สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    haha+

    (smile)
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ตรงนี้ก็จะอยู่ในระดับการเจริญมรรคเบื้องต่ำ
    จิตยังมีความโลดโพน เนื่องจากยังไม่สลายวิญญาณ
    ที่เราเรียกว่ายังมีกายทิพย์เพราะยังต้องศึกษาอยู่
    จนกว่าจะสลายกายทิพย์ ไร้รูปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอก
    บรรลุอรหันต์แล้วก็ไม่มีกายทิพย์ แต่ใช้เนรมิตรูปขึ้น
    เหมือนฟองน้ำเมื่อหมดเหตุปัจจัย ก็จะแตกดับไปในที่สุด
    พระศาสดาทุกองค์ที่มาตรัสรู้ขึ้นในโลกทุกองค์หรือที่จะมาใหม่
    จึงต้องดับรูปนามให้หมด เราเอาจิตเอาใจไปได้แต่นรก สวรรค์
    พรหมโลก ถ้าจะเข้านิพพานต้องดับจิต ถ้ายังจะเอาจิตไปก็จะหลงไปนิพพานพรหม อย่างมโนยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ
    ถอดกายทิพย์ไปนิพพานถ้าดับรูปนามไม่ได้ ก็จะเป็นได้แค่นิพพานพรหม ถ้าดับลมคือวิญญานได้ก็เป็นอันได้นิพพานแท้ .
     
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ขออย่าให้ท่านขันธ์มีบาปเลยที่ล่วงเกินในธรรมของเรา
    อันเราได้ละบ่วงอันเป็นทิพย์แล้ว ถึงซึ่งวิมุตติสุขแล้ว

    การภวนา เพื่อเอามรรค เอาผลที่จริงเป็นของง่ายจะตาย
    แต่จะยากสำหรับ นักปราชญ์รู้หลงเท่านั้น.
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ธรรมภูต [​IMG]
    ที่คุณพูดมานี่หมายความว่าคุณไม่ต้องมีครูใช่มั้ย?
    คุณตรัสรู้เองใช่มั้ย? ถ้าไม่ใช่ต้องมีครูสิ?

    ในขณะที่เราตรัสรู้ด้วยตัวเอง ธรรมะที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง
    มาแล้วในกาลก่อน ได้เกิดขึ้นมีขึ้นกับเรา .

    รู้สึกผมเคยเข้าไปตอบปัญสนทนาธรรม กับ แม่ชี ณัฐทิพย์
    ตั้งกระทู้ว่าทำไม่ถึงกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่มีครูอาจารย์สอน
    ผู้ตอบถูกจะได้ตระกรุด แม่ชี ณัฐทิพย์

    ผมตอบถูกได้ตระกรุด แม่ชี ณัฐทิพย์ เป็นรางวัล
    ถ้าจะถามว่าตระกรุด แม่ชี ณัฐทิพย์ ยังอยู่ไหม
    ผมให้คนอื่นไปแล้ว ให้เค้าไปสร้างตัว

    ธรรมดาว่าไม้จันทน์ แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา อ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์ก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้จะประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม”

    แต่เราวางจากความยึดมั่นถือมั่นใด ๆ ในโลกเสียสิ้นแล้ว .

    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=222998
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ท่านศรีฯ อันประไตรปิฏกล่าวไว้ว่า นิพพานไม่มีเครื่องน้อมไป ...หากยังมีเครื่องน้อมไปก็ยังไม่เรียกนิพพาน ..

    แสดงว่า หากยังมีเข้ามีออก ...มีไปมีมา...ก็ยังมีเครื่องน้อมไป หาก เข้าออกได้ ก็ไม่ตรงพระไตรปิฏกซิครับ...อธิบายตรงนี้ได้ไหมครับท่านศรีฯ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]
     
  7. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    หุหุ

    ท่าน ขัน เอ๊ย

    ท่าน ขัน จุ๊ก กู๊

    เห็น อย่าง ไร ก็ ว่า ไป อย่าง นั้น

    เหมือน การ ถ่ม น้ำ ลาย รด ฟ้า มิ ช้า ก็ กลับ มา รด หน้า ตัว เอง

    เฮ่อ ไม่ มี ปลา หลด
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อาจานเกสท์ จำไว้นะ ถ้ายังไม่รู้เองเห็นเอง
    อย่าด้นเดาไปเอง เออเองเรื่อยเปื่อย
    ที่พูดมาหนะเป็นการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน
    ว่าเป็นเพียงสัญญาที่จำมาพูดเท่านั้น
    เป็นเพียงความคิดที่ตกผลึกของตนเอง
    จากสัญญาที่นำมาปรุงแต่งแล้วเพิ่มเติมเข้าไปเท่านั้น

    นี่หรือที่เคยบอกว่าปฏิบัติมาไม่น้อยกว่า๘ปี
    เวลาที่เสียไปอ่าน จำ คิดนึกได้เพียงเท่านี้เองเหรอ

    คุณรู้มั้ยว่าแม้แต่คนที่เริ่มต้นนั่งสมาธิใหม่ๆ
    ล้วนเห็นการเกิดดับของขันธ์ทั้งนั้นแหละ
    จึงไม่เข้าใจ ก็เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังปฏิบัติไม่ถึง? ใช่

    ส่วนผู้ที่เข้าถึงแล้วนั้น จิตเห็นการเกิด-ดับด้วยสติปัญญา
    จึงได้วางเฉยต่อการเกิด-ดับของขันธ์เหล่านั้น
    ด้วยปัญญาที่เห็นอยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอนัตตา

    ถามตรงเถอะอาจานเกสท์
    ไม่รู้จริงๆหรือว่าขณะที่ปฏิบัติจิตมีสตินิ่งเฉยได้นั้น
    เพราะปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว จึงทำให้สตินิ่งเฉยได้
    ยังต้องเดินปัญญงปัญญาที่ไหนอีก เพราะจิตรู้อยู่เห็นอยู่(อนัตตา)นั้น
    เป็นอาการเกิด-ดับของขันธ์เท่านั้น
    คนปฏิบัติมาจริงๆย่อมรู้ดีว่า สติอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น

    ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ คงไม่มีใครว่าหรอก
    แต่อย่าแสดงในสิ่งที่คิดขึ้นเองว่ามาจากผลปฏิบัติ

    สติและปัญญาหรือสติปัญญาตั้งอยู่ที่ไหน????? ตอบทีคนเก่ง
    จำไว้นะ ไม่มีสติที่ไหนเกิดขึ้นได้โดยขาดปัญญา
    และก็ไม่มีปัญญาที่ไหนมีขึ้นได้เองโดยไม่มีสติ
    เลิกคิดเองเออเองได้แล้ว ลงมือปฏิบัติจริงๆจังเถอะ....

    ;aa24

     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อาจานเกสท์ จำเอาไว้นะ เลิกโชว์โง่ได้แล้ว
    ไม่น่าเชื่อว่าจะเพี้ยนและเพ้อเจ้อได้ขนาดนี้

    รู้จักมั้ยคำว่า
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, ธรรมภูต, jinny95, ..กลับตัวกลับใจ.. </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192


    อาจานเกสท์ คุณปฏิบัติไปก่อนเถอะเมื่อถึงเวลาจะพึงรู้เองเห็นเอง
    การเอาพระพุทธพจน์หรือคำครูบาอาจารย์มารองรับนั้น
    เราชาวพุทธควรทำ เป็นการให้เกียรติท่านทั้งหลายเหล่านั้น

    ไม่ใช่ปฏิบัติมารู้นิดรู้หน่อย ทำตัวเป็นกะปอมก่าชูคอโอ้อวดตัวเอง
    จำเอาไว้นะ ข้อมูลของครูบาอาจารย์ไม่ว่าชั้นไหนๆก็ตาม
    ถ้าเป็นข้อมูลที่ตรงต่อพระบรมครูแล้วใช้ได้ทั้งนั้น

    ผมจะเอาอคติมาเป็นตัวนำ เพื่อเอาคำครูบาอาจารย์มาตัดต่อนั้น
    เพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว คุณไปดูในหนังสือได้เลยว่าตัดต่อหรือเปล่า
    การที่ถูกคุณกล่าวร้ายมานั้น คุณทำเป็นจำอยู่แล้ว โดยที่ไม่เคยมีหลักฐาน

    คนที่ผ่านการปฏิบัติมาดีแล้วเค้าไม่ทำกันหรอกครับ...จำไว้ด้วย
    ไม่เหมือนคุณที่ชอบเอาอคติเป็นตัวนำในการสนทนา
    จึงมีความคิดแบบเพี้ยนเอาตัวเองเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเท่านั้น
    โดยมองข้ามพระพุทธพจน์และคำครูบาอาจารย์


    ใช่มั้ยคุณเกสท์....กะปอมก่า

    ;aa24
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สบายใจได้เลยครับ อาจานเกสท์
    คุณกับผมเป็นหนังซีรี่ย์เรื่องยาวแน่นอนครับ

    ผมไม่เคยมองข้ามอะไรง่ายๆหรอก
    เพราะว่าคนเราทุกคนนั้น ล้วนโง่(รู้ผิด)มาก่อนทั้งนั้น
    ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามพุทธโอวาทโดยผ่านครูบาอาจารย์
    ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงค่อยมารู้เห็นตามความเป็นจริง

    ส่วนพวก "กะปอมก่า"
    ผมคงไม่ปล่อยให้ชูคอโออวดแบบผิดๆหรอก....จำไวนะ

    ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาตอบช้าหน่อย...คงไม่ว่ากัน

    ;aa24
     
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    การผ่านเข้าผ่านออกคือทางหลุด

    การเลือก คือการถูกเลือก

    ชะตากรรมที่ดีรออยู่ข้างหน้า

    "การส่งมอบพิเศษนอกคัมภีร์
    ไม่ต้องอาศัยตัวอักษร

    ชี้ตรงไปยังจิตของมนุษย์
    ให้เห็นแจ้งในภาวะเดิมแท้....บรรลุ "พุทธะ" โดยฉับพลัน"

    การเทศนาธรรมจบลง ผู้คนเริ่มทะยอยกันกลับ พระอาจารย์ตั๊กม๊อจึงถือโอกาสเข้าไปสนทนาเพื่อหวังชี้แนะ ด้วย เห็นว่าเป็นผู้มีภูมิธรรมปัญญาเป็นฐานอยู่แล้ว
    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "ท่านอยู่ที่นี่ทำอะไร? "
    ท่านเสินกวง "อ้าว!...ข้าก็เทศน์ธรรมอยู่ที่นี่น่ะซิ!"
    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "ท่านเทศน์ธรรมเพื่ออะไร?"
    ท่านเสินกวง "เทศน์เพื่อให้ผู้คนหลุดพ้น!"
    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "จะช่วยคนให้พ้น เกิดตายได้อย่างไร...ในเมื่อธรรมที่ท่านเทศน์ ก็คือ
    ตัวหนังสือบนคัมภีร์
    ตัวหนังสือดำ ก็เป็นสีดำ
    กระดาษขาว ก็เป็นสีขาว
    เทศน์ไปเทศน์มา ก็คือเทศน์ตามตัวหนังสือดำๆ บนกระดาษขาวๆ
    เมื่อถูกจู่โจมด้วยคำถามชนิดไม่ทันให้ตั้งตัว ท่านเจ้าอาวาสเสินกวงได้แต่อึกอักอ้าปากค้าง ไม่รู้จะตอบอย่างไร จากความอายกลายเป็นโกรธจัด แม้ว่ายามปกติท่านจะเป็นนักเทศน์ที่เยี่ยมยอดก็ตาม แต่คราวอารมณ์โกรธปะทุ ขึ้นมาก็จะรุนแรงราวฟ้าผ่า
    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ เห็นท่านเสินกวงไม่อาจตอบก็พูดย้ำเข้าไปอีกว่า
    "นี่แหละน๊า...แผ่นดินจีนในยุคนี้
    มีธรรมะ ก็เหมือนไม่มี
    หากจะว่าไม่มี ก็มีคนพูดธรรมะกันทั้งเมือง"






    http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=230&page=7
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    เนื้อความนี้เป็นคำตอบที่ผมขอท่านศรีฯชี้แนะหรือเปล่าครับ
    ที่อยากให้ท่านศรีชี้แนะ ก้เรื่อง นิพพานไม่มีเครื่องน้อมไปในพระไตรปิฏกกล่าวไว้ เท่านี้เองครับ...

    ส่วนเนื้อความที่ท่านศรีฯยกมานี่ คนจะได้ธรรมนั้นจะได้หรือไม่ได้อยู่ที่ว่า คนได้ฟังธรรมนั้น นำไปปฏิบัติหรือเปล่า
    คนฟังธรรมก็มีสองแบบ
    แบบที่ 1 ฟังธรรม แล้วผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา อย่างนี้น่าติเตียน
    แบบที่ 2 ฟังธรรมแล้ว จำธรรมนั้นได้ แบบนี้น่าชมเชย
    คนฟังแบบที่ 2 ก็มี สองแบบ
    แบบเอ....ฟังธรรม..จำธรรมนั้นได้ แล้ว ก็ไม่ทำอะไร ได้แต่จำไว้ ไม่นำมาปฏิบัติ อย่างนี้น่าติเตียน
    แบบบี.... ฟังธรรม..จำธรรมนั้นได้ แล้ว ก็นำมาปฏิบัติตาม ธรรมนั้น..อย่างนี้ น่าชมเชย
    แบบบี นี้ ก็มีสองอย่าง
    1.ฟังธรรม..จำธรรมนั้นได้ แล้ว ก็นำมาปฏิบัติตาม แบบ ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง ลุ่มๆดอนๆ แบบนี้ น่าติเตียน
    2.ฟังธรรม..จำธรรมนั้นได้ แล้ว ก็นำมาปฏิบัติตาม แบบ มีความเพียร กระทำตามธรรมที่ฟังมานั้นให้แจ้ง ในธรรมนั้น แบบนี้ควร สรรเสริญ ควรค่าแก่ อาหุไนย ปาหุไนย ทักขิไนย อัญลี ....

    การจะเอาแก่นไม้มาใช้งานได้ ก็ต้องผ่านเปลือกไม้ก่อน ถึงจะได้แก่นไม้
    การจะได้สัจจะปรมัตถ์ ก็ต้องได้สัจจะสมมุติก่อน
    หากไม่เอาสัจจะสมมุติ จะไปได้สัจจะปรมัตถ์ได้หรือไร

    หากไม่ผ่านเปลือกไม้ จะได้แก่นไม้ได้อย่างไร

    ไม่ว่าจะเป็นเปลือกเป็นแก่น ย่อมมีประโยชน์ของมันเสมอ
     
  16. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    จริง ^-^
     
  17. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ไม่ว่าจะเป็นเปลือกเป็นแก่น ย่อมมีประโยชน์ของมันเสมอ



    ชอบคำนี้จัง

    ไม่ต้อง อธิบายอะไร มากมาย
    :cool:
    :cool:
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ผมเห็นว่าการตัดต่อก็ดีเอาเครดิตของพระอริยเจ้ามาแสดงไม่ผิดถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสัน

    . ทรงแสดงเรื่องฝน ๔ อย่าง
    คือ ๑. คำราม แต่ไม่ตก ได้แก่บุคคลผู้พูด แต่ไม่ทำ ๒. ตก แต่ไม่คำราม ได้แก่บุคคลผู้ทำ แต่ไม่พูด ๓. ทั้งไม่คำรามทั้งไม่ตก ได้แก่ บุคคลผู้ทั้งไม่พูดทั้งไม่ทำ ๔. ทั้งคำรามทั้งตก ได้แก่บุคคลผู้ทั้งพูดทั้งทำ.

    ทรงแสดงการลุอำนาจแก่ความลำเอียง ๔ ( อคติมานะ ) คือลำเอียงเพราะรัก, ลำเอียงเพราะชัง, ลำเอียงเพราะหลง, ลำเอียงเพราะกลัว..

    ๓. ทรงแสดงว่า ทรงพิจราณาแล้วไม่เห็นใครยิ่งกว่าพระองค์ โดยกองศีล, สมาธิ, ปัญญา, วิมุติ, จึงทรงตกลงเคารพธรรมที่ทรงตรัสรู้. ทันใดนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมก็มากราบทูลว่า พระ พุทธเจ้าในอดีตอนาคต และพระองค์เองในปัจจุบันก็เคารพธรรมทั้งสิ้น.

    ทรงเคารพธรรมแล้วเมื่อสงฆ์ถึงความเป็นใหญ่<SUP> ๒</SUP>. ก็ทรงเคารพ ในสงฆ์ด้วย. ทรงเล่าเรื่องพราหมณ์ผู้เฒ่าสูงอายุหลายคน ผู้พากันกล่าวหาพระองค์ เมื่อ ตรัสรู้ใหม่ ๆ ณ ริมฝั่งน้ำเนรัญชราว่า ไม่กราบไหว้ ต้อนรับพราหมณ์ผู้เฒ่า ผู้สูงอายุ. พระองค์ทรงดำริว่า แม้ จะเจริญโดยชาติ มีอายุสูง ถ้าไม่มีคุณธรรมก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่ ( เถระ ) ที่เป็นพาลต่อมีคุณธรรม แม้จะอยู่ในปฐมวัยก็นับได้ว่าผู้ใหญ่ ( เถระ ) ผู้เป็นบัณฑิต แล้วทรงแสดงธรรมที่ทำให้เป็นผู้ใหญ่ ๔ ประเภท คือ ๑. มีศีล ๒. สดับตรับรับฟังมาก ๓. ได้ฌานตามปรารภนาโดยง่าย ๔. บรรลุเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อัน ไม่มีอาสวะ.

    ตรัสแสดงบุคคล ๔ ประเภท คือ ๑. ผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น เปรียบเหมือนดุ้นฟืนถูกไฟไหม้สองข้าง ตรงกลางก็เปื้อนอุจจาระ ใช้ประโยชน์ของ ไม้ในบ้านก็ไม่ได้ ในป่าก็ไม่ได้ ๒. ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นไม่เพื่อประโยชน์ตน ยังดีกว่าข้อแรก ๓. ผู้ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ตน ไม่เพื่อประโยชน์ผู้อื่น ยังดีกว่า ๒ ข้อข้างต้น ๔. ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น นับว่าดีกว่าทุกข้อ. ( พึงสังเกตว่า ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนหมายความว่า ทำตนให้บรรลุมรรคผล จึงยกย่องว่าสูง กว่าประโยชน์ผู้อื่น เพราะถ้าตนเองได้บรรลุ ก็อาจบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น. ยกตัวอย่าง ถ้าพระพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสรู้ ตั้งแต่ศาสนาขึ้นเพื่อสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ ย่อมไม่ได้ผลจริงจังเหมือนตรัสรู้ด้วยพระองค์เองก่อน

    ตรัสแสดงบุคคล ๔ ประเภท แก่โปตลิยปริพพาชก คือ ๑. ผู้ติคนที่ควรติ แต่ไม่ชมคนที่ควรชม ๒. ชมคนที่ควรชม แต่ไม่ติคนที่ควรติ. ๓. ไม่ติคนที่ควรติ ไม่ชม คนที่ควรชม ๔. ติคนที่ควรติ ชมคนที่ควรชม ทั้งสี่ประเภทนี้ มีข้อแม้อยู่ว่า เป็นไปโดยกาละและติชมตามความ จริง ปริพพาชกทูลว่า ตนชอบพอใจบุคคลประเภทที่ ๓ เพราะวางเฉย. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระองค์ชอบ บุคคลประเภทที่ ๔ เพราะรู้กาลนัยที่นั้น ๆ.
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ผมถามท่านศรีฯ สั้นๆเองครับผมยังสงสัยในธรรม แต่ไม่ได้สงสัยในพระพุทธเจ้า

    เกี่ยวกับนิพพานไม่มีเครื่องน้อมไป...ที่ท่านศรีฯบอกมาว่า ...ถอดจิตไปพบหลวงปู่มั่นได้ ในเมื่อ นิพพานไม่มีเครื่องน้อมไป เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น มันเลยดูขัดๆกับพระไตรปิฏก อยากให้ท่านศรีฯอธิบาย...เพื่อประโยชน์ต่อไป....
     

แชร์หน้านี้

Loading...