อานิสงส์การสวดมนต์ในมุมมองของข้าพเจ้า

คนเรามักไม่ค่อยพึ่งตนเองชอบที่จะไปแสวงหาพลังจากภายนอกมาช่วย
บางทีอาจจะไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่ามันเป็นพลังงานด้านบวกหรือลบ ดำหรือขาว

ทั้งที่เราก็มีความสามารถที่จะสร้างพลังอันนั้นได้โดย

การเจริญพุทธมนต์

แต่การเจริญพุทธมนต์ต้องอาศัยความเข้าใจ
และที่สำคัญคือ...

"เห็นผลช้า"

คนเราเลยมักจะพึ่งพิงทางลัดเสมอ
เทพ, เทวาต่างๆ เป็น "พลังงาน" ที่มีอยู่จริง
ดังนั้นเราจึงมักยืมพลังงานดังกล่าวมาใช้เสมอ...
แต่บุญบารมีของเราแท้ๆ นั้น มาจากการปฏิบัติไม่ใช่การมีกำลังทรัพย์ในการทำ

อย่าอาศัยเพียงบุญเก่าเพราะถือว่าตนมีบุญมากและคิดว่าจะไม่มีวันหล่นลงสู่ที่ต่ำ
จำไว้ว่านั่นคือทางแห่งความประมาท...

จงสร้างบุญใหม่เพื่อเราจะได้มีใช้ต่อไปในอนาคตด้วย

 

​

 

เพราะเหตุใด พ่อครูจึงต้องการให้เรามารวมตัวเพื่อเจริญพุทธมนต์กัน

เพราะการเจริญพุทธมนต์นั้นมีพลังงานที่เย็น ที่เราสามารถสัมผัสได้

​

 

มีคนเคยตั้งคำถามถามพ่อครูว่า สวดมนต์คนเดียวต่างจากการรวมกลุ่มสวดอย่างไร​

พ่อครูได้ตอบผู้ถามว่า การสวดมนต์เปรียบเสมือนการจุดเทียน เราสวดมนต์คนเดียวเราก็เหมือนเราจุดเทียน 1 แท่ง สามารถส่องเห็นทางได้ ไม่สว่างมากนัก แต่การรวมตัวกันมาร่วมสวดมนต์กลุ่มก็เหมือนเราถือเทียนมาคนละแท่งมาจุดเทียนพร้อมๆ กัน รวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน ย่อมมีแสงสว่างมาก​

​

 

การสวดมนต์ที่ดี ไม่ใช่การสวดแบบนกแก้วนกขุนทอง ปากท่องไป ใจคิดอย่างอื่น ก็จะไม่เห็นผล ​

การสวดมนต์ที่ดี คือการอ่านออกเสียงโดยใช้ประสาทสัมผัสของเรา คือ ตาอ่านตัวหนังสือปากออกเสียงตาม ใจจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ เพื่อทำความเข้าใจในบทสวดแต่ละบท ดังที่ปรากฎบนหน้าปกของหนังสือสวดมนต์ที่เราใช้สวดกันเป็นประจำทุกวันเสาร์​

​

 

เพราะเราใช้ภาษาไทยเป็นภาษาสื่อสารกัน เราไม่ได้ใช้ภาษาบาลีกันสื่อสารประจำวัน เราโดยทั่วไปจึงไม่มีความเข้าใจภาษาบาลีอย่างถ่องแท้ ดังนั้นการสวดมนต์ที่จะทำให้เกิดพลังคือการสวดมนต์แปล

เพราะหนังสือสวดมนต์แปลประกอบด้วย 2 ภาษา คือ บาลี และ ไทย
เมื่อเราอ่านก็จะเกิดความเข้าใจ ทำให้เกิดความจดจ่อ และทำให้เกิดสมาธิ
ซึ่งผลที่ตามมาคือทำให้เกิดพลังงานในที่สุด

​

 

สุดท้าย... ท้ายสุด เมื่อสวดมนต์เรียบร้อยแล้ว
เราต้องไม่ลืมอุทิศส่วนกุศลในการที่เราสวดพุทธมนต์ให้กับเจ้ากรรมนายเวรและเจ้าบุญนายคุณ
เพื่อให้ท่านเหล่านั้น อนุโมทนาในสิ่งที่เราได้กระทำลงไป (การตั้งใจสวดมนต์)
เพื่อที่ชีวิตของเราจะได้พบแต่สิ่งที่ดีที่เย็น ทำอะไรก็จะประสบความเจริญ



ที่สำคัญ..การสวดมนต์ต้องทำบ่อยๆ เหมือนกินข้าวค่ะ
เนื่องจากเราต้องใช้กำลังทุกวันทั้งกำลังกาย และกำลังสมอง
เราจึงกินข้าวทุกวันเพื่อให้มีพลังงานที่ร่างกายต้องนำไปใช้

ถ้าเราต้องการพลังงานด้านดีที่จะก่อให้เกิดคุณ...เราก็ต้องทำทุกวันนะคะ


อยากจะวอนขอให้ทุกท่านลองสวดมนต์แปลดูค่ะ


ที่มา : http://www.monnut.com/board/index.php?topic=225.0

 

ว่างๆ ลองหาเวลาไปสวดมนต์กับวัดที่มีการสวดมนต์แปลดูนะคะ


ด้วยความปราถนาดีค่ะ

 

ขอโมทนาจ้า ดีจริงๆที่ท่านตั้งกระทู้นี้ แต่ขอแสดงความเห็นนิดเดียวครับ ที่ว่าการสวดมนต์เห็นผลช้านั้น ถ้าเป็นผลเชิงวัตถุอาจจะใช่ แต่ถ้าเป็นผลทางจิตใจ จะเห็นทันทีเลยครับ ว่าสบายใจขึ้น

 

ถูกส่วนหนึ่งค่ะ ในเรื่องเชิงวัตถุ ซึ่งคิดว่าคุณเด็กอนุบาลคงจะหมายความถึงเรื่องพลังงาน กว่าจะรวมพลังงานได้ก็เหมือนเราหยอดเหรียญ กว่าจะได้มูลค่าก็ต้องหยอดเข้าไปมากมาย จึงสามารถนำพลังงานนั้นไปใช้ได้อย่างไม่ติดขัด

ผลทางจิตใจ...ถ้าเราเพ่งสมาธิไปในการสวดมนต์บทนั้นๆ เราได้รับอันดับแรกคือ สงบใจ ซึ่งถูกต้องเผงตามที่คุณเด็กอนุบาลท้วงมาค่ะ ^^

จะกระทู้นี้ที่อีกเว็บหนึ่งนั้นเคยมีคนถามว่าเราได้อะไรจากการสวดมนต์
ก็ได้ตอบไปดังนี้

พี่ไม่แน่ใจหรอกค่ะ ว่าพี่ได้อะไรที่เป็นพลังพิเศษจากการสวดมนต์นะ

แต่ที่ได้แน่ๆ คือ ความสงบส่วนหนึ่งขณะสวดมนต์
และบางทีที่เกิดอยากด่าเจ้าลูกน้องบื้อๆ ที่ทำเรื่องเบื๊อกๆ ขึ้นมา
ก็ได้ยินเสียงตัวเองเวลาสวดมนต์ว่า กัมมัสสะโกมหิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน...กัมมะทายาโท เป็นผู้รับผลของกรรม

(เขียนถูกรึเปล่าท่านอื่นช่วยเช็คให้ด้วยพิมพ์แบบไม่มีหนังสือสวดมนต์ประกอบ)

ทำให้คิดได้ว่า เอ้อ... เดี๋ยวมันก็รับกรรมเราจะไปด่ามันทำไม เพิ่มกรรมเราเปล่าๆ หาทางแก้ดีกว่า เป็นต้น

คือมันทำให้เราเย็นลงไง
ถ้าเราสวดบ่อยก็จำได้มาก ขึ้นใจได้มาก บทสวดมนต์ก็จะออกมาห้ามเรา
เวลาที่เราจะทำอะไรที่เป็นโทษกับตัวเองมากกว่าค่ะ


ซึ่งก็ตอบได้เพียงจากประสบการณ์ของเราซึ่งไม่รู้ว่าปัญญาเพียงเท่านี้... จะตอบได้ถูกตรงหรือไม่

ส่วนอีกท่านก็ได้กรุณามาช่วยตอบว่า

การรวมกลุ่มสวดมนต์ เป็นการร่วมกันสร้างพลังงานที่ดีที่เย็น
แล้วนำพลังงานที่ดีนั้นมาลบล้างกำจัดเมฆหมอกความขุ่นมัวที่ครอบงำชีวิตเรา
พร้อมทั้งนำพลังงานแห่งความดีนั้นมาเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด
และส่งเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปทั้งชีวิตส่วนตัว หน้าที่การงาน อาชีพ และครอบครัว

ใครที่ยังลังเลหรือหาเวลาไม่ได้ให้กับการเติมสิ่งที่เป็นมงคลแก่ชีวิต
ให้รีบตัดสินใจลงมือกระทำเสียแต่บัดนี้
แล้วจะพบกับความสมหวังดังใจในพลังงานที่ได้รับจากการสวดมนต์


ด้วยความปรารถนาดี
ทิพย์วาที


อย่างไรก็ตามขอบคุณ คุณเด็กอนุบาล ที่เข้ามาร่วมสนทนาในกระทู้นะคะ ^^

 

ชอบสวดมนต์เหมือนกันคะ สวดทุกวันเห็นผลเร็วมากและชัดเจนทั้งทางจิตใจและวัตถุ ทางจิตใจก็เหมือนความเห็นข้างบนที่กล่าวกันมา ทางวัตถุคือ นึกหรือคิดถึงสิ่งใด(คือคิดลอยๆ ไม่ได้อธิฐานต่อหน้าพระ) ก็จะได้สิ่งนั้นมา หรือเพียงแค่คิดถึง เพื่อนร่วมงานคนนี้จะคุยกับเค้า เค้าคนนั้นก็เดินผ่านมาหาเราพอดี และเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนแรงดึงดูดมหาศาล เพียงแค่คิดนิดเดียว พอเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเข้า ก็ระมัดระวังความคิดมากขึ้น พยายามคิดให้เป็นกุศล ถ้าเผลอคิดอกุศลเมื่อไร สิ่งนั้นก็สนองเรารวดเร็วทันที(ภายในไม่กี่ชั่วโมง) ใครเป็นอย่างเราบ้าง มาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ

 

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

" การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง "






ขอช่วยบอกบุญต่อจ้า บริจาคอวัยวะที่ http://www.organdonate.in.th/
บริจาคดวงตาที่ http://www.eyebankthai.com/
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ต้องการบริจาคนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ <!-- / sig -->
<!-- / message -->
<!-- / message -->

 

เวลาสวดมนต์ เราต้องรู้ความหมายของบทที่เราสวด
ผมเห็นด้วยครับ

 

รบกวนแนะนำบทสวดมนต์หน่อยครับ

คืออายุ 14 ครับ ขอเป็นบทสวดมนต์ที่ไม่หนักมากนะครับ

เห็นหลายกระทู้บอกว่าสวดมนต์แล้วดี

 

สวดชินบัญชรเลยน้อง
ไม่ยาวมากนัก แต่อานิสงค์มาก

 

สวดมนต์บทไหนก็ได้ค่ะ ที่...

1 สวดแล้ว ไหลลื่นไม่ค่อยสะดุด (กรณีนี้ใช้ได้เมื่อเคยฟังเสียงสวดมนต์มาบ้างแล้ว)
2 เลือกจากการที่สวดจบแล้วรู้สึกมีความสุขแบบ เย็นๆ หรืออย่างน้อยต้องรู้สึก สงบ เมื่อสวดจบ แต่ต้อง "ตั้งใจ" สวดนะคะ ถึงจะรู้สึกได้
3 เลือกบทสวดที่ไม่ยาวมากเกินไปนัก (ไม่งั้นจะท้อค่ะ)

การที่เราจะสวดได้ในบทไหนนั้นขึ้นอยู่กับดวงจิตของเราเป็นผู้เลือกด้วยค่ะ

ขอบคุณคุณ deawmilan ที่มาช่วยตอบค่ะ ^^

ปล. เวลาสวดชินบัญชรต้องแผ่เมตตาด้วยจะยิ่งดีค่ะ