พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. kwok

    kwok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +4,239
    เมื่อวานผมได้โอนเงินร่วมบุญแล้ว 500 บาท
    โมทนาสาธุ ครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใครบ้างได้2,000บาท
    http://www.matichon.co.th/matichon/...1p0103170152&sectionid=0101&selday=2009-01-17

    คอลัมน์ เคียงข่าว

    มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ใช้งบกลางแจกจ่ายให้พนักงานราชการ ลูกจ้างราชการ ข้าราชการ (จำนวน 1.3 ล้านคน) และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่มีฐานรายได้ไม่เกิน 14,999บาท จะได้รับความช่วยเหลือครั้งเดียว คนละ 2,000 บาท เพื่อบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างและวิกฤตเศรษฐกิจ

    กล่าวเฉพาะผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จำนวน 8,138,815 คน ประกอบด้วย

    1.ผู้ประกันตน มาตรา 33 (ในระบบปกติ) จำนวน 7,624,272 คน เป็นชาย 3,713,408 คน หญิง 3,910,864 คน

    2.ผู้ประกัน มาตรา 39 หรือผู้ประกันตนที่ออกจากระบบ และประสงค์คงสถานภาพเป็นผู้ประกันตนโดยจ่ายเงินสมทบ 2 เท่า จำนวน 514,496 คน เป็นชาย 184,888 คน หญิง 329,608 คน

    3.ผู้ประกันตน มาตรา 40 หรือผู้ประกันตนที่ประกอบอาชีพอิสระที่สมัครเข้าประกันสังคมโดยสมัครใจ จำนวน 47 คน

    ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะเป็นผู้รับผิดชอบประสานกับกรมบัญชีกลางดำเนินการโอนเงิน 2,000 บาท เข้าเลขที่บัญชีให้กับผู้ประกันตนที่เข้าข่ายได้รับสิทธิทั้ง 3 มาตรา ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป

    สำหรับผู้ประกันตนที่ไม่มีเลขที่บัญชีธนาคาร สามารถเปิดบัญชีกับธนาคารทั่วไป และนำหลักฐาน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน บัตรผู้ประกันตน เลขที่บัญชีธนาคาร ไปแจ้งต่อ สปส.เขตพื้นที่โดยเร็ว เพื่อตรวจสอบข้อมูลและขอใช้สิทธิ (กรอบบ่าย)
     
  3. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    ได้จาก Forward Mail ครับ

    เวลาไปใช้ internet สาธารณะ ให้มองด้านหลังว่า มีไอ้อันดำๆ นั่นมั๊ย (ตามรูป)
    ถ้ามีคือไม่ปลอดภัย เพราะมันจะเก็บข้อมูลการใช้<WBR>ของเรา
    ถ้าเราใช้ ibanking หรือ โอนเงิน ชำระเงิน หรือ เรื่องสำคัญ
    อาจถูกลักขโมย Code Password ข้อมูลต่างๆได้

    PLEASE BE CAREFUL WHENEVER YOU'RE USING A public computer (Like INTERNET
    CAFES. ETC ).
    CHECK THE BACK OF THE PC AND SEE IF THE BELOW DEVICE IS THERE.... IF
    SO..then DO NOT USE IT!!!


    อันดำๆ ที่ว่านี้ อยู่ในรูปครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pic06091.jpg
      pic06091.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.7 KB
      เปิดดู:
      763
    • pic21330.jpg
      pic21330.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3 KB
      เปิดดู:
      311
  4. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    วันนี้ผมจะมาขอเตือนเกี่ยวกับพระกริ่งและพระชัย ที่สมัยนี้มักแอบอ้างว่าเป็นเนื้อนวโลหะ นวโลหะนั้นเป็นจุดขายที่หลอกผู้คนมามากมายโดยพวกนี้จะนำชนวนพระกริ่งหรือพระชัยทั้งที่เป็นช่อชนวนหรือพระกริ่งเนื้อนวโลหะที่แท้จริงอย่างเช่นพระกริ่งหรือพระชัยที่สมเด็จพระสังฆราชแพเป็นประธานจัดสร้าง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วต้องเรียกว่าเนื้อโลหะผสมซะมากกว่า

    วัตถุประสงค์ของพวกนี้มักจะแบ่งเป็น 2 พวกคือ
    1.ไม่รู้
    2.รู้ แต่ทำไปเพื่ออัพราคา

    นวโลหะ(นวโลหะตามสูตรของสมเด็จพระพนรัตวัดป่าแก้ว) ท่านให้เอาชินหนัก ๑ บาท จ้าวหนัก ๒ บาท เหล็กหนัก ๓ บาท บริสุทธิหนัก ๔ บาท ปรอทหนัก ๕ บาท สังกะสีหนัก ๖ บาท ทองแดงหนัก ๗ บาท เงินหนัก ๘ บาท ทองคำหนัก ๙ บาท (หลักคือทองคำบังคับต้องหนัก ๙ บาท)

    ในแต่ละตัวก็จะมีรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น ทองคำในที่นี้มิได้หมายถึงทองคำรูปพรรณ หรือทองคำแท่ง แต่เป็นทองเกล็ดหรือก้อนซึ่งเกิดตามธรรมชาติ จะเป็นบ่อนพคุณหรือบางสะพานก็ได้ ทองธรรมชาติย่อมมีคุณวิเศษในตัวของมัน เป็นวัตถุเทพธิคุณ กล่าวกันว่าทองแท้ยังมิได้หล่อหลอมหนัก ๑ บาท เป็นของศิริ มหานิยม โภคทรัพย์ กันเสนียด และกันปืนไฟ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    คราวนี้มาดูวิเคราะห์จากบทความหนึ่งที่อ่านแล้วพอจะเข้าใจง่าย

    พระกริ่ง วัดสุทัศน์ฯ พิมพ์ต่างๆ



    บันทึก..... วัตถุมงคลวัดสุทัศน์ เจ้าคุณศรี (สนธิ์) มอบแก่พี่ชาย
    ระยะนี้ ยังคงเป็นการพูดถึงวิธีการตรวจสอบพระกริ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระกริ่งวัดสุทัศน์ แบบเข้มข้นที่สมบูรณ์แบบซึ่งจะทำให้ได้ผลตรวจสอบว่าเป็นพระกริ่งเก๊หรือแท้ ได้แน่นอนที่สุดวิธีการก็คือการรวบทฤษฏีการดูพระกริ่งแบบเดิม ซึ่งประกอบด้วยการพิจารณาขนาดและพิมพ์ทรง ฝีมือการแต่ง (ถ้าเป็นพระกริ่งแต่ง) และเนื้อ (เนื้อในและสนิม รวมทั้งความเก่าด้วย) ร่วมกับทฤษฏีเพิ่มเติม คือ พิจารณาร่องรอยการหล่อ (วัดสุทัศน์มีวิธีการหล่อเป็นเอกลักษณ์โดยส่วนมากหล่อแบบเข้าช่อ เป็นพิมพ์ประกบอุดกริ่งแบบกริ่งในตรงสะโพก 1 รู หรือ 2 รู เม็คกริ่งใหญ่กว่ารูอุคมกริ่ง และติดชะนวนช่อใต้ฐาน 1 ก้าวหรือ 2 ก้าน อาจติดตรงกลางใต้ฐานใต้ฐาน 2 ข้าง ด้านหลังฐานโดยไม่โดนใต้ฐา หรือด้านหลังใต้ฐานก็ได้) และนำวิทศาสตร์ ด้านการวิเคราะห์ดินเบ้า (ถ้ามี) ว่าเป็น ดินเบ้าแท้หรือปลอมรวมทั้งการวิเคราะห์ส่วนผสมของโลหะว่าถูกต้องตามทฤษฏีหรือเปล่า (กริ่งวัดสุทัศน์แต่ละรุ่น มีประวัติการสร้างแน่นอนว่าส่วนผสมเป็นโลหะชนิดใดเช่าใช้นวโลหะตามสูตรของสมเด็จพระพนรัตวัดป่าแก้ว เป็นต้น) เมื่อรวมทฤษฏีการพิจารณาแบบเดิมกับทฤษฏีเติมจึงกลายเป็นทฤษฏีใหม่ที่เข้มข้นดังกล่าว
    ข้าวเจ้าได้เสนอผลการตรวจสอบพระกริ่งเทพโมลี รุ่น 1 หมายเลข 3 พิมพ์พรักตร์ยาว และพระกริ่ง 79 ชนิดเป็นช่อไม่แต่งทั้ง 2 พิมพ์ไปแล้ว สรุปว่าเป็นพระกริ่งแท้ทั้ง 2 พิมพ์ เพราะพิมพ์ถูกต้อง ขนาดถูกต้อง ความเก่าถึงยุค ร่องรอยการหล่อถูกต้อง เอกลักษณ์ประจำรุ่นถูกต้อง ดินเบ้าทั้ง 2 รุ่น เป็นดินสุกเกาะติดตามธรรมชาติ และส่วนผสมเป็นนวโลหะ ตรงตามประวัติการสร้างทุกประการ จากผลการตรวจสอบพระกริ่งทั้ง 2 พิมพ์ ทำให้สามารถตัดสินพระกริ่งองค์เดี๋ยวๆ ของ พระกริ่งเทพโมลีรุ่น 1 พิมพ์พระพักตร์ยาว (รวมทั้งพระกริ่งเทพโมลี รุ่น 2 พิมพ์เดียวกัน) และพระกริ่ง 79 ได้แน่นอนกว่าเดิม ชนิดเรียกว่าไม่ต้องโมแมแบบเดิมอีกแล้ว
    ต่อไปนี้เป็นการตรวจสอบพระกริ่งพรหมมุนี ด้วยทฤษฏีใหม่แบบเข้มข้น
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>[​IMG]</O:p>
    พระกริ่งพรหมมุนี ชุดนี้เป็นช่อพระกริ่ง 8 องค์ (โปรดดูรูป) ส่วนรายละเอียดพุทธลักษณะได้แสดงไว้เช่นกัน (โปรดดูรูป)
    พระกริ่งช่อนี้ ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) ได้มอบให้คุณพริ้ง พงศ์กระวี พี่ชายคนหนึ่งของท่าน พระกริ่งช่อนี้เดิมมีมากกว่า 8 องค์ แต่องค์ที่ไม่ปรากฎได้ขาดหายไปตั้งแต่เดิมแล้ว
    [​IMG]
    พระกริ่งพรหมมุนีช่อนี้ ทุกองค์เป็นพิมพ์เดียวกัน คือพิมพ์กริ่งใหญ่แบบพิมพ์ที่ 1 เป็นพระที่อยู่ในสภาพเดิมๆ มีขนาดสูงประมาณ 3.9 ซม. ความกว้างตรงบัวประมาณ 2.3 ซม. เนื้อเป็นนวโลหะแดง (นาถแก่) กลับขาวน้อยมาก กลับคำ ความเก่าแสดงให้เห็นชัดเจนโดยผิวเนื้อในเกิดคลายมุ้งทั้วไปหล่อแบบกริ่งในตามมาตรฐานวัดสุทัศน์ แบบสองซีกประกบ อุดมกริ่งตรงสะโพก 2 รู (รูหนึ่งอุดด้วยตาปู อีกรูอุดด้วยดิน) มีก้านชะนวน ใต้ฐานด้านหลัง 1 ก้าน ลักษณะก้านค่อนข้างกลม มีดินเบ้าและขี้เขม่าจับทั้วไป เห็นผิวไฟทั้วไปด้วย พิจารณาการตกทอดและลักษณะทั่วไปแล้ว ตัดสินได้ขั้นแรกว่า เป็นพระกริ่งพรหมมุนีแท้ แน่ หากการหาส่วนผสมเป็นนวโลหะ (โลหะ 9 ชนิด ประกอบด้วย ชิน ซึ่งเป็นส่วนผสมของดีบุกและตะกั่ว หนัก 1 บาท จ้าวน้ำเงินซึ่งคือพลวงเงิน สติบไนท์
    เป็นส่วนผสมของพลวงและกำมะถัน หนัก 2 บาท เหล็กละลายตัวหนัก 3 บาท บริสุทธิ์หรือตะกั่วเถือนหนัก 4 บาท ปรอทหนัก 5 บาท สังกะสีหนัก 6 บาท ทองแดงหนัก 7 บาท เงินหนัก 8 บาท และทองคำหนัก 9 บาท)
    การตรวจสอบส่วนผสม หา 2 ตำแหน่ง คือตรงโคนก้าน และตรงยอดก้าน โดยส่งไปตรวจสอบที่กรมวิทยาศาสตร์บริการ 2 ครั้ง แยกจากกันและไม่ได้บอกว่าเป็นโลหะจากชุดเดียวกัน
    ผลการตรวจสอบปรากฎดังนี้<O:p></O:p>
    โคนก้าน ยอดก้าน<O:p></O:p>
    1. ทองแดง ร้อยละ 97.8 96.8
    2. สังกะสี ร้อยละ 1.1 1.1
    3. ดีบุก ร้อยละ 0.58 1.7
    4. ตุกั่ว ร้อยละ 0.15 0.14
    5. เหล็ก ร้อยละ 0.12 0.08
    6. เงิน ร้อยละ 0.08 0.11
    7. พลวง ร้อยละ 0.009 0.08
    8. ทองคำ ร้อยละ 0.005 0.004
    9. ปรอท มก.ต่อกก. 0.02 0.01

    จะเห็นได้ว่าโลหะพรหมมุนี ตรงโคนก้าน และตรงยอดก้าน เป็นนวโลหะทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยมีโลหะหลักเป็นทองแดงรองลงมาคือสังกะสี และดีบุก นอกนั้นมีตะกั่ว เหล็ก เงิน พลวง และทองคำลดหลั่นกันไป ที่สำคัญมีปรอทผสมอยู่ด้วย
    ผลการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์สรุปได้ดังนี้<O:p></O:p>
    1.พระกริ่งพรหมมุนี ช่อนี้ (8 องค์) มีเนื้อเป็นนวโลหะการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ

    2.อัตราส่วนผสมของนวโลหะไม่ตรงตามสูตรของสมเด็จพระนพรัตวัดป่าแก้ว (สูตร 45 บาท) หมายเหตุ : โปรดดูข้ออธิบายสาเหตุต่อไป

    3.เนื้อนวโลหะ เป็นเนื้อโลหะที่สร้างยาก เท่าที่ทราบมีเพียงพระ กริ่งปวเรศ และพระกริ่งวัดสุทัศน์ ของสมเด็จพระสังฆราชแพ เกือบทุกรุ่นและของท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) บางรุ่น เท่านั้นที่สร้างด้วยโลหะชนิดนี้ ส่วนเนื้อนวโลหะปัจจุบัน มันเป็นส่วนผสมของทองแดง เงิน อาจมีทองคำนิดหน่อยหรือทองเหลือง (สังกะสีสมทองแดง) และชนวนพระกริ่งเก่าเล็กน้อย เท่านั้น[​IMG]

    การที่เนื้อนวโลหะสร้างยาก เพราะโดยทั่วไปผู้สร้างมักหาโลหะสำคัญบางชนิดไม่ได้ เช่น ชิน (ดีบุกผสมกับตะกั่ว) จ้าวน้ำเงิน (ส่วนมากไม่ทราบว่าเป็นโลหะอะไรแน่) ปรอท (ปกติทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถผสมกับโลหะอื่นได้ เพราะปรอทเมื่อโดนความร้อน 60 องศาซี ก็จะหนีหายไปหมด แต่ทางไสยศาสตร์สามารถใช้ในใบและต้นอ้ายเหนียว ผสมต้นผักขมหิน ผสมต้นตำลึงตำให้เข้ากันแล้วเคล้ากับปรอท กำกับด้วยคาถาบทพิเศษ สามารถทำให้ปรอทสลมและผสมกับโลหะอื่นได้) และทองคำซึ่งมีราคาแพงมาก


    ที่นี้ มาดูสาเหตุที่อาจทำให้เนื้อหาโลหะไม่เป็นไปตามสูตรอาจเป็นเพราะ<O:p></O:p>
    1.สูตรมาตรฐานดั้งเดิมของนวโลหะ หนัก 45 บาท สามารถสร้างพระกริ่งใหญ่ เป็นช่อแบบวัดสุทัศน์ได้เพียงประมาณ 9 องค์เท่านั้น หากต้องการสร้างเกิน 9 องค์ (ซึ่งเกินทุกรุ่นอยู่แล้ว) ก็จำเป็นต้องเพิ่มโลหะ ซึ่งส่วนมากใช้ทองแดง เงิน หรือทองเหลือง (รุ่นพรหมมุนี บางปีใช้ทองแดง รุ่น 79 ใช้เงิน และรุ่น 83 ใช้ทองเหลือง เป็นต้น) บางครั้งต้องเพิ่มโลหะจำนวนมากเพราะมีการหล่อพระบูชาครอบน้ำพุทธมนต์และอื่นๆ ด้วย
    2.ในการหลอมโลหะในเบ้าหลอม การกระจายตัวของโลหะไม่สม่ำเสมอทั้งเบ้า ทั้งนี้เพราะโลหะแต่ละชนิด มีความถ่วงจำเพราะแต่กต่างกันมาก เช่นทองแดง มี ถ.พ.8.93 ทองคำ 19.32 ตะกั่ว 11.37 เงิน 10.50 ดีบุก 7.29 สังกะสี 7.10 และเหล็ก 7.5 เป็นต้น เป็นไปได้มากกว่าพวกโลหะหนักจะตกอยู่ก้นเบ้า ส่วนโลหะเบาอยู่ปากเบ้า ผู้เคยเทหล่อพระเครื่องย่อมทราบดี
    3.ความบริสุทธิ์ของโลหะที่ผสม มีผลทำให้สูตรเปลี่ยนไปได้มากเช่นกัน เช่น ชิน (ส่วนผสมของดีบุกและตะกั่ว) ค่าดีบุกและตะกั่วที่ผสมอาจแตกต่างกันได้มาก จ้าวน้ำเงิน หากบริสุทธิ์ 100% ก็มีพลวงผสมอยู่ประมาณ 71.4% เท่านั้น เป็นต้น
    4.องค์ที่เทตอนแรกโลหะมีความร้อนสูง การกระจายตัวน่าจะดีกว่าองค์ที่เทตอนหลังๆ ซึ่งโลหะเย็นกว่า เป็นอีกสาเหตุที่อาจทำให้ส่วนผสมแต่ละองค์ไม่เท่ากัน
    [​IMG]
    สรุปว่า พระกริ่งพรหมมุนี ช่อนี้ (8 องค์) แท้แน่นอน <O:p></O:p>
    จากผลการพิสูจน์พระกริ่งพรหมมุนี ช่อ 8 องค์ ทำให้มั่นใจในชั้นต้นว่า พระกริ่งพรหมมุนี ช่อ 9 องค์ (รูป 3) ช่อ 9 องค์ (รูป 4) ช่อ 7 องค์ (รูป 5) และช่อ 5 องค์ (รูป 6) เป็นพระกริ่งแท้ทั้งสิ้น เหตุผลเพราะเป็นพระกริ่งที่เจ้าคุณศรี (สนธิ์) มอบให้ญาติ รายละเอียดนอกนั้นเหมือนพระกริ่งพรหมมุนี ช่อ 8 องค์ ทุกประการ แตกต่างกันที่จำนวนองค์เท่านั้น
    เช่นเดียวกับ พระกริ่งพรหมมุนี สภาพเดิม องค์เดี่ยวๆ อีก 7 องค์ (รูป 7 รูป 8 รูป 9 รูป 10 รูป 11 รูป 12 และรูป 13 ) ล้วนเป็นพระกริ่งพรหมมุนี แท้ทั้งนั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน
    อย่างไรก็ตาม พระกริ่งพรหมมนี องค์เบอร์ 7 เคยทอลองส่งไปเซอร์เมื่อเดือน พ.ศ. 2548 ปรากฎว่าคณะกรมการบอกไม่ผ่าน ทั้งที่เป็นพราะกริ่งที่ดูง่ายๆ จึงอยากขอแนะนำให้คณะกรรมการเซอร์พระกริ่งชุดนั้น ไปศึกษาเพิ่มเติมให้ถ่องแท้ก่อนแล้วค่อยกลับเป็นกรรมการจะดีไหม เพราะอาจทำให้น่าเชื่อถือมากขึ้น
    อนึ่ง จากนำพระกริ่งวัดสุทัศน์เนื้อนวโลหะหลายๆ รุ่น ไปตรวจสอบส่วนผสมที่กรมวิทยาศาสตร์บริการปรากฎว่าได้ส่วนผสมเป็นนวโลหะถูกต้องทั้งสิ้นแต่ยังไม่เคยพบองค์ที่มีสูตร (อัตราส่วนผสม) ใกล้เคียงกับสูตรดั้งเดิม (สูตรหนัก 45 บาท) เลย ดังนั้นจึงขอเสนอว่า หากท่านผู้ใดมีพระกริ่งวัดสุทัศน์รุ่นใดก็ได้ ที่มีสูตรส่วนผสมใกล้เคียงกัยสูตรเดิม และสามารถพิสูจน์ได้ <O:p>[​IMG]</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>

    ref.http://www.pra.kachon.com/pra/detail.asp?id=336</O:p>

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2009
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำสมาธิกับหลวงปู่เทสก์

    http://www.geocities.com/samadhinet/teach3.htm

    นำนั่งสมาธิโดย หลวงปู่เทสก็ เทสรังสี

    นั่งสมาธิ คือการรวมใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่าทำให้ใจเป็นสมาธิ ใจเป็นอันเดียว

    เบื้องต้นใจมันเป็นอันเดียว แต่มันคิดนึกปรุงแต่งขยายออกไปมากมาย ทีนี้เราจะรวมเข้ามาให้เป็นอันเดียว โดยการนึกเอาพุทโธพุทโธ หรือนึกตามลมหายใจเข้า-ออก ให้เอาอันนั้นเป็นเครื่องอยู่ พุทโธอยู่อย่างนั้น เอาอันนั้นเป็นเครื่องวัด ถ้าจิตแวบออกไปจากนั้นก็ให้รู้จัก จิตมันอยู่ในลมหายใจก็ให้รู้จัก รักษาอยู่อย่างนี้ แน่วแน่อยู่อย่างนี้ มันก็เป็นสมาธิไปในตัว คนเราหาแต่สมาธิ อยากจะให้สมาธิแน่วแน่เป็นอันหนึ่งอันเดียว บางทีทำจนเป็นสมาธิแล้ว แต่ไม่รู้จักว่าเป็นสมาธิ

    สมาธิ นั้นมันมีหลายอย่าง ขั้นแรกเรียกว่า ขณิกสมาธิ คือมันรวมเป็นครั้งคราว จิตรวมวูบ วาบ ๆ แล้วก็ถอนออกไป ขั้นต่อไปเรียกว่า อุปจารสมาธิ จิตรวมเข้ามานานขึ้น วางอารมณ์ต่างๆได้ อัปนาสมาธิ นั้น จิตวางอารมณ์ทั้งหมด เหลือแต่จิตสงบนิ่งเฉย แต่ก็รู้สึกตัวอยู่ เราทำสมาธิก็อยากให้มันเป็นอัปนาสมาธิร่ำไปมันก็ไม่เป็น แม้แต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิก็ยังไม่ได้ อยากให้จิตลงลึกเงียบเฉยเป็นอัปนา มันก็ไม่เป็นละซิ

    เราหัดขณิกสมาธิ หัดอุปจารสมาธิตรงนี้แหละ กำหนดพุทโธ พุทโธให้จิตรวมเข้ามา ถ้ามันแวบออกไปหน่อยหนึ่ง ก็ดึงมันกลับเข้ามาอีก ทำเช่นนี้จนกระทั่งมันเชื่องสนิทเข้าไป อยู่ได้นานขึ้น จิตนิ่งขึ้น อัปนาสมาธินั่นมันเป็นเองหรอก ไม่มีใครแต่งมันได้ ขอแต่ให้หัดอบรมเบื้องต้นอันนี้ เชื่อมั่นลงไปเถิดว่า อันนี้ถูกต้องตามทำนองครองธรรมแล้ว หัดทำให้ได้ มีสติ อยู่เสมอ จะยืน จะเดินนั่ง นอนก็ตาม จนกระทั่งเมื่อเราอยู่ในอิริยาบถใดก็ได้ทุกอิริยาบถ นั่นเป็นการดีมาก

    หากทำเช่นนั้นไม่ได้ก็เอาแต่เวลานั่งสมาธิก็ได้ เอาอิริยาบถนั่งเสียก่อน จะเอาอิริยาบถนอนก็ได้ แต่ว่านอนมันหลับง่าย ครั้นจิตรวมแล้ว จิตมันอยู่คงที่แล้วมันหลับเร็วทำอยู่ไม่ได้นาน เราหัดนั่งภาวนาวันหนึ่ง ๆ อย่างน้อยก็ให้ได้สัก 10 นาที 20 นาที นานไปก็ได้ 30 นาที 40 นาที หรือเป็นชั่วโมงก็ได้ หัดสามาธิให้ได้หัดอย่างนี้ให้เป็นนิสัยสืบต่อไป หากว่าเรายังไม่ทันสิ้นภพ สิ้นชาติเราได้สมาธิแล้วเราก็ใกล้จะถึงพระนิพพานแล้ว ที่ประสงค์จะให้มันถึงพระนิพพานเร็วๆ นั้น อย่างเพิ่งไปปรารถนาเลย ปุ๊ปปั๊ปก็อยากให้มันถึงมรรคผลนิพพานทีเดียว ครั้นไม่ถึงแล้วก็เลยชักสงสัย มันเห็นจะไม่ถูกกระมัง พระนิพพานนั้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็อยากได้แต่พระนิพพาน

    เราหัดไปค่อยทำอย่างนี้มันถูกทางแล้ว จิตเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิมันถูกทางแล้ว ทางที่ดำเนินตามนั้นก็เป็นมรรคแล้วยังไม่ต้องสงสัย นิพพานนั้นไม่ใช่ใครจะบอกกันได้หรอก ไปรู้เอง เห็นเอง เมื่อมันจะรู้เห็นเองขึ้นมา ตนเองก็ไม่ได้แกล้งจะให้มันเป็น หากรู้ขึ้นมาเอง เชื่อตนเองว่า อ๋อ! อย่างนี้หรอก ของจิตคือพระนิพพาน เหตุนั้นจึงให้หัดขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ นี่แหละให้มันได้เสียก่อน เอาละหัดสมาธิกันเลย
    <!--msthemeseparator-->
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    คำสั่งจากพี่ใหญ่

    ฝากถึงน้องหมอเปิ้ล และน้องปิง

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  8. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ...อิทธิพลของสมาธิ..

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    ...อิทธิพลของสมาธิ...


    ขณะใดที่เราภาวนา แล้วจิตของเราสงบ นิ่ง สว่าง
    หรือไปรู้สึกนิ่งแจ่มๆ อยู่ในจิตในใจก็ตาม


    นั่นแสดงว่า จิตใต้สำนึกของเรากำลังเริ่มตื่นขึ้นแล้ว
    ทีนี้เมื่อเราฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน จนคล่องชำนิชำนาญ
    เราสามารถทำจิตให้สงบได้ ตามที่เราต้องการ
    เมื่อจิตสงบลงนิดหน่อย เราจะน้อม
    ไปใช้ประโยชน์ในทางไหนก็ได้
    อยากจะเป็นหมอรักษาคนไข้
    ก็สำรวมจิต อธิษฐานแผ่เมตตาให้คนไข้
    แม้เพื่อนฝูงของเราเจ็บไข้ อยู่ในที่ห่างไกล
    เรานั่งสมาธิสำรวมจิต แล้วอธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้เพื่อนของเรา
    ที่กำลังป่วยไข้ ก็สามารถที่จะหายได้


    โ ด ย : พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา




    ขอบคุณบทความจากธรรมะไทย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แม่เฒ่าฮึด สู้คนขี้เมา บุกขืนใจ

    http://hilight.kapook.com/view/32929


    [​IMG]


    แม่เฒ่าใจเด็ดแกล้งตาย หลังฮึดสู้ขี้เมารุ่นใหญ่ที่บุกหมายขืนใจถึงในบ้านย่านคลองสิบสอง ปทุมธานี โดยแม่เฒ่าวัย 79 ปี แฉกำลังนอนดูทีวีในบ้าน ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาคิดว่าเป็นหลาน แต่กลับเป็นหนุ่มใหญ่วัย 52 ที่อยู่บ้านติดกันเมาแอ๋เข้ามาพยายามจะข่มขืน แต่ยายไม่ยอมเลยเจอคร่อมตบตีจนเละ ก่อนจะถูกบีบคอจนหายใจเกือบไม่ออก เลยแกล้งตายก่อนหลานสาวจะมาช่วย ขณะที่ขี้เมาแจงเสียงอ่อยไปงานศพเพื่อนบ้าน เลยกินมั่วทั้งเหล้าขาว-เบียร์เลยเมาขาดสติ

    เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 มกราคม พ.ต.ท.กิตติพงศ์ อุบลบาน สวญ.สภ.คลองสิบสอง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยร.ต.ต.มิตรชัย ใจกล้า รอง สว.สส. นำหมายศาลเข้าจับกุมนายสนั่น อ่องจันทร์ อายุ 52 ปี ขณะนอนเมาสุราอยู่ภายในบ้านเลขที่ 1/10 หมู่ 7 ต.ลำไทร อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี

    พ.ต.ท.กิตติพงศ์เปิดเผยว่า ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเวลาประมาณ 14.30 น. วันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา รับแจ้งว่ามียายวัยชราถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงรุดไปตรวจสอบพบนางร้อย (นามสมมติ) อายุ 79 ปี นอนซมอยู่บนเตียงคนไข้ในสภาพใบหน้าเขียวช้ำบวมปูด มีเลือดไหลซึมทางจมูก ลำคอมีรอยเขียวช้ำ

    จากการสอบสวนนางร้อยให้การว่า อาศัยอยู่กับลูกๆ และหลานๆ มีบ้านติดกับบ้านนายสนั่น ก่อนเกิดเหตุนอนดูทีวีอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ได้ยินเสียงมีคนเดินเข้ามาในบ้าน ตอนแรกคิดว่าเป็นลูกหลานเดินเข้ามา แต่เห็นนายสนั่นซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาบุกพังประตูเข้ามาในบ้านพร้อมกับถอดกางเกง พยายามข่มขืนตน แต่ตนไม่ยอมจึงถูกชกใบหน้าหลายครั้ง แต่ก็ยังฮึดสู้ ก่อนถูกนายสนั่นขึ้นคร่อมร่าง แล้วใช้มือบีบคอจนแทบหายใจไม่ออก ตนจึงแกล้งตาย คนร้ายคิดว่าตายแล้วจึงรีบหนีไปทันที ต่อมานางสาวภัทรี โพธิ์สด หลานสาวมาพบจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลก่อนแจ้งตำรวจทราบ

    ด้านนายสนั่นให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุไปร่วมงานศพเพื่อนบ้าน ดื่มเหล้าขาวและเบียร์จนเมา จากนั้นกลับบ้านระหว่างเดินซัดโซเซมาถึงหน้าบ้านนางร้อย ได้ยินเสียงด่าออกมาด้วยความโมโหคิดว่านางร้อยด่าว่าตนเอง จึงบุกเข้าบ้านไปและตบตี จากนั้นไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก่อนกลับมานอนอยู่ในบ้าน กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาควบคุมตัวดังกล่าว

    ภายหลังสอบสวนเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ โดยจะได้สอบสวนผู้เสียหายและพยานแวดล้อมอีกครั้งว่า เข้าข่ายพยายามข่มขืนใจหรือไม่ จากนั้นนำตัวส่ง พ.ต.ต. กษิดิศ เทียกสีบุญ พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -ข่าวสด
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

    ------------------------------------------------------

    กินเหล้า แล้วเป็นยังไงครับ

    แต่

    ให้เหล้า = แช่ง

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำเพื่อลูก...?
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad03170152&sectionid=0115&day=2009-01-17
    คอลัมน์ ฎีกาชีวิต

    โดย รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>สถิติการหย่าร้างสูงขึ้นตามสภาพสังคม ขณะที่หนุ่มสาวตัดสินใจแต่งงานเริ่มลดลงอย่างน่าใจหาย ขัดแย้งกับสถิติการเกิดสูงขึ้นมากกว่าการตาย เกิดอะไรขึ้นกับสังคมยุคนี้นักวิชาการต่างหาคำตอบมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมและพยายามหาทางออกให้กับปัญหา อาจเป็นแนวทางให้สังคมฉุกคิดได้บ้าง แต่วันพรุ่งนี้สามีภริยาคู่ใหม่เพิ่มสถิติการหย่าร้างขึ้นอีกหนึ่งคู่

    สภาพสังคมปัจจุบันเริ่มปริวิตกบ่งบอกให้รู้ว่าหญิงใดจะสละโสดขอให้คิดใครครวญให้ดีคุณอาจเป็นหนึ่งไม่ต่างไปจากสามีภริยาคู่อื่นต้องมีอันรักร้าวและลงเอยไม่ดีนัก บทเรียนแห่งชีวิตขมมีทั้งบอกกล่าวอย่างเปิดเผยและถูกปิดบัง แต่ไม่อาจทำให้ความรักของคนหนุ่มสาวหยุดลง ให้ดูเหมือนว่าเป็นการท้าทายกล้าเสี่ยงกล้าลองเพราะเชื่อและศรัทธาความรักเป็นใหญ่

    บางคนอาจมองว่าชีวิตแต่งงานเปรียบเสมือนหนึ่งซื้อลอตเตอรี่ ถูกเจ้ามือกินเงินเสียมากกว่าจะได้เงินกลับคืนมา อาจเป็นการเปรียบเปรยนำเรื่องของชีวิตคู่มาเทียบเคียงกับการซื้อหวยเบอร์น่าจะหยาบไป จะพบว่าหญิงหลายคนชีวิตคู่ต้องอับปางลงอย่างไม่เป็นท่า มันคือความจริงค่อนข้างละเอียดอ่อนเกินกว่าจะพูดด้วยเวลาอันสั้นให้ดูเข้าใจง่าย อะไรทำนองนั้น

    แน่นอน ชีวิตรักเป็นเรื่องของหัวใจหญิงและชาย ใครเล่าจะมีอารมณ์มีความรู้สึกรู้จักความรักดีกว่าหนุ่มสาวคู่นั้น การตัดสินใจสร้างครอบครัวจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนทางความคิดและใช้เวลาตริตรองพอสมควร ไม่มีผู้ใดจะรู้ล่วงหน้าได้ว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาใด ปัญหาที่เกิดนั้นแหละคือสาเหตุแห่งการหย่าร้าง

    หญิงก่อนตัดสินใจรับปากชายขอแต่งงานยากยิ่งสิ่งใด ครั้งเดียวแห่งชีวิตจากความเป็นโสดต้องมีพันธะผูกพันให้ต้องคิดหนัก จะอยู่กันอย่างไรไม่ให้เกิดรักร้าวและลงเอยด้วยสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาหาสูตรได้ที่ไหน นอกจากทั้งสองคนต้องสุจริตและยอมรับในความต่าง หาไม่แล้วช้าหรือเร็วชีวิตคู่ต้องมีอันเป็นไป

    ต่อให้หญิงดีแสนดี หากชายไม่ซื่อปิดบังความจริงไม่อาจรักษาชีวิตครอบครัวไว้ได้ ดั่งชายหนึ่งด้วยรักผูกพันกับหญิงหนึ่งสมัยเป็นนักศึกษามายาวนาน ต่างมั่นใจเชื่อใจเชื่อในความรักตกลงสร้างครอบครัวสร้างรังรักเพื่ออนาคต หลังจากกลับจากต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล เขาเจอรักใหม่มีความพร้อมมั่นคงทั้งฐานะส่วนตัวและหน้าที่การงาน

    หญิงใช้เวลาดูใจไม่นานนักเธอตัดสินใจรับหมั้นและอีกเดือนแต่งงานด้วยกัน เธอเสียใจมารู้ความจริงภายหลังว่าสามีมีภริยาคนเดิมอยู่แล้วมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง เธอและสามีอยู่กรุงเทพฯส่วนสองคนแม่ลูกอยู่ต่างจังหวัด ความจริงถูกเปิดเผยจากเพื่อนของเธอว่าสามีได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับภริยาคนเดิมภายหลังได้จดทะเบียนสมรสกับเธอ

    เธอผิดพลาดเพราะหลงเชื่อเขา เธออาจทนได้ แต่ไม่อาจทนอยู่กับผู้ชายไม่ซื่อและปกปิดความจริงให้เธอเสียหายเสียใจที่สุดในชีวิต หากปล่อยให้การใช้ชีวิตคู่อยู่ไปอาจมีปัญหายุ่งยากเกิดขึ้นมากกว่านี้ จึงตัดสินใจฟ้องหย่าเรียกค่าทดแทนความเสียหายให้สาสมกับความผิด

    ผู้เป็นสามีขอร้องว่าอย่าได้วิตกกังวลไปเลยตัวเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับภริยาเดิมอีกแล้ว ทำไปเพราะสงสารอยากเห็นลูกมีพ่อเป็นตัวตน พูดอย่างไรสาบานกี่วัดเธอไม่เชื่อถือหาฟังข้อแก้ตัวไม่

    ศาลเห็นว่าการจดทะเบียนสมรสซ้อนเสี่ยงต่อความผิดฐานแจ้งความเท็จ หากเป็นจริงตามที่อ้างขอความเห็นใจเหตุใดไม่ขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ ศาลไม่รับฟัง จึงพิพากษาให้หย่าตามที่ภริยาร้องขอและให้ไปจดทะเบียนหย่ากันเสีย
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 เคล็ดลับเลือกเรียน (ต่อ) ป.โท สร้าง "โอกาส" ใน "วิกฤต"
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02edu01150152&day=2009-01-15&sectionid=0222


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในภาวะเศรษฐกิจขาลงที่มีคนจำนวนมากกำลังถูกปลดออกจากงาน ขณะที่เด็กที่เรียนจบใหม่ในระดับปริญญาตรีก็มีโอกาสหางานทำได้น้อยเต็มที ทางออกหนึ่งในสถานการณ์ เช่นนี้ คือ การเลือกเรียนต่อในระดับปริญญาโท แต่ท่ามกลางหลักสูตรที่มี นับพันหลักสูตร ในนับร้อยสถาบัน การศึกษา ผู้เรียนควรจะเลือกเรียนต่อโดยพิจารณาถึงปัจจัยอะไรบ้าง เพื่อที่จะสามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับตนเอง รอวันเศรษฐกิจฟื้น และจะดีกว่านั้น หากการเรียนต่อสามารถยกระดับให้ผู้เรียนสามารถสร้างโอกาสในการทำงานได้

    เหล่านี้คือหลักการ 6 ประการ ในการตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญในวงการการศึกษามองว่า จะสามารถทำให้วิกฤตกลายเป็นโอกาส

    1.สำรวจตัวเอง-เรียนในสิ่งที่รัก

    จากการสำรวจของ "ประชาชาติธุรกิจ" ในฝั่งของผู้จัดหลักสูตรระดับปริญญาโท พบว่า ปัญหาของนักศึกษาส่วนใหญ่คือยังไม่ค้นพบตัวเอง และมักเลือกเรียนตามกระแส ตามแฟชั่น แต่บทเรียนที่ผ่านมานั้นชัดเจนว่า หากผู้เรียนสามารถสำรวจตัวเองว่าชอบในสาขาใด จะสามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ได้ดีที่สุด และมักประสบความสำเร็จ อย่างคำแนะนำที่ "รศ.ดร.อรรณพ ตันละมัย" คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกไว้ว่า "การเลือกเรียนต้องมาจากความชอบและความสามารถของตน เมื่อเรียนได้ดีก็เชื่อว่าจะหางานทำได้ไม่ยาก อย่าเลือกตามเทรนด์ ถ้ามีคนบอกว่าไอทีมาแรงแล้วไปเรียนก็อาจจะเรียนไม่จบก็ได้ ถึงจบไปได้ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ และไม่ถูกที่จะไปเรียนตามเทรนด์หรือตามเพื่อน"

    และจะยิ่งดีกว่านั้น หากสิ่งที่ชอบนั้น เข้ากับแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต นั่นเท่ากับว่าจะเป็นการสร้างโอกาสให้กับ ผู้เรียนเพิ่มขึ้น

    2.มองหาสาขาแห่งอนาคต

    ในยุคหนึ่ง สาขาทางการเงินนั้นได้รับความนิยมอย่างสูง ในอีกยุคหนึ่ง สาขานิเทศศาสตร์ก็ได้รับความนิยมตามมา แต่เมื่อถึงช่วงเวลาขาลงของสาขาเหล่านั้น อะไรคือสาขาที่จะก้าวขึ้นมาทดแทน และอะไรคือสาขาแห่งอนาคตที่ผู้ที่จะตัดสินใจเรียนควรนำมาเป็นหนึ่งปัจจัยในการตัดสินใจ

    ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีอาจจะมีคนมาเรียนต่อมากขึ้น และควรเลือกเรียนในหลักสูตรที่เป็นแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต หรือหลักสูตรที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยและหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม เช่น ธุรกิจอาหาร การบัญชี ธุรกิจบันเทิง ฯลฯ หรือสาขาที่บุคลากรขาดแคลนอย่างการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งไทยยังขาดบุคลากรด้านนี้

    นั่นรวมไปถึงหลักสูตรพื้นฐานที่ยังคงมีอนาคต อย่างสาขาคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาธุรกิจสุขภาพ รวมไปถึงหลักสูตรยอดนิยมตลอดกาลอย่างบริหารธุรกิจ (MBA)

    3.พิจารณาคุณภาพของสถาบัน

    จากการเก็บข้อมูลครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าต้องมองหาหลักสูตรที่มีคุณภาพเท่านั้น โดยเฉพาะทิศทางของตลาดที่ต้องการคนที่เรียนจบแล้วสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ได้จริง ถ้ามองทิศทางในการจัดการเรียนการสอนจะเห็นว่ามีแนวโน้มที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ อย่างที่ "บุริม โอทกานนท์" ประธานหลักสูตรการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า "ถ้ามองทิศทางของการเรียนโดยจับจากหลักสูตรที่วิทยาลัยมี จะเห็นได้ว่าหลักสูตรที่โตคือ การตลาด การจัดการธุรกิจ และสาขาผู้ประกอบการ เพราะว่าตลาดโตและมีตลาดรองรับ แม้ว่าจะมีการแข่งขันสูง แต่การที่จะอยู่ได้นั้นหลักสูตรต้องมีคุณภาพและตอบโจทย์ของตลาดได้จริง

    นอกจากนี้ยังพยายามที่จะสร้างทักษะและใช้โจทย์ทางการตลาดจริงเข้ามาใช้ในห้องเรียนให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงในอนาคตที่อาจจะเพิ่มรายวิชาที่จำเป็นในโลกธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม เช่นเดียวกับที่เคยเพิ่มวิชาเทรดมาร์เก็ตติ้ง ก่อนหน้านี้"

    4.มองหาหลักสูตรที่สร้าง multi skill

    เรียนแล้วจะมีงานทำหรือไม่ !! มักเป็นโจทย์ที่คนอาจจะตั้งคำถาม แต่สิ่งที่ประธานหลักสูตรการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวชี้ให้เห็นว่า จะมีงานทำหรือไม่มีงานทำ ไม่ได้อยู่ที่การจะเลือกเรียนอะไรเสมอไป แต่ต้องมองถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาด ที่วันนี้ต้องการคนที่มีความสามารถในหลายๆ ด้าน ที่เรียกว่า multi skill มากขึ้น ฉะนั้นการจะตัดสินใจเลือกเรียนต่อควรจะเดินไปตามทิศทางนั้น และการจะพัฒนาทักษะเช่นนี้ เช่น การเลือกเรียนในหลักสูตรต่อเนื่องที่มีนวัตกรรมทางหลักสูตร เช่น เรียนจบแพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เภสัชศาสตร์มา อาจจะต้องเลือกเรียนต่อในด้านบริหารธุรกิจ เพราะถ้าดูความต้องการของตลาดแรงงานจะเห็นว่า ในหลายสาขาอาชีพต้องการความรู้เสริม เช่น เภสัชกรก็ไม่ได้ทำงานในห้องปรุงยาอย่างเดียว แต่เข้าไปอยู่ในบริษัทเอกชนที่ทำเรื่องการขายยา การตลาดที่เกี่ยวกับยา ฯลฯ ดังนั้นการจะตัดสินใจว่าจะเลือกเรียนอะไร คงต้องพิจารณาทิศทางของตลาดแรงงาน รวมไปถึงนโยบายของรัฐประกอบการตัดสินใจด้วย

    5.ระวังการเรียนในหลักสูตรที่แคบเกินไป

    การที่สถาบันการศึกษาหลายแห่งต้องปิดหลักสูตรสาขาบริหารทรัพยากรมนุษย์ ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนหนึ่งของการเปิดสาขาที่แคบเกินไป และไม่ได้มองความต้องการของตลาดแรงงาน เพราะสาเหตุที่หลักสูตรเหล่านั้นต้องปิดตัวลงเป็นเพราะเนื่องจากเป็นสาขาที่แคบและมีตำแหน่งงานจำกัด ทำให้เมื่อเรียนจบแล้วไม่มีโอกาสได้งานหรือเติบโตในสายงาน ดังนั้นการเปิดหลักสูตรเฉพาะทางที่แคบเกินไปจึงเป็นปัญหาของทั้งสถาบันการศึกษาและผู้เรียน จึงควรระมัดระวังในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า โอกาสการได้งานไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวหลักสูตรที่แคบไปเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของสถาบันด้วย

    6.การมาถึงของหลักสูตรออนไลน์

    จำนวนผู้เรียนออนไลน์หลักสูตรในลำดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ได้งานทำเกือบ 100% นั้นเป็นเครื่องชี้วัดว่า การที่หลักสูตรออนไลน์วันนี้กำลังได้รับการยอมรับจากตลาดแรงงาน และนี่คือแนวโน้มในอนาคตที่ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตัวเองได้ ในขณะที่ยังเรียนและทำงานอยู่ แม้ว่า จุดอ่อนประการหนึ่งที่ผู้จัดทำหลักสูตรเคยกังวลคือเรื่อง การขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในชั้นเรียน เพราะเป็นระบบการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต เรื่องนี้ ดร.เอกชัยยืนยันว่า "เดิมเราเองก็มีความกังวลเรื่องนี้ แต่จากที่ได้เปิดหลักสูตรมาระยะหนึ่งเราพบว่า นักศึกษาที่เรียนมีการสื่อสารกันตลอดเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต และก็สามารถสร้างเครือข่ายและความแน่นแฟ้นระหว่างคนที่ทำงานในหลายธุรกิจได้ ไม่แตกต่างจากการเรียนในระบบปกติ"

    เพียงแต่หากพิจารณาถึงการจัดการเรียนการสอนระบบนี้ในภาพรวม หลายคนยังมีความกังวลเรื่องคุณภาพของการเรียนการสอนที่ควบคุมได้ยากกว่าการเรียนในระบบปกติ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนี่เป็น นวัตกรรมการศึกษาที่จะมีเพิ่มมากขึ้นและเปิดกว้างขึ้นในทศวรรษหน้า

    เหล่านี้คือปัจจัยในการพิจารณาและตัดสินใจเลือกเรียน ส่วนคำตอบสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเองเป็นสำคัญ !!
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเริ่มใช้บาเซิล 2 ของไทยในปี 2552 ไม่เป็นอุปสรรคต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเลย จริงหรือ ?
    คอลัมน์ ระดมสมอง
    โดย ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, FRM คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ boontham.r@ku.ac.th

    http://www.matichon.co.th/prachachat...sectionid=0212


    ในช่วงสัปดาห์ก่อนวันหยุดปีใหม่ ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึง 3 ท่าน กล่าวถึงเรื่องการนำบาเซิล 2 มาใช้ในปี 2552 ว่าจะไม่กระทบความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในอนาคต โดยสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่สูงถึง 15.7% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5% อยู่มาก ถึงแม้จะมีการปรับไปใช้บาเซิล 2 แล้ว สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง น่าจะปรับลดลงเพียง 1.8% ทำให้สัดส่วนดังกล่าวยังอยู่ที่ 14% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำมากพอสมควร

    นอกจากนี้ท่านยังกล่าวว่า การใช้เกณฑ์บาเซิล 2 (ตัวบาเซิล 2 เองยังแบ่งเป็น 2 วิธีย่อย คือ วิธีมาตรฐาน และวิธี internal rating based หรือ IRB ซึ่งมึความซับซ้อนกว่าวิธีแรก) ยังเป็นประโยชน์ต่อระบบการเงิน และการขยายตัวของสินเชื่อ ในระยะต่อไปอย่างน้อยสองประการ อย่างแรกคือ การที่น้ำหนักความเสี่ยงของการใช้เกณฑ์บาเซิล 2 ของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะมีน้ำหนักความเสี่ยง "น้อยกว่า" เกณฑ์บาเซิล 1 ที่ใช้อยู่ ทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถขยายสินเชื่อสองประเภทนี้ได้มากขึ้น

    ประโยชน์อย่างที่สองคือ การวัดความเสี่ยงด้านสินเชื่อ สามารถทำได้หลายวิธี เป็นผลให้ธนาคารพาณิชย์ที่มีระบบบริหารความเสี่ยง สามารถเลือกวิธีวัดความเสี่ยงที่ละเอียดขึ้น ซึ่งช่วยในการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร และยังทำให้ธนาคารประหยัดเงินกองทุนมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อระบบสถาบันการเงิน

    ท่านผู้บริหารของ ธปท.สรุปทิ้งท้ายไว้ว่าความกังวลของธนาคารพาณิชย์ต่อความเสี่ยงของลูกค้าที่จะมีมากขึ้นตามภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่างหาก กลับจะเป็นสาเหตุหลักที่เป็นปัญหาที่สำคัญสุดในปี 2552 ที่จะทำให้สินเชื่อไม่สามารถปล่อยได้มากนัก ทั้งนี้เนื่องมาจากในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ความเสี่ยงด้านสินเชื่อจะมากขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ

    หลายคนคงสบายใจขึ้น เมื่อได้ยินคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว โดยพวกเราน่าจะมีความมั่นใจได้ว่า สัดส่วนเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์หลังจากการนำบาเซิล 2 มาใช้จะไม่เป็นปัญหาในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในปีหน้า และปีถัดๆ ไป รวมถึงคงไม่มีใครแย้งว่าหากจะเลื่อนใช้ บาเซิล 2 ออกไป อาจทำให้ต่างชาติมองว่าประเทศไทยมีปัญหา ถึงได้ปรับเปลี่ยนเกณฑ์เลื่อนการใช้ออกไป อย่างไรก็ตาม ผมขอตั้งข้อสังเกตกับตรรกะของเหตุผลดังกล่าวของ ธปท.ด้วยความเคารพ อย่างน้อยสามประการดังนี้

    ข้อสังเกตแรก น้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามบาเซิล 2 วิธีมาตรฐาน มักจะสูงกว่าวิธีบาเซิล 1 หากอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือ NPL อยู่ในช่วงขาขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากน้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามวิธีบาเซิล 1 จะมีน้ำหนักอยู่ระหว่างร้อยละ 50 ถึง 100 ตามระยะเวลาการค้างชำระ ในขณะที่น้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามบาเซิล 2 วิธีมาตรฐาน จะมีน้ำหนักอยู่ระหว่างร้อยละ 50 ถึง 150 (ยกเว้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งน้ำหนักความเสี่ยงเท่ากัน) ตามระยะเวลาการค้างชำระและสัดส่วนของเงินสำรองที่กันไว้ต่อยอดหนี้คงค้าง ซึ่งในขณะที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำอย่างรุนแรง สินทรัพย์เสี่ยงที่คำนวณด้วยบาเซิล 2 วิธีมาตรฐาน มักจะมีมูลค่าสูงกว่าของวิธีบาเซิล 1

    นอกจากนี้การที่น้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามวิธีบาเซิล 2 ที่มีช่วงกว้างขึ้นและมีระดับที่สูงขึ้น ย่อมทำให้ความกังวลของธนาคารพาณิชย์ต่อความเสี่ยงของลูกค้า ที่จะมีมากขึ้นตามภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ มีระดับความรุนแรงสูงขึ้นไปอีก เนื่องจากผลเสียหรือบทลงโทษจากความเสี่ยงของลูกค้าหนักกว่าวิธีบาเซิล 1 ด้วยเหตุนี้หากในปี 2552 หรือปีถัดไป อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลกระทบจากน้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามวิธีบาเซิล 2 ก็มีสิทธิจะกลบผลของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยงน้อยกว่า ตามที่ ธปท.อ้างถึงข้างต้นอย่างไม่ยากเย็นนัก

    ข้อสังเกตที่สอง ปริมาณเงินกองทุนที่ธนาคารต้องดำรงตามบาเซิล 2 วิธี IRB จะสูงขึ้นเร็วกว่าบาเซิล 1 หากสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นในปริมาณเท่ากัน แม้ว่าจากตัวเลขของ ธปท. ที่ว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยใช้วิธีมาตรฐานอยู่ถึงกว่าร้อยละ 90 แต่ธนาคารพาณิชย์ของต่างประเทศในไทย ผมคิดว่ากว่าครึ่งที่ใช้วิธี IRB ดังนั้นผลกระทบต่อระบบการเงินของไทยของเจ้าวิธี IRB น่าจะมีอยู่ในระดับที่เราจะละเลยไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้การที่ ธปท. ตัดสินใจให้ใช้บาเซิล 2 ในปี 2552 ย่อมมีผลทำให้ธนาคารของไทยที่ส่วนใหญ่ใช้วิธีมาตรฐานในขณะนี้ต้องใช้บาเซิล 2 วิธี IRB ในอนาคตด้วยกรอบระยะเวลาที่เร็วขึ้นโดยปริยาย

    ดูเหมือนเป็นข้อดี เนื่องจากเงินกองทุนจากวิธี IRB มีความตอบสนองต่อความเสี่ยงที่ดีกว่าของวิธีมาตรฐาน แต่ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในขณะนี้ ปริมาณเงินกองทุนที่ธนาคารต่างๆต้องดำรงตามบาเซิล 2 วิธี IRB มักจะสูงขึ้นเร็วกว่าบาเซิล 1 หรือ บาเซิล 2 วิธีมาตรฐาน หากระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นในปริมาณเท่ากันเนื่องจากวิธี IRB ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่ามวลวิกฤตหรือ critical mass ในการคำนวณเงินกองทุนด้วย ดังตัวอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

    นั่นคือผลโพลของการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเห็นได้ว่าในช่วงต้นๆ ของโพลนั้น หม่อมสุขุมพันธุ์คะแนนเสียงก็ยังคู่คี่กับคุณปลื้มและคุณแซม แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยิ่งผลโพลชี้ว่าหม่อมสุขุมพันธุ์เริ่มนำทั้งคู่มากขึ้นเท่าไหร่ การทำโพลครั้งถัดไปผลก็จะออกมาว่าหม่อมสุขุมพันธุ์ทิ้งคู่แข่งมากขึ้นออกไปทุกที ส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ดังกล่าวก็เนื่องมาจากผลของเจ้ามวลวิกฤตที่จะกล่าวถึง (ขอออกตัวก่อนว่า ผมมิได้เชียร์หม่อมสุขุมพันธุ์เป็นการส่วนตัวครับ)

    โดยเจ้ามวลวิกฤตนี้ตามหนังสือของฟิลิป บอล ที่ชื่อ Critical Mass: how one thing leads another ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า เมื่อในระบบเกิดภาวะมวลวิกฤต (critical mass) และเกิดจำนวนวิกฤต (critical number) ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเป็นจำนวนเท่าไรของจำนวนสมาชิกทั้งหมดในระบบนั้น ระบบดังกล่าวก็จะเริ่มยอมรับในพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และก็เกิดการตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในกลุ่มที่เหลือทั้งหมด

    การที่วิธี IRB คำนึงถึงผลของเจ้ามวลวิกฤตดังกล่าว ทำให้บาเซิล 2 วิธี IRB เพิ่มระดับเงินกองทุนไว้รองรับ NPLที่เพิ่มขึ้นมากกว่าบาเซิล 1 และบาเซิล 2 วิธีมาตรฐาน เนื่องจากยิ่งระดับของ NPL เพิ่มขึ้นโอกาสที่มันจะเข้าใกล้สู่จุดที่เป็น critical number ก็สูงมากขึ้นไปด้วย ดังนั้น วิธี IRB จึงต้องชดเชยความเสี่ยงดังกล่าวด้วยเงินกองทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างแรง ผลกระทบต่อวิธี IRB ก็จะแรงมากตามไปด้วย

    มาถึงตรงจุดนี้ อาจจะมีบางท่านโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการบริหารความเสี่ยงแย้งว่า ทาง ธปท. หรือแม้กระทั่งองค์กรที่ดูแลความเสี่ยงสถาบันการเงินของโลกหรือบีไอเอส ได้ทดลองคำนวณวัดระดับเงินกองทุนจากทั้งวิธีบาเซิล 1และบาเซิล 2 ทั้งแบบวิธีมาตรฐาน และวิธี IRB หรือที่วงการบริหารความเสี่ยงเรียกขั้นตอนดังกล่าวว่า quantitative impact study หรือ QIS ของสถาบันการเงินของไทยและประเทศพัฒนาแล้วยกเว้นสหรัฐอเมริกาตามลำดับ เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงทางบีไอเอสได้นำผลการคำนวณบางส่วนมาใช้ในการปรับค่าคงที่ต่างๆ ในขั้นตอนการคำนวณความเสี่ยงตามวิธีบาเซิล 2

    แต่ต้องไม่ลืมว่าเจ้า QIS ที่จัดทำโดย ธปท. ทำเอาไว้โดยใช้ข้อมูล ณ สิ้นปี 2550 ซึ่งสภาพเศรษฐกิจของไทยในช่วงเวลาดังกล่าวแตกต่างจากปี 2552 ที่จะใช้จริงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจะใช้ตัวเลขดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันว่าตัวเลขเงินกองทุนตามวิธีบาเซิล 2 ลดลงจากการคำนวณโดยวิธีบาเซิล 1 ไม่มากนักอาจจะพูดได้ไม่เต็มปาก ซึ่งขณะนี้แม้แต่ทางบีไอเอสเองเรื่องดังกล่าวก็ยังเป็นประเด็นที่กังวลอยู่บ้าง เนื่องจาก QIS ของเขาใช้ข้อมูลในขณะที่สภาพเศรษฐกิจดีกว่าในขณะนี้เป็นอันมาก

    ข้อสังเกตที่สาม ข้อเสียเปรียบที่เป็นผู้ใช้บาเซิล 2 เป็นประเทศต้นๆ หรือ early adopter disadvantage ซึ่งผมคิดว่ามีอยู่อย่างน้อย 2 ประการ อย่างแรกคือการที่บริษัทจัดอันดับความเสี่ยง ได้รับการวิจารณ์อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาว่าไม่โปร่งใส เช่นมีผลประโยชน์กับกับบริษัทที่ตนเองทำการออกอันดับความเสี่ยงให้ ซึ่งขณะนี้หน่วยงาน กลต.ของสหรัฐและยุโรปกำลังยกเครื่องกฎหมายที่ใช้กับบริษัทจัดอันดับความเสี่ยงดังกล่าวเป็นการใหญ่ ซึ่งคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีในการดำเนินงาน โดยข้อเสียต่อการใช้บาเซิล 2 คือการนำผลของการจัดอันดับความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของ input ในการคำนวณน้ำหนักความเสี่ยงและเงินกองทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีนี้ ในที่สุด จะเกิดปัญหาการได้ผลลัพธ์ที่แย่จากข้อมูลเข้าที่คุณภาพต่ำ หรือ garbage in-garbage out

    ประการที่สองคือการใช้บาเซิล 2 วิธี IRB นั้นต้องยอมรับน่ะครับว่าเป็นของใหม่โดยเฉพาะกับเมืองไทย ดังนั้น หากวิเคราะห์ไม่ครบทุกมุมมองอาจมีผลเสีย (Frontier of knowledge backlash) อย่างมากมายในภายหลัง ตัวอย่างที่เห็นกันอยู่คือการใช้ประโยชน์จากอนุพันธ์ทางด้านเครดิต หรือ credit derivatives ที่มีผลข้างเคียงอย่างรุนแรงอยู่ในขณะนี้ แม้จะมีข้อแย้งว่าบุคลากรของ ธปท.นั้นมีศักยภาพสูงพอที่น่าจะนำมาใช้ได้ผล แต่อย่าลืมว่าแม้แต่ ดร.อลัน กรีนสแปน หรือกระทั่ง ดร.เบน เบอร์นันคี ก็ยังตามหลังกระแสของความใหม่เกินไปของนวัตกรรมทางการเงินลูกนี้จนทำให้ต้องแก้ปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้ ผมคิดว่าทางป้องกันที่ดีสุดหากจำเป็นต้องใช้วิธี IRB ในระยะเวลาอันใกล้นี้คือต้องเข้มหรือ play conservative โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ pillar 2 ที่เป็นตัวหลักของวิธี IRB ซึ่งผมขอติดไว้และจะกล่าวถึงในโอกาสถัดไป

    โดยสรุป คำตอบของคำถามข้างต้นที่ว่าการเริ่มใช้บาเซิล 2 ของไทยในปี 2552 จะเป็นอุปสรรคต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงหรือไม่นั้น จะขอตามกระแสสักครั้งที่จะหลีกเลี่ยงการคอนเฟิร์มในช่วงนี้เป็นการชั่วคราว โดยผมขอตอบแบบที่นักเศรษฐศาสตร์ชอบที่จะตอบกันสักครั้งโดยแบ่งเป็น 2 กรณีคือ หากเศรษฐกิจไทยเลวร้ายกว่าที่เราคาดกันไว้ในวันนี้มากและกินเวลายืดเยื้อมากกว่า 2-3 ปี คำตอบของผมก็คือว่า บาเซิล 2 จะเป็นอุปสรรคต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยในช่วงระยะเวลารอยต่อดังกล่าวไม่มากก็น้อย

    ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจไทยไม่เลวร้ายกว่าที่ ธปท.คาดไว้ในวันนี้ คำตอบคือการเริ่มใช้ บาเซิล 2 ของไทยในปี 2552 จะไม่เป็นอุปสรรคต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่า บาเซิล 2 ก็เหมือนกับสิ่งที่มีประโยชน์ทุกอย่างคือเหมือนดาบสองคม ซึ่งจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ลุกลามจากสหรัฐและยุโรป มาถึงเอเชีย ญี่ปุ่น และมีแนวโน้มจะรวมถึงสิงคโปร์อย่างรวดเร็วในขณะนี้
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้พระ 9 วัด อยุธยา เสริมมงคลให้ชีวิต

    http://hilight.kapook.com/view/32918


    [​IMG]


    ชาวพุทธเราไม่ว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง การเข้า วัดไหว้ พระฟังเทศน์ ฟังธรรม ถือเป็นเรื่องดี และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นตามคติความเชื่อว่ากันว่า ควรเข้าวัดไหว้พระ 9 วัด เพราะเปรียบเสมือนการได้ทำบุญครั้งใหญ่ เสริมมงคลให้ชีวิต ซึ่งในแต่ละจังหวัดก็จะมีวัดดังแตกต่างกันไป แต่ที่มีชื่อเสียงและคนนิยมไปไหว้ คือ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองเก่าใกล้กรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรของเรานั่นเองเหตุที่พุทธศาสนิกชนนิยมไปไหว้พระที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพราะที่นี่มีวัดเก่าแก่ชื่อดังมากมาย

    ว่าแล้ว... วันนี้จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักวัดชื่อดังที่ผู้คนนิยมไปไหว้พระ 9 วัด ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนออกเดินทางกันค่ะ


    [​IMG]


    [​IMG] วัดตูม

    เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ริมคลองวัดตูม ริมถนนอยุทธยา-อ่างทอง ห่างจากตัวเมืองอยุธยาประมาณ 5-6 กิโลเมตร ทราบกันว่าเป็นวัดโบราณ สร้างมาก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเคยเป็นวัดร้างมาครั้งหนึ่งเมื่อคราวเสียกรุงใน พ.ศ.2310 จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 1 จึงได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นอีก ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี และรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาบำเพ็ญกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดนี้หลายครั้ง วัดนี้จึงเป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญวัดหนึ่งมาแต่ในรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา

    สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่ พระพุทธรูปซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ พระเศียรตอนเหนือพระนลาฎ (หน้าผาก) เปิดออกได้และพระเกศมาลาถอดได้ ภายในพระเศียรเป็นบ่อกว้างลึกลงไปเกือบถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลาเหมือนหยาดเหงื่อ เป็นน้ำใสเย็นบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน สามารถรับประทานได้โดยปราศจากกอันตรายใดๆ และไม่แห้งขาดหาย พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ทรงเครื่อง ปางมารวิชัย นามเดิมของท่านคือ "หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์" เรียกกันเป็นสามัญ คือ "หลวงพ่อสุข" สร้างสมัยใดไม่ปรากฎตำนาน เป็นพระทรงเครื่องแบบมหาจักรพรรดิ์ราชาอธิวาสสวมมงกุฎ มีกุณฑลทับทรวง สังวาลพาหุรัดประดับด้วยเนาวรัตน์ ประทับนั่งขัดสมาธิ พระพุทธรูปองค์นี้จะเปิดเศียรพระทุกวันที่ 1 ของเดือน


    [​IMG]


    [​IMG] วัดท่าการ้อง

    เป็นวัดโบราณมีมาแต่สมัยอยุธยา สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2092 หรือประมาณ 460 ปีมาแล้ว สันนิษฐาว่าคงเป็นวัดที่ราษฎรสร้าง เพราะไม่ปรากฏรายชื่อพระอารามหลวงสมัยอยุธยา ตามบันทึกพระราชพงศาวดาร วัดท่าการ้องมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยามากมาย ทั้งยังเป็นที่ฝึกฝนศิลปะแม่ไม้มวยไทยของนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งคือ นายขนมต้ม นั่นเอง

    สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้ คือ หลวงพ่อยิ้ม พระพุทธรูปเก่าแก่สมัยอยุธยาใกล้ๆ กับโบสถ์มีศาลเจ้าแม่ตะเคียน ซึ่งคนที่มากราบไหว้เจ้าแม่ตะเคียนส่วนใหญ่มักจะมาขอเลขเด็ดกันทั้งนั้น ถัดจากศาลเจ้าแม่ตะเคียนเดินไปศาลาการเปรียญเป็นอาคารทรงไทยไม้สัก บนศาลาเต็มไปด้วยญาติโยมที่มาทำบุญ ด้านล่างข้างศาลามีญาติโยมต่อแถวบริจาคปัจจัยทำบุญซื้อที่ดินถวายวัดตารางวาละ 1 บาท พร้อมทั้งบริจาคค่าน้ำค่าไฟ ถัดไปเป็นที่ตั้งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในห้องแอร์ วัดท่าการ้องมีทุกอย่างที่คนไทยชาวพุทธนับถือ ทั้งเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ตะเคียน รูปหล่อองค์จตุคามขนาดใหญ่ 4 องค์ และพระพิฆเนศ

    สำหรับใครที่เริ่มมีอาการอยากจะเข้าห้องน้ำล่ะก็ วัดท่าการ้องขึ้นชื่อว่าเป็นวัดที่ห้องน้ำสะอาดมากที่สุดแห่งหนึ่ง การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศ ตอนประกวดห้องน้ำวัดทั่วประเทศไทย



    [​IMG]


    วัดราชประดิษฐาน

    "วัดราชประดิษฐาน" ตั้งอยู่ริมคลองประตูข้าวเปลือก ฝั่งตะวันตก ถนนอู่ทอง ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสร้างและเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์พร้อมทั้งเจ้านายในพระราชวงศ์ ภายในโบสถ์จะมีพระประธานองค์สีทองสุกเปล่งประกายชื่อ "พระบรมไตรโลกนารถ" บริเวณก่อนถึงตัวโบสถ์เป็นศาลาชั้นเดียว มีพระพุทธรูปพระพุทธปฎิมากรและตู้รับบริจาคค่าน้ำค่าไฟสร้างโบสถ์วิหารชำระหนี้สงฆ์กล่องไม้ขนาดย่อมแบ่งเป็นสีประจำวันเกิดปีเกิด ให้ญาติโยมบริจาคเงินตามกำลังศรัทธา


    [​IMG]


    [​IMG] วัดใหญ่ชัยมงคล

    "วัดใหญ่ชัยมงคล" ตั้งอยู่นอกเกาะมืองอยุธยาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ หรือห่างจากวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้มไปทางใต้ประมาณ 800 เมตร ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดป่าแก้ว หรือ วัดเจ้าไท จุดเด่นของวัดได้แก่เจดีย์องค์ใหญ่ที่เชื่อกันว่าได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ภายในได้มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่ ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชัยมงคลพระประธานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด นอกจากนี้แล้ว ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2544 อีกด้วย

    [​IMG]


    [​IMG] วัดพนัญเชิง

    "วัดพนัญเชิง" เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร วัดแห่งนี้มีความเชื่อกันว่าเมื่อมากราบไหว้จะช่วยเสริมมงคล ด้านการค้าพาณิชย์รุ่งเรือง ความสำเร็จในงาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสักทางทิศใต้ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง ห่างจากตัวเมืองราว 5 กิโลเมตร หรือเมื่อออกจากวัดใหญ่ชัยมงคล ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปตามถนนประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเห็นวัดพนัญเชิงอยู่ทางขวามือ

    สิ่งสำคัญที่สุดของวัดนี้ก็คือ พระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 20 เมตร 17 เซนติเมตร สูง 19 เมตร ซึ่งแต่เดิมนั้นประทับนั่งอยู่กลางแจ้ง ชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อโต" หรือชาวไทยเชื้อสายจีน เรียกว่า "ซำปอกง" และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก" ตำนานกล่าวว่าเมื่อคราวจะเสียกรุงครั้งที่ 2 มีน้ำพระเนตรไหลลงมาถึงพระนาภี วัดและองค์พระชำรุด เนื่องจากไฟไหม้ใน พ.ศ.2444 จึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

    นอกจากนี้ ยังมีเก๋งจีนขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ทางด้านข้างของพระวิหารใหญ่ ชาวบ้านเรียกอาคารเก๋งจีนนี้ว่า "ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก" ตัวอาคารเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบจีน ชั้นบนประดิษฐานรูปเคารพ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า เจ้าแม่สร้อยดอกหมากตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา

    [​IMG] วัดกลางคลองตะเคียน

    "วัดกลางคลองตะเคียน" หรือ "วัดกลางปากกราน" ตั้งอยู่ที่ตำบลปากกราน อ.พระนครศรีอยุธยา จ. พระนครศรีอยุธยา ตรงข้ามกับวัดกษัตรา ไปทางวัดไชยวัฒนาราม ห่างกันประมาณ 800 เมตร วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ ที่วัดแห่งนี้เราจะได้พบกับสิ่งอันเป็นมงคลยิ่ง คือ พระบรมสารีริกธาตุ ที่ทางวัดได้อันเชิญประดิษฐานไว้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มากราบนมัสการ อีกทั้งพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 3 องค์ของวัดกลางคลองตะเคียน ได้แก่

    1.พระพุทธมหามิ่งมงคล อายุกว่า 556 ปี สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น

    2. พระพุทธรูปสมเด็จกริ่งคลองตะเคียน เป็นพระพุทธรูปองค์แรกของเมืองไทยที่หล่อเป็นเนื้อโลหะเนื้อผสมจำลองมาจากพระเครื่องสมเด็จกริ่งคลองตะเคียน เป็นองค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

    3. พระแผงพระเจ้าสิบชาติ องค์แรกของเมืองไทยที่หล่อด้วยโลหะผสมสวยงามและใหญ่ที่สุด

    นอกจากนี้ วัตถุมงคลพระกริ่งวัดกลางคลองตะเคียนกับพระแผงสิบชาติยังเป็นที่เล่าลือกันมากในเรื่องแคล้วคลาดและปลอดภัย


    [​IMG]


    [​IMG] วัดสมณโกฏฐาราม

    ปัจจุบัน คือ "วัดราษฏร์" ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองทางทิศตะวันออก ในเขตตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น และปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยอยุธยาตอนปลายโดยเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษา (ปาน) ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วัดนี้มีพระปรางค์องค์ใหญ่งดงามมาก รูปทรงสัณฐานแปลกตากว่าที่อื่น สันนิษฐานว่าเลียนแบบมาจากวัดเจดีย์เจ็ดยอด เมื่อคราวที่เจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) ไปตีเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2205 ภายในอุโบสถมีพระประธานเก่าแก่ซึ่งสร้างสมัยอยุธยา เป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไป

    สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ เป็นพระอุโบสถสมัยอยุธยาก่ออิฐถือปูน มีประตูเข้าออกทางด้านข้าง 4 ด้าน ภายในพระอุโบสถมีหลังคาต่อเป็นโครงไม้แบบหน้าจั่ว ประดิษฐานพระประธาน กว้างประมาณ 3.5 เมตร ทางด้านทิศตะวันออกมีวิหารขนาดใหญ่ วัดนี้มีพระปรางค์องค์ใหญ่รูปทรงสัณฐานแปลกตากว่าแห่งอื่นเข้าใจว่าเลียนแบบเจดีย์เจ็ดยอดของเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ระฆังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ระหว่างพระปรางค์และพระอุโบสถ ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้ได้สร้างทับรากฐานอาคารเดิมอันเป็นงานที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น


    [​IMG]

    [​IMG]วัดธรรมิกราช

    เดิมชื่อ "วัดมุขราช" อยู่บริเวณใกล้เคียงกับพระราชวังโบราณ นักท่องเที่ยวสามารถสังเกตจะมีป้ายตามข้างถนนจะบอกทาง ปัจจุบันวัดธรรมิกราชยังเป็นวัดที่พระสงฆ์ประจำอยู่ และทางทิศเหนือของวัดธรรมิกราชปัจจุบัน มีวิหารพระนอนที่มีผู้นิยมศรัทธามานมัสการอยู่สม่ำเสมอ ว่ากันว่าเมื่อมากราบไหว้ที่วัดแห่งนี้จะให้คุณเมตตามหานิยม คุ้มครองรักษาโรคภัยอันตราย

    สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นวิหารหลวงขนาดใหญ่ ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐ์ของเศียรพระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์ ศิลปะสมัยอู่ทอง หรือศิลปะยุคก่อนกรุงศรีอยุธยาคือพระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม แลดูเคร่งเครียด พระพักตร์ถมึงทึง จนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า "หล่วงพ่อแก่" ปัจจุบันกรมศิลปากรนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา นอกจากนี้ ยังมีเจดีย์ทรงกลมที่มีปูนปั้นรูปสิงห์ล้อม 52 ตัวที่แตกต่างไปจากที่อื่นๆ มีความงามสง่าและหาชมได้ยากในเมืองไทย



    [​IMG]


    [​IMG] วัดหน้าพระเมรุราชิการาม ถ้าใครอยากมีชีวิตเจริญรุ่งเรือง เป็นมหามงคลของชีวิตล่ะก็ ว่ากันว่าต้องมาที่ "วัดหน้าพระเมรุราชิการาม" แห่งนี้ ซึ่งเดิมมีชื่อว่า "วัดพระเมรุราชิการาม" วัดนี้เป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยา ที่ไม่ได้ถูกพม่าทำลายและยังคงปรากฏสถาปัตยกรรมแบบอยุธยา อยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมคลองสระบัว ตำบลท่าวาสุกรี ตรงข้ามพระราชวังโบราณเป็นอารามหลวง สามัญชั้นตรี

    ภายในวัดประกอบด้วยพระอุโบสถขนาดใหญ่ พระประธานในอุโบสถถูกสร้างขึ้นปลายสมัยอยุธยา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทรงเครื่องแบบกษัตราธิราช มีนามว่า "พระพุทธนิมิตวิชิตมาร โมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" จัดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยา ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบันและมีความสมบูรณ์งดงามมาก

    เป็นอย่างไรกันบ้างคะ นึกอยากจะไปกันแล้วใช่ไหมล่ะ แต่ต้องขอบอกก่อนว่าทั้ง 9 วัดที่นำมาเสนอกันในวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัดที่หลายคนนิยมไป หากใครสนใจจะเดินทางไปเองล่ะก็ ควรศึกษาเส้นทางของวัดให้ดีเสียก่อนนะคะ จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา หรือจะเลือกไปกับรถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. (bmta.co.th/th/index.php) ก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน เพราะมีบริการนำเที่ยว ไหว้พระ 9 วัดตามจังหวัดต่างๆ ในราคาย่อมเยาว์

    ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ใส่ลิงค์นี้จ้า thai.tourismthailand.org) โทร.184 หรือ โทร.02-5520885 แล้วนำบุญกลับบ้านกันเยอะๆ นะคะ


    [​IMG]


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    ayutthayanews.com
    ayutthayastudies.aru.ac.th
    dhammathai.org
    palungjit.org

    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
    snr.ac.th
    dmmtour.com
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้พระ-ชำระใจ 9วัดเมืองโคราช
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB4Tnc9PQ==

    รู้ก่อนเที่ยว

    เกษม ชนาธินาถ




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    อุโบสถรูปสำเภา วัดศาลาลอย


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นครราชสีมาหรือโคราช นอกจากอนุสาวรีย์ย่าโม "ท้าวสุรนารี" อันเป็นที่เคารพสักการะแล้ว ยังมีวัดที่เป็นสถานแห่งความศรัทธามากหลายแห่ง ที่จะกล่าวถึงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครราชสีมา ยกมาแนะนำ

    เริ่มที่อ.เมือง วัดศาลาลอย อ.เมือง เป็นวัดที่พระอุโบสถงดงามแปลกตา สร้างเป็นรูปสำเภาโต้คลื่น ภายในมีพระประธาน คือพระพุทธประพัฒน์สุนทรธรรมพิศาลฯ ในวัดมีกำแพงแก้วรูปเสมา สัญลักษณ์เมืองเก่าของนครราชสีมา และยังมีอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และอนุสรณ์สถานเจดีย์บรรจุอัฐิท้าวสุรนารี

    ต่อมาคือวัดป่าสาละวัน เป็นวัดอรัญญวาสี สงบร่มรื่นเหมาะสำหรับพระสงฆ์นักปฏิบัติธรรมบำเพ็ญสมาธิภาวนาหาความสงบ พระเกจิชื่อดังในอดีตเมื่อผ่านมาเมืองโคราชจะแวะเวียนมาปฏิบัติธรรมเสมอ เช่น หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ฯลฯ ที่นี่มีเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ และพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    1.รูปปั้นหลวงพ่อพุธ วัดป่าสาละวัน

    2.พระพุทธรูปปางปรินิพพาน วัดธรรมจักรเสมาราม

    3.พระพุทธรูปหลวงพ่อขาว วัดเทพพิทักษ์

    4.ถ้ำพระพุทธ วัดถ้ำไตรรัตน์

    5.พระพุทธบาท วัดวชิราลงกรณ์

    6.ภาพเขียนโบราณ วัดเขาจันทน์งาม


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ที่ อ.สูงเนิน มีวัดวะภูแก้ว ต.มะเกลือใหม่ ที่วัดนี้มีพระหยกขาว ปางเชียงแสน ขนาด 3 ตัน สูง 2.6 เมตร เป็นพระหยกขาวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พุทธศาสนิกชนนิยมมานมัสการกันมาก

    ต่อมาคือวัดธรรมจักรเสมาราม อยู่ที่ ต.เสมา อ.สูงเนิน ความสำคัญอยู่ที่พระพุทธรูปปางเสด็จปรินิพพาน สร้างด้วยหินทรายแดงที่มีความเก่าแก่และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความยาว 13.30 เมตร สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี อายุราวพ.ศ.1200 นอกจากนี้ยังมีธรรมจักรศิลาทำด้วยหินทราย เส้นผ่าศูนย์กลาง 141 ซ.ม. ให้สักการบูชา

    ไปที่อ.ปากช่อง วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ต.กลางดง มีพระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสีเสียดอ้า หรือเขาเทพพิทักษ์ ส่วนหนึ่งของเทือกเขาใหญ่ คือ "พระพุทธสกลสีมามงคล" หรือ "หลวงพ่อขาว" เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่สูงถึง 45 เมตร ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ผู้มากราบไหว้สักการะมักสมปรารถนา

    อีกวัดที่อ.ปากช่อง คือ วัดถ้ำไตรรัตน์ (วัดถ้ำแก้วสารพัดนึก) ที่ ต.หนองน้ำแดง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2513 บนเนื้อที่ 70 ไร่ มีถ้ำศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า "ถ้ำแก้วสารพัดนึก" ดินแดนมหัศจรรย์แห่งมนุษย์ถ้ำ 4,000 ปี ภายในแบ่งเป็น 5 โซน คือ โซนที่ 1 ทางเข้าถ้ำ เรียกว่า แก้วสารพัดนึกโซนที่ 2 เรียกว่า "ถ้ำพระพุทธ" โซนที่ 3 จะได้พบกับโครงกระดูกพระฤาษี โซนที่ 4 เดินทางผ่านประตูมังกร และโซนที่ 5 เป็นพิพิธภัณฑ์หินและโรงภาพยนตร์ถ้ำ

    อ.ปากช่อง ยังมีวัดวชิราลงกรณวรารามวรวิหาร อยู่ที่ ต.หนองน้ำแดง เป็นพระอารามหลวงในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร องค์พระประธานในพระอุโบสถ ขนาดหน้าตัก 1.50 เมตร ปางมารวิชัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่าพระพุทธมหาวชิราลงกรณ์ และมีรอยพระพุทธบาท ให้สักการบูชา โดยต้องเดินขึ้นบันได 183 ขั้น

    ที่ อ.ด่านขุนทด มีวัดบ้านไร่ เป็นที่รู้จักทั่วไป เจ้าอาวาสคือพระราชวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุดรูปหนึ่งในปัจจุบัน ที่นี่มีกิจกรรมการปฏิบัติธรรม ระยะเวลา 1-3 วัน กราบมนัสการและรับพรหลวงพ่อคูณ (เคาะหัว) ได้ทุกวันก่อนเวลาเพล

    สุดท้ายที่ อ.สีคิ้ว มีวัดเลิศสวัสดิ์ (วัดเขาจันทน์งาม) อยู่ที่ ต.ลาดบัวขาว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 มีบรรยากาศสงบร่มรื่น เป็นแหล่งศิลปะภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยชุมชนเกษตรกรรมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ อายุระหว่าง 3,000-4,000 ปี

    มีโอกาสไปนครราชสีมาเมื่อใด ต้องการเข้าวัดไหว้พระชำระจิตใจ แม้ไม่มีเวลาไป 9 วัด เข้าวัดหนึ่งวัดใดน่าจะอิ่มบุญได้ไม่แพ้กัน
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ว่าไงครับคุณnongnooo สำหรับพระสมเด็จที่เห็นวันนี้

    ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ


    พระสมเด็จอีกรุ่น ที่เป็นพระคะแนน(องค์หนาและองค์ใหญ่) ผมไม่แน่ใจว่าคุณnongnooo เห็นหรือเปล่า รุ่นนั้นเป็นรุ่นที่พระอภิญญา (และสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ) อธิษฐานจิตด้วยนะครับ
    ส่วนที่เป็นเนื้อโลหะ หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่อธิษฐานจิตครับ
     
  16. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอบพระคุณครับ พอทราบข่าวก็รีบหาร้านเน็ตเข้ามาอ่านกันครับ
     
  17. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอตัวก่อนนะครับ จะออกจากร้านเน็ตกันแล้วครับ แล้วพบกัน วันนัดพบ ครับ
     
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ไม่ทราบครับ หุ หุ แต่ที่ทราบแน่ๆคือ อีกรุ่นน่าจะดีกว่าครับ เห็นแวบๆแต่ไกลไปเลยไม่ได้ขอชมครับ แต่จริงๆแล้วผมติดใจรุ่นโน้นจริงๆครับ รุ่นอื่นเฉยๆครับ หุ หุ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แสดงว่า คุณnongnooo บอกว่าแรงมาก และดีมาก ใช้หรือเปล่าครับ จากที่ผมแปลโพสคุณnongnooo
    อ่า แปลไทย เป็น ไทย น๊ะเนี่ย

    .
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันที่พบกัน ผมได้เตรียมรางวัลที่ ๑ และ ๓ ไปมอบให้คุณ ake7440 และคุณ newcomer แล้วในโครงการ"ธนาคารความดี"
    รางวัลที่ ๑ คุณake7440

    -พระบรมสารีริกธาตุสัณฐานที่พระพุทธกัสสปพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ของภัทรกัปป์นี้อธิษฐานจิตไว้ จำนวน ๓๐ องค์ ๓๐ เฉดสี บรรจุผอบเจดีย์แก้ว

    -พระวังหน้ามากกว่า ๔ องค์ ประกอบไปด้วย
    ๑)พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุน้ำประสาน และลูกปัดทราวดี ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ มอบให้ ๑ ใน ๘ พิมพ์พิเศษจำนวน ๑ องค์

    ๒)พระสมเด็จปัญจสิริ พิมพ์เก๋งจีนไตรโลกอุดร ๑ องค์(ต้องแจ้งวันเดือนปีเกิดเพื่อเฉดสีที่เหมาะกับผู้ที่ได้รับพระพิมพ์นี้)

    ๓)พระปิดตา ๒ หน้า เนื้อสีขาว ผสมเครื่องหอมในราชสำนัก ๑ องค์(ยังไม่เคยมอบให้ผู้ใดมาก่อน)

    ๔)พระสมเด็จเนื้อปูนสอแบบพิเศษ ๑ องค์ที่คุณnongnooo จะมอบให้

    ๕)พระนางพญานครไทยพิมพ์กลาง เนื้อเขียว ๒ หน้ามีอยู่องค์เดียวอายุ ๗๐๐ กว่าปี คุณnongnooo ตั้งใจมอบให้(ไม่มีภาพ)

    ๕)รายการที่ ๕ นี้ คุณหนุ่ม sithiphong อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระเสโทธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม บรรจุผอบเจดีย์แก้ว ,พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า บรรจุภายในผอบเจดีย์แก้ว,พระสมเด็จ(เนื้อผงยาวาสนา) ๑ ชุด ๑๐ องค์(ไม่มีภาพ)

    ๖)พระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเพชร ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม บรรจุผอบแก้วที่คุณ newcomer มอบให้ พร้อมกับพระสมเด็จองค์ปฐม รุ่นมหาเศรษฐีอมฤตโชค ๑ องค์ ,พระรอดเนื้อผงพระธาตุ รุ่นบูรณะพระธาตุ ๑ องค์ และพระผงรูปเหมือนของหลวงพ่อสิริ จำนวน ๒ องค์(คุณ newcomer นำมามอบให้ ๑๐ องค์ เลยจัดแบ่งให้ ๒ องคื ส่วนอีก ๘ องค์จะเอาไว้มอบให้ผู้ร่วมบุญธรรมทานหนังสือคุณย่าปราณี ชาประดิษฐ์ ท่านละ ๑ องค์ ตามลำดับๆละ ๑ องค์ จนกว่าจะหมดที่ลำดับใด โดยเว้นคุณguawn และคุณ newcomer)


    รางวัลที่ ๓ คุณnewcomer
    -พระธาตุพระสีวลีพระอรหันต์สาวกที่เลิศทางด้านลาภ จำนวน ๕ องค์ สัณฐานประกายเพชรจากถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี


    -เทียนสะเดาะเคราะห์-สืบชาตา
     

แชร์หน้านี้

Loading...