การยึดติดในอัตตา กับการบรรลุธรรม เขียนเองโดย telwada

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย telwada, 27 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณขอรับ ทำไมคุณไม่อ่านคำสอนของข้าพเจ้าให้ละเอียด ทำไมไม่คิดพิจารณาถึงหลักความจริง ตามที่ข้าพเจ้าอธิบายไว้

    อัตตา จะต้องประกอบกัน อย่างน้อย 2 อย่างขึ้นไป
    อย่างแรกคือส่วนที่เล็กที่่สุด ในทางพุทธศาสนา เรียกว่า "จิตวิญญาณ"
    อย่างที่สอง คือ รูป ซึ่งตามความหมายในทางพุทธศาสนา จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก ได้ให้ความหมายไว้ว่า "1.สิ่งที่จะต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆ อันขัดแย้ง, สิ่งที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน, ส่วนร่างกาย" (ย่อความ และตัดข้อความ)
    ที่กล่าวไปนี้ เป็นการกล่าวถึง อัตตา ในสรรพสิ่งทั่วๆไปที่มีชีวิตทุกชนิด

    แต่สำหรับ มนุษย์ แล้ว อัตตา ย่อมหมายรวมถึงทุกส่วน ตามขันธ์ 5 รวมกัน เป็นอัตตา ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็นอัตตาได้ ดังที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น ถึงความเป็นอัตตาแห่งสิ่งมีชีวิต
    ดังนั้นสิ่งที่คุณกล่าวมา ว่า อัตตาธรรม ไม่ถูกต้องขอรับ เพราะธรรมะไม่มีตัวตน แต่ธรรมเกิดจากทั้งสิ่งที่มีตัวตนและจากสิ่งที่ไม่มีตัวตน(สิ่งไม่มีชีวิต) หรือจะกล่าวให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ ธรรมะ เกิดจาก พฤติกรรม และการกระทำ ตามธรรมชาติ และจากธรรมชาติ ทั้งหลายทั้งปวง
    อนึ่ง สิ่งที่คุณถามมา มันเป็นการลองภูมิ เพราะคุณเข้าใจผิดอาจจะคิดว่า ธรรมะ เกิดจาก สัญญา และสัญญา ประกอบอยู่หรือผสมผสานอยู่ใน รูป เวทนา สังขาร จิตวิญญาณ
    เขาไม่เรียกว่า อัตตาธรรม แต่เขาเรียกว่า หลักธรรม
    ความจริง ข้าพเจ้าตอบไปแล้วนะขอรับว่า หลักธรรม ที่จะแสดงธรรมให้ผู้อื่นเข้าไปศรัทธานั้นเป็นเช่นไร คุณลองพิจารณาด้วยตัวเองซิขอรับว่า หลักธรรมเหล่านั้น เป็นเช่นไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2009
  2. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    อัตตาเป็นยังไง ถ้าไม่สนใจคิดจะบรรลุธรรมชั้นโสดาบันได้มะ ได้มะ^^
     
  3. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ยึ๋ย..

    ผมไม่ได้ลองภูมินะ แต่เท่าที่เคยพบเจอะเจอประสพการณ์ของผู้บรรลุธรรมแล้ว
    เขาใช้ตัวอัตตาในการแสดงธรรม คือพูดง่ายๆคือ กาย และ เรื่องไม่มีตัวตน "ตั้งเรื่องสมมติขึ้นมา ให้มีตัวตน" เพื่อให้เข้าไปยึดเป็นราวเกาะ เหมือนๆพวกเราๆท่านๆที่ห้อยพระเครื่องกันนั่นแหละ
    อันนั้นในพุทธศาสนาไม่ได้บอกว่า"เธอทั้งหลายจะต้องยึดมั่นถือมั่น เกาะให้แน่ๆกับสิ่งใดๆ"
    หรือเรียกอีกนัยนึงว่า "อุบาย" อุบายในที่นี้เป็นกุศล

    ส่วนคำว่า อัตตาธรรม น่ะผมตั้งขึ้นเอาเอง 5555
    เพราะผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือธรรมแบบเรียนปริยัติธรรมน่ะ ก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ

    อนุโมทนาครับุกับท่านผู้เจริญแล้วในธรรม ของจงมีสติไว้กับตัวขณะจิตเถิด...สาธุ
     
  4. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อัตตา เป็นเรื่องของ ขันธ์ 5 ถ้าคุณไม่มีขันธ์ 5 หรือไม่สนใจขันธ์ 5 แล้วคุณจะเรียนรู้อะไรได้ขอรับ คุณไม่สนใจจะจำ(สัญญา)ในหลักธรรมคำสอน,คุณไม่สนใจผลแห่ง การได้สัมผัส แล้วคุณจะรู้อะไร ขอรับ ขออภัย คุณลองไม่ยืนดูพฤติกรรมของสุนัข หรือไม่ก็ไม่เที่ยวดูเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ซิว่า พวกมัน สนใจในอัตตาของพวกมันหรือไม่ และความแตกต่างของการสนใจในอัตตาของเหล่าสัตว์ กับตัวคุณเหมือนกันหรือไม่ น่าจะให้ความรู้ ความเข้าใจ ได้เพิ่มขึ้น

    ส่วนผู้ที่ใช้ชื่อว่า Mr.Boy_jakkrit ข้าพเจ้าได้อธิบายให้คุณได้อ่านไปแล้วนะขอรับ คุณกลับไปอ่านและพิจารณาให้ดีขอรับ ไม่มีผู้บรรลุธรรมที่แท้จริง ที่ไหนกล่าวแบบที่คุณกล่าวมาดอกขอรับ

    ในพระไตรปิฏก แม้ไม่ได้เขียนไว้ แต่ก็มีเขียนไว้ เกี่ยวกับขันธ์ 5
    ซึ่ง ในทางที่เป็นจริงแล้ว มันก็คือการยึดมั่นถือมั่น ในอัตตาของตนเอง และผู้อื่นอยู่ดี
     
  5. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ผมไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมน่ะเลยถาม แต่พอไม่เข้าใจก็ถามอีกน่ะครับ
    เอาเป็นเข้าใจแบบของผมแล้วครับ


    เจริญพร
     
  6. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817

    ไม่มีผู้บรรลุธรรมที่แท้จริง กล่าวอย่างที่คุณเขียนมาดอกนะคุณ
    หากมีบุคคลใดก็ตามกล่าวว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นสิ่งสมมุติ แสดงว่า บุคคลผู้นั้น มีความคิดที่ผิดปกติ เหตุเพราะ คำว่า สิ่งสมมุตินั้น หมายถึง สิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ สิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริง เป็นจริง หรือไม่สามารถนับจำนวน หรือนับปริมาณได้ว่ามีมากหรือน้อยเท่าใด
    ดังนั้น อัตตา จึงไม่ใช่สิ่งสมมุติ ฯลฯ
     
  7. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    สิ่งสมมุตินั้น หมายถึง สิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ สิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริง เป็นจริง หรือไม่สามารถนับจำนวน หรือนับปริมาณได้ว่ามีมากหรือน้อยเท่าใด

    สาธุ..
    โมทนาบุญด้วยครับ
     
  8. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เอาภาษาไทยมาแปลภาษาธรรม มันก้สื่อผิดดิ
     
  9. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ไตรลักษณ์




    ไตรลักษณ์ ในพระพุทธศาสนา หมายถึง ลักษณะสามัญ ๓ ประการของสรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งเป็นเหมือนกฎธรรมชาติ ครอบงำสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
    เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญลักษณะ ประกอบด้วย อนิจจา ทุกขตา และอนัตตตา
    ๑.อนิจจา ความไม่คงที่ ไม่ถาวร หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรเที่ยงแท้ สิ่งมีชีวิต เมื่อเกิดแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงตามวัย จากเด็กเติบโตมาเป็น
    วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยชรา และตายไป สิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการทรุดโทรม ผุกร่อน และเสื่อมโทรมไปในที่สุด
    ๒.ทุกขตา ความเป็นทุกข์ของสิ่งทั้งปวง คือ ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
    ๓.อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ตามปกติคนทั่วไปจะมีการยึดมั่นในเรื่องตัวตน คือการยึดว่า สิ่งนั้นเป็นของเรา นี่คือเรานี่เป็นเรา แต่ในทางของพระพุทธ
    ศาสนาถือว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา และไม่มีอะไรที่เป็นของเรา
    ประโยชน์ของไตรลักษณ์คือ เพื่อให้มนุษย์ไม่ลุ่มหลงไม่ยึดติดยึดถือกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นของเรา ทำให้ลดอุปทานคือ การยึดมั่นยึดถือ ไม่ก่อความ
    ทุกข์หรือความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัวลง สามารถปรับตัวได้ แม้ว่าจะเกิดการพลัดพรากจากสิ่งที่พึงปรารถนาที่รักใคร่หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณขอรับ คุณเอาไตรลักษณ์มากล่าว คุณก็ยึดติดอัตตาแล้ว
    ไตรลักษณ์ ก็เป็นเพียง ความคิดอย่างหนึ่ง ที่อาจทำให้เกิด ความเศร้าหมองในจิตใจด้วยซ้ำ

    ส่วนบุคคลใดคิดว่า ภาษาอย่างนั้นเป็นภาษาทางศาสนา ภาษาอย่างนั้นไม่ใช่ภาษาทางศาสนา คุณคิดผิดแล้วขอรับ

    จะภาษาใดใด ก็เป็นภาษาทางศาสนาได้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับ เวลาที่ใช้ภาษาขอรับ
    ภาษาที่มีอยู่เดิม ในพระไตรปิฎก ก็เป็น ภาษาที่ใช้ทั่วไปในประเทศอินเดียในครั้งพุทธกาล
    จงทำความเข้าใจไว้ชอรับ

    บุคคลไม่ว่าจะอยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมใดใด ล้วนย่อม ยึดติดในอัตตาเหมือนกันทุกคน
    หากไม่ยึดติดในอัตตา ก็คงไม่มีข้อศีลทั้งหลายมาให้ผู้ศรัทธา ได้ประพฤติ ปฏฺิบัติ ดอกขอรับ
    ใช้สมองสติ ปัญญา ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองเถอะขอรับ
    อย่ามัวหลงอยู่กับ อัตตา ที่ผิดๆอยู่เลย (ให้ไปทำความเข้าใจในเรื่อง อัตตา ให้ถ่องแท้นะขอรับ ผู้ใช้ชื่อว่า albertalos)
     
  11. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    คับคุณเทวดาครับ ผมยังติดในอัตตาแน่นอนครับ ข้อนี้ถูกต้องเลยเพราะผมยังไม่สามารถใช้ปัญญาแก้อวิชาได้
    แค่อยากจะบอกครับว่าการตีความหมายตรงๆๆ บางครั้งก้ไม่ใช่คำแปลที่ถูกต้อง
    แล้วก้สิ่งที่ถูกหรือผิดคุณใช้เกณอะไรในการแยกครับ ท่าคุณไม่ได้ติดอัตตาอยู่
    การเข้าใจในตัวเหตุก้เป็นสิ่งที่ควรคับ แต่ปัญญายังไม่ถึงคงยังไม่รู้แจ้งแต่พอเข้าใจบ้าง
    บางทีสิ่งที่คุณคิดว่าคุณรู้และเข้าใจดีแล้วอาจยังไม่ใช่ที่แท้จริง เช่นเรื่องอัตตา แต่ในระดับหนึ่ง ซึ่งคิดว่าคงดีกว่าหลายๆๆคน ที่ไม่เคยอานพจนานุกรมที่คุณยกตัวอย่างมาก่อน
    เรื่องของการเข้าใจในธรรม นั้น ยากแก่การบอกกล่าวนอกจากจิตของผู้นั้นจะได้รู้ได้เห็นเอง


    การจะยึดติดอะไรรึไม่มันอยู่ที่ความเมหาะสมและประโยชน์สูงสุดด้วย
    ความถูกรึผิดอาจไม่ได้ตัดสินที่ข้อศิลนะคับ อาจเป็นที่เจตนา

    บรรยายแจกแจงต่อได้เลยครับเพื่อความเข้าใจที่มากยิ่งขึ้น
     
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณผู้ใช้ชื่อว่า albertalos ข้าพเจ้าจะตอบสิ่งที่คุณส่งสัย หรือไม่เข้าใจ เป็นตอนๆไป โดยอ้างอิงเอาข้อความที่คุณโพสมา ดังต่อไปนี้.-

    ตอบ... คุณกลับไปอ่านกระทู้หรือบทความนี้ให้ดีซิขอรับ แล้วพิจารณาให้ดีซิขอรับว่า บทความที่ข้าพเจ้าเขียนนี้สื่อ หรือสอน หรือสร้างความเข้าใจในเรื่องอะไร
    สิ่งที่ข้าพเจ้าสอนไป เป็นหลักความจริงตามธรรมชาติ มิได้เขียนเพื่อแสดงความถูก หรือความผิด
    สิ่งใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ย่อมเป็นความรู้ที่แท้จริง สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ถ้าบุคคลนั้นๆมีสมอง สติปัญญา มีความรู้ ตามหลักธรรมชาติ ตามหลักความเป็นจริง
    ข้าพเจ้าประกาศตัวเองให้ได้รู้กันทั่ว มานานแล้ว ว่าข้าพเจ้าคือใคร ท้าให้พิสูจน์ด้วยซ้ำ หากใครสงสัยว่าข้าพเจ้ารู้จริงรู้แจ้งขนาดไหน ที่กล่าวไปนี้เป็นเพียงยืนยันให้คุณได้รู้ว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียน เป็นหลักความจริง หนีไม่พ้น
    การยึดติดอัตตา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่สามารถใช้ความคิดขจัดการยึดติดในอัตตา เพราะการยึดติดในอัตตา ไม่ใช่ความคิด แต่เป็นธรรมชาติ อ่านแล้วใช้สมองพิจารณาซิขอรับ
    แต่การยึดติดอัตตา เป็นความหลงชนิดหนึ่ง เป็นความหลงอย่างละเอียด คุณแยกประเด็นได้หรือไม่ ขอย้ำ การยึดติดในอัตตา ไม่ใช่ความคิด แต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์(หมายเอาเฉพาะมนุษย์) อยากจะรู้เหมือนกันว่า ไอคิวคุณมีสักเท่าไหร่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2009
  13. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    มันก็จริงของคุณ telwada ที่กล่าวไว้แล้วนั้นล่ะนะ..
    แต่ข้าพเจ้าก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน แต่ไม่ทั้งหมด เอาแค่ประเด็นนะขอรับ

    แต่คุณ telwada จะไม่เสแสร้งแกล้งมีมิตรไมตรี(ถึงมันจะแค่"คำ"ก็นะ) กับ คนที่ยังไม่รู้อย่างข้าพเจ้าบ้างหรืออย่างไรกันหนอ.(คิดในใจนะขอรับ)
    ทำไมไม่ให้กำลังใจเค้า เรา กันบ้าง..นะ หึ๊ !?
    ลองๆยิ้มบ้าง หัวเราะแบบมีสติบ้างก็จะช่วยคลายกำหนัดได้เหมือนกันนา..
     
  14. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    คับเข้าใจสิ่งที่คุณเทวดาต้องการสื่อครับ ยังไงก้เป็นสิ่งที่อยากให้ผู้อื่นได้เห็น สภาวะความเป็นจริง ผมก้ไม่ได้อยากโต้แย้งแต่แค่ต้องการสื่อคล้ายๆกันที่คิดว่าผู้อ่านท่านอื่นน่าจะเข้าใจง่ายๆ

    คุณเทวดาเคยประกาศว่าตัวเองเป็นใครหรอคับ พระศรีอารย์ รึเปล่าจำได้ไม่แน่ใจมันนานแล้วเคยอ่านตั้งแต่ปี 2006 ช่วยประกาศอีกทีครับ ...... อยากทราบ
    แสดงสภาวะอาการด้วยก้ดีครับ ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

    อนุโมทนาด้วยในกุศลที่ทำที่เกิด
     
  15. godzenki

    godzenki สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    แน่นอนที่สุดว่าการศึกษาธรรมนั้น เรายังคงต้องยึดติดกับอัตตา หรือสิ่งยึดหนี่ยวบางอย่างไว้ก่อน เพื่อให้ตนเองได้ศึกษาธรรมได้อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะวางอัตตาหรือสิ่งยึดเหนี่ยวนั้นลงเพื่อที่จะเข้าสู่นิพพาน(นี่คือจุดหมายสูงสุดของทุกคนที่ปฏิบัติธรรม) ที่คุณ Telwada เขียนมานั้นก็นับว่าถูกครับผม
     
  16. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,434
    ค่าพลัง:
    +1,770
  17. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ผู้ที่รู้เส้นทาง คือผู้ที่เคยไป และสามารถอธิบายเส้นทางได้อย่างละเอียด หากสัญจรเป็นประจำ ...แต่...หากผู้ไม่เคยไป เพียงได้ยินว่าเส้นทางนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่สามารถอธิบายให้เห็นและเข้าใจเส้นทางได้ ดังอุปมาอุปไมย
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เอาเป็นว่า พอไม่ยึดอัตตา เรียกว่าอาศัยอัตตาก้แล้วกันเนอะ
    เช่นเราเห็นบ้านร้าง หากเราเข้าไปยึด เราก็เป็นเจ้าของบ้านร้างนั้น
    หากเราเห็นบ้านร้าง เราเพียงแค่อาศัยบ้านร้างนั้นก้พอแล้วก็จากไป

    เราเห้นแพข้ามน้ำได้ หากเรายึดแพ พอถึงฝั่งเราคงขึ้นจากแพไปขึ้นฝั่งไม่ได้ เพราะมันติดที่แพมันหนักเพราะเรายึดแพไว้
    หากเราอาศัยแพข้ามน้ำ เราก็ไม่ต้องยกแพขึ้นฝั่งด้วยก็จะสะดวกเพราะไม่ได้ยึดแพ เพียงแค่อาศัยแพจะพอได้มั๊ย
     
  19. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ผมมีไก่ย่างอยู่ 5 ไม้ครับ ใครหิวบ้างครับ ................อ้าวหมดแล้ว.............ทำอย่างงัยดีล่ะ เหลือแต่ไม้แล้ว........เฮ้อ...หมดประโยชน์แล้ว .............โยนทิ้งดีกว่า.......อิ่มท้วนหน้ากันทุกคนใช่ใหมครับ.......สาธุครับ.... ผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย
     
  20. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ท่านทั้งหลาย ไม่ต้องสนใจดอกขอรับว่า ข้าพเจ้าประกาศตัวว่าเป็นใคร เพราะความจริงย่อมปรากฏให้เห็น ให้รู้ได้ ในไม่ช้านี้

    ท่านทั้งหลาย อัตตา คือ ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เจ้าตัวอัตตานี้ จะสร้างหรือแตกแยกออกเป็นความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ ได้อีกมากมาย
    ถ้าท่านทั้งหลาย ทำความเข้าใจในอัตตาให้ดีแล้ว ทุกคนจะรู้ว่า ทุกคนย่อมต้องยึดติดกับอัตตา เพราะอัตตา คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ จิตวิญญาณ, รูป,สัญญา,เวทนา,สังขาร(การปรุงแต่ง)
    คำว่ายึดติดในอัตตานั้น หมายความว่า ท่านทั้งหลายต้องปฏิบัติ หรือมีพฤติกรรมไปโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติ คือ ต้องอาศัย ปัจจัย 4 ในทางพุทธศาสนา คือ อาหาร,เครื่องนุ่งห่ม,ที่อยู่อาศัย,และยารักษาโรค


    ท่านทั้งหลาย ลองทำความเข้าใจ กับปัจจัยสี่ดูซิว่า ท่านทั้งหลายจะมีความคิดคัดค้านในข้อใดหรือไม่ ถ้าไม่มีข้อคัดค้าน ก็จะกล่าวถึง "สามัญลักษณะ" ของสรรพสิ่งเที่มีชีวิต

    "สามัญลักษณะ" หมายถึง ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง ได้แก่ ๑.อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ๒.ทุกขตา ความเป็นทุกข์หรือความเป็นของคงทนอยู่มิได้ ๓.อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน
    แสดงความตามบาลีดังนี้ ๑.สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ๒.สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ๓.สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงมิใช่ตัวตน; ลักษณะเหล่านี้มี ๓ อย่าง จึงเรียกว่า ไตรลักษณ์, ลักษณะเหล่านี้เป็นของแน่นอน เป็นกฎธรรมดา จึงเรียกว่า ธรรมนิยาม (คัดความจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฏก)


    ขอให้่ท่านทั้งหลายพิจารณา ความหมายของคำว่า "สามัญลักษณะ"ให้ดี อย่างช้าๆ ข้าพเจ้าจะแนะแนวทางไว้หน่อยหนึ่งว่า ในความหมายของคำว่า สามัญลักษณะนั้น นับได้ว่า เป็นหลักเหตุและผล อันได้พิสูจน์แล้ว

    อนึ่ง สามัญลักษณะ ใช้อธิบาย ความเป็นไป แห่งขันธ์ทั้ง 5 แห่งสิ่งมีชีวิต(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์ เพราะง่ายต่อการค้นหา และพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

    แต่ สามัญลักษณะ เป็นลักษณะแห่ง อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
    อดีต บางอย่าง ควรจดจำ และระลึกนึกถึง อดีต บางอย่างไม่ควรจดจำ และไม่ควรระลึกนึกถึง
    ปัจจุบัน บางอย่าง ควรจดจำ สนใจ และประพฤติปฏิบัติ แต่ปัจจุบันบางอย่าง ก็ไม่ควรจดจำ ไม่ควรสนใจ และไม่ควรประพฤติ ปฏิบัติ
    อนาคต เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง บางอย่าง อาจเป็นจริง หรือเป็นไปตามที่ได้วางแผนเอาไว้ หรืออนาคต ย่อมเป็นจริง ตามธรรมชาติทั้งปวง อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นร่างกายของคน ย่อมต้อง มีเจ็บ มีแก่ มีตาย และ ณ.จุดนี้ เขาถึงสร้างความคิดที่ว่า "๑.อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ๒.ทุกขตา ความเป็นทุกข์หรือความเป็นของคงทนอยู่มิได้ ๓.อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน
    แต่เป็นเพียงการสร้างความคิด สำหรับชีวิตของมนุษย์ มิได้ให้มนุษย์คิดจนไม่ต้องทำมาหากิน หมองเศร้า โดยไม่รู้ตัว
    ดังนั้น บุคคลย่อมต้อง ยึดถือปัจจุบัน และระลึกถึงอดีตในบางเรื่องบางอย่าง เพื่อสร้างให้ตัวเอง หลุดพ้น หรือขจัดอาสวะแห่งกิเลส
    บุคคลจึงต้องมี อัตตา ต้องยึดติดในอัตตา คือ ยึดติด ในร่างกาย ในความรู้ ความจำ ความรู้สึกต่างๆที่มีมาตามธรรมชาติ และต้องยึดติดในการปรุงแต่ง เพราะธรรมช่าติของระบบการทำงานของสรีระร่างกายมนุษย์จะมีการปรุงแต่งอยู่เสมอ เพื่อใช้ในการประกอบกิจกรรมหน้าที่การงานต่างๆ รวมไปถึง การบรรลุธรรมทุกชนิด
    อธิบายมาพอสมควร คงทำความเข้าใจให้ท่านทั้งหลายได้บ้าง ตามแต่กำลังสมองสติปัญญาของท่านทั้งหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...