิวรณ์

    ถ้า 5 คนนี้ ใครทะเลาะกับใคร ผมจะเข้าไปเป็นกรรมการ และจะจี้ในจุดผิดให้ และหากไม่เชื่อกรรมการ จะเถียงก็ได้ แต่จะต้องยอมรับในธรรม ห้ามหนีไปดื้อๆ แต่จะต้องกล่าวว่า ยอมรับธรรม
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เริ่มที่ คู่แรก ระหว่าง เกสท์กับธรรมภูติ

    การพิจารณา อสุภะกรรมฐาน จะพิจารณาอย่างไรก็ได้
    กายคตาสติ นั้นถ้าชำนาญจิตจะเห็นกายในละเอียดเอง

    ทีนี้ ถ้าจะดับราคะ แล้วเอาอสุภะมาแก้ หรือ กายคตาสติมาแก้ หรือ อาหาเรปฏิกูลสัญญามาแก้ ก็พอได้ ดับได้ แต่ไม่ใช่ดับขาด เพราะดับขาดนี้จะต้อง มองราคะว่าไม่ใช่ตนให้ได้
    มองราคะว่า มันเกิดอย่างไม่มีเหตุผล คือ อวิชชา มองทวนไปถึงอวิชชาให้ได้ จึงจะทำราคะให้เบาได้ อันเป็นหน้าที่ของพระสกิทาคามี ก็ไม่จำเป็นต้องเอามาถกกันว่าของใครถูกของใครผิด เพราะถึงอย่างไร ก็ทำให้บรรเทาได้เหมือนกัน ซึ่งหากว่า เอาจิตเอาใจไปพิจารณา ปฏิกูล ร่างกาย อสุภะ บ่อยๆ แล้วจิตราคะก็ไม่กำเิริบได้ เพราะอำนาจแห่งอสุภะสัญญานั้น
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อะไรของคุณ คุณนิวรณ์

    คุณจะโต้แย้งอะไรก็พูดมาเลย

    อย่าอ้ำอึ้งครับ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ..

    http://my1.dek-d.com/tongkub/diary/?id=8789
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2009
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถ้าจะปล่อยวาง ต้องรู้แล้วปล่อย เข้าใจแล้วจึงปล่อย ซึ่งการปล่อยวางก็ต้องปล่อยที่ใจ
    แต่การกระทำ จะทำต่อไปก็ไม่เป็นไร เพราะปล่อยไปแล้วที่ใจ

    อย่างเช่น หลวงตามหาบัว ท่านออกมาช่วยชาติ ช่วยประเทศ นั้นท่านไม่ปล่อยวางเสียเมื่อไร
    ท่านวางหมดแล้ว

    ก็เช่นเดียวกัน จะเข้ามาเล่นกระทู้เพื่อแสดงธรรม ก็ปล่อยที่ใจ คือ ไม่ได้ติดอะไร ทำไปตามกำลังนั่นแหละ เรียกว่า ปล่อยที่ใจ
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก่อนนอน ฝากธรรมเอาไว้อย่างหนึ่ง

    สัมมาทิฎฐิ คือ การมองเห็นว่า ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เรา ตามธรรมดาเราเข้าใจสิ่งนี้ได้แต่รู้สึกแบบนั้นไม่ได้ ที่ชาวบ้านชอบพูดกันว่า ทำใจไม่ได้ ตรงทำใจไม่ได้นี้แหละ เวลาทุกข์มา มันก็เลยนึกว่าตัวเองเป็นทุกข์ พอนึกว่าตัวเองเป็นทุกข์ มันก็ไปแก้ที่อื่นให้ตนหายทุกข์

    แต่ถ้าหากว่า มองว่า ทุกข์นั้นไม่ใช่เรา เราจะมองเห็นว่า การดับนั้น ไม่ใช่ดับที่อื่น ดับที่ตัวทุกข์นั้นเอง ดับที่เหตุแห่งทุกข์นั้นเอง ซึ่งเป็นกระบวนการผลักทุกข์ออกไป ไม่ใช่ใจตน

    ตรงนี้แหละ จะต้องพิจารณาว่า ทำอย่างไรเราจึงจะเข้าใจว่า ทุกข์นั้นไม่ใช่เรา
    และ ค่อยๆ ศึกษาให้มากขึ้นไป เมื่อศึกษามากยิ่งๆ ขึ้น เราจะเห็นว่าลักษณะของเรานี้ก็ไม่มี
    มันมีอายตนะ เกิดตรงนั้น ดับตรงนี้ เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับ และ อารมณ์ เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับ
    ความคิดเดี๋ยวเกิดและเดี๋ยวดับให้วุ่นวายไปหมด

    ซึ่ง เมื่อเราทำจิตใ้ห้นิ่งดีแล้วกระบวนการ แห่งการเกิดดับเหล่านั้น จากที่เคยวุ่นวายนั้นจะค่อยๆ น้อยลงๆ ครานี้แหละ เราจึงเอาใจเรานี้ไปจับ จับให้ละเอียดเลยกับทุกๆสิ่งที่ปรากฎ

    จับตรงนั้นก็ยังไม่ใช่ผล จับตรงนี้ก็ยังไม่ใช่ผล สุดท้ายแล้วเราไม่จับอะไรเลย คือเพิกออกจากทุกๆอย่างที่เกิดกับใจ มันจะตื่นเอง เรียกว่า ผลญาณ
    ผลญาณตัวนี้เอาให้แจ้ง ทำให้มาก มันจะประหารสังโยชน์ 3 ได้ ไม่มีเกิดอีกเลย

    นี้คือส่วนของ พระโสดาบัน ในส่วนอื่นค่อยว่ากันอีกที
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตื่นนอนมาอ่าน เลยขอถามถึงธรรมที่ฝากเอาไว้

    เรา (ที่พูดถึง) คือ ใคร ???

    (smile)
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ท่าจะประสาทนะ ^-^
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิษณุ12, sriaraya5, วิมุตติ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัสดีตอนเช้า ทั้งสองท่านครับ
     
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    นิมิตบางอย่างก็เป็นของน่ากลัวสำหรับนักปฏิบัติธรรมแต่ขอให้มีสติรู้เท่าทันนิมิตนั้นจะ


    ขอโอกาสเล่าประสบการณ์ส่วนตัวนะครับเพื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่มาทีหลัง

    เอาตัวอย่างเบา ๆ ขนาดหลับไปแล้วทั้งที่วางคำภาวนาไปแล้ว

    แต่จิตภาวนาเองอัตโนมัติ

    อย่างภาคอสุภะ
    เห็นตนเองนั่งส้วม อยู่ๆ ก็ปรากฎตัวเปื่อยยุ่ยเนื้อหนังหลุด หลุดลุ่ย
    ลอกคราบเลือดเป็นลิ่ม ๆ ไหลลงไปกองกับส้วมซึม
    และก็ตกลงไปในบ่ออุจจาระ
    นั่งมองดูก้อนเนื้อที่ตกลงไปในบ่ออุจจาระ
    ก็ยังแปลกใจจิตตามดูก้อนเลือดมันตกลงไปลึกมาก ๆ
    ใจหายวูบวาบหวิวไม่ผิดกับตกเหวลึก.
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรา ก็ คือ ใจที่ไม่สมมติ มองตรงๆ


    สำหรับ จินนี่ คำแบบที่คุณกล่าวนั่นแหละเรียกว่าปรามาส
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คำว่า ปรามาสเป็นยังไง คนที่เล่นในเว็บนี้ไม่มีทางรู้หรอกว่า ใครเป็นอย่างไร

    แต่ มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า ผู้ใดพูดธรรมได้ดี ได้ตรง แต่ผู้นั้นก็แสดงอาการอีกอย่างหนึ่งคือ ตำหนิ ด่า ว่า ก็ต้องมาดูว่า คำตำหนินั้นตรงหรือไม่ คนที่ถูกตำหนิมีพฤติกรรมเช่นนั้นหรือไม่

    ซึ่ง คนที่ไม่ชอบใจคำตำหนินั้น ก็พลอยจะไม่พอใจ ทีนี้ก็พาลไม่ได้มองธรรม คือมองไม่เห็นธรรมที่พระอริยเจ้าแสดง เพราะมีแต่โทสะ โมหะในใจ เมื่อมีแต่โทสะ โมหะในใจ ก็เลยมองอะไรต่อมิอะไรไปในทางไม่ดี คราวนี้ เมื่อพระอริยะเจ้าแสดงธรรม ก็พลอยตำหนิติเตียน ใส่โทษ บ้างว่า ดูซินั่น ตาคนนั้นเอาคำพูดของพระมา ดูซินั่นตาคนนั้นไปจดจำมา

    แต่ความจริงเขาควรจะดูเนื้อธรรมมากกว่า มองที่ตัวบุคคล นี่แหละความโง่ของปุถุชน
    ทีนี้ คนที่ไปตำหนินั้นเขาจะได้อะไร เขาก็จะได้สองเด้ง คือ ปรามาสพระอริยะ และ ปรามาสธรรม คือ มองเห็นธรรมว่ามาจากสิ่งสกปรก ทั้งๆที่ธรรมนั้นมาจากสิ่งสะอาด
    แต่มองว่า ธรรมสกปรกที่มาจากตนว่าเป็นธรรมสะอาด

    บุคคลเหล่านี้ย่อมถึง ทุคติโดยพลัน และเสื่อมจากคุณธรรมที่ตนมีทันที ปิดกั้นทางแห่งอริยมรรค ก็เพราะเหตุที่พูดให้ฟังนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าปิดกั้นตลอดไป แต่มันก็เป็นอกุศลที่รุนแรง เพราะความผูกโกรธ และ ปิดกั้นตนเองที่จะฟังธรรมของพระอริยะ ปิดกั้นตนที่จะน้อมศรัทธาไปทางธรรม มีแต่จะพอกพูนความโกรธ พอกพูนความเห็นผิดไปเรื่อยๆ

    สรุป ความจริง ใครจะเป็นพระอริยะเจ้านั้น ไม่มีใครทราบได้ แต่เราจะทราบธรรมได้ เื่มื่อธรรมนั้นดีธรรมนั้นตรง ไม่ผิดเพี้ยนก็ควรจะเคารพธรรม เพราะธรรมนั้นเป็นของพระอริยะ ไม่ใช่ของผู้พูด การมองข้ามธรรม แต่ไปมองที่ผู้พูด ก็เท่ากับโง่

    ตามธรรมดา ถ้าเป็นผม เห็นคนที่เขาพยายามเอาธรรมมาแจกชาวบ้าน ก็น่าจะยินดีด้วย มีมุทิตาจิตด้วย ซึ่งมีคนมากมายได้อ่านธรรมอันนั้น มาตั้งแต่ปี 2006 แต่ด้วยเหตุของกิเลสหรืออะไรมิทราบ แทนที่ พวกที่เรียกตัวเองว่ามีธรรมจะมีมุทิตาจิต กลับจมปลักอยู่กับแค่คำว่า นายคนนั้นจำมาพูด นายคนนี้ดีแต่พูด มันควายไหมนั่น เรื่องโมโห ผูกโกรธนี้แข่งกันเก่งยังกับจะไปแข่งโอลิมปิค เรื่องธรรมนี่โง่ลงทุกวัน นี่พูดให้ตายมันก็ไม่เห็นธรรม เพราะกุศลในใจมันไม่มี มันไม่ละเอียด ใจมันยังสกปรกกันอยู่มาก
     
  17. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เล่นเว็บธรรมะ ก็มีข้อดีอยู่มาก กรณีตัวอย่างนี้ แจ่มชัดเหลือเกิน ผู้มีภูมิธรรมสูง ระดับ อ นิวรณ์ และ ท่านจินนี่ ก็พลาดได้ พอโทสะโมหะมันบัง ก็หน้ามืดไปเลย ความไม่ประมาทนี่มันยากจริงๆ...
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ประสาทอีกคน ^-^
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปุถุชน ย่อมมี ผ้าบังตาเป็นธรรมดา อริยะแท้ๆย่อมทราบชัด

    อริยะ ที่ไม่แท้จึงไม่รู้ว่า หากตนเข้ามาสอนสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่สมควรแก่กาล และ
    การณ์ และ สถาน คือ อริยะจอมปลอมที่ไม่รู้จักาลเทศะ

    อริยะ ที่ไม่รู้จักกาลเทศะ จึงมาแสดงธรรม ให้ปุถุชนเข้าถึงนรก และถึงขั้น
    ปิดนิพพาน

    อริยะ ที่ไม่รู้จักกาลเทศะเท่านั้น ที่แสดงธรรมจนคนปิดนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2009
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อริยะ ที่ไม่รู้จักกาลเทศะ เท่านั้น ที่จะอ้างคุณธรรมด้วยการเป่าประกาศว่ามีอาการ 32

    อริยะ ที่ไม่รู้จักกาลเทศะเท่านั้น ที่จะคุณธรรมตนกด ข่ม ขู่ กรรโชก ศรัทธาเป็นอาจิณ
     

แชร์หน้านี้

Loading...