พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524

    555 อันนี้แหละค่ะที่เล่าให้ฟังตอนที่เราไปบวงสรวงสุโขทัย-กำแพงเพชรกัน คือไม่เคยมีใครมาจัดบวงสรวงที่นี่กันมาก่อน เค้าเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวมาดู พอเราไปติดต่อเค้าก็บอกให้ทำได้แต่เสร็จแล้วให้เก็บกลับให้หมดทั้งบายศรีทุกอย่าง หลังจากนั้นปรากฏว่าหัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์เค้าเกิดสนใจว่าทำไมพวกเรามากันเค้าก็สอบถามประวัติ แล้วยังมาฝากถามพระอาจารย์ให้ท่านดูให้หน่อยว่าเมื่อก่อนเป็นยังไง วัดและเจดีย์แต่ละองค์มีประวัติยังไง พระอาจารย์ท่านไม่ได้บอกหรอกค่ะ แต่หัวหน้าท่านนี้ดีค่ะสนใจประวัติศาสตร์โดยเฉพาะทางพุทธศาสนามากอยู่
     
  2. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    อ้อ!ลืมไป เมื่อเช้าพาแม่แฟนไปทำบุญที่วัดพุทธบูชาก่อนขึ้นรถไฟ วันนี้คนเยอะมากๆเลยค่ะ ได้ทำบุญสารพัดทั้งสร้างเจดีย์ สร้างพระ ทำหนังสือซีดี สถานีวิทยุ ซื้อที่ดิน ช่วยภิกษุอาพาธ(ตอนนี้หลวงปู่ทอง วัดอโศการามอาพาธอยู่ด้วยค่ะ)กองทุนต่างๆ ชำระหนี้สงฆ์ ค่าอาหาร ค่ายานพาหนะ ค่าน้ำค่าไฟ มีหลวงปู้สายพระอาจารย์มั่นมาจากหลายจังหวัดเลยค่ะ ได้ทำบุญทีเดียวครบเลยค่ะ พระอาจารย์และเพื่อนๆฝากปัจจัยให้ไปหย่อนตู้ทุกเดือน ร่วมกันโมทนาบุญนะคะ
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่า...ผมว่าน่าจาเริ่มจากพี่แมวเหมียวเป็นคนแรกครับ...55555555555555555 หุ หุ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาพักความร้อนแรงสักนิดนึง

    ตำนานแผ่นดิน-9 เมนูฉลองปีใหม่ 2552
    http://www.komchadluek.net/2009/01/0...news_id=329695


    [​IMG]



    ปีใหม่2552 นี้ ผมอยากให้ทำอาหารเลี้ยงกันเองในบ้าน ประหยัดและอร่อย ผมมีเมนูเด็ดมาฝากกันด้วยครับ​

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1044823792492543";google_ad_slot = "8122705396";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT>
    1. หมูแดงสูตรเยาวราช

    เครื่องปรุง
    [​IMG]




    1. หมูเนื้อสัน 1 กิโลกรัม
    2. ผงทำหมูแดงตรามือ 1 ซอง ​
    3. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    [​IMG]


    4. ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ 1 ช้อนโต๊ะ
    5. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ ​
    6. พริกไทยดำโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
    [​IMG]

    7. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
    8. งาขาวคั่วให้สุก 2 ช้อนโต๊ะ ​
    9. ถั่วลิสงบด 1 ช้อนโต๊ะ
    [​IMG]




    วิธีทำ
    1. หั่นหมูให้เป็นแผ่น แล้วละลายผงหมูแดง พริกไทยป่น พริกไทยดำผง หมักเนื้อนุ่มน้ำตาลปี๊บ ซอสหอยนางรม เคล้ากับเนื้อหมูจนทั่ว ใช้มือขยำให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ จึงนำหมูไปหมักในตู้เย็น 1 ชั่วโมง ​

    2. นำหมูแดงไปย่างบนเตาอบไฟฟ้าให้สุก หรือนำหมูแดงรวนบนกระทะจนสุก จะได้หมูแดงสีอ่อนๆ มีกลิ่นหอม หมูแดงสูตรเดียวกับเยาวราช
    [​IMG]




    3. น้ำหมักหมูแดงที่เหลือ ให้เติมน้ำสะอาด แล้วนำไปต้มจนเดือด ใส่งาขาวคั่วและถั่วลิสงบด รวนจนน้ำหมูแดงเริ่มเหนียวข้น จึงตักใส่ชามเป็นน้ำหมูแดง ​

    2. ไก่ย่างฟลอริด้า
    เครื่องปรุง
    1. สะโพกไก่ 1 กิโลกรัม
    2. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    3. พริกไทยดำตรามือโขลกหยาบ 1 ช้อนชา
    4. ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ 1 ช้อนชา
    5. เกลือป่น 1 ช้อนชา
    6. น้ำตาล 1 ช้อนชา
    7. ใบโอริกาโนตรามือ 1 ช้อนชา
    8. ผงใบไทม์ 1/2 ช้อนชา
    9. มัสตาร์ดเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
    10. นมรสจืดกระป๋อง 3 ช้อนโต๊ะ
    วิธีทำ
    1. ผสมเครื่องปรุงทั้งหมด และน้ำสะอาดลงไปหน่อย คนให้เข้ากัน
    2. ล้างไก่ให้สะอาด แล้วใช้ซ่อมจิ้มหนังไก่ให้ทั่วทั้งตัว จึงนำไปเคล้ากับเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ ใช้มือขยำนวดให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 1 ชั่วโมง
    3. นำไก่หมักไปอบในเตาอบไฟฟ้าความร้อนสูงสุดครั้งแรก 30 นาที แล้วพลิกไก่อบต่อไปอีก 30 นาที จะได้ไก่ย่างฟลอริด้าเนื้อนุ่มหอมกลิ่นเครื่องเทศฝรั่ง ​

    3. ปูเนื้อผัดพริกไทยดำ
    เครื่องปรุง
    1. ปูเนื้อสุราษฎร์ธานี น้ำหนัก 8 ขีด 1 ตัว
    2. พริกไทยดำบดหยาบตรามือ 2 ช้อนโต๊ะ
    3. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    3. ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ 1/2 ช้อนโต๊ะ
    4. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
    5. ซีอิ๊วดำหวาน 1 ช้อนโต๊ะ
    6. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
    7. น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
    8. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
    วิธีทำ
    1.ล้างปูให้สะอาด เปิดกระดองปู แล้วสับลำตัวออกเป็น 4 ชิ้น แยกขาและก้ามออก
    2. โรยผงหมักเนื้อนุ่ม และพริกไทยป่น ลงบนเนื้อปู เคล้าให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 20 นาที ผงหมักเนื้อนุ่มทำให้เนื้อปูคลายตัวพอให้พริกไทยดำแทรกเข้าเนื้อได้
    3.ผสมเครื่องปรุงต่างเข้าด้วยกัน เติมน้ำซุปลงไปให้เหลว
    4. เทปูที่หมักไว้ใส่กระทะไฟร้อนปานกลาง โรยด้วยเครื่องปรุงให้ทั่วปิดฝาอบปูนาน 15 นาที เนื้อปูจะสุกทั่วทุกชิ้น จึงผัดเนื้อปูกับเครื่องปรุงต่างๆ ให้เข้ากันตักใส่จาน กินร้อนๆ เนื้อปูหอมกลิ่นพริกไทยดำ ​

    4.คั่วกลิ้งหมูนุ่ม
    เครื่องปรุง
    1. หมูเนื้อสันหรือเนื้อสะโพก 3 ขีด
    2. พริกแกงเผ็ดคั่วกลิ้ง(หาซื้อในตลาดสด) 2 ขีด
    3. กะปิเคยอย่างดี 1 ช้อนชา
    4. ใบมะกรูดหั่นซอยเป็นเส้นบางๆ 3 ใบ
    5. ข่าหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ 1 ช้อนโต๊ะ
    6. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนชา
    7. ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ 1 ช้อนโต๊ะ
    8. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
    9. น้ำปลาอย่างดี 1 ช้อนชา
    10.น้ำมันพืช 1 ทัพพี
    วิธีทำ
    1. หั่นเนื้อหมูให้เป็นชิ้นแล้วเติม พริกไทยป่น ผงหมักเนื้อนุ่ม น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บลงไปหน่อย เคล้าให้เข้ากัน แล้วขยำให้เข้าเนื้อ หมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 20 นาที
    2. ผสมกะปิลงในพริกแกงเผ็ดคั่วกลิ้ง นำไปโขลกในครกให้ละเอียดเข้ากัน
    3. ตั้งกระทะบนเตาไฟร้อนปานกลาง เติมน้ำมันพืชลงไปในกระทะ ใส่เนื้อหมูที่หมักไว้ลงไปผัดกับน้ำมัน ใส่พริกแกงเผ็ดคั่วกลิ้งลงไปผัดกับหมู ถ้าแห้งเกินไป ให้เติมน้ำสะอาดลงไปหน่อย ใส่ใบมะกรูดและข่าลงไปผัดกับหมูให้หอม แล้วเติมน้ำปลาน้ำตาลปี๊บลงไป
    4. ผัดคั่วจนพริกแกงเผ็ดแห้งติดเนื้อหมู ตักใส่จาน หั่นพริกชี้ฟ้าแดงโรยข้างบน กินกับข้าวสวยร้อนๆ แกล้มสะตอ ผักสด อร่อยสุดยอด ​

    5. ซี่โครงหมูอบฮ่องกง
    เครื่องปรุง
    1. ซี่โครงหมูอ่อนทั้งผืนใหญ่ 1 ชิ้น 1 กิโลกรัม
    2. พริกไทยดำตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    3. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    4. ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ 1 ช้อนโต๊ะ
    5. น้ำปลาอย่างดี 1 ทัพพี
    6. ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี
    7. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
    8. รากผักชี 4 ราก
    9. กระเทียมสด 5 หัว
    10. ผงบาบีคิวตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    วิธีทำ
    1. ล้างซี่โครงหมูอ่อนให้สะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งสนิท จึงใช้มีดคมๆ แล่ซี่โครงหมูเป็นเส้นยาว 4-5 นิ้ว
    2. ผสมเครื่องปรุงทุกอย่าง เติมน้ำสะอาดลงไป 2 ทัพพี แล้วนำไปบดปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จึงนำซี่โครงหมูใส่ลงไป เคล้าหมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 30 นาที
    3.นำซี่โครงหมูหมักใส่หม้อ เติมน้ำให้ท่วมสูงกว่าซี่โครงหมู 3 นิ้ว แล้วต้มด้วยไฟอ่อนๆ เคี่ยวนาน 3 ชั่วโมง จนน้ำในหม้อแห้งขลุกขลิก ซี่โครงอ่อนขาวแข็งๆ เปื่อยนุ่มเป็นวุ้นจึงปิดไฟ ​

    6. เกี๊ยวกุ้งกรอบ
    เครื่องปรุง
    1. เนื้อกุ้งแชบ๊วยขนาดนิ้วก้อย 1 กิโลกรัม
    2. มันเปลวหมู 1 ขีด
    3. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนชา
    4. ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ 1 ช้อนโต๊ะ
    5. เกลือป่น 1 ช้อนชา
    6. น้ำมันงา 3 ช้อนโต๊ะ
    7. แผ่นเกี๊ยว 1 ห่อ
    วิธีทำ
    1. ใช้มีดบางๆ เลาะเอาขี้กุ้งกลางหลังออกให้หมด แล้วล้างน้ำสะอาด ใช้ผ้าซับเนื้อกุ้งจนแห้งสนิท ผสมมันเปลว พริกไทยป่น ผงหมักเนื้อนุ่ม เกลือ น้ำมันงา ลงในเนื้อกุ้ง แล้วใช้อุ้งมือกดนวดเนื้อกุ้งกับเครื่องปรุงต่างๆ จนเข้ากันจึงนำไปแช่ในตู้เย็น 30 นาที
    2.นำกุ้งออกมาจากตู้เย็น แล้วห่อด้วยใบเกี๊ยวให้เป็นลูกๆ ทอดในน้ำมันร้อนปานกลางให้แป้งเกี๊ยวกรอบสุก กินกับน้ำบ๊วยเจี่ย ​

    7. หมูแดดเดียว
    เครื่องปรุง
    1. เนื้อหมูสะโพก 1 กิโลกรัม
    2. ผงพะโล้ตรามือ 2 ช้อนโต๊ะ
    3. กระเทียมผงตรามือ 3 ช้อนโต๊ะ
    4. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    5. ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ 1 ช้อนโต๊ะ
    6. น้ำปลาอย่างดี 1 ทัพพี
    7. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
    วิธีทำ
    1. นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสม แล้วเติมน้ำสะอาด 2 ทัพพี ละลายให้เข้ากัน
    2. หั่นเนื้อหมูสะโพกให้เป็นชิ้นยาวๆ หนา 1 นิ้วจนหมด จึงนำเครื่องปรุงเทลงไป เคล้าเนื้อหมูกับเครื่องปรุงให้ทั่ว ใช้มือขยำแรงๆ จนเข้าเนื้อ
    3. นำเนื้อหมูไปหมักทิ้งไว้ในตู้เย็น 1 ชั่วโมง แล้วนำไปตากแดดเดียวพอให้เนื้อหมูแห้งหมาดๆ ทอดกับน้ำมันร้อนปานกลางจนเนื้อหมูสุกทั่ว เป็นหมูแดดเดียว ​

    8.ปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊ว
    เครื่องปรุง
    1. ปลาทับทิมน้ำหนัก 6-8 ขีด 1 ตัว
    2. ซีอิ๊วดำหวาน 1 ช้อนชา
    3. ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 2 ช้อนโต๊ะ
    4. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
    5. พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนชา
    6. ต้นหอมผ่าเป็นเส้นยาว 3 นิ้ว 2 ต้น
    7. ขิงอ่อนหั่นเป็นเส้นยาว 1-2 นิ้ว 1 ถ้วย
    วิธีทำ
    1. ขอดเกล็ด ควักเครื่องในปลาออกให้หมด ใช้มีดบางๆ กรีดลำตัวปลาให้เป็นร่องริ้วๆ แล้วใช้ผ้าซับให้แห้ง
    2.วางขิงซอยบนจาน แล้วนำปลาทับทิมวางข้างบน นึ่งในเตาไมโครเวฟความร้อนสูงสุด 4 นาที
    3. นำเครื่องปรุงผสมกัน แล้วเติมน้ำ 2 ทัพพี คนให้เข้ากัน ราดซีอิ๊วลงบนตัวปลา วางต้นหอมบนตัวปลา แล้วนึ่งด้วยความร้อนสูง 4 นาที ปลาสุกพอดี ​

    9. ต้มพะโล้เครื่องในหมูกวยจั๊บ
    เครื่องปรุง
    1. กระดูกเอียเล้ง(สันหลัง) 1 กิโลกรัม
    2. กระดูกคาตั้ง(สะโพกหมู) 1 กิโลกรัม
    3. พริกไทยเม็ดตรามือโขลกหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ
    4. อบเชย(กุ้ยพ้วย) ยาว 5 นิ้ว 4 ชิ้น
    5. โปยกั๊ก 10 ดอก
    6. รากผักชี 8 ราก
    7. กระเทียมไทย 10 หัว
    8. ผงพะโล้ตรามือ 3 ช้อนโต๊ะ
    9. เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ
    10. ซีอิ๊วดำหวาน 4 ทัพพี
    11. ซีอิ๊วขาว 4 ทัพพี
    วิธีต้ม
    1.ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงในหม้อก๋วยเตี๋ยว แล้วเติมน้ำจนเต็มหม้อ ต้มเคี่ยวด้วยไฟร้อนปานกลาง 2 ชั่วโมง จะได้น้ำพะโล้กวยจั๊บเข้มข้น หอมเครื่องพะโล้ ​

    2. ล้างเครื่องในหมูให้สะอาด ใส่ผงพะโล้ตรามือลงไปเคล้าขยำให้เข้าเนื้อ แล้วนำไปต้มในน้ำพะโล้กวยจั๊บ ใส่ผงหมักเนื้อนุ่มโชตธนโชติ (1 ช้อนโต๊ะ ต่อเครื่องในหมู 1 กิโลกรัม) ลงในน้ำพะโล้ ต้มเคี่ยวจนเครื่องในหมูสุกนุ่ม จะได้เครื่องในหมูหอมกลิ่นพะโล้เนื้อนุ่มอร่อยครับ ​


    อ.ไชยแสง กิระชัยวนิช
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=undefined&dt=1230991750781&format=undefinedxundefined&output=html&correlator=1230991750781&eid=6083027&ea=0&frm=1&ga_vid=227661275.1228318893&ga_sid=1230986271&ga_hid=1427992836&ga_fc=true&flash=9.0.28.0&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_tz=420&u_his=9&u_java=true&dtd=31" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    2 มกราคม 2552 06:38 PM
    #26354
    วันนี้( 2 มกราคม 2552) ผมมีงานบุญมาบอกกับชาววังหน้าทุกๆท่าน

    เนื่องในวันปีใหม่ของไทยเรา คือวันที่ 13 เมษายน 2552 ที่จะมาถึงนี้ ผมจะจัดงานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ( องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1(สมเด็จองค์ปฐม) , องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกกุสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม โกนาคมนะ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม กัสสปะ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ) ,พระอรหันต์ ไม่น้อยกว่า 30 พระองค์ (มีพระธาตุพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ,หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า และพระธาตุหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด) ,พระบูชา (พระพุทธรูป ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)

    การจัดงาน ผมจะแจ้งวันและเวลาอีกครั้ง(ผมจะแจ้งโดยตรงถึงพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านเอง) ในงานสรงน้ำครั้งนี้ ผมจะนิมนต์พระอาจารย์นิล และพระอาจารย์ผม มาฉันเพล เมื่อเสร็จสิ้นการถวายเพล และการสรงน้าแล้ว ผมจะมีการแจกพระสมเด็จให้กับทุกๆท่านที่มาร่วมงาน ผมจึงมาบอกบุญกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    การร่วมทำบุญมีหลักเกณฑ์ดังนี้
    1.ร่วมทำบุญ 100 บาท พระสมเด็จจำนวน 1 ชุด(ขอไม่แจ้งจำนวนองค์) แต่รับพระสมเด็จ 1 องค์
    2.ส่วนที่เหลือผมจะแบ่งไปสำหรับการมอบพระสมเด็จให้กับท่านที่ไปร่วมงานสรงน้ำ
    3.ในส่วนที่แจกทุกๆท่านที่ไปร่วมงาน หากยังมีเหลือ ผมจะนำไปมอบให้กับพี่ใหญ่ เพื่อมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญกับทุนนิธิท่านอาจารย์ประถม อาจสาครครับ
    4.จะนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
    5.จะนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ที่พระอาจารย์ผมจะดำเนินการสร้างขึ้น

    หากผมนำไปบรรจุในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่ทัน ผมจะขอนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ที่พระอาจารย์ผมจะดำเนินการสร้างขึ้นนะครับ

    แต่หากว่ามีท่านที่ร่วมทำบุญมากกว่าพระสมเด็จที่มีอยู่ ผมจะนำพระพิมพ์อื่นๆมาเพิ่มเติม ในส่วนนี้ผมจะนำไปบรรจุในพระเจดีย์เพียงอย่างเดียว จะไม่มีการนำมามอบให้นะครับ

    ระยะเวลาในการร่วมทำบุญ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2552
    สิ้นสุดวันที่ 15 มกราคม 2552 เวลา 18.00 น.

    สำหรับท่านที่มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ ผมขอพิจารณาเป็นรายท่านนะครับ เนื่องจากการโอนเงินร่วมทำบุญ จะต้องโอนเงินเข้าบัญชีผมเอง เมื่อผมตอบตกลงแล้ว ผมจะแจ้งหมายเลขบัญชีให้อีกครั้งครับ

    หมายเหตุ ท่านที่ร่วมทำบุญทุกๆท่าน เมื่อผมตอบตกลงแล้ว ให้แจ้ง ชื่อ - นามสกุล ของท่าน และบุคคลในครอบครัวของท่าน ที่ท่านประสงค์จะเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ให้ผมทราบด้วย ผมจะได้นำรายชื่อไปแจ้งในงานสรงน้ำ ,มอบให้กับพี่ใหญ่(ในกรณีที่มอบพระให้กับทางทุนนิธิ) ,ถวายพระอาจารย์นิล และพระอาจารย์ผมครับ

    โมทนาสาธุครับ
    http://palungjit.org/showthrea...24#post1771424

    http://palungjit.org/showthrea...2445&page=1318

    รายนามท่านที่ร่วมบุญ
    1.คุณพุทธันดร ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    2.คุณชวภณ ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    3.คุณพิมพาภรณ์ ร่วมทำบุญ 100 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    4.คุณtawatd ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    5.คุณnewcomer ร่วมทำบุญ 300 บาท
    6.คุณnarin96 ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    7.คุณเพชร ร่วมทำบุญ 300 บาท
    8.คุณkwok ร่วมทำบุญ 500 บาท
    9.คุณdrmetta ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    10.คุณgnip ร่วมทำบุญ 300 บาท
    11.คุณพรสว่าง_2008 ร่วมทำบุญ 300 บาท
    12.คุณake7440 ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    13.คุณkaticat ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    14.คุณnongnooo ร่วมทำบุญ 500 บาท

    โมทนาสาธุครับ

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    อนุโมทนาครับจะร่วมด้วยแต่รอสรุปเงินก่อนนะครับว่าจะเหลือเท่าไหร่
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การร่วมทำบุญ แล้วแต่ศรัทธา
    เรื่องที่จะเหลือเท่าไหร่นั้น ผมตั้งใจไม่มีลิมิตครับ มากเท่าไหร่ก็ได้
    ซึ่งหากพระสมเด็จ มีไม่พอ ผมจะนำพิมพ์อื่นมาร่วมด้วย แต่จะนำไปบรรจุในพระเจดีย์เท่านั้นครับ

    พระวังหน้า(ขอย้ำว่า เฉพาะพระวังหน้า ไม่รวมพระวังหลวง) มีมหาศาลครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เพื่อความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับหลักกรรม 11 หลักอริยสัจ 4 กับกรรม
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01040152&sectionid=0121&day=2009-01-04

    คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "กรรมวาท" (กล่าวหรือสอนเรื่องกรรม) ทรงเรียกพระองค์เองในบางครั้งว่า "กรรมวาที" (ผู้สั่งสอนเรื่องกรรม)

    นั่นก็หมายความว่า คำสอนของพระพุทธองค์ไม่ว่าจะสอนเรื่องอะไร ทรงเน้นไปที่ "กรรม" ทั้งนั้น

    กรรม คือ การกระทำด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ ดังที่เคยบอกให้ทราบแล้วนั่นแหละครับ

    พูดให้เข้าใจง่ายก็ว่า เราอยากจะได้อะไร อยากจะเป็นอะไร ต้องทำเอาเอง วิถีชีวิตของเราจะไปดี หรือไม่ดีอย่างไร ขึ้นอยู่กับ "กรรม" (การกระทำ) ของเราเอง ถ้าเราทำเหตุปัจจัยไว้ไม่ดี ผลก็ออกมาไม่ดี ถ้าเราทำเหตุปัจจัยไว้ดี ผลก็ออกมาดี ดังพุทธวจนะว่า

    หว่านพืชชนิดใด ย่อมได้ผลชนิดนั้น

    ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว

    ในพระสูตรหลายแห่ง ได้พูดถึงคนจำนวนมากชอบแต่จะอ้อนวอน บวงสรวงโดยไม่คิดที่จะกระทำ อย่างเช่นพวกคนอินเดียสมัยโบราณที่เชื่อว่า พระเจ้าของพวกเขาจะช่วยดลบันดาลให้ดังปรารถนา จึงพากันสวดอ้อนวอนบ้าง ทำพิธีเซ่นสรวงอย่างใหญ่โตบ้าง

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า การกระทำเช่นนั้น ไม่ช่วยให้คนพวกนั้นเข้าได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ เพราะพวกเขามิได้ "ทำ" เหตุปัจจัยที่จะอำนวยผลที่ต้องการ พระองค์ทรงยกอุปมาอุปไมยมาเปรียบเทียบให้ฟังว่า

    กระทาชายคนหนึ่งปรารถนาจะข้ามฟาก แทนที่จะเสาะแสวงหาเรือหรือแพที่จะพาเขาข้ามฝั่งได้ก็ไม่ทำ กลับนอนคลุมโปงอยู่บนฝั่งนี้เสีย กระทาชายนายนี้ก็ไม่มีวันจะข้ามฝั่งได้

    กระทาชายอีกนายหนึ่ง ปรารถนาจะข้ามฝั่งเช่นกัน ลงนั่งประนมมือ สวดอ้อนวอนขอร้องให้ฝั่งโน้นมาหาเขา มารับเขาข้ามน้ำ ต่อให้สวดจนคอแหบคอแห้ง กระทาชายนายนี้ก็ไม่สามารถข้ามฝั่งได้เช่นเดียวกัน

    ทุกอย่างเราต้อง "ทำ" เอาเอง ด้วยความพากเพียรของเรา ต้องสร้างเหตุปัจจัยที่จะอำนวยผลในทางที่ต้องการ มิใช่หวังแต่จะได้ผล โดยไม่สร้างเหตุปัจจัยที่สอดคล้อง หวังอย่างนี้แหละครับที่โบราณไทยเราเรียกว่า "หวังลมๆ แล้งๆ"

    เราหวังจะกินมะม่วงอกร่องที่เอร็ดอร่อย วิธีจะให้สมหวังอย่างง่ายๆ ก็ไปหาซื้อมันมาจากตลาด เลือกเอาที่ดีที่สุด หวานที่สุดตามต้องการ อย่างนี้รับรองได้กินแน่นอน

    อีกวิธีหนึ่ง (ยากหน่อย ใช้เวลานานหน่อย) คือไปหาเมล็ดมะม่วงพันธุ์อกร่องมาเพาะปลูกไว้ที่หน้าบ้านหรือหลังบ้าน หมั่นดูแลรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยอย่างดี เมื่อต้นมะม่วงมันโตแล้ว ไม่กี่ปีก็จะผลิดอกออกผลให้เราเก็บกินได้ตามต้องการ

    อย่างนี้แหละครับ ที่พระพุทธศาสนาท่านว่า สร้าง "เหตุปัจจัย" ที่สอดคล้องกับผลที่เราต้องการ เราจึงได้รับผลตามปรารถนา

    แต่ถ้าเราไม่ "ทำ" อย่างนั้นล่ะ สมมุติว่าเราอยากกินมะม่วง แต่เราสวดมนต์อ้อนวอนทุกวันๆ "เจ้าประคู้ณ ขอให้มะม่วงอกร่องรสหวานอร่อยมาให้เรากินเถิด"

    มะม่วงมันไม่มีขา มันจะมาให้เรากินได้อย่างไร!

    คนทำอย่างนี้ ใครรู้เข้า เขาก็จะหาว่าไม่บ้าก็เมาเท่านั้นเอง

    หลักกรรมของพระพุทธเจ้า ความจริงเป็นเรื่องเข้าใจง่าย เพียงแต่เราทำในใจอยู่เสมอว่า กรรมคือการลงมือทำด้วยตัวเอง กรรม มิใช่ "กฎ" ลึกลับมหัศจรรย์พันลึกอะไร อย่างที่เข้าใจผิดกันเป็นส่วนมาก

    ไม่ว่าพระพุทธองค์จะทรงสอนเรื่องอะไร ก็จะทรงเน้น "กรรม" ไว้ด้วยเสมอ ไม่พูดตรงๆ ก็ "แฝงไว้" ให้รู้กันเอง ยกตัวอย่างหลักคำสอนที่เราเรียกกันว่า "หัวใจพระพุทธศาสนา"

    การไม่ทำความชั่วทั้งปวง

    การยังกุศล (ความดี) ให้ถึงพร้อม

    การทำจิตของตนให้ผ่องใส

    นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    เน้นตรงไหนครับ เน้นที่ "การกระทำ" ไม่ทำชั่วทั้งปวง ทำกุศลให้พร้อม และทำจิตให้ผ่องใส หลักกรรมก็ "แฝง" อยู่ในพระโอวาทนี้ ถ้าเราไม่พินิจพิจารณาก็อาจไม่ทราบได้

    ทีนี้ลองมาดูหลักอริยสัจ 4 ว่าเกี่ยวกับกรรมอย่างไร

    ตามที่เราทราบดีแล้ว อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาสอนชาวโลก คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    ทุกข์ ก็คือ ปัญหาของชีวิต ทรงสอนว่าโลกนี้มีปัญหาสารพัด นับตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ ไปจนกระทั่งปัญหาใหญ่ที่สุด เรียกว่าปัญหาตั้งแต่ "ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ" ว่าอย่างนั้นเถอะ

    สมุทัย ก็คือ สาเหตุของปัญหา ปัญหามิได้มีขึ้นมาลอยๆ มันต้องมีเหตุปัจจัยทำให้เกิด

    นิโรธ คือ การหมดปัญหา ภาวะไร้ปัญหาโดยสิ้นเชิง ปัญหามีได้ก็ย่อมหมดไปได้

    มรรค คือ วิธีการแก้ปัญหา การจะให้ปัญหาหมดไปก็ต้องมีวิธีการแก้ไข ไม่ใช่อยู่เฉยๆ มันจะหมดไปเอง

    หลักอริยสัจ 4 นี้เน้นอะไรครับ เน้นว่า "เราต้องใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา" หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็ว่า อริยสัจ 4 คือหลักว่าด้วยการรู้จักแก้ปัญหาด้วยปัญญา

    คุณธรรมที่เด่นในหลักธรรมนี้ก็คือ ปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ

    ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจ แก้ปัญหาได้ไหม?

    ไม่ได้ดอกครับ ขืนแก้ไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ มีแต่ทางผูกปมปัญหาให้ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น ไม่ต่างอะไรกับลิงติดตัง เห็นเขาเอาตัง (ยางเหนียวสำหรับดักสัตว์) มาวางไว้ เอามือซ้ายจับมือซ้ายติด มือขวาจับมือขวาก็ติด เอาเท้าซ้ายถีบเท้าซ้ายก็ติด เอาเท้าขวาถีบเท้าขวาก็ติด เอาปากกัดปากก็ติด ผลที่สุดก็ "ติดตัง" ดิ้นอย่างน่าสงสาร ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ

    ในนิทานชาดกเรื่องมโหสถชาดก ได้เล่าถึงเด็กน้อยโพธิสัตว์ชื่อ มโหสถ เป็นคนฉลาดมาก จนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบกิตติศัพท์ ให้ปุโรหิตมาดูพฤติการณ์ของเด็กน้อย พอพิสูจน์ได้ว่าเด็กน้อยฉลาดเหนือคนธรรมดาจริงๆ จึงเชิญไปอยู่ในวัง เมื่อโตมา มโหสถก็ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น

    เด็กน้อยมโหสถได้ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาของชาวบ้านหลายครั้งเป็นที่อัศจรรย์ ครั้งหนึ่งมีเหยี่ยวมาโฉบเอาเนื้อที่ชาวบ้านเขาตากแดดไว้ พวกเด็กๆ และผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างก็ร้องบอกต่างๆ กัน พากันวิ่งไล่เหยี่ยว สะดุดตอไม้บ้าง ก้อนดินบ้าง หกล้มได้รับบาดเจ็บคนละเล็กละน้อย แถมยังไม่ได้เนื้อคืนอีกต่างหาก

    เด็กน้อยมโหสถไตร่ตรองดูแล้ว เห็นว่าวิธีการไล่เหยี่ยวของชาวบ้านไม่ถูกต้อง วันหนึ่งเหยี่ยวตัวเดิมมาเอาเนื้อชาวบ้านไปอีก มโหสถ จึงวิ่งไล่เช่นเดียวกับชาวบ้าน แต่มโหสถมิได้วิ่งไปแหงนหน้าดูเหยี่ยวไปเหมือนคนอื่น

    เธอก้มมองดูเงาเหยี่ยวที่พื้นดิน วิ่งไล่ตามเงาเหยี่ยวไปจนทัน พอทันเงาแล้วก็เงยหน้าขึ้น ปรบมือ ตะโกนร้องเสียงดัง จนกระทั่งเหยี่ยวมันตกใจ ปล่อยก้อนเนื้อที่คาบอยู่ลงมา

    เป็นอันว่าเจ้าของเนื้อได้เนื้อคืน

    เพราะเด็กน้อยมโหสถได้ใช้ปัญญาแก้ปัญหา

    อีกคราวหนึ่ง มีผู้หญิงสองคนแย่งลูกกัน นัยว่าคนหนึ่งเป็นนางยักษิณีแปลงกายมา ชาวบ้านมามุงดูกลุ่มใหญ่ หญิงสาวสองคนต่างก็เถียงว่า ตนเป็นแม่ เด็กน้อยเป็นลูกชายของตน ไม่มีผู้ใดตัดสินได้ เพราะไม่รู้ว่าใครแม่แท้ ใครแม่เทียม

    มโหสถมาพบเข้าพอดี อาสาตัดสินความให้ วิธีของมโหสถก็คือ ให้หญิงสาวทั้งสองจับเด็กคนละข้าง คนหนึ่งจับเท้า คนหนึ่งจับหัว แล้วดึง ใครดึงได้ คนนั้นแหละเป็นแม่

    หญิงทั้งสองต่างก็ดึงเด็ก เด็กเจ็บก็ร้องไห้ลั่น ผู้เป็นแม่สงสารลูก จึงปล่อยมือยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น อีกคนได้เด็กแล้วก็ยิ้มอย่างดีใจ พร้อมร้องว่า "เห็นไหม ฉันบอกว่าฉันเป็นแม่ก็ไม่เชื่อ"

    มโหสถกล่าวว่า ท่านมิใช่แม่ของเด็ก คนที่ยืนร้องไห้นั่นต่างหากเป็นแม่ เพราะแม่ที่แท้จริงย่อมสงสารลูก เห็นลูกเจ็บปวดทนไม่ได้ จึงวางมือ

    นางยักษิณีหลงกลมโหสถ ก็สำแดงตัวแล้วก็หนีไป

    หญิงสาวก็ได้ลูกของตนคืน เพราะมโหสถใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาให้

    สรุปตรงนี้ก็คือ หลักอริยสัจ 4 ก็คือ หลักแห่งการใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิต

    เขียนมาจนจะจบแล้ว ท่านอาจถามขึ้นว่า แล้วมันเกี่ยวกับหลักกรรมอย่างไร

    ก็ขอตอบว่า หลักกรรมก็ "แฝง" อยู่ในนี้แหละครับ พิจารณาให้ดีก็จะเห็นการแก้ปัญหานั้น ถ้ามีแต่ปัญญาความรู้ความเข้าใจอย่างเดียวแก้สำเร็จไหมครับ ขอถามหน่อยเถอะ สมมุติว่าคุณติดบุหรี่อย่างงอมแงม ตอนหลังคุณคิดได้ว่าบุหรี่นี้มีโทษมากมาย ทำให้เป็นมะเร็งในปอด ทำให้เป็นโรคถุงลมโป่ง...อะไรสารพัด

    คุณรู้ว่ามันมีโทษมากมาย แต่ไม่ "ลงมืออด" บุหรี่ด้วยตัวคุณเอง คุณจะอดบุหรี่ได้ไหมครับ

    ผมตอบแทนก็ได้ อดไม่ได้แน่นอน ทั้งๆ ที่คุณรู้นั่นแหละ แต่รับรองอดไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้ลงมืออดจริงๆ

    นี่แหละครับ ปัญญาอย่างเดียวแก้ไม่ได้ ต้องลงมือทำจริงๆ

    การกระทำนั่นไง คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรม ละ

    กรรม (การกระทำ) จึงเกี่ยวข้องกับหลักอริยสัจ 4 ด้วยประการฉะนี้แล
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอพรปีใหม่
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun02040152&sectionid=0140&day=2009-01-04

    คอลัมน์ แท็งก์ความคิด

    โดย นฤตย์ เสกธีระ



    สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แรกของปีใหม่

    หลายคนคงได้หยุดพักมาแล้ว หลายคนกำลังหยุดพัก

    อีกหลายคนคงตระเวนเยี่ยมเยียนผู้มีพระคุณ

    ขอพร-ให้พรปีใหม่กันตามประเพณี

    คำว่า "พร" นี่มีความหมายว่า สิ่งที่ทำให้ผู้คนสมปรารถนา

    หรือใครที่เข้าขั้นนักธรรมคงเข้าใจนิยามตามคำพระ

    คำว่า "พร" หมายถึง ผลประโยชน์ หรือสิทธิพิเศษที่ได้ตามคำขอ

    คนที่ได้รับพร จึงหมายถึง คนที่ได้รับสิ่งที่ทำให้ตัวเองสมปรารถนา

    หรือหมายถึง ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ หรือสิทธิพิเศษตามที่ขอเอาไว้

    สรุปความได้ว่า คนที่ได้รับพรคือ คนที่มีสิทธิพิเศษ

    ขออะไรก็ได้ตามนั้น!

    ดังนั้น คนเราจึงอยากได้ "พร" กันครับ

    สมัยยังเล็ก เคยได้ยินนิทานเกี่ยวพันกับ "พร 3 ประการ"

    ผู้ให้พรมักป็นเทวดา-ผู้วิเศษ

    ผู้รับพรในนิทานมักเป็นคนโลภ

    ตอนจบของนิทาน มักลงเอยตรงที่ คนโลภแม้จะได้พรวิเศษ แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะความโลภ

    กลายเป็นนิทานสอนใจ เรื่อง "โลภมาก ลาภหาย"

    นั่นคือสมัยเด็กๆ

    พอโตขึ้นมา หลายคนรู้จัก "พร 4 ประการ"

    อายุ วรรณะ สุขะ พละ

    อายุ คือ การขอให้มีพลังชีวิตมากๆ ชีวิตจะได้มั่นคง เข้มแข็ง และยืนยาว

    วรรณะ คือ ขอให้มีสง่าราศี

    สุขะ คือ ขอให้มีความสุขนั่นแหละครับ

    ส่วน พละ คือ ขอให้มีเรี่ยวมีแรง

    "พร 4 ประการ" นี้ ผู้ให้พรคือ ผู้อาวุโสกว่า

    ผู้รับพรคือผู้อ่อนอาวุโสกว่า

    สังเกตไหมครับว่า ผู้ให้พรมักเป็นคนอื่น

    เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง เป็นผู้อาวุโสกว่าบ้าง เป็นต้น

    แต่ปีใหม่ปีนี้ อยากเสนอให้ท่านๆ ทั้งหลายเพิ่มการให้พร-รับพร อีกรูปแบบหนึ่งครับ

    นั่นคือ การขอพรและให้พรแก่ตัวเอง

    อย่าลืมนะครับว่า "พร" หมายถึง สิ่งที่ทำให้ผู้คนสมปรารถนา

    ภาษาทางพระ บอกว่า "พร" หมายถึง ผลประโยชน์ หรือสิทธิพิเศษที่ได้รับตามคำขอ

    ดังนั้น การที่เราขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้อาวุโสกว่า

    เท่ากับว่าเรากำลังรอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้อาวุโสกว่า

    แต่ปีนี้ อยากจะให้ท่านหันกลับมาพึงพาพึ่งพิงตัวเองให้มากขึ้น

    ใครอยากรวย ขอให้คนนั้นขยันขันแข็งประกอบกิจการการงาน

    ใครอยากเก่ง ขอให้คนนั้นหมั่นฝึกฝนฝีไม้ลายมือ

    หรือใครที่คิดว่าตัวเองควรปรับปรุงเรื่องนิสัยใจคอ

    ก็ต้องเอาใจใส่ต่อความคิดเห็นของตัวเองเป็นอันดับแรก

    เพราะความคิดที่ดีจะนำไปสู่พฤติกรรมที่ดี

    พฤติกรรมที่ดีจะนำไปสู่อุปนิสัยที่ดี

    ใครมีอุปนิสัยดี น่าคบ ผู้คนก็รักใคร่กันทั้งนั้นแหละครับ

    เห็นไหมครับว่า การจะเป็นคนรวย การจะเป็นคนเก่ง

    หรือแม้แต่การจะเป็นคนนิสัยดี

    เราต้องเริ่มต้นที่ตัวเอง

    นอกจากนี้ การขอพรจากตัวเอง มันเหมือนกับการตั้งเป้าหมายให้แก่ตัวเองครับ

    ปี 2552 ขอให้เรารวย ขอให้เราเก่ง ขอให้เราดี

    เท่ากับการให้สัญญากับตัวเองว่า ปีนี้เราจะรวย เราจะเก่ง เราจะดี

    การตั้งเป้าหมายให้แก่ตัวเองนี้ดีนะครับ

    เพราะเป้าหมายจะทำให้ชีวิตของเราในปี 2552 มีความชัดเจน

    เมื่อชีวิตมีเป้าหมายชัดเจน การดำเนินชีวิตชัดแจ้ง

    ทุกย่างก้าวของชีวิตก็แลดูมีพลัง

    ความเคลื่อนไหวมีสง่าราศรี

    มีเรี่ยวมีแรง และมีความสุข

    ตรงกับพร 4 ประการ คือ "อายุ" "วรรณะ" "สุขะ" และ "พละ" เปี๊ยบเลย

    ทีนี้พอจะมองเห็นอานุภาพของการขอพรจากตัวเองแล้วหรือยัง

    เห็นโอกาสที่จะได้รับพรทั้ง 4 ประการจากตัวเองบ้างไหมครับ

    ถ้าเห็นแล้ว อย่ารอช้า

    ตั้งจิตให้มั่น จากนั้นเริ่มขอพรจากตัวเอง

    ให้สัญญากับตัวเองว่าปีใหม่นี้เราจะทำอะไร

    เริ่มกันตั้งแต่ต้นปีนี่แหละครับดี

    เป้าหมายในปีนี้ของเราจะได้ชัด วิธีการดำเนินชีวิตในปีนี้ก็จะได้แจ่มใส

    แล้วปี 2552 ที่หลายคนคาดการณ์ว่า ทุกชีวิตจะประสบวิกฤตหนัก

    มันอาจจะกลายเป็นปีทองของทุกๆ คนก็ได้

    สวัสดีปีใหม่ครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความสามารถในการมองเห็นสิ่งใหม่
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud02040152&sectionid=0121&day=2009-01-04
    คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ

    โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ www.newheartnewlife.net



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>บทความชิ้นนี้เป็นบทความชิ้นแรกสำหรับปีใหม่ 2552 ของคอลัมน์จับจิตด้วยใจ ผมก็เลยลองนึกถึงคำว่า "ใหม่" ผมพบว่า "ความสามารถในการมองเห็นสิ่งใหม่ๆ" เป็น "ความสามารถพิเศษที่ธรรมดา" อย่างหนึ่ง

    ที่ว่า "ธรรมดา" นี้หมายความว่า "ใครๆ ก็มีได้" มนุษย์ทุกคนมีความสามารถนี้อยู่ในตัวกันอยู่แล้ว ที่ว่า "พิเศษ" ก็เพราะว่าถ้าเราลองละเอียดกับสิ่งที่เรารับรู้จริงๆ บางทีเราก็อาจจะพบ "ความพิเศษ" ในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นธรรมดาๆ อยู่ก็ได้

    ทั้งนี้เป็นเพราะแม้มนุษย์ทุกคนจะมีความสามารถนี้อยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ผมก็พบว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้นำความสามารถนี้ออกมาใช้ มีคนเพียงจำนวนไม่มากนักที่มีสามารถนำความสามารถนี้ออกมาใช้ได้เท่านั้น ก็เลยขอเรียกว่าเป็น "ความพิเศษในความธรรมดา"

    ผมมีสมมติฐานว่า คนที่มีความสามารถแบบนี้ มักจะเป็นคนที่มีความสามารถในการมีความสุขได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งถ้า "วันปีใหม่" จะหมายถึงการส่งความสุขกันแล้ว ผมก็เชื่อว่า การส่งผ่าน "ความสามารถตรงนี้" น่าจะเป็นของขวัญล้ำค่ามากอย่างหนึ่ง สำหรับวันปีใหม่ในปีนี้

    ในเวิร์กช็อปที่ผมและทีมงานได้ทำกับหน่วยงานต่างๆ นั้น จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสี่วันในห้องประชุมแต่ละแห่ง เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันที่สองหรือวันที่สาม ผมก็มักจะตั้งคำถามให้กับผู้เข้าร่วมประชุมว่า "ให้พวกเขาลองมองหาสิ่งใหม่ที่ยังไม่ได้มองเห็นหรือยังไม่ได้รับรู้ว่ามีอยู่ในห้องประชุมแห่งนั้น" มาอย่างน้อยห้าอย่างและเขียนลงไปในสมุดบันทึก

    คนส่วนใหญ่ก็จะพบและยอมรับว่า "มีมุมที่พวกเขายังไม่ได้มอง" หรือ "มองแต่ไม่เห็น" มากมายหลายมุม บางคนได้มากกว่าห้ามุม ในขณะที่พวกเขามองเห็นมุมที่ยังไม่เคยมองเห็น พวกเขากำลังได้สัมผัสกับ "ความใหม่" ที่เกิดขึ้น ณ ขณะเวลานั้น

    การมองเห็น "ความใหม่" ที่เกิดขึ้นแบบนี้สามารถก่อให้เกิด "ความมีชีวิตชีวาอะไรบางอย่าง" นำไปสู่ "ความปีติ" และความสุขอะไรบางอย่างที่ง่ายๆ อย่างบอกไม่ถูก

    เหมือนกับตากล้องที่บรรจงเลือกมุมต่างๆ ของดอกไม้สวยดอกหนึ่ง ที่สามารถมองได้หลายมุม แต่ละมุมก็ล้วนแล้วแต่มีความงดงามที่แตกต่างกันไป

    อย่างไรก็ตามก็จะพบประสบการณ์แปลกๆ ที่น่าสนใจกับเรียนรู้ คือมีเวิร์กช็อปปราบเซียนครั้งหนึ่งที่เมื่อผมให้ทำกิจกรรมการมองเห็นนี้ ผู้เข้าร่วมส่วนหนึ่งสะท้อนว่า "ไม่เห็นมีอะไรใหม่ในห้องประชุมนั้นเลย" พวกเธอเห็นหมดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่านสีขาวที่คล้องรอบเสาอยู่ ขลิบดิ้นทองที่อยู่ตรงชายผ้าม่าน รอยถลอกบนฝ้าเพดาน เสาใหญ่ของสองเสาด้านข้างที่แตกต่างกัน ฯลฯ

    อืมม ยอมรับว่า วินาทีนั้นผมอึ้งไปพอสมควร กำลังทบทวนอยู่ว่า อืมม บางทีผู้เข้าร่วมกลุ่มนี้อาจจะเป็นผู้เข้าร่วมที่มีการสังเกตดีมาก สามารถมองเห็นและรับรู้ทุกอย่างที่อยู่ในห้องได้เป็นอย่างดีอย่างละเอียดดีมากๆ อยู่แล้ว และผู้เข้าร่วมกลุ่มนี้เกือบจะเป็นผู้หญิงล้วน หรือบางทีผมก็คิดเลยไปว่า ผู้หญิงก็อาจจะมีการสังเกตที่ละเอียดมากกว่าผู้ชายกระมัง

    แต่ปรากฏว่าประเด็นไม่ได้อยู่เพียงแค่ "การมองเห็น" เท่านั้น แต่จะต้องรับรู้ได้ถึง "ความใหม่" ของสิ่งที่อยู่ตรงข้างหน้าของพวกเธอต่างหาก ผู้เข้าร่วมกลุ่มนี้ "มองเห็นแต่ไม่เห็นความใหม่" ไม่สามารถรับรู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น "เป็นความใหม่" พวกเธอบอกผมว่า "ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย"

    ผมก็เลยต้องใช้กระบวนท่าใหม่ ให้พวกเธอเหล่านั้นหยิบของใช้ประจำตัวออกมา อะไรก็ได้ที่อยู่กับตัวพวกเธอมานานแล้ว อาจจะเป็น มือถือ ปากกา แหวน หรือนาฬิกา ฯลฯ จากนั้นให้มองหาสิ่งที่พวกเธอยังไม่เคยมองเห็นในของใช้ประจำตัวของพวกเธอมาห้าอย่าง

    อืมม ถึงตรงนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมถึงจะเริ่มเข้าใจ "ความใหม่ในความเก่า" ที่จะต้องอาศัยการสังเกตอย่างละเอียดลออในการมอง หลายๆ คนเริ่มมองหาความใหม่ในสิ่งของที่อยู่กับพวกเธอมานานหลายปี มองทุกวันแต่ไม่เห็น

    หลังจากนั้นผมก็ยังตั้งคำถามให้ผู้เข้าร่วมกลุ่มนี้กลับไปทำเป็นการบ้านต่ออีกว่า "เมื่อกลับไปบ้านแล้วให้มองหาความใหม่ในคนใกล้ชิดที่อยู่ด้วยกันมานาน" อย่างน้อยห้าอย่าง มีอะไรบ้างที่พวกเธอยังไม่เคยมองเห็น

    เมื่อวันแม่ที่ผ่านมานี้เอง ผมได้ทดลองขอให้คุณแม่วัยเกือบแปดสิบของผมลองทำกิจกรรมคล้ายๆ แบบนี้ทุกวัน โดยขอให้คุณแม่ "เขียนทุกวัน" เพียงประมาณห้านาที ทุกๆ วัน โดยเริ่มต้นจากการให้ท่านเขียนสิ่งที่เห็นสิ่งที่รับรู้ในขณะนั้นว่า ท่านเห็นอะไรบ้าง ได้ยินอะไรบ้าง หรือรับรู้อะไรบ้าง

    ยากมากๆ นะครับสำหรับการที่คนอายุขนาดนั้นจะยอมทำอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิต แต่คุณแม่ของผมก็ได้พยายามลองลงมือเขียน แม้จะได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ต้องถือว่าเป็นความพยายามที่ดี ใหม่ๆ ท่านก็จะสงสัยมากว่าให้เขียนทำไม ในเมื่อ "สิ่งที่ท่านเห็น" ก็เหมือนเดิมๆ ทุกๆ เช้า เพราะท่านบอกว่าท่านนั่งที่เดิมตรงหน้าบ้านทุกๆ วัน ท่านก็เห็นนกเขาที่มาเกาะที่ต้นไม้ต้นเดิมตรงตำแหน่งเดิมทุกๆ วัน ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลยนี่นา ท่านก็บอกว่าท่านเขียนว่าท่านเห็นนกเขาเกาะที่กิ่งไม้ แล้วก็เขียนอะไรไม่ได้อีกเท่าไร กลายเป็นการเขียนบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้

    แต่ต่อๆ มา ในวันหลังๆ ท่านก็เริ่มยอมรับว่า อืมม บางวันก็แตกต่าง บางวันก็กลายเป็นนกกระจิบกระจาบ บางวันเสียงที่ได้ยินก็แตกต่างไป แม้จะนั่งที่เดิมเวลาเดิมทุกๆ เช้า

    นี่คือการสร้าง "ความสามารถในการมองเห็นสิ่งใหม่" ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นและเห็นได้ชัดว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนทักษะนี้อยู่บ้าง เพราะพวกเราส่วนใหญ่มักจะละเลยหรือมองข้าม "ความพิเศษ" ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ อยู่แล้วในทุกขณะของทุกอณูชีวิต เรามองสิ่งที่เราเห็นเป็นความธรรมดาก็เพราะเราไม่ได้มองอย่างจริงๆ จังๆ หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ "เรายังไม่ได้ดำรงอยู่ ณ ตรงนั้นอย่างแท้จริง"

    ด้วย "ความสามารถนี้" จะสามารถช่วยให้เรา "ดำรงอยู่อย่างแท้จริง" ได้ และยังจะช่วยให้เรามองเห็น "ความหลากหลายของชีวิต" มองเห็น "ความเป็นไปได้" ต่างๆ ของชีวิตได้อย่างมากมาย ซึ่งน่าจะนำ "ความสดใส" มาสู่ชีวิตให้สมกับคำว่า "ปีใหม่" ได้บ้างกระมัง
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินไข่สุก ๆ ดิบ ๆ มีโทษ
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=67960&NewsType=2&Template=1

    อาหารที่ทำจากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ยัดไส้ และอีกสารพัดเมนูไข่ คงจะคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราปรุงไข่แบบ สุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะ ไข่ดาว ไข่ลวก แทนที่จะได้ประโยชน์อาจเป็นโทษต่อร่างกาย

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ในไข่ 1 ฟอง ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน มีแต่โปรตีนอย่างเดียว ไข่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาดเดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้

    การกินไข่ดิบ หรือไข่ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆเช่น ไข่ดาว ไข่ลวก ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น “อัลบูลมิน” ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ ไม่ค่อยย่อย ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย “อัลบูลมิน”

    นอกจากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ “อะวิดิน” ไปจับกับ “ไบโอติน” ในร่างกาย ซึ่ง “ไบโอ ติน” เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิว อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียวร่างกายจะไม่ได้ “ไบโอติน” ที่อยู่ในไข่แดง แถม “อะวิดิน” ก็ไปจับกับไบโอตินอีก สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่

    ด้าน นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การกินไข่สุก ๆ ดิบ ๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์เต็มที่ แถมย่อยยาก และอาจมีเชื้อซาโมเนลลา หรือ อี.โคไล ที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร และที่สำคัญอาจจะไม่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก สรุปว่า กินไข่ดิบ ๆ สุก ๆ ไม่มีประโยชน์ สู้กินไข่สุกไม่ได้

    ที่ผ่านมาสังคมไทยกลัวไข่มาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด พอพูดถึงไข่ปุ๊บ มองไข่ในเชิงลบ ว่า มีคอเลสเตอรอลสูง จริงอยู่ไข่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากด้วย แถมราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนประเภทอื่น ๆ

    ก่อนที่จะกินไข่ ต้องดูก่อนว่า สุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไขมันในร่างกายไม่สูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่เป็นโรคเรื้อรังอะไร ผู้ใหญ่สามารถกินไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง แต่ถ้าไขมันในเลือดสูง มีภาวะโรคอ้วน ต้องให้แพทย์แนะนำ โดยสามารถกินได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือกินเฉพาะไข่ขาว ซึ่งไม่มีคอเลส เตอรอล แต่มีโปรตีน ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียน ไปจนถึงวัยอุดมศึกษา สามารถ รับประทานไข่ ได้วันละ 1 ฟอง สัปดาห์ละ 7 ฟอง เพราะต้องใช้พลัง งานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้ง ด้านร่างกายและ สติปัญญา

    ถามว่ากินไข่อย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยหลักง่าย ๆ คือ
    1.กินไข่ที่ปรุงสุกเท่านั้น
    2.ควรกินไข่ไปพร้อม ๆ กับอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ควรกินไข่อย่างเดียว โดยเฉพาะการกินไข่ร่วมกับผักจะมีไฟเบอร์ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในไข่ได้ส่วนหนึ่ง
    3.ควรกินไข่ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายเมนู คนที่มีภาวะไขมันในร่างกายสูง ควรหันมากินไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แทนไข่เจียวหรือไข่ดาว
    4.เมื่อกินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูงในวันเดียวกัน เช่น กินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงกินข้าวขาหมู ปลาหมึก กุ้ง
    5.กินไข่แล้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดภาวะ เสี่ยงต่อคอเลสเตอรอลสูงได้.
    นวพรรษ บุญชาญ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่าทำ 4 ประการ เพื่อให้รักยืนยง
    [4 ม.ค. 52 - 13:37]
    [​IMG]
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday07&content=117569

    [​IMG]

    เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไง “อารมณ์รัก” ของผู้คนชักร่อยหรอลงทุกวัน (หมายถึงรักอย่างใสซื่อและรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่รักแบบวูบๆวาบๆนะ) ตรงข้าม “อาการใคร่” กลับกำเริบเหิมเกริมหนัก จนมีข่าวเรื่องชวนกันไปเมกเลิฟ แก้ผ้าล่อนจ้อนเพื่อเบียดเสียดกันน่ะ....อู้หู มีอัตราเพิ่มขึ้นจนเกินบรรยายเชียวนะ
    เห็นผลสำรวจตรวจสอบที่แย่งกันรายงานจากหลายสำนัก ฟังแล้วแทบช็อก เพราะวัยรุ่นวัยโจ๋นิยมมีเซ็กซ์กันถี่จัด (ซึ่งที่จริงผู้ใหญ่ก็อาจเป็นงี้ด้วยแหละ) แต่ที่ไม่ธรรมดา คือ ไปทำอย่างงั้นก็ควรรู้จักวิธีป้องกันเอาไว้บ้างน้อ ไม่ใช่ปล่อยให้ท้องเทิ้งขึ้นมา แล้วหาคนรับผิดชอบไม่ได้ เฮ้อ...ยังไงๆ ก่อน “ฮอร์โมนแตก” ควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบกันสักนิด
    ไม่ใช่อยากทำก็ทำ แต่ขาดความรับผิดชอบ แสดงว่าไม่ใช่มนุษย์ที่ดีนะเอ็ง!
    ว่าแล้วสัปดาห์นี้ จึงอยากส่งเสริมให้เกิดความรักสมัครสมานสามัคคีกันเข้าไว้ แบบรักอย่างมีสติ เพราะ ไหนๆ ก็ตกกระไดพลอยโจน...เอ้ยตกหลุมรักกันแล้วนี่นา เอ๊ะหรือที่อยู่ด้วยกันนี่...ที่แท้ไปแย่งเค้ามา...ฮ้า! แต่เอาเหอะ ไม่ว่าจะเพราะอะไร? ขอให้รักกันนานๆ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้......
    1. อย่าคาดหวังกับความรักมากเกินไป แต่อย่าถึงกับไม่หวังอะไรซะเลย
    แม้กูรูมักบอกไว้ว่า ความรักเป็นเรื่องอารมณ์ และความรู้สึกล้วนๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ดังนั้น จึงอย่าไปคาดหวังมากจนเกินไป แต่ว่ามะ “ไอ้ที่หวังไม่ได้จริงๆ” น่ะคือ คนที่เราไปรักไปชอบ นั่นแหละ เอ้าขืนเค้าเป็นมนุษย์ โลเลก็แย่ดิ่
    ส่วน “เลิฟ” ที่เกิดขึ้นในใจเรานั้น คงทนถาวรอยู่ในซอกหลืบของ หัวใจกันอยู่แล้วจริงม้า ทว่า บางคนดูดู๊ดู แหมไม่น่าเป็นคนหลายใจได้เล้ย เพราะเห็นติ๋มๆ ออกหยั่งงั้น...ที่ไหนได้ โอ้โห สะสมกิ๊กซะจน พอคนดีๆ อย่างพวกเรากะจะไปเลิฟเค้า หากรู้ความลับนี้ก็เปลี่ยนใจดีกว่าวะ ขืนรักฝ่ายที่หลายใจ, เจ้าชู้หรือลีลาเยอะ, ลูกเล่นแยะ ควรหลีกทางบ๊ายๆจากเค้ามาซะเหอะ
    เชอะใช่ว่า เราจะหาใหม่ให้จ๊าบกว่านี้ไม่ได้...นี่หว่า
    2. อย่าอายที่จะเอื้อนเอ่ยคำว่า ขอโทษ... ถ้าเราเป็นฝ่ายทำผิดจริง
    ไอ้คนประเภทขี้เก๊กหรืออีโก้สูงและไม่ยอมลดราวาศอกให้แฟนเลยแม้แต่นิดเดียวน่ะ ไม่เห็นน่าพิสมัยคู่ควรที่จะอยู่กันต่อไปเลย เพราะเค้า (คนขี้เก๊ก) ไม่รู้รึว่า ใครๆก็ทำผิดได้ ทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์ทั้งในส่วนที่ทำถูก และทำผิดมาแล้วทั้งนั้นแหละ ขืนแฟนผู้ใดคิดว่า “ข้าถูกเสมอ ส่วนเอ็งน่ะผิดตลอด” อื้อหือแล้วใครจะอยู่กะมันยืดฟะ หยั่งงี้หากมีเรื่องให้ต้องตกลงกันเมื่อไหร่ เค้าก็จะเสนอด้านที่เค้าคิดว่าเค้าถูกตลอดเวลา จนแฟนไม่ต้องอ้าปากพูดอะไรเลยแหละ! แต่คนรักหรือกิ๊กประเภทนี้น่ะ กลับเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากใช้สมองให้สิ้นเปลือง และยอมเป็นเบี้ยล่างของเค้าน่ะซี
    3. อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความรัก
    ข้อนี้ไม่เหมือนข้อแรกหรอกนะ เพราะการปล่อยอารมณ์ให้อยู่เหนือรัก ก๊อเช่น เกิดคู่กิ๊กหรือคู่เลิฟมีความเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ตรงกันขึ้นมาสักอย่าง เกิดฝ่ายนึงชอบรถสีแดง อีกข้างชอบรถสีเหลือง แล้วเผอิญกำลังตัดสินใจว่าจะซื้อรถอยู่พอดี
    มีหวังคงได้ทะเลาะกันแน่ ว่าจะซื้อสีแดงหรือสีเหลืองดี? เพราะมีเงินซื้อแค่คันเดียวอ่ะดิ่ โถ...ถ้ามีเงินเหลือเฟือเรื่องแค่นี้คงไม่อารมณ์เสียใส่กันหรอก เอ้า หากมีเงิน “ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด” ละก็ ปัญหานี้แก้ได้ง่ายมาก ด้วยการซื้อรถซะ 2 คัน คันละสีซะเลย ทีนี้จะได้มีของใครของมัน ยิ่งส่ออาการทำให้ห่างเหินกันไปใหญ่...อ้าว?
    ดังนั้น จำไว้นะจ๊ะ ถ้ายังอยากรักกันต่อไป ขอให้เลิฟอย่างสมูท (ราบรื่น) ไว้ก่อน ด้วยการ อย่าปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่เหนือความต้องการของแฟนหนู น่ะซี ไม่งั้น คาถาครองคู่เค้าจะบอกไว้เรอะ ว่ามี แฟนต้องอดทน หากเค้าร้อน เราต้องเย็น...ไง
    4. อย่าคาดคั้นหาคำตอบในบางปริศนาจากคนรัก เพราะการคันคะเย้อ เอ้ย....ชอบรบเร้าอีกฝ่ายน่ะ แทนที่เค้าจะเห็นว่าน่ารัก ตรงข้ามอาจน่าเตะ, น่าถอง และน่าเหยียบก็ได้
    อย่างคำถามที่ว่า คุณรักชั้นแค่ไหน? อื้ม...จะให้ตอบยังไงเนี้ยะ แค่ซักไซ้ไล่เรียงว่า รักชั้นรึเปล่า? แค่นี้ก็ไม่มีใครอยากตอบแระ เพราะหากไม่รักแล้วจะยอมอยู่ด้วยเรอะ อีกอย่าง ถ้าไม่รักก็คงไม่ยอมทำนู่นทำนี่ให้ ทำซะจนเหมือนอีกฝ่ายเป็นเบบี๋ไปแล้วน่ะซี
    อ้อขอหักมุมพูดถึง พวกชอบเล่นตัว หน่อยเหอะ โดยเฉพาะพวกที่คิดว่าชั้นสวย ชั้นหล่อ ชั้นมีความสามารถ ชั้นมีฐานะ แล้วเวลา “สมาชิกพรรคกระยาจกอย่างเราๆ” ไปหลงใหลได้ปลื้มชนิดรักใสๆ ทุกห้องหัวใจให้เธอ แต่เค้า (พวกถือตัวและเล่นตัวนั่นแหละ) ทำเป็นไม่แยแส ทั้งๆที่เราบอกรักก็แล้ว, แสดงความเลิฟอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำให้ใครก็แล้ว อาจยังไม่ได้คำตอบจากเค้าซะทีว่าจะยอมเป็นแฟนด้วยหรือไม่? ก็จงรู้ไว้เหอะว่า เค้าอยากรอว่าจะมีเหยื่อที่ดีกว่าชาวกระยาจกอย่างเราๆมาจีบเค้าอีกรึเปล่าน่ะซี
    ฉะนั้น ใครที่คอยดอกฟ้า (ที่อาจเป็นหญิงหรือชายก็ได้) อยู่ หากรอ ร้อ รอ รอจนนานเกิน ที่ใครคนหนึ่งจะรอรักจากอีกคนนึงได้แล้วละก็ แล้วจะไปรออีกทำไมยะ โลกนี้ยังมีคนเหมาะสมกะเราอีกมากอย่าลืมสิ บางทีการไปรักคนที่ไม่เหมาะกะเรา หรือเราไม่เหมาะกะเค้า ย่อมไม่ใช่เนื้อคู่กันอยู่ดี ดังนั้น เลือกที่พอดีๆ ไม่มากเกินและไม่น้อยไป “รัก” ก็จะคงทนไปเองละฮ้า.
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กำเนิดปฎิทิน และตำนานวันปีใหม่ [4 ม.ค. 52 - 17:04]
    [​IMG]
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=117585

    ปีใหม่...ช่วงเวลาแห่งความหวังและความสุขของมวลมนุษยชาติ หลายๆคนนับถอยหลังเฝ้ารอช่วงเวลานี้ เพราะหวังว่าวันปีใหม่จะเปรียบเสมือนการเริ่มต้นชีวิตใหม่ และสิ่งใหม่ๆดีๆจะต้องมีมาอีกครั้ง

    [​IMG]

    คุณผู้อ่านเคยนึกสงสัยบ้างไหม ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คงไม่ใช่แค่เพราะคำว่า​
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ผวาปี 52 ตกงาน 1 ล้านกระทบกำลังซื้อวูบ จบใหม่ 6.7 แสนเตะฝุ่น
    http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153878
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2552 18:51 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> นักเศรษฐศาสตร์ เตือนรับมือปัญหาว่างงานปี 52 ใกล้ชิด คาดเกิน 1 ล้านคน ส่งผลต่อคนในครอบครัวอีก 4 ล้านคน เพราะขณะนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเหมือนช่วงที่ผ่านมา การเสนอข่าวการว่างงาน กลับทำให้บริษัทหรือโรงงานบางแห่ง เอาเปรียบแรงงานมากขึ้น แม้จะมีผลดำเนินการได้กำไร กลับฉวยโอกาสปรับลดโบนัส ลดค่าแรง และตัดสวัสดิการ

    วันนี้ (01 มกราคม 2552) นายแล ดิลกวิทยารัตน์ ศาสตราภิชาน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาการว่างงานในปี 2552 คาดว่าจะมีจำนวนผู้ว่างงานกว่าล้านคน แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 แต่รัฐบาลต้องหาทางรับมือในเชิงรุก เพระการตกงาน 1 ล้านคนจะเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวอีก 4 ล้านคน

    ดังนั้น รัฐบาลต้องเข้าไปหาข้อมูลอย่างใกล้ชิดทั้งโรงงาน บริษัทต่าง ๆ ที่เริ่มมีปัญหา เพื่อหาทางรับมือได้อย่างถูกต้อง และการเข้าไปเจรจาต่อรองกับสถานประกอบการเพื่อลดค่าใช้จ่ายบางส่วนแทนการปรับลดคนงานหรือเลิกจ้างให้เป็นทางเลือกสุดท้าย หากธุรกิจต้องล้มจริงๆ

    "หน่วยงานภาครัฐต้องบุกเข้าไปถึงโรงงาน สำรวจข้อมูลให้ถูกต้องพร้อมกับแนะนำให้กับแรงงานว่ามีโรงงาน บริษัทแห่งใดยังต้องการับแรงงาน และให้หน่วยงานภาครัฐเป็นผู้รับสมัครแรงงานให้กับเอกชนไปก่อน จึงค่อยส่งต่อให้บริษัท เพราะกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้นผู้ใช้แรงงานหากจะติดต่อกับหน่วยงานราชการก็จะทำได้ค่อนข้างลำบาก"

    ภาครัฐต้องเข้าไปดูว่ามีการจ่ายชดเชยการเลิกจ้างให้กับลูกจ้างครบถ้วนหรือไม่ และควรพิจารณาว่าสมควรหรือไม่ที่จะมีการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้มากกว่า 6 เดือน เพื่อจะได้ออกไปหางานใหม่ทำได้ เนื่องจากขณะนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเหมือนช่วงที่ผ่านมา ที่สำคัญการเสนอข่าวการว่างงานขณะนี้ กลับทำให้บริษัทหรือโรงงานบางแห่งเอาเปรียบแรงงาน แม้บริษัทยังมีผลดำเนินการได้กำไร จึงถือโอกาสปรับลดโบนัส ลดค่าแรง หรือตัดสวัสดิการพนักงาน จึงต้องดูแลเรื่องดังกล่าวให้เกิดความเป็นธรรมด้วย

    สำหรับภาวะการว่างงานของไทยในเดือนตุลาคม 2551 สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจพบว่ามีคนว่างงานเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ 510,000 คน ใกล้เคียงกับ 528,000 คนในปี 2550 สาเหตุที่ภาพรวมในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 คนว่างงานมีจำนวนลดลง เนื่องมาจากจำนวนของคนว่างงานในกลุ่มผู้ไม่เคยทำงานมาก่อนลดลง ได้แก่ นักเรียน นักศึกษาจบใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน และกลุ่มผู้ที่เคยทำงานในภาคเกษตร ขณะที่สถานการณ์การว่างงานในกลุ่มผู้ที่เคยทำงานมาก่อนยังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าปัญหาว่างงานที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น อาจนำมาซึ่งปัญหาการบริโภคที่ชะลอตัว และปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการตกงานทำให้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อยลงจากการว่างงานแฝง ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประมาณการผลกระทบกรณีมีการว่างงาน 1 ล้านคน ในไตรมาสแรกปีหน้า เนื่องจากมีบัณฑิตจบใหม่เฉลี่ยทั้งปี 675,000 คน จะทำให้การบริโภคของกลุ่มแรงงานดังกล่าวน่าจะลดลงอย่างน้อยประมาณ 13,000 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 0.6 ของการบริโภคภาคเอกชนในปี 2552 ขณะที่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวรุนแรงกว่าที่คาด ย่อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานของไทย

    รัฐบาลควรออกมาตรการเร่งด่วนในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทำพร้อมกันหลายแนวทางโดยการจัดสรรงบประมาณเข้าช่วยเหลือ เพื่อรักษาระดับการจ้างงานไว้ และต้องมีแนวทางจูงใจให้มีการเลิกจ้างน้อยที่สุด การดูแลสภาพคล่องให้พอพยุงกิจการเอาไว้ได้ ไม่ให้ถึงขั้นต้องเลิกการผลิต เช่น การลดภาระด้านภาษี ซึ่งแม้ว่าจะมีผลดีต่อธุรกิจ แต่ก็อาจยังคงไม่เพียงพอสำหรับธุรกิจที่ประสบภาวะหดตัวของคำสั่งซื้อจนขาดทุน ต่างจากการที่รัฐบาลลดอัตราดอกเบี้ยและการเพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับค่าใช้จ่ายบางรายการ รวมทั้งภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ซึ่งจะเกิดแรงจูงใจได้มากกว่า แม้อาจกระทบรายได้รัฐบาลบ้าง

    ทั้งนี้ เพราะหากมีการเลิกจ้างเกิดขึ้นแล้ว มาตรการรับมือคือการโอนย้ายแรงงานจากสถานประกอบการที่ถูกเลิกจ้างไปยังสถานประกอบการบางแห่งที่ขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่เน้นใช้แรงงาน (Labor-intensive) รวมทั้งการสร้างงานในชุมชนท้องถิ่นเพื่อรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ เพื่อให้มีงานทำและมีรายได้เลี้ยงชีพ ตลอดจนมีการจัดสรรเงินทุนให้แก่แรงงานที่ตกงาน ถูกเลิกจ้าง เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพอื่นได้ และมีการ Re-Training จัดฝึกอบรม เพิ่มทักษะและพัฒนาฝีมือแรงงานให้กับผู้ตกงาน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา Human Capital ถดถอย เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถแข่งขันได้ เมื่อต้องกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เร่เข้ามาชมสินค้าใหม่ของตลาดทุนไทย

    http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=25970
    รายงานโดย :...พนิตศรณ์ หวังจงชัยชนะ:
    วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

    1ม.ค. 2552 ตลาดหลักทรัพย์ได้จัดโครงสร้างการบริหารในส่วนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงการทำงานของบริษัทลูก ไม่เว้นแม้แต่บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) หรือ TFEX
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพรหมคุณาภรณ์ ปราชญ์พุทธศาสนา
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB3TkE9PQ==

    มงคลข่าวสด




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พระพรหมคุณาภรณ์" เป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาแห่งยุคปัจจุบันที่ได้รับความเคารพนับถือและยอมรับอย่างกว้างขวางจากชาวไทยและชาวโลก ทั้งจากชาวพุทธและผู้ที่นับถือศาสนาอื่น

    พระเดชพระคุณเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย มีวัตรปฏิบัติที่อ่อนน้อมถ่อมตนให้ความสำคัญและเคารพสนใจแก่ผู้ที่เข้าพบโดยไม่เลือกชาติ ศาสนา ผิวพรรณ และเพศ

    เป็นพระสงฆ์ที่ทำคุณประโยชน์ต่อวงการพระพุทธศาสนา และสังคมของมวลมนุษย์อย่างหาที่เปรียบได้ยาก ยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องแห่งธรรมวินัย

    ปัจจุบัน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) สิริอายุ 70 ปี พรรษา 47 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม

    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า ประยุทธ์ อารยางกูร เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2481 ที่ตลาดศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อนายสำราญ และนางชุนกี อารยางกูร เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวน 9 คน

    ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย มีกิจการโรงสีไฟ ตัวท่านได้รับอิทธิพลการดำเนินชีวิตด้วยครรลองคลองธรรมจากบิดามารดามาแต่วัยเยาว์

    เริ่มเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลที่ตลาดศรีประจันต์ เรียนประถมศึกษาที่โรงเรียนประชาบาลชัยศรีประชาราษฎร์ เมื่อจบประถมศึกษาแล้วโยมบิดาพาไปจังหวัดพระนคร เพื่อเข้าศึกษาต่อโรงเรียนมัธยมที่โรงเรียนวัดปทุมคงคา แต่พำนักอยู่ที่วัดพระพิเรนทร์

    ได้รับทุนเรียนดีของกระทรวงศึกษาธิการเป็นประจำ แต่ด้วยสุขภาพไม่ดี เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้กลับไปบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ โดยมีพระครูเมธีธรรมสาร เป็นพระอุปัชฌาย์

    จากนั้นได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม พ.ศ.2496 ได้ย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัพระพิเรนทร์สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก และสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยคขณะเป็นสามเณร เป็นรูปที่ 2 แห่งรัชกาลปัจจุบัน

    จึงได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อุปสมบทเป็นพระภิกษุในฐานะนาคหลวง เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2504 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดเบญจมบพิตร ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์

    ได้รับฉายานามว่า ปยุตโต มีความหมายว่า ผู้เชี่ยวชาญวิทยาการ

    หลังอุปสมบทได้มุ่งมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม พ.ศ.2505 สำเร็จการศึกษาปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.2506 สอบได้วิชาชุดครู พ.ม.

    ท่านเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เป็นรองเลขาธิการมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าอาวาสวัดพระพิเรนทร์ด้วย

    ท่านได้อุทิศตนให้กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งด้านการบรรยาย ทางวิชาการ การแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดจนงานด้านนิพนธ์ เอกสารวิชาการ และตำราจำนวนมาก ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ

    ความใฝ่รู้ ใฝ่ค้นคว้าวิจัย ทำให้พระพรหมคุณาภรณ์ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฏกและพระคัมภีร์ชั้นรองอื่นๆ เสมอมา พร้อมทั้งศึกษาค้นคว้าศาสตร์ต่างๆ ทางโลกทั้งมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์

    จนมีความรู้อย่างแตกฉานลึกซึ้ง สามารถแต่งตำรา และบรรยายทั้งหลักพระพุทธศาสนาโดยตรง กับวิชาการต่างๆ ทางโลกแทบทุกสาขา ดังปรากฏหลักฐานจากการแต่งหนังสือกว่า 312 เรื่อง และการบรรยายนับพันครั้ง

    ผลงานเขียนทุกชิ้นจะต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ทั้งร่างโครงการ หาข้อมูล ดำเนินการ จนกระทั่งงานสร้างเสร็จสมบูรณ์ บางชิ้นใช้เวลา 7 วัน บางชิ้นร่วมเดือน สองสามเดือน ปีหนึ่งหรือมากถึง 3 ปี

    โดยเฉพาะหนังสือ "พุทธธรรม" ซึ่งถือเป็นผลงานเพชรน้ำเอก

    จากการเตรียมข้อมูล ทำให้งานเพียบพร้อมสมบูรณ์และออกมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งหนังสือ ตำรา เทป-ซีดี ร่วม 1,000 เรื่อง

    อีกทั้งยังได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติมากมาย อาทิ รางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพ พ.ศ.2537 จากยูเนสโก นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเกียรติให้รับรางวัลนี้ ถือเป็นการสร้างเกียรติประวัติ และชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างมาก

    ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2512 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระศรีวิสุทธิโมลี

    พ.ศ.2516 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่พระราชวรมุนี

    พ.ศ.2530 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่พระเทพเวที

    พ.ศ.2536 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมปิฎก

    พ.ศ.2547 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นพรหม ที่พระพรหมคุณาภรณ์

    ตลอดระยะกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ท่านจะงดรับกิจนิมนต์ แม้แต่ภายในวัดก็ไม่ได้ออกมาร่วมพิธีทั่วไป เว้นแต่ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือในวาระจำเป็นจริงๆ เท่านั้น

    นับตั้งแต่ท่านเริ่มอาพาธ โดยเฉลี่ยสามารถเขียนหนังสือได้ถึงเดือนละ 2 เล่ม ส่วนมากเขียนขึ้นจากคำบรรยายที่นำมาถอดเทป เรียบเรียง ตรวจทานและปรับสำนวนใหม่ เพื่อให้คนอ่านเข้าใจง่าย

    ผลงานใหม่ของท่านยังมีออกมาให้เห็นเป็นระยะ อาทิ รัฐศาสตร์แนวพุทธตอนจริยธรรมนักการเมือง หนังสือชุดธรรมะประยุกต์สำหรับคนทำงาน ประกอบด้วย อาทิ นรก-สวรรค์ สำหรับคนรุ่นใหม่ รักนั้นดีแน่ แต่รักแท้ดีกว่า ทุกข์สำหรับเห็น แต่สุขสำหรับเป็น และงานก็ได้ผล คนที่เป็นสุข เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่ได้มีการแยกหมวดหมู่ไว้อีกมากมาย รวมทั้งหนังสือที่ท่านได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษอีกหลายเล่ม

    ทุกวันนี้ ปฏิปทาจริยาวัตรอันสงบ แห่งท่านเจ้าคุณนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่เป็นพระมหาประยุทธ์ จวบจนได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏที่พระพรหมคุณาภรณ์

    ในยามที่นักวิชาการมาสนทนากับท่านที่กุฏิ ท่านมักเป็นผู้ฟังมากว่าผู้พูด รับฟังทัศนะของผู้อื่นด้วยเมตตา ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเสียหน้า

    ตลอดชีวิตของท่าน แม้จะเผชิญเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่ไม่เคยแม้สักครั้งที่ศิษย์หรือคนใกล้ชิดจะพบว่าท่านกำลังโกรธเคืองหงุดหงิด รำคาญใจ แม้แต่อาการเจ็บป่วยอาพาธที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน

    ในโอกาสวันที่ 12 มกราคม 2552 เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุวัฒนมงคลครบรอบ 71 ปี ของท่านเจ้าคุณฯ

    แม้ท่านจะเคยปรารภไม่ต้องการให้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตก็ตาม แต่คณะศิษย์และผู้ที่เลื่อมใสในพระเดชพระคุณ ล้วนแต่ปรารถนาได้ร่วมกันแสดงมุทิตาสักการะ

    ดังนั้น ในวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม 2552 ทางวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ได้กำหนดจัดงานทำบุญแจกอุปกรณ์การศึกษา และมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีความประพฤติดี ผลการเรียนดี แต่ยากจน จำนวน 70 คน มีกำหนดการดังต่อไปนี้

    เวลา 10.00 น. พุทธศาสนิกชนผู้มาร่วมทำบุญ พร้อมกันที่อุโบสถประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์

    เวลา 10.50 น. มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนจำนวน 70 ทุน เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพล

    เวลา 12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน เป็นอันเสร็จพิธี

    ขอเชิญผู้เคารพนับถือพระเดชพระคุณร่วมทำบุญโดยพร้อมเพรียงกัน
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มี pm มาหาผม


    Private Message: Re: ขอความกรุณา <!-- post # --><TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] เมื่อวานนี้, 11:38 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>...........
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Nov 2008
    ข้อความ: 12
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ขอความกรุณา
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->รบกวนพี่ช่วยดูสมเด็จองค์นี้ให้หน่อยครับแท้หรือเปล่า
    http://palungjit.org/showthread.=1

    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    --------------------------------------------------

    ขอไม่ตอบครับ

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กฎหมายวาไรตี้ โดย ช. ช้างหัวหน้า
    http://www.thaipost.net/index.asp?bk=sunday&iDate=4/Jan/2552&news_id=167506&cat_id=110800

    4 มกราคม 2552 กองบรรณาธิการ

    "แบ่งมรดก"

    เมื่อเจ้ามรดกตาย ทายาทลำดับใดจะได้รับส่วนแบ่งเท่าไร เกิดปัญหาโต้เถียงกันเป็นอย่างมากว่าใครควรจะได้ส่วนแบ่งมากน้อยเพียงใด เป็นข้อพิพาทที่ต้องถึงโรงศาลเป็นประจำ ดังนั้น เพื่อขจัดปัญหาและง่ายต่อความเข้าใจ วันนี้จะเสนอข้อมูลการแบ่งมรดกอีกครั้งหนึ่ง

    การแบ่งมรดกต้องแบ่งให้กับทายาทโดยพินัยกรรมก่อน และถือเป็นสิทธิเด็ดขาดของผู้รับพินัยกรรม เพราะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของเจ้ามรดกที่ได้กำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สิน ซึ่งกฎหมายจะบังคับให้เป็นไปตามเจตนาเป็นสำคัญ แต่หากเป็นกรณีเจ้ามรดกไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้หรือเป็นทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรม การแบ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้

    1) ทายาทโดยธรรม มีหกลำดับเท่านั้น แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ (ป.พ.พ.มาตรา 1629, 1630)

    (1) ผู้สืบสันดาน

    (2) บิดามารดา

    (3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

    (4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

    (5) ปู่ ย่า ตา ยาย

    (6) ลุง ป้า น้า อา

    หลักการแบ่งมีว่า "ตราบใดที่มีทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณีในลำดับหนึ่งๆ ที่ระบุไว้ข้างต้น ทายาทผู้ที่อยู่ในลำดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย

    แต่ความในวรรคก่อนนี้ มิให้ได้บังคับในกรณีเฉพาะที่มีผู้สืบสันดานคนใดยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่กัน แล้วแต่กรณี และมีบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ในกรณีเช่นนั้นให้บิดามารดาได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร"

    หมายความว่าการแบ่งมรดกถือหลักญาติสนิทตัดญาติห่าง ตราบใดที่มีญาติสนิทลำดับต้น ทายาทลำดับถัดไปหมดสิทธิได้รับมรดก ยกเว้นทายาทลำดับ (1) และ (2) ไม่ตัดกันโดยกฎหมาย ให้ถือว่าทายาทลำดับ (2) เป็นทายาทชั้นบุตรด้วย เช่น เจ้ามรดกตาย ในขณะตายมีบุตร 2 คน มีบิดาอีก 1 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนมารดาเสียชีวิตไปก่อนแล้วและมีพี่ชายของเจ้ามรดกอีก 2 คน ดังนี้การแบ่งมรดกถือว่าบุตร 2 คน ซึ่งเป็นทายาทลำดับ (1) ตัดพี่ชายของเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทลำดับ (3) แต่ไม่ตัดลำดับ (2) ดังนั้น ทรัพย์มรดกจึงต้องแบ่งเป็นสามส่วนให้กับลูก 2 คน กับบิดา 1 คน คนละส่วนเท่าๆ กัน

    2) ทายาทโดยธรรมที่เป็นคู่สมรส คือสามีหรือภริยาของผู้ตาย และต้องเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

    หลักการแบ่งให้คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ กฎหมายให้มีสิทธิรับมรดกตามลำดับและส่วนแบ่งดังต่อไปนี้ (ป.พ.พ.มาตรา 1635)

    (1) ถ้ามีทาบาทตาม (1) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตร

    (2) ถ้ามีทายาทตาม (3) และทายาทนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ หรือถ้าไม่มีทายาทตาม (1) แต่มีทายาทตาม (2) แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้รับมรดกกึ่งหนึ่ง

    (3) ถ้ามีทายาทตาม (4) หรือ (6) และทายาทนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ หรือมีทายาทตาม (5) แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิได้รับมรดกส่องส่วนในสาม

    (4) ถ้าไม่มีทายาทโดยธรรมตามที่ระบุไว้ทั้งหกประเภทดังกล่าวมาแล้ว คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้รับมรดกทั้งหมด

    มีข้อสังเกตว่า ทายาทโดยธรรมที่เป็นคู่สมรสจะไม่ตัดสิทธิของทายาทที่เป็นญาติทั้งหกลำดับ แต่จะมีสิทธิได้รับมรดกมากน้อยขึ้นอยู่กับลำดับทายาทที่มีสิทธิรับมรดกว่ามีลำดับห่างเพียงใด

    ข้อมูลที่นำเสนอในวันนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับวิถีชีวิตประจำวันในการนำไปใช้วิเคราะห์จัดสรรทรัพย์สินของผู้ตาย เพื่อไม่ให้ต้องเกิดเป็นข้อพิพาทกันในภายหลังว่าใครมีสิทธิ ไม่มีสิทธิอย่างใดในทรัพย์มรดก และไม่ต้องเกิดข้อพิพาทกันในโรงศาลเพิ่มขึ้นอีกนั่นเอง.
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คอลัมน์ Side ways
    http://www.thaipost.net/index.asp?bk=sunday&iDate=4/Jan/2552&news_id=167508&cat_id=110800

    4 มกราคม 2552 กองบรรณาธิการ

    บายไลน์ : อธิคม คุณาวุฒิ ความสุขในกติกาทุนนิยม

    ในฐานะคนทำงานสื่อ ผมรู้สึกผิดนิดๆ ที่ไม่ทันสังเกตอย่างจริงจังว่า รูปแบบการจัดพิธีกรรมเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ทวีความอึกทึกครึกโครม ค่อนไปทางเอะอะมะเทิ่ง และอบอวลไปด้วยบรรยากาศซื้อขายนั้น มันเริ่มต้นปรากฏร่องรอยเป็นหลักฐานตั้งแต่เมื่อไหร่ มีพัฒนาการความเป็นมาอย่างไร รวมถึงว่านอกเหนือจากผู้คนที่แห่แหนไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพิธีฉลองตามสถานที่ต่างๆ แล้ว มีตัวละครอื่นใดไปข้องเกี่ยวและผลักดันให้เกิดบรรยากาศดังที่กล่าวบ้าง ฯลฯ

    แต่ถ้าให้เดาจากฐานความคิดที่ค่อนข้างเป็นปฏิปักษ์กับโลกของการซื้อๆ ขายๆ แล้ว คงมีเหตุผลสนับสนุนอยู่พอสมควรว่า กลไกการทำงานของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม มีส่วนอย่างยิ่งในการเสริมสร้างบรรยากาศเทศกาลขึ้นปีใหม่ให้เป็นไปในลักษณะเอะอะมะเทิ่ง นับวันยิ่งโกลาหลอลหม่าน และเป็นการสาธิตตัวอย่างคำว่า 'สนุกจนลืมตาย' ให้เห็นเป็นอย่างดีครั้งแล้วครั้งเล่า...ปีแล้วปีเล่า

    อย่างที่บอกครับ เมื่อก่อนเราอาจไม่ทันสังเกตและไม่รู้สึกจริงๆ ว่า วินาทีเปลี่ยนผ่านระหว่างปีนั้นมันสำคัญถึงขั้นเป็นประเด็นในการนำเสนอข่าวถ่ายทอดสดโทรทัศน์ตั้งแต่ตอนไหน ถึงขั้นต้องรายงานบรรยากาศการจุดพลุเฉลิมฉลองตามแลนด์มาร์ก หรือ 'จุดสำคัญ' ต่างๆ ในประเทศ

    คำว่า 'แลนด์มาร์ก' ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะถ้าผมเข้าใจไม่ผิดและความทรงจำไม่ผิดพลาด จุดเริ่มต้นของการรายงานข่าวเทศกาลปีใหม่ในบ้านเรา น่าจะมีต้นกำเนิดจากรายงานข่าวต่างประเทศซึ่งบรรยายบรรยากาศบริเวณไทม์สแควร์ นิวยอร์ก ไว้อย่างฉูดฉาดครึกครึ้นน่าตื่นตาตื่นใจ

    มีเหตุผลมากมายครับ ที่ชาวโลกต่างจับจ้องพิธีกรรมและบรรยากาศเทศกาลปีใหม่ที่ไทม์สแควร์ ทั้งในเบื้องต้นแค่ว่ามันน่าจะเป็นสถานที่ทันสมัยที่สุด อึกทึกที่สุด เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ มาร่วมกันเฉลิมฉลองในพื้นที่อันเป็นแก่นแกนสัญลักษณ์ของดินแดนแห่งเสรีภาพทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ฯลฯ

    ทีนี้ถ้าหันมาสำรวจสถานที่จัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือแลนมาร์กในการเคาต์ดาวน์ในบ้านเรา จะพบว่าสถานที่ประสบความสำเร็จในแง่ของศักยภาพการสร้างจุดสนใจสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามายืนเบียดๆ ถูๆ เหยียบตาปลากันได้ปีละมากๆ นั้น ล้วนเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจแทบทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่เจ้าของสถานที่ ก็เป็นเจ้าของสินค้าสปอนเซอร์หลักในการจัดงาน

    เรื่องนี้ก็ควรเข้าใจได้อีกนั่นแหละ...เอกชนจำเป็นต้องจมูกไว มีสัญชาตญาณในการทำมาหากิน รวมถึงมีศักยภาพในการเข้าใจและเข้าถึงรสนิยมพฤติกรรมผู้คนในสังคม ในเมื่อห้างสรรพสินค้ากลายเป็นวัดโบสถ์ของคนในโลกสมัยใหม่ ถึงขั้นที่อดีตรัฐมนตรีบางคนเคยเสนอให้เอาพระเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเพื่อให้คนกราบไหว้ได้สะดวก...มันก็ถูกแล้วที่เทศกาลแห่งความสุขจะออกมาในรูปแบบนี้

    แล้วถ้าตกลงจะเอาแบบนี้มันก็เข้าใจได้หมดแหละครับ เช่น สาเหตุที่โป๊ะเรือของโรงแรมล่มในช่วงเทศกาลลอยกระทงเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็เนื่องจากเราอยากโปรโมตเทศกาลลอยกระทงดึงดูดเงินนักท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมี 'รายจ่าย' บ้างเป็นธรรมดา หรือเราอยากจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวแห่แหนกันมากราบพระ ด้วยการสร้าง 'ธูป' ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อบันทึกลงกินเนสส์บุ๊ค จนล้มทับคนตายให้อับอายขายหน้าทั้งประเทศ มันก็คงเป็นเรื่องที่...ควรเข้าใจได้อีกเหมือนกัน

    ว่าไปแล้วเส้นกราฟของความอลหม่านอึกทึกพุ่งสูงขึ้นๆ ในเทศกาลความสุขช่วงหลังมานี้ ก็เป็นไปตามสมมุติฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่นักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน 101 ต่างก็รับทราบดีว่า กติกานี้ออกแบบมาให้ผู้คนยิ่งบริโภคมากเพื่อยิ่งเพิ่มความพึงพอใจมาก เส้นกราฟความพึงพอนี้จะไต่ชันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ต่อให้บริโภคเพิ่ม (หรือสนุกเพิ่ม) แต่ความพึงพอใจก็จะไม่เพิ่มอีกต่อไป

    มันก็เหมือนพฤติกรรมการย้ายสถานที่เคาต์ดาวน์จากบ้านไปอยู่ลานห้างสรรพสินค้า และจากลานห้างสรรพสินค้าไปอยู่ในผับ ทั้งหมดก็เพื่อตอบสนองความสุขและความพึงพอใจล้วนๆ

    ปัญหามีอยู่ว่า อะไรจะเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนให้เราเอือมเอียนกับความสุขจากการบริโภคมากขึ้นๆ จนเลยจุดพึงพอใจ เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องเศร้าก็คือมันอาจไม่ใช่การอิ่มโดยตัวของมันเอง แต่เป็นรายจ่ายในแง่ชีวิตและทรัพย์สินที่สูญหายอย่างไม่ทันตั้งตัว แถมยังหาคนมารับผิดชอบแทนไม่ได้

    อย่างไรก็ตาม ประเด็นไม่ใช่ว่าใครควรเป็นเจ้าภาพในเทศกาลแบบนี้...ภาคธุรกิจเอกชนหรือภาครัฐ เพราะความสุขเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ควรที่ใครจะเสนอหน้ามาบีบบังคับจัดระเบียบ

    ประเด็นคือทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความสุขตามกติกาทุนนิยม ซึ่งมีข้อตกลงพื้นฐานว่า ทุกคนมีศักยภาพและความรับผิดชอบเท่าเทียมตามหน้าที่ รัฐมีหน้าที่ดูแลและบังคับใช้กฎหมาย เอกชนมีหน้าที่ขายบริการด้วยคุณภาพและความซื่อสัตย์ ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกวิธีเข้าถึงความสุขตามรสนิยมและกำลังซื้อของตนเอง

    แนวโน้มปริมาณโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในเทศกาลความสุขของประเทศเราชี้ให้เห็นว่า ข้อตกลงพื้นฐานดังกล่าว...ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง.
     

แชร์หน้านี้

Loading...