สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    กัมมุนา วัตตตีโลโก

    เห็นแล้ว อาการหนักสุดเลย สมศรีเนี่ย

    เอาแบบนี้ สมศรีอธิบาย ธรรมง่ายๆ ให้ผมและคนแถวนี้ฟังหน่อยว่า ผมอยากจะปฏิบัติ สมาธิให้ได้ องค์ฌาณ จะทำอย่างไร ถ้าตอบได้ดีแล้วผมจะยกให้เป็นหัวหน้าแก๊งค์
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สาธุ สำหรับ ธรรมภูติ ที่ท่านลงให้ธรรม มองเห็นตามความเป็นจริง

    สิ่งนีี้แหละจะเป็นปัจจัยให้ท่านก้าวเข้าสู่ธรรมที่ถูกต้อง
     
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ฌานเกิดจากการละคำภาวนาเนืองจากขาดสติ จนจิตหดตัว
    รวมลงเป็นภวังค์ภพอันแน่นแฟ้น การที่จิตรวมแล้วไม่ฉวยโอกาส
    ยกเอาขันต์ห้าขึ้นมาพิจารณา เพื่อยกจิตขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนาญาณ

    ก็จะเป็นแค่สมาธิที่มีอำนาจของณาน ส่งออกรู้นอกตัวที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณซึ่งรู้แบบนี้ ยิ่งรู้มากเท่าไร ทิษฐิก็มากขึ้นตามองค์ฌานที่สูงขึ้น

    จนสำคัญตัวว่าได้บรรลุธรรมจนกลายเป็นการเสียอุปนิสัยในทางอรหันตผลมันก็จะไม่ต่างกับตัวสมุทัยทั้งแท่งเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อหมดอำนาจของฌานที่ยับยั้งไว้ก็ไม่ได้ทำให้กิเลสตายสนิท "สักกายะทิฏฐิ" ก็ยังมีอยู่เท่าเก่า



    <CENTER>หลักการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง 100%


    หลักการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง

    หลักการนั่งสมาธิที่ถูกต้องที่สุด ทำตัวสบายๆผ่อนคลายจากความตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ ค่อยๆหลับตาเบาๆ วางจิตไว้ตรงฐานของจิตตรงกลางอกฐานของจิตอยู่ตรงที่เบาสบายที่สุด หายใจเข้าลึกๆ และก็ค่อยผ่อนออกช้าๆ และก็กำหนดคำภาวนา

    หายใจเข้าลึกๆว่าพุธ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆหายใจออกช้าๆว่าโธๆๆๆๆๆๆๆๆ จะเป็นที่เบาสบายๆไม่ตึงเกร็ง เมื่อลมละเอียดขึ้นก็จะมีแสงสว่างก่อตัวเป็นดวงกสิณ เกิดจากลมหยาบ ที่ละเอียดจนบางครั้งเราคิดเองว่าไม่ได้หายใจ เพราะลมละเอียดจนเกือบดับเสียหมด
    ที่นักปฏิบัติ ดึงลมหายใจเข้าหายใจออก ซักฟอกลมจนละเอียด กลายเป็นนิมิตโอภาสรังสี นักปฏิบัติหลายคนเพ่งนิมิตดวงกสิณเจริญเป็นบาทฐานอภิญญา ได้แต่ฤทธิ์ทางใจ ล้วนเดินทางไปพรหมโลก เพราะเข้าใจว่าดับรูปกาย เหลือแต่จิตที่ประภัสสร คืออนัตตาธรรม
    ซึ่งทางสายวิปัสสนาจาร ปรามาส สมาธิประเภทนี้เอาไว้รุนแรงมากๆ สมาธิหนักแน่นเหมือนแกนมะละกอ
    เพราะเป็นสมาธิที่หลบเวทนา ไม่ฉลาดในอุบายธรรมะ
    เวลากระทบ อารมณ์ภายนอก ก็ไม่ต่างอะไรกับนักภาวนาหัดใหม่ ยังปล่อยจิตปล่อยใจ เวลาดีก็ดีใจหาย ดีก็รักชั่วก็ชัง จิตแบบนี้ยังใช้ไม่ได้ อารมณ์ยังขึ้นๆลงๆ ไม่เป็นตัวปกติ

    ทางแก้ไข เมื่อนักปฏิบัติธรรมะ เจริญภาวนามาถึง มีอาการจิตลอยๆ เกิดความง่วงเหงาหาวนอน ในขณะเจริญสมณะธรรม ให้ถอนจิตขึ้นมาคิดนึกธรรมะแล้วน้อมเข้ามาในวงกายในกาย ที่ควรทำให้เกิดปัญญาในการถอนสังโยชน์
    ถ้ามีอาการสังขารไม่ไหว ก็ให้หลับในฌาน เมื่อพักเต็มที่แล้วก็ออกเดินทางปัญญา โดยกำหนดสิ่งที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่ได้กลิ่น สัมผัสที่ถูกต้อง แล้วน้อมเข้ามาดูในใจ ธรรมะที่เป็นกุศลและอกุศลจะเกิดในจิตก็ให้ละที่จิตในจิต
    ก็จะเกิดภูมิวิปัสสนา เมื่อนั่งทับทุกข์นานๆเวทนาย่อมเกิด
    นักภาวนาที่ต้องการพ้นทุกข์ ห้ามหลบเวทนา ให้เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องเล่นเครื่องอยู่อบรมอินทรีย์ ๕ ให้แก่กล้า ก็จะเห็นกระแสปฏิจจสมุปบาท บ่วงโซ่แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะละตัดขาดจากเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงดับ
    อุปมาอุปมัยได้กับ สายไฟฟ้าเส้นใหญ่ถูกตัดขาด
    ผลก็คือไฟฟ้าดับทั้งเมือง
    จิตที่ขาดออกจากรูปแล้ว ก็ไม่มีกระแสปฏิจจสมุปบาท อะไรส่งผ่านถึงดวงจิตดวงนี้ได้อีกต่อไป ก็อาศัยกาลเวลาในการขัดเกลาดวงจิตจน บริสุทธิ์หมดจดไร้รูปลักษณ์
    ทรงภูมิพระอรหันต์ขีณาสพ รอสังขารแตกดับ ก็ทิ้งขันธ์ไม่กลับมาเกิดอีกในโลกนี้โลกหน้าโลกไหน ๆ
    วัฏฏ<WBR>สงสารเป็นอันยุติลง

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    เชิงฌานหยั้งแค่พรหมดูฉิวฉน

    สัมโพชฌงค์นิ่งไซร์หยั้งเฉลย




    พระครูโลกอุดร
    จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ยังไม่ได้อธิบายองค์ฌาณเลย ที่ยกมาแค่วิธีการทำสมาธิ
    ผมยังสงสัยอยู่ เลยว่า วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข และ เอกคตา หมายความว่าอย่างไร

    ทำอย่างไร จึงจะได้ และ ได้แล้วจะมีอาการอย่างไร และ ผลของฌาณเป็นอย่างไร

    ตอบมาให้ดี เดี๋ยวให้เป็นหัวหน้าแก๊งค์
     
  5. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ที่ผมไม่ลงใจคือคุณประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์
    แต่ธรรมที่คุณกล่าวไม่ถึงอรหันต์

    ผมไม่ลงใจคือคุณประกาศตนว่าเป็นพระศรีอาริย์
    แต่ผมรู้ว่าผู้จะเป็นพระศรีอาริย์คือใคร
    ซึ่งไม่ใช่คุณแน่นอน

    คุณทำเช่นนี้เพื่ออะไร
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    พรรคพวกผมมาแล้วครับ คุณสมศรี ตอบคำถามเพื่อนผมให้ได้ก่อน อย่าเงียบครับ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    อารมณ์ที่จะบรรลุธรรมวิเศษ
    ก่อนอื่นตัดความกังวลให้หมดก่อน

    แล้วคิดเสมอว่าบุญทานเต็มแล้ว เหลือแต่ภวนาก็มาเร่งความเพียร

    เจริญสติมากๆ เมื่อเหตุปัจจัยสมบูรณ์แล้ว อารมณ์ที่จะบรรลุธรรมวิเศษก็จะเกิดเองเป็นขึ้นมาเอง

    โดยไม่อ้างกาลอ้างเวลา อารมณ์ที่จะบรรลุธรรมวิเศษไม่สามารถที่จะตกแต่งเอาเองได้

    เกิดขึ้นจากธรรมชาติล้วนๆ ที่สมบูรณ์แล้วทั้งสิ้น



    นักปฏิบัติวิปัสสนาในขณะที่เวทนาเกิดอย่าอยากให้หาย

    ยิ่งอยากให้หายมากเท่าไรก็ จะกลับเป็นเวทนาทวีคูณขึ้น

    จนนักปฏิบัติธรรม ทนไม่ได้และจะล้มเลิกไปในที่สุด




    จักรวาลย้อนหนึ่ง
    บรรพชิต และ ฆราวาสบุคคลใดยึดพระปริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัติให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆราวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์

    ออกบวชได้ 7 วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัดเพชรบูรณ์ ถือเอาหมายสำคัญในอดีต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตและหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เดินธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระฤาษีในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางวัดจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นมาเมตตาชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รุ่งขึ้นวันใหม่ ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมในการแสดงพระปาฎิโมกข์พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ เวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์แสดงพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลง มารในจิตท้าทายด่าว่าพระรูปนี้ชั่งโง่น่าสงสารมานั่งดูสิ่งไม่มีสาระ มารในจิตพยายามอ้อนวอน ให้เลิกปฏิบัติวิปัสสนาและขู่ด้วยกริยาของคนถ่อยว่านั่งให้ตายนั่งทั้งวันท่านก็ไมทางตรัสรู้หรอก พระกฤษฎายอมหักไม่ยอมงอ ตามมารจิตกลับดุด่ามารว่าเจ้าซิตัวไร้สาระ และพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรแบบสู้ตาย หากแม้ว่าพระปาฏิโมกข์ยังไม่แสดงจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย 1 ช.ม. กว่า พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎา เกิดสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลนั้นมีละอองธรรมที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างเปลือกสมมติ พ้นจากแรงดึงดูดของโลกเกิดรัศมีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุกชั้นฟ้า ที่สุดถึงพรหม และพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฏ ฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา ก็คือพระพุทธะสมณะโคดมผู้ไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย์ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมจิตที่บริสุทธิ์ว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่าในสมัยพุทธกาล พระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจักรวาล สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เมื่อธรรมได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโพธิญาณ มีศีลอันสงบแล้วมีพุทธคุณอันแผ่ซ่าน พบตัวตนที่แท้จริงในเปลือกร่างสมมติ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ ออกบวชหวังสำเร็จโพธิญาณ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรม ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้น ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นี้เท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตาย จะให้พระศาสดาทำแทนกันไม่ได้ เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูก หัวสมองก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญา ตัณหาอุปทาน ก็เท่ากับได้ลาจากความโง่ ออกเที่ยวไป ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนเพชรซ่อนพลอยเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน

    ได้รับความเมตา จากหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    แสดงธรรม ภูมิพระโสดาบัน-ภูมิพระอรหันต์ แล้วจากภูมิพระอรหันต์กลับมาภูมิพระโสดาบัน

    การกินเจการกินเนื้อ สังขารเป็นผู้กิน พระนิพพานไม่ได้มากินด้วย ความว่างไม่สามารถกลืนกินความว่างได้ต้องเป็นสิ่งเดียวกันเท่านั้นคืออนัตตาธรรม

     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    สันทิฏฐิโกขั้นสุดท้าย คือรู้ผลของตัวเองโดยสมบูรณ์แบบแล้วก็หมด พระพุทธเจ้าอรหันต์ท่านไม่ถามใครพอตรัสรู้ขึ้นมา ก็เป็นพระศาสดาพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นมาทันที สาวกตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าศาสดาพระศรีอาริยเมตไตรยทันที ๆ เหมือนกัน<O:p .
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณอย่ามาครอส โครโมโซมแบบนี้ นั่นมันคำหลวงตามหาบัวบางส่วนแทรกคำของคุณบางส่วน แล้วคุณมีพฤติกรรมแบบนี้มาหลายทีแล้ว คุณเอาคำพระ มาแทรกตนเอง สลับแทรกคำของตนเอง บิดเบือน
     
  11. aubasok

    aubasok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +483
  12. มหาญาณทศภูมิ

    มหาญาณทศภูมิ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +1
    ในหนึ่งพุทธันดรมีศาสดาได้เพียงองค์เดียว

    ขณะนี้เป็นยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า จึงมิอาจมีพระศรีอาริยเมตไตยเกิดขึ้นได้

    ผู้ใดกล่าวอ้างว่าตนเป็นพระศรี เท่ากับอวดอุตริมนุษย์ธรรม อวดธรรมที่ไม่มีในตน

    แม้แต่ความเป็นพระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคลลำดับรองๆลงมา ก็มิใช่สิ่งที่จะออกมาป่าวประกาศว่าข้าเป็น

    ดังนั้น ผู้ที่อวดอ้าง ล้วนมุสาทั้งสิ้น
     
  13. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    ประ เด็น มิ ใช่ ว่า ใช่ หรือ ไม่

    สำ เร็จ แล้ว หรือ ยัง ไม่ สำ เร็จ

    แต่

    เรื่อง ที่ เขา นำ มา ยก มา

    แต่ ละ เรื่อง มัน ผม บอก ไม่ ถูก นะ มัน ก็ ตรง ดี นี่

    แค่ เขา ต้อง การ เตือน คุณ ขัน ด้วย ความ หวัง ดี

    คุณ ขัน ยัง แยก แยะ ไม่ เป็น

    ที่ ผม เคย ถาม ว่า เมื่อ โมหะ หมด ไป ทำ ไม คุณ ขัน ยัง บอก ว่า เหลือ ราคะ กับ โทสะ อยู่

    ผม แค่ ถาม ตาม ความ หมาย ของ คุณ ผม เข้า ใจ ว่า ถ้า โมหะ หมด ก็ ไม่ น่า จะ เหลือ อวิชา เพราะ ว่า ไม่ มี ความ หลง ครอบ งำ อยู่ แล้ว

    แต่ คุณ ขัน ยัง จะ มา มอง ตน อีก ว่า จะ มา ว่า ทำ ไม เรา ยัง มี โกรธ อยู่

    เฮ่อ

    การ ยก พวก พ้อง หรือ คิด ว่า ตน เป็น ผู้ ศึก ษา มา นาน รู้ มาก แล้ว

    ไม่ ทำ ให้ พัฒนา ต่อ ไป มี แต่ จะ เหนี่ยว รั้ง ฉุด ดึง คุณ เอา ไว้

    คุณ ไม่ เข้า้ ใจ จริง จริง หรือ ว่า ไม่ ยอม รับ

    อหังการ ก่อ มนังการ ขัดขวางหนทางบรรลุ นะ ครับ
     
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พระพุทธเจ้าโคตมะ ได้ตรัสสอนเกี่ยวกับเรื่องบัว 4 เหล่าไว้เปรียบเทียบกับความเข้าใจของคนไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลถึงชนิดของบัวต่างๆ อันประกอบด้วย บัวบานแล้ว,บัวปริ่มน้ำ,บัวใต้น้ำ และบัวใต้โคลนตม
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ประเด็น มิใช่ว่า สำเร็จหรือยังไม่สำเร็จ

    แต่ประเด็นคือ คุณจะแย้งอะไรผม คุณทำตัวให้ดีก่อน มีธรรมมาเผื่อแผ่คนอื่นให้เท่ากับผมก่อนที่จะมาแย้ง ไม่ใช่ว่า มีแต่ตำหนิเป็น คนพวกนี้ไม่สร้างสรรค์ ถ้าตัวเองเคยสร้างสรรค์แล้วมาตำหนิ คนอื่นก็ว่าไปอย่าง

    ปากอมขี้ตั้งแต่ต้น ยังจะไม่รู้ตัวอีก
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เหมือนพวกไป ว่าหลวงตามหาบัวเหมือนกัน
    พวกนี้ ไม่เคยสร้างประโยชน์อะไร แต่ดันไปตำหนิ พระอริยะว่า มายุ่งทางโลกบ้าง
    เอาเงินบ้างอะไรบ้าง พวกนี้ปากอมขี้ทั้งนั้นแหละ
    กิเลสตัวเองเท่าภูเขา ครั้นพอ คนอื่นเขาสร้างความดี เอาธรรมมาเผื่อแผ่คนอื่น
    พวกนี้พองตัว อวดรู้ขึ้นมาทีเดียว
    มันอยู่ตั้งนาน มันไม่เคยเอาธรรมมาพูดให้คนอื่นฟัง พอใครจะพูดธรรมหน่อย
    มาตำหนิ ทันที ว่า คนนั้นคนนี้ไม่ถึงบ้าง

    ตัวเองยังสกปรกเป็นขี้โคลนอยู่ ดันจะมาด่าคนอื่นว่า ดูซินั่น เสื้อเปื้อนตรงนั้นตรงนี้
    นั่นแหละ พวกกิเลสทั้งตัว
     
  17. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    เพียง เพราะ ว่า เขา เป็น ยา จก เข็ญ ใจ ไร้ การ ศึกษา

    เห็น ท่าน บัน ดีด ก่อ การ ลัก ทรัพย์ กระ ทำ ไม่ ดี

    เขา เที่ยว โพน ทะ นา สิ่ง ที่ ตน ได้ พบ เห็น

    ถูก แล้ว หรือ ที่ จะ มา กล่าว หา ยา จก เข็ญ ใจ ผู้ นั้น ว่า ไร้ การ ศึก ษา เพื่ เบี่ยง เบน ประ เด็น ความ ผิด ตน

    หรือ ว่า ยา จก เข็ญ ใจ ต้อง ไป ศึก ษา เล่า เรียน ให้ มี ความ รู้ เท่า ทัน บัน ดีด ก่อน ถึง จะ ตำ หนิ บัน ดีด เขา ได้

    ถ้า เป็น เช่น นั้น เรา ขอ อภัย ที่ เรา หา ได้ มี ความ รู้ ลึก ซึ้ง อย่าง ท่าน บัน ดีด ไม่
     
  18. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คุณขันแตกถ้าเป็นพระก็ขั้นปราชิกขาดจากความเป็นพระ

    อวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน
    มีอะไรบ้างเป็นของหลวงตาบัว
    ผมพิจารณาแล้วพบว่า แม้แต่ลมหายใจเข้าหายใจออกยังไม่ใช่ของหลวงตาบัว ไม่มีสักชิ้นสักอันเดียวที่เป็นของหลวงตาบัว

    หลวงตาบัวแค่มาอาศัยโลก ยืนของโลกอยู่อาศัย ยืมภาษาสมมติเค้าใช้ แม้แต่คำสอน
    ก็เป็นของที่สมมติ ใว้ใช้แต่ในโลกนี้เท่านั้น ขอให้เข้าใจดังนี้

    เป็นชื่อแห่งนันทิราคะ คำว่าเกยบก เป็นชื่อแห่งอัสมิมานะ ดูกรภิกษุ ก็
    มนุษย์ผู้จับเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้คลุกคลี เพลิดเพลิน โศกเศร้า
    อยู่กับพวกคฤหัสถ์ เมื่อเขาสุขก็สุขด้วย เมื่อเขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย ย่อมถึงการ
    ประกอบตนในกิจการอันบังเกิดขึ้นแล้วของเขา ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่ามนุษย์ผู้จับ
    ดูกรภิกษุ อมนุษย์ผู้จับเป็นไฉน ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมประพฤติ
    พรหมจรรย์ ปรารถนาเป็นเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่งว่า ด้วยศีล ด้วยวัตร ด้วยตบะ
    หรือด้วยพรหมจรรย์นี้ เราจักได้เป็นเทวดาหรือเทพยเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ดูกรภิกษุ
    นี้เรียกว่าอมนุษย์ผู้จับ ดูกรภิกษุ คำว่าเกลียวน้ำวนๆ ไว้ เป็นชื่อแห่งกามคุณ ๕
    ดูกรภิกษุ ความเป็นของเน่าในภายในเป็นไฉน ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็น
    ผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก ไม่สะอาด มีความประพฤติน่ารังเกียจ มีการงานปกปิดไว้
    ไม่เป็นสมณะ ก็ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่เป็นพรหมจารี ก็ปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี
    เป็นผู้เน่าในภายใน มีใจชุ่มด้วยกาม เป็นดุจขยะมูลฝอย ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่า
    ความเป็นผู้เน่าในภายใน ฯ
    [๓๒๔] ก็โดยสมัยนั้นแล นายนันทโคบาลยืนอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มี-
    *พระภาค ณ ที่นั้นแล นายนันทโคบาลได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่เข้าใกล้ฝั่งนี้ ไม่เข้าใกล้ฝั่งโน้น ไม่จมลงใน
    ท่ามกลาง ไม่ติดบนบก ไม่ถูกมนุษย์จับ ไม่ถูกอมนุษย์จับ ไม่ถูกเกลียวน้ำวนๆ ไว้
    จักไม่เน่าในภายใน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส
    ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
    ตรัสว่า ดูกรนันทะ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงมอบโคให้เจ้าของเถิด ฯ
    น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โคที่ติดลูกจักไปเอง ฯ
    พ. ท่านจงมอบโคให้แก่เจ้าของเถิด นันทะ ฯ
    ครั้งนั้นแล นายนันทโคบาลมอบโคให้แก่เจ้าของแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
    *พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์มอบโคให้เจ้าของแล้ว ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของ
    พระผู้มีพระภาค นายนันทโคบาลได้บรรพชาอุปสมบทแล้วในสำนักของพระผู้มี-
    *พระภาค ก็แลท่านพระนันทะอุปสมบทแล้วไม่นาน เป็นผู้ๆ เดียว หลีกออกจาก
    หมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ ไม่นานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่ง
    ที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตโดย
    ชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติ
    สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
    อย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระนันทะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์
    ทั้งหลาย ฯ


    <CENTER>จบสูตรที่ ๔</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกหรือไม่ก็ตาม ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายแค่ทรงค้นพบ และนำออกตีแผ่ให้เข้าใจง่ายขึ้น </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2009
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็ คนหน้าด้าน ก็แถไปแบบนั้นแหละ อ้างนั่นอ้างนี่ เลยไปถึง วิมุตติ ไร้สมมติไปโน่น
    ตัวเองเอาคำคนอื่นมาพูด ดัดแปลง ใส่คำว่า พระศรีอาริยเมตไตรเข้าไป ยังจะอ้างนั่นอ้างนี่

    คราวหน้า คุณก็ไปหยิบของคนอื่นมาเป็นของตนสิ แล้วบอกว่า อะไรๆก็ไม่ใช่ของคนอื่น อะไรๆ ก็เป็นของธรรมชาติ มันจะได้ติดคุก
    ที่พูดมานี่ คนโง่ คนกิเลสหนาแหละที่แก้ต่างแบบคุณ
     
  20. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    สำเนียงสอภาษา
    กิริยาส่อสกุล
    คุณมองให้เห็นจิตคุณหยาบมาก ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...