พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    หวัดดีครับคุณ ก๊อน มีพระพิมพ์ดีๆเยอะนาครับ ถ้าเหลืออย่างไรผมยินดีรับนา คร๊าบ หุ หุ
     
  2. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    สมเด็จอัศจรรย์โกลาฤกษ์เป็นอย่างไรหรอครับอยากเห็นรูปได้ยินกิติคุณท่านมานานแล้ว ถ้าได้ขึ้นคอมั่งคงดีอิอิ *-*
     
  3. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    มองโลก...มองชีวิตในแง่ดี...


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    มองโลก...มองชีวิตในแง่ดี...


    คิดถึงคนที่คุณอยากให้มาอยู่รอบๆ ตัว คิดถึงคนที่อยู่ด้วยแล้วเบิกบานใจ คนเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง มีใครในนั้นมองโลกในแง่ร้าย คอยคิดแต่สิ่งเลวร้ายว่าจะเกิดขึ้นบ้าง... ไม่มีเลย เราอยากเข้าไปอยู่ในหมู่คนที่มองโลกมองชีวิตในแง่ดี...


    ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน หรืออยู่กับเพื่อนฝูง จงทำตัวให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี แล้วคนอื่นๆ ก็จะมองคุณในแง่ดีกลับมา


    ถ้ามีเรื่องท้าทายคุณอยู่ข้างหน้า ไม่ว่าคุณกำลังพยายามปีนขึ้นเขาหรือพยายามผลักดันงานชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ คุณอยากได้คนแบบไหนมาอยู่รอบๆ ข้างล่ะ คนมองโลกในแง่ร้ายที่คอยตอกย้ำว่าคุณคงล้มเหลวแน่ หรือคนมองโลกในแง่ดีที่คอยบอกว่าคุณจะทำได้สำเร็จ


    คิดถึงคนที่คุณอยากให้มาอยู่รอบๆ ตัว คิดถึงคนที่อยู่ด้วยแล้วเบิกบานใจ คนเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง มีใครในนั้นมองโลกในแง่ร้าย คอยคิดแต่สิ่งเลวร้ายว่าจะเกิดขึ้นบ้าง ไม่มีเลย เราอยากเข้าไปอยู่ในหมู่คนที่มองโลกมองชีวิตในแง่ดี


    การมีชีวิตอยู่อย่างน่าพอใจ คือหนึ่งในความท้าทายของชีวิตเรา และความท้าทายจะลงเอยได้ดีที่สุดด้วย การมองโลกในแง่ดี


    นักวิทยาศาสตร์ประสบความยากลำบากในการทำนายความสุขของคนคนหนึ่ง โดยดูจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาประสบในชีวิต และพบว่าสิ่งที่ใช้ทำนายความสุขได้ดีกว่าไม่ใช่จำนวนเหตุการณ์ที่ดีหรือร้ายที่คนคนหนึ่งประสบ แต่กลับกลายเป็นความเชื่อและทัศนคติที่เขามี


    ------------------------------------------------------------------------------------
    จาก 100 วิธีมีความสุขทุกวัน โดย ดร.เดวิด ไนเวน
    ชานชาลา แปล



    ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(ป้าแก้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง
    http://www.teenee.com/
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    โกรธไปไย

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    โกรธไปไย


    เหตุอันใดไยเล่าเรายังโกรธ
    รู้ทุกข์โทษเร่าร้อนนอนหวั่นไหว
    คนยังโกรธท่านว่าเอาแต่ใจ
    รับไม่ได้คนอื่นขืนขัดคำ

    คิดหวังไว้ให้เขาเหมือนเราคิด
    ลองพินิจตรองดูก็น่าขำ
    เขาต้องรู้สินะว่าควรทำ
    ไยไม่จำอย่างนี้ที่ต้องการ

    โอ้ไม่เป็นเช่นหวังพังสลาย
    เขาทำลายไมตรีให้ร้าวฉาน
    ต้องทนทุกข์ท้อแท้ทรมาน
    ที่เคยหวานขมไปไม่เหลือเลย

    ยอมรับกันเสียทีจะดีไหม
    เรื่องของใจ เราเขาสุดเฉลย
    แตกต่างกันมาก่อนสิ่งคุ้นเคย
    ย่อมเปิดเผยออกมาไม่ว่ากัน

    ต่างพื้นเพที่มาอย่ายึดถือ
    เพียงใจซื่อจริงใจไม่หุนหัน
    อย่าคิดเปลี่ยนเขาอื่นสารพัน
    เพื่อเรานั้นถูกใจใช่เรื่องดี

    เพิ่มเมตตาเข้าใจใช่ขึ้งโกรธ
    อย่าเพ่งโทษใส่ความหยามศักดิ์ศรี
    เราก็จิตเขาก็ใจคิดตรองซี
    ล้วนน้องพี่ร่วมทุกข์สุขเวียนวน............



    ขอบคุณบทความจากธรรมะไทย

    อ้างอิง

    http://www.teenee.com/
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    เมื่อคืนได้อ่านประวัติครูบาวงศ์ ท่านเคยเกิดเป็นฤาษีวาสุเทพด้วยแหละ และเคยเกิดเป็นกวางคำ ที่มาของชื่อเจดีย์พระธาตุของท่านด้วยแหละครับสนุกมาก
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันพรุ่งนี้ถึงกำหนดคัดเลือกผู้เข้าร่วมธนาคารความดีแล้วนะครับ ผมจะทยอยเก็บรวบรวมทั้งที่ตั้งใจ post และไม่ตั้งใจ post ในช่วงวันที่บอกกล่าวโครงการนี้ ส่วนที่ตั้งใจ post ก็หมายถึงว่าตั้งใจตั้งในความดี ส่วนที่ไม่ตั้งใจ post คือจิตตั้งในความดีอย่างเป็นธรรมชาติ ก็ใช้เวลารวบรวมหน่อย ส่วนของน้อง shinray นี่ สงสัยต้องสรุปเป็นรายการว่าน้องเขาทำสม่ำเสมอทุกวัน เชื่อว่า"พฤติกรรมที่เราทำต่อเนื่องกัน" ๒๑ วันจะทำให้เราเป็น"นิสัย" ยังไงก็ขอให้สมหวัง และโชคดี พระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ พระธาตุอรหันต์ พระเครื่องของวังหน้า และพระเครื่องทั่วไปอยู่ที่ผมพร้อมแล้ว ..

    หลังจากนี้กรรมการต้องทำงานหนักหน่อยครับ..
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  8. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ขออวยพรปี่ใหม่ด้วยนะครับปีใหม่ปีหน้าผมว่าจะฝึกฝนตนเองให้ดีขึ้นจะสวดมนต์ให้เยอะขึ้นเพราะผมอยากสวดเยอะแต่ว่าช่วงม.5นี้งานเยอะพอสมควรทำการบ้านก็ดึกนั่งคนเดียวก็กลัวๆเหมือนกันแหะเลยเปิดคอมทิ้งไว้แล้วทำงานไปแก้ความเงียบผมยังรู้สึกว่าผมยังตั้งใจเรียนไม่ค่อยเต็มที่พอจะพยายามอ่านหนังสือให้มากกว่าเดิม
    ขออวยพรปีใหม่ให้พี่ๆทุกท่านทำอะไรสมความปรารถนาด้วยเถิด
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขออัญเชิญกระแสบารมีของพระบรมสารีริกธาตุเจ้าทุกๆพระองค์ดลบันดาลให้ชาวคณะพระวังหน้ามีความก้าวหน้าในธรรม มีความสุข สมหวังตลอดปี ๒๕๕๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    เด๋วนี้น้องผมเริ่มหันมาสนใจพระพุทธศาสนาแล้วครับ *-*
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุญกิริยาวัตถุ

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    บุญกิริยาวัตถุ (อ่านว่า บุน-ยะ-กิ-ริ-ยา-วัด-ถุ) แปลว่า เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หมายถึงเหตุเกิดบุญ, วิธีการทำบุญ, วิธีที่เมื่อทำแล้วได้ชื่อว่าทำบุญและจะได้รับผลเป็นความสุข

    บุญกิริยาวัตถุโดยย่อมี 3 ประการคือ
    1. ทานมัย การให้ทาน
    2. ศีลมัย การักษาศีล
    3. ภาวนามัย การอบรมจิตใจ
    บุญกิริยาวัตถุโดยพิสดาร มี 10 ประการ คือ
    1. เหมือนข้างต้น
    2. เหมือนข้างต้น
    3. เหมือนข้างต้น
    4. อปจายนมัย การอ่อนน้อมถ่อมตน
    5. เวยาวัจมัย การช่วยเหลือผู้อื่น
    6. ปัตติทานมัย การแผ่ส่วนบุญ
    7. ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนาบุญ
    8. ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรม
    9. ธัมมเทสนามัย การแสดงธรรม
    10. ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรง
    [แก้] อ้างอิง

    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 20/1000000Post-expand include size: 3968/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:50628-0!1!0!!th!2 and timestamp 20081229010712 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8".
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ๑. ทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการสร้างทานนั้น
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการทำทานนั้น คือ
    ๑. เจตนาก่อนที่จะทำทานนั้น
    ๒. เจตนาขณะที่กำลังทำทานนั้น
    ๓. เจตนาขณะที่ทำทานนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนาที่ทำทานนั้นเสร็จไปแล้วเป็นเวลานาน
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
    ๔. องค์ทานที่จะทำนั้นต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์
    ๕. องค์ทานนั้นต้องมีประโยชน์กับปฏิคาหกหรือผู้รับ
    ๖. ปฏิคาหกหรือผู้รับต้องเป็นบุคคลที่สมควร ( มีคุณธรรมสูงสุด คืออริยบุคคล ต่ำสุด คือผู้มีนิจศีล)
    ผลของ ทาน
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    มีกินมีใช้ด้วยวคามอุดมสมบูรณ์ตามฐานะ

    ๒ ศีลที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะรักษาศีลอันถูกต้อง
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการรักษาศีลนั้น คือ
    ๑. เจตนาก่อนที่จะรักษาศีล
    ๒. เจตนาขณะที่กำลังอยู่ในศีล
    ๓. เจตนาที่พ้นจากศีลใหม่ๆ
    ๔. เจตนาที่พ้นจากศีลนานแล้ว
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
    ๔. ศีลแต่ละตัวจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง
    ๕. ประเภทของศีลอย่างหยาบๆมีดังนี้คือ
    ๑. นิจศีล หมายถึง ศีลที่ติดอยู่ตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง และมีความถูกต้องครบถ้วน
    ๒. อุโบสถศีล หมายถึง ศีล ๒ อันได้แก่
    ๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลทั้ง ๘ ตัว จะต้องมีครบถ้วนไม่บกพร่อง
    ๒. ภาวนา คือ ในขณะที่รักษาศีลอยู่นั้นจะต้องมีการภาวนาในอนุสสติ ๕ ให้เกิดขึ้น
    ตลอดเวลาที่รักษาศีล คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ เทวตานุสสติ
    ๓. วิสุทธิศีล หมายถึง ศีล ๔ อันได้แก่
    ๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลที่รักษามีกี่ตัวจะต้องครบถ้วนสมบูรณ์
    ๒. อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมทางทวาร ๖ อยู่ในความเป็นอุเบกขา
    ๓. อาชีวสังวร คือ การเลี้ยงชีวิตโดยชอบ ภิกษุได้แก่การบิณฑบาต ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะ
    ต้องเป็นสัมมาอาชีวะ
    ๔. ปัจจยสังวร คือ การกินอาหารต้องพิจารณาว่ากินเพื่อดำรงชีวิตอยู่ การแต่งกายต้อง
    พิจารณาว่าแต่งกายเพื่อป้องกันอุณหภูมิร้อนเย็น และป้องกันความอุจาดลามก ที่อยู่อาศัยจะต้อง
    พิจารณาว่าเพื่อป้องกันแดดป้องกันฝน การกินยารักษาโรคต้องพิจารณาว่าเพื่อบำบัดทุกขเวทนา
    ให้ลดน้อยถอยลง จะได้ทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้นได้
    ผลของ ศีล
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    มีคนเคารพนับถือมีความสุขสบาย

    ๓ ภาวนาที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะสร้างภาวนาให้เกิดขึ้น
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการภาวนานั้น คือ
    ๑. เจตนาก่อนภาวนา
    ๒. เจตนาขณะกำลังภาวนา
    ๓. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จไปนานแล้ว
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ภาวนาอันถูกต้องในพระธรรมของพุทธศาสนา๕. มีความรู้ความหมายของบทบริกรรมภาวนานั้นว่ามีความหมายประการใดแล้วโน้มจิตตามไป
    ผลของ ภาวนา
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    ๑. มีจิตใจไม่วุ่นวาย
    ๒. การดำรงชีวิตมีสุข

    ๔. การเคารพบุคคลที่ควรเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตนที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในบุคคลผู้นั้น
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตน คือ
    ๑. เจตนาก่อนทำ
    ๒. เจตนาขณะกำลังทำ
    ๓. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วเป็นเวลานาน
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. บุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติอันดีทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้อง
    ๕. เคารพโดยการอนุโมทนาในคุณงามความดีในทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้องของผู้นั้น
    ผลของ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    มีคนเคารพนับถือยอมรับเป็นผู้นำของเขา

    ๕. ขวนขวายในกิจที่ชอบที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะขวนขวายในกิจที่ชอบ
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการขวนขวายในกิจที่ชอบนั้น คือ
    ๑. เจตนาก่อนทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
    ๒. เจตนาขณะทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
    ๓. เจตนาที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วนาน
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. การกระทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมโดยไม่เดือดร้อนแก่ผู้ใด เช่น การทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    ผลของ ขวนขวายในกิจที่ชอบ
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    ๑. ดำรงชีวิตด้วยความปลอดโปร่ง
    ๒. มีคนช่วยเหลือและสนับสนุนในกิจการที่กระทำในชีวิต

    ๖. การแผ่กุศลผลบุญที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่จะให้ความเอื้อเฟื้อความสุขความสบายแก่ผู้อื่น
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น คือ
    ๑. เจตนาก่อนที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น
    ๒. เจตนาขณะที่กำลังแผ่กุศลผลบุญนั้น
    ๓. เจตนาที่แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนาที่ได้แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จนานแล้ว
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ตนได้สร้างกุศลอันถูกต้องให้เกิดขึ้นแล้ว อันได้แก่ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลกุตตรกุศล อันถูกต้องในพระพุทธศาสนา
    ๕. การแผ่กุศลเสร็จแล้ว ควรจะได้ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะผู้นั้นอาจเคยเป็น เจ้าเวรนายกรรมมาแต่ก่อนก็ได้๖. ระบุผู้ที่ควรแก่การแผ่กุศลนั้นด้วยเจตนาอันมั่นคง และสมควรแก่ฐานะที่เราจะแผ่กุศลผลบุญให้แก่เขา หรือสมควรแก่ฐานะของผู้รับจะได้รับหรือไม่
    ผลของ แผ่กุศลผลบุญ
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    ๑. มีผู้ยกย่องสรรเสริญ
    ๒. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ
    ๓. มีผู้เสียสละให้แก่ตน

    ๗. การอนุโมทนาบุญที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ผู้นั้นกระทำคุณงามความดีอันถูกต้องในทางโลกหรือทางธรรม
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการอนุโมทนาคุณงามความดีของผู้นั้น คือ
    ๑. เจตนาก่อนที่จะอนุโมทนา
    ๒. เจตนาขณะที่กำลังอนุโมทนา
    ๓. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จเป็นเวลานานแล้ว
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. รู้ว่าผู้นั้นกระทำโดยถูกต้องทั้งในทางโลกหรือทางธรรมเพื่อเป็นการสืบต่อ ๓ สถาบัน คือ ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ โดยไม่หวังประโยชน์ใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
    ๕. อนุโมทนาคุณงามความดี หรือมีความยินดีต่อการกระทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมโดยไม่
    เบียดเบียนหรือหวังผลแต่ประการใดๆ เลย
    ผลของ การอนุโมทนาบุญ
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    ๑. มีผู้สรรเสริญ
    ๒. ดำเนินชีวิตโดยความถูกต้อง

    ๘. การฟังธรรมที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ได้ฟังธรรมในพระพุทธศาสนา
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการฟังธรรมนั้น คือ
    ๑. เจตนาก่อนที่จะฟัง
    ๒. เจตนาขณะที่กำลังฟังธรรม
    ๓. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จนานแล้ว
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ตั้งใจฟังด้วยความเคารพในธรรมของพุทธศาสนาและพยายามจดจำไว้
    ๕. เมื่อฟังแล้วพิจารณากลั่นกรองด้วยเหตุด้วยผล และพิจารณาว่าธรรมนั้นสมควรแก่ฐานะ
    ของตัวเราที่จะประพฤติปฏิบัติได้หรือไม่
    ๖. เมื่อมีข้อสงสัยก็สนทนาไต่ถามเพื่อทำความเข้าใจอันถูกต้อง
    ๗. ประพฤติปฏิบัติธรรมที่ได้ฟังให้ถูกต้องตามควรแก่ฐานะ คือ การสืบต่อพระพุทธศาสนา
    นั่นเอง
    ผลของ การฟังธรรม
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่คนอื่นรู้ได้ยากแต่ตนรู้ได้โดยง่าย

    ๙. การให้ธรรมเป็นทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องเพื่อดำรงไว้ซึ่งพุทธศาสนา
    ๒. มีเจตนา ๔ ในการที่ให้ธรรมอันสมควร คือ
    ๑. เจตนาก่อนให้ธรรม
    ๒. เจตนากำลังให้ธรรม
    ๓. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
    ๔. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จนานแล้ว
    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. เป็นธรรมในพระพุทธศาสนาอันถูกต้อง
    ๕. ธรรมที่ให้นั้นเป็นธรรมที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติ
    ๖. ชี้แจงให้ผู้ฟังมีความเข้าใจ สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้โดยถูกต้องตามฐานะ
    ผลของ การให้ธรรมเป็นทาน
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    ๑. มีปัญญาเฉลียวฉลาด
    ๒. เข้าถึงธรรมอันถูกต้องได้โดยง่าย
    ๓. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ
    ๔. มีผู้เคารพนับถือ
    ๕. ดำเนินชีวิตไปด้วยความถูกต้อง

    ๑0. ทิฏฐุชุกรรม( การทำความเห็นให้ถูก ) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องโดยเชื่อพระธรรมในพุทธศาสนาแต่ละเรื่องและขั้นตอนในการที่กระทำ
    สิ่งนั้นๆ ให้ถูกต้อง
    ๒. จะต้องมีการค้นคว้าในพระธรรมคำสอนอันถูกต้อง
    ๓. จะต้องมีการประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมและผลเกิดขึ้นแล้วจึงจะสามารถรู้ได้ว่าอย่าง
    ใดผิดอย่างใดถูก
    ๔. ต้องใช้สติและปัญญาประกอบด้วยเหตุและผลแต่ละขั้นละตอน
    ๕. ในเรื่องแต่ละเรื่องจะต้องพิจารณาด้วยเหตุและผลด้วยจิตเป็นอุเบกขา ทั้งในเรื่องดีและ
    เรื่องชั่ว
    ๖. สิ่งที่ถูกต้องตามพระธรรมคำสอนนั่นก็คือ " ละความชั่ว ทำแต่ความดี "
    ๗. เมื่อการทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จะกระทำในสิ่งอันถูกต้องนั้นจะต้อง ประกอบด้วยเจตนา
    ๔ อันมีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่ง ใน ๘ ดวง
    ผลของ ทิฏฐุชุกรรม
    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
    ปวัตติกาล
    ๑. มีสติปัญญาอันว่องไว
    ๒. มีความคิดความเห็นอันถูกต้องทั้งในทางโลกและทางธรรม

     
  13. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309

    แรกน้องผมเขาไม่ค่อยสนใจไม่ค่อยเชื่อ พอครูเขาเล่าประสบการณ์หลวงปู่สีให้ฟังน้องผมเชื่อเลย ทีผมเล่ามันไม่เชื่อเหอๆ ครูไปฟังมาน้องเริ่มศรัทธาหาสายสร้อยใหญ่เลย แล้วมาถามหาคาถาบูชาใหญ่เลย อย่างน้อยก็ดึงน้องเข้าโคจรพระพุทธศาสนาได้แล้วที่เหลือเด๋วเขาก็คงหาศึกษาเองเพราะแรกๆไม่ศรัทธาผมค่อยบอกแต่พอน้องผมศรัทธามันก็จะหาอ่านเอง เมื่อนั้นมันเข้าวิถีโคจรแบบผมเลย ไปเรื่อยๆเขาก็อยากจะศึกษาธรรมะเป็นคนดีเอง ผมล่ะดีใจ แรกๆโดนด่าว่าบ้า *-*
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในส่วนของผม ตั้งธงไว้ที่ เรื่องของบุญกริยาวัตถุ 10 และการร่วมกิจกรรมในทุกๆครั้ง สำหรับการมอบพระสมเด็จ(อัศจรรย์โกลาฤกษ์)ครับ

    .
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>“จุติสถาน ๖” หลักธรรมที่จำแนกว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วไปไหน?

    </CENTER>


    “จุติสถาน ๖” คือ สถานที่ดวงจิตละสังขารแล้วไปจุติทั้ง ๖ ประเภท




    เมื่อสัตว์ (ชีวิตินทรีย์ที่มีจิต) ตายลงจิตดวงสุดท้ายในภพนั้นๆ เรียกว่า “จุติจิต” คือ จิตที่จะเกิดการเคลื่อนออกจากร่างนั้นๆ ปกติแล้ว “จุติจิต” จะไม่เกิดขึ้นระหว่างยังมีชีวิตอยู่ เพราะชาติภพยังไม่หมดสิ้น อายุขัยยังไม่ดับ ดังนั้น ในกรณีของผู้ฝึก “มโนมยิทธิ” หรือกรณีตายแล้วฟื้นนั้น แท้แล้วจิตไม่ได้เคลื่อนออกจากกายเพื่อเข้าสู่ภพอื่นใด เพียงแต่จิตนั้นกำหนดจดจ่อการรับรู้ไปยังภพภูมิอื่น จึงได้รู้สึกเหมือนว่าตนเองไปยังภพนั้นๆ มาแล้ว ดังนั้น การกล่าวว่าถอดจิตหรือถอดกายทิพย์ไปยังภพอื่นๆ ได้ขณะยังมีชีวิตอยู่นั้นจึงไม่จริง เพียงแต่จิตกำหนดจดจ่อการรับรู้ไปเท่านั้นเอง จิตจะเคลื่อนออกจากกายสู่ภพใหม่ได้ก็ต่อเมื่อ “สิ้นชีวิต” และ “ชาติภพสิ้น” หรือ “อายุขัยหมด” เท่านั้นเอง ซึ่งก็ต้องตายสถานเดียว ในกรณีทางการแพทย์ที่ระบุว่า “ตายแล้วฟื้น” นั้น ปกติไม่มี “การตายแล้วฟื้น” เป็นเพียงการสูญสิ้นการทำงานของสังขาร แต่ “ขันธ์ห้ายังไม่ทันดับ” เท่านั้นเอง จิตที่หลงไปจดจ่อยังภพอื่น ไม่ยอมฟื้นในระหว่างนั้น ไม่ได้เคลื่อนออกจากกาย เพราะขันธ์ทั้งห้ายังไม่ดับสลายลง ดังนั้น บางท่านแม้ไม่หายใจ, หัวใจหยุดเต้นแล้วแต่ร่างกายยังไม่แข็ง ยังอ่อนนิ่มอยู่ ยังไม่ได้ดับขันธ์ห้า จิตจึงยังไม่เคลื่อนออกไปสู่ภพใหม่ จึงยังไม่ตาย ที่เรียกว่า “ลมหายใจสิ้นแต่ยังไม่สิ้นลมปราณ” นั่นเอง ตราบเมื่อขันธ์ทั้งห้าดับลง จิตเคลื่อนออกจากกายสู่ภพใหม่แล้วเท่านั้น จึงจะตายจริง และจิตไปยังภพอื่นอย่างแท้จริง การถอดกายทิพย์นั้น จิตไม่ได้เคลื่อนออกไป ไม่ใช่ “จุติจิต” เพียงแต่ทำสมาธิแล้วเพ่งสติกำหนดการรับรู้ไปยังภพภูมิอื่นๆ หากจิตไม่มีการปรุงแต่ง มีความบริสุทธิ์มาก จิตมีกำลังญาณสูง ก็สามารถรับรู้เรื่องราวของภพภูมิอื่นๆ ได้ไม่ยากนัก โดยอาจไม่มีนิมิต หรือไม่มี “กายทิพย์” ปรากฏให้เห็นในอีกภพหนึ่งก็ได้ สำหรับ “กายทิพย์” ที่ปรากฏในภพอื่นในขณะยังมีชีวิตอยู่ในภพโลกนั้น เรียกว่า “อมโนปฏิสนธิ” เกิดจากจิตที่มีกำลังจิตมาก เนรมิตกายอีกกายหนึ่งจาก “ขันธ์ห้า” ชุดใหม่ หรือนำขันธ์ห้าเพียงบางส่วนในกายตนออกไป (ถอดกายทิพย์) โดยที่ “จิตหลัก” ไม่ได้ถอดหรือเคลื่อนออกไปด้วย ลักษณะแบบนี้เรียกว่า “มโนมยิทธิ” คือ ความมีฤทธิ์ทางใจ ใช้จิตหลักที่ยังอยู่ในกายในภพโลก ควบคุมการแสดงออกของ “กายทิพย์” อีกกายหนึ่ง ทั้งยังรับรู้ผ่านกายนั้นๆ ได้อีกด้วย ในกรณีที่สัตว์ได้ตายจากภพโลกแล้วจริงๆ จะมี “กระบวนการตาย” ตามลำดับ ดังนี้




    ๑. ขันธ์ห้าดับสลาย (ขันธ์ดับ)

    คือ การรับรู้สิ้นลง ไม่รู้สึกตัว ประสาทสัมผัสไม่ตอบโต้ เรียกว่า “รูปขันธ์ดับ” (ผู้ตายไม่รับรู้สิ่งเร้าได้แล้ว), ความรู้สึกสุข-ทุกข์ ความรู้สึกใดๆ สิ้นลง เรียกว่า “เวทนาดับ” (ผู้ตายไม่รับรู้สึกสุขทุกข์หรือเจ็บปวด), ความทรงจำ หรือการจำได้หมายรู้ จะค่อยเลือนหายไปชั่วขณะ เรียกว่า “สัญญาดับ” (ผู้ตายจะจำอะไรไม่ได้ชั่วขณะเหมือนภาวะเข้าสู่ฌานสี่), ลมหายใจขาด หัวใจหยุดเต้น ใจหยุดทำงาน (คลื่นสมองหยุดนิ่ง) เรียกว่า “สังขารดับ” (แพทย์วินิจฉัยว่าตายแล้ว), จากนั้น จึงจะสูญสิ้นลมปราณเป็นลำดับสุดท้าย

    ๒. ธาตุสี่แยกออกจากกัน (ธาตุแตก)

    คือ ธาตุสี่ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ในร่างกายจะสลายแตกแยกออก มีเลือดและของเหลวในทวารต่างๆ ไหลออกมา จากจมูกบ้าง, ปากบ้าง, หูบ้าง, ก้นบ้าง ฯลฯ และเน่าสลายเป็นดิน เรียก “ธาตุสี่ดับสลาย” ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการดับขันธ์ห้าแต่กินเวลานานกว่า

    ๓. จิตจุติออกจากภพเดิม (จิตจุติ)

    คือ จิตเปลี่ยนจาก “ภวังคจิต” ซึ่งมีภาวะ “ดับขันธ์ห้า” ไม่มีความจำได้หมายรู้ เหมือนอยู่ในฌานสี่ เหมือนภาวะ “เนวสัญญานาสัญญายตนะ” อย่างนั้น มาเป็น “เคลื่อนออกจากร่างกายและภพเก่า” เรียกว่า “จุติจิต” นับวิถีจิตจาก “ภวังคจิต” เป็น “จุติจิต” นั่นเอง

    ๔. จิตปฏิสนธิในภพใหม่ (จิตปฏิสนธิ)

    คือ จิตที่ออกจากร่างและภพเก่าแล้วที่เรียกว่า “จุติจิต” นั้น ก็เกิดขึ้นทันทีในชาติภพใหม่และสังขารใหม่ เช่น หากมีกรรมต้องไปเกิดเป็นไก่คิดถึงไก่ จิตก็จุติเคลื่อนไปปฏิสนธิในลูกไก่ทันที ไม่มีดวงจิตอื่นคั่นระหว่างนี้เลย (ดับแล้วเกิดทันทีไม่มีช่องว่างคั่น ตามหลักสันตติ) หากปฏิสนธิอีกก็จะเกิดใหม่อีกไม่รู้จบ หากไม่มีปฏิสนธิก็สิ้นภพชาติ คือ นิพพาน




    “จิต” เมื่ออยู่ในภาวะ “ภวังคจิต” (ดับขันธ์) ไปสู่ “จุติจิต” (เคลื่อนจากภพเก่า) แล้วไปสู่ “ปฏิสนธิจิต” (เกิดในภพใหม่) จะไม่หลุดพ้นสังสารวัฏ ไม่นิพพาน แต่หากจิตเมื่อตายลงวิถีจิตเปลี่ยนจาก “ภวังคจิต” ไปสู่ “จุติจิต” แล้วไม่เกิด “ปฏิสนธิจิต” อีก จึงจะเข้าสู่ภาวะนิพพานโดยแท้จริง ทั้งนี้ จิตไม่ว่าจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก ก็ไม่สูญสลายหายไปไหน แต่จะมี “สถานที่ประทับ” ที่แตกต่างกันไป หากบุคคลนิพพาน ก็มีสถานที่ประทับที่เดียวกับพระพุทธเจ้าองค์ที่บุคคลนั้นเป็นสาวก (ใครเป็นสาวกใครไปประทับกับผู้นั้น) หากยังไม่นิพพาน ก็ยังต้องมีสถานที่อื่นๆ อีก อันได้แก่ ระบบจัดการสามภพและอื่นๆ ๖ สถาน ดังนี้




    ๑) อสถาน (สถานทุกข์ไร้เส้นชัย)

    คือ สถานที่ที่ไม่ควร แต่ดวงจิตได้จุติไปแล้วด้วยกรรมบางประการ ทั้งยังมีกิเลสสะสม จึงอยู่นอกเหนือจากระบบการจัดการดวงจิตวิญญาณสามภพ คือ ไม่ได้อยู่ในสารระบบการจัดการเวียนว่ายตายเกิดของนรก, โลก, สวรรค์ กล่าวคือ ไม่มีรายชื่อในกระบวนการจัดการของพระยายม (ภพนรก), ไม่มีรายชื่อในกระบวนการจัดการของโลก (โดยพระอินทร์) และไม่มีรายชื่อในกระบวนการจัดการของสวรรค์ (โดยผู้จัดการบัญชีการจุติของสวรรค์ชั้นต่างๆ) ทำให้ดวงจิตเป็น “จิตวิญญาณเร่ร่อน” หรือ “สัมภเวสี” ไม่ได้ไปผุดไปเกิด ไม่มีคิวรอเกิดในภพใดๆ ต้องเร่ร่อนหิวโหยไปเรื่อยๆ บางดวงจิตวิญญาณอาศัยเล่ห์และอิทธิฤทธิ์หนีออกจากนรกหรือสวรรค์ ทำให้หลุดออกจากระบบการจัดการการเวียนว่ายตายเกิด จนไม่รู้ว่าคิวไหนถึงไหน ดวงจิตวิญญาณเหล่านี้ หากเร่ร่อนในโลกมนุษย์และก่อกวน เช่น หลอกหลอนผู้คน ก็จะรบกวนระบบปกติทั้งสามภพ หากเข้าแย่งคิวเกิด ก็จะถูกทำร้ายด้วยเจ้ากรรมนายเวรหรือสิ่งอื่นๆ ตั้งแต่อยู่เป็นตัวอ่อน เพราะขาดเทวดาปกป้องคุ้มครองในยามเป็นทารก จึงจัดเป็นการจุติของจิตวิญญาณไปยัง “อสถาน” คือ สถานที่ที่ไม่ควรไป ไม่อยู่ในระบบการจัดการ และจะไม่ได้รับการดูแลจากผู้ใดเลย บางดวงจิตวิญญาณอาจหลงทางไปไกลแสนไกล เช่น ในอวกาศจนหาโลกที่เหมาะสมแก่การเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้เลย และกลายเป็นเพียงเศษพลังงานที่หลุดหลง หลุดโลกไปเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเกิดเป็นคนอีก จำต้องทุกข์ทรมานไม่มีผู้ใดช่วยเหลือได้




    ๒) นรก (สถานทุกข์บนการรอคอย)

    คือ สถานที่ที่ไม่อยากไป ไม่มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์ทรมาน เป็นสถานที่ชดใช้เวรกรรมที่ทำมาให้เบาบางลง จึงรับผลกรรมที่เหลือน้อยลงเมื่อยามเกิดบนโลก หากไม่ชดใช้กรรมในนรก บางคนเกิดมาก็ตายในท้องทันที แล้วเกิดใหม่ก็ตายในท้องอีกหลายครั้งหลายครา เนื่องจากเวรกรรมหนักมาก ดังนั้น จำต้องมีนรกเพื่อชดใช้กรรมให้บรรเทาเบาบางลงไปก่อนที่จะถึงคิวมาเกิดใหม่ เมื่อดวงจิตวิญญาณไปจุติที่นรกแล้ว จะต้องถูกพิพากษาความผิดให้รู้ตัวก่อนว่าทำผิดมามาก เพื่อให้ดวงจิตยอมชดใช้กรรมเหล่านั้น ซึ่งเมื่อดวงจิตยอมรับกรรม ยอมรับว่าตนทำผิดแล้ว กรรมก็จะมารุมดวงจิตนั้นในนรกทันที ทำให้กรรมเบาบางลงเมื่อคราวเกิดเป็นคน หากดวงจิตไม่ยอมรับโทษ ปากแข็ง ดื้อดึง ก็จะรังแต่สะสมกรรมไว้ในอนาคตชาติข้างหน้า จนพอกพูนทับถมทวี แม้ได้เสวยผลบุญก็ไม่สามารถจะเสวยได้ เนื่องจากกรรมตัดรอนจนแทบไม่เหลือบ้าง หรือรับกรรมจนมีโอกาสเสวยผลบุญได้แต่เพียงเบาบางเท่านั้น ดังนั้น จิตวิญญาณของสัตว์นรกจะต้องถูกทรมานก่อนเพื่อให้ระลึกความผิดบาป และยอมละเลิก ตั้งจิตกลับตัวกลับใจเสียใหม่ แล้วรอคิวเกิดโดยจะถูกแยกกักขังไว้ในนรกยาวนาน กว่าจะถึงคิวได้เกิดอีกครั้ง ต้องทนทุกข์ทรมาน วันดีคืนดี แม้พ้นจากโทษทรมานแล้วก็ตาม อาจจะมีนายนิรบาลที่เกิดความโมโหมาระบายความโมโหใส่ ก็จับสัตว์นรกไปทรมานเล่นอีก ที่นรกนี้มีผู้ดูแล คือ “พญายมราช” หรือ “ท้าวกุเวร” ซึ่งเป็นเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาที่ซ้อนทับกับพื้นผิวโลกมนุษย์ และเป็นหนึ่งในสี่ของราชาผู้ปกครองในสวรรค์ชั้นนี้ นรกจึงอยู่ใต้พื้นโลก และถูกพลังของเหล่าเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาทั้งหลาย กดทับปิดไว้ ไม่ให้สัตว์นรกหนีออกมาได้ จำต้องแทรกกายอยู่ในลาวาร้อนระอุนานแสนนาน เพื่อรอคิวเกิดของตน โดยไม่เร่ร่อนหลงออกไปไหน ไม่หลงไปในอวกาศจนกลายเป็นเพียงเศษพลังงานที่หลุดหลงเท่านั้น




    ๓) โลก (สถานสุขบนความเสื่อม)

    คือ สถานที่ที่ได้รับการเพาะบ่มดูแลและเหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตและดวงจิตต่างๆ โดยเริ่มจากดวงดาวที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตมาก่อน เมื่อมีภาวะที่เหมาะสม เหล่าดวงจิตที่มีความบริสุทธิ์แล้ว เช่น พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆ ที่ตายไปแล้ว และไม่เกิดอีก ซึ่งพระเยซูจะเรียกว่า “พระเจ้า” นั่นเอง ดวงจิตบริสุทธิ์เหล่านี้ ก็จะช่วยกันถ่ายทอดพลังชีวิตลงไปหล่อเลี้ยงยังดวงดาวนี้ ที่เรียกว่า “วิญญาณาหาร” หรือ “ปราณชีวิต” หรือ “ออร่า” เมื่อดวงดาวเหล่านี้ได้รับพลังชีวิตมากๆ เข้า จึงเริ่มเกิดสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่มีจิตอาศัยขึ้น เรียกว่า “อมโนปฏิสนธิ” คือ การปฏิสนธิของสิ่งมีชีวิตทางชีววิทยาชั้นต่ำที่ไม่มีดวงจิตอาศัย ได้แก่ พืชชั้นต่ำ, พืชชั้นสูงที่ไม่มีดวงจิตรุกเทวดาอาศัย, สัตว์ชั้นต่ำโบราณ เช่น ตัวเปรี้ยว (สามารถวิ่งได้ แต่ไม่มีจิต) ฯลฯ ในระยะนี้ในลองนึกถึง “สวนเอเดน” หรือ “ป่าหิมพานต์” โลกก็จะมีสภาวะอยู่คล้ายอย่างนั้น จนกระทั่งมี “อมโนปฏิสนธิ” หรือ “เรือนร่างกาย” ที่เหมาะแก่การจุติลงมาร่วมอยู่ของจิต ดวงจิตประเภทหนึ่งจะถูกเลือกให้มาอยู่ก่อน ได้แก่ ดวงจิตชั้นพรหม ที่เรียกว่า “อภัสสราพรหม” จากนั้น ความเป็นอยู่ของโลกก็เหมือนป่าหิมพานต์ที่มีแต่ฤษีเพศชาย ไม่มีเพศหญิง แม้มีเพศหญิงก็ไม่ใช่มนุษย์เพราะไม่มีจิต จวบจนกระทั่ง “พระโพธิสัตว์จุติ” ลงมา ก็จะสอนให้ฤษีรู้จักความรักความเมตตา และการหลุดพ้นกลับไปยังที่เก่าที่มีเหล่าจิตบริสุทธิ์สถิตอยู่ ช่วงนี้เรียกว่า “สวนเอเดน” คือ มีมนุษย์เพศชายและหญิงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ จากนั้น โลกมนุษย์ก็เกิดความเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ดวงจิตจากสถานที่ชั้นต่ำกว่าลงไปก็ถูกจัดการให้มาเกิดบนโลกมนุษย์ตามกรรมของตน เพื่อที่จะได้ชดใช้กรรมเก่า บำเพ็ญเพียร และพัฒนาจิตตนเอง กลับตัวกลับใจ แก้ตัวใหม่ ไปยังถานที่ถูกที่ควรอันเป็นที่สุด คือ สุขาวดีแดนนิพพาน ในจักรวาลนี้มีโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่มากมาย ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้เป็นหลักหมื่น เรียกกันว่า “หมื่นโลกธาตุ” ซึ่งในจำนวนโลกทั้งหมดนี้ยังถือเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลีของจักรวาลทั้งหมด และน้อยเหลือประมาณที่จะรองรับการเกิดของดวงจิตใหม่ๆ ได้ ดวงจิตของสัตว์มากมายล้นเหลือจึงถูกเก็บไว้ในสถานที่ต่างๆ เพื่อเพาะบ่มรอเวลามาจุติยังโลกมนุษย์ พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยการได้เกิดเป็นมนุษย์ เสมือนเต่าที่นานๆ ครั้งจะโผล่ศีรษะมาบนพื้นทะเลอันกว้างใหญ่ แล้วบังเอิญมีผู้โยนห่วงเล็กๆ ลงคล้องคอเต่าได้พอดี เนื่องจากมีดวงจิตวิญญาณจำนวนมากเหลือคณานับที่รอคิวเกิดบนโลกมนุษย์ แม้แต่พระโพธิสัตว์ที่จะต้องลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญเพียรยังมีมากมายเท่าเม็ดทรายในมหานที นี่เฉพาะพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีจิตใจสูงส่งมากยิ่งแล้ว หากรวมดวงจิตสรรพสัตว์ที่ต่ำทรามลงไปก็ไม่อาจคาดการณ์นับได้ การเป็นมนุษย์จึงต้องรอคิวนานเหลือเกิน




    ๔) สวรรค์ (สถานทิพยสุขบนความประมาท)

    คือ สถานที่พักของดวงจิตที่บำเพ็ญคุณงามความดีมากกว่าความชั่ว เพื่อรอการเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ในการพัฒนาวิวัฒนาการทางจิตของตนให้สูงสุด (นิพพาน) สวรรค์เป็นภพที่มีความสวยสดงดงามและมีสุขมากกว่าโลกมนุษย์มากนัก เนื่องจากเป็นสถานที่ที่คัดสรรค์แต่ดวงจิตประเภทเดียวกันมาจุติเท่านั้น และยังมีความเสื่อมน้อย ไม่ค่อยได้เห็นความแก่, เจ็บ, และตาย ในขณะที่โลกมนุษย์มีดวงจิตทุกประเภท จุติมาจากนรกก็มี จากสวรรค์ก็มี ทำให้โลกมีความเสื่อมเป็นระยะๆ ทว่า สวรรค์แม้สวยงามขนาดใดก็ตาม ไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณมีความอิ่มสุขสงบ หรือ นิพพานได้ ดวงจิตจะถึงซึ่งนิพพานก็เมื่อดวงจิตนั้นปฏิบัติจิตของตนจนปราศจากกิเลส ซึ่งการทำให้กิเลสสิ้นไปนี่เอง ที่เรียกย่อๆ ว่า “นิพพาน” หรือชื่อเต็มว่า “กิเลสนิพพาน” ซึ่งมีความสุขแท้อย่างยิ่ง (เทวดาบนสวรรค์ก็มีทุกข์ได้เพราะกิเลสเผาใจให้เร่าร้อน เช่น หลงรักนางฟ้าบางตนแล้วไม่สมหวังก็มีทุกข์) ในการจุติของดวงจิตสัตว์ไปยังสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น มีความยาวนานของการรอคิวเกิดที่แตกต่างกัน และมีความสุขที่จะได้รับแตกต่างกันตามกรรมที่ทำมา แต่สำหรับสวรรค์บางชั้นแม้จะสูงและสวยงามมาก แต่เนื่องจากหากจุติไปแล้วจะมีอายุยืนยาวนานมาก ทำให้มีโอกาสมาเกิดใหม่ ไม่บ่อยนัก การสะสมบุญบารมีจึงทำได้ยาก ดังนั้น พระโพธิสัตว์ จึงไม่ไปพักยังสวรรค์ชั้นสูงเกินไป สวรรค์ในสารระบบมีทั้งหมด ๖ ชั้น ดังนี้




    เปรียบเทียบอายุในสวรรค์ชั้นต่างๆ ใน ๑ ชาติ (เวลารอบนสวรรค์ก่อนเกิดบนโลก)




    ๑ ชาติบน จตุมหาราชิกา เท่ากับเวลาบนโลกผ่านไป ๙ ล้านปี

    ๑ ชาติบน ดาวดึงส์ เท่ากับเวลาบนโลกผ่านไป ๓๖ ล้านปี

    ๑ ชาติบน ยามา เท่ากับเวลาบนโลกผ่านไป ๑๔๔ ล้านปี

    ๑ ชาติบน ดุสิต เท่ากับเวลาบนโลกผ่านไป ๕๖๗ ล้านปี

    ๑ ชาติบน นิมมานรดี เท่ากับเวลาบนโลกผ่านไป ๒,๓๐๔ ล้านปี

    ๑ ชาติบน ปรนิมมิตวสวัตดี เท่ากับเวลาบนโลกผ่านไป ๙,๒๑๖ ล้านปี




    ทั้งนี้ใช้สูตรคิด ๑ ชาติภพโลก คูณ ส่วนขยาย = ๑ ชาติภพสวรรค์ หมายถึงการจุติไปเกิดยังภพนั้นๆ จนหมดวาระ นับเป็น ๑ ชาติ ในภพนั้นๆ โดยนำอายุขัยของพระพุทธเจ้าซึ่งจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ที่มีอายุบนชั้นดุสิตเท่ากับ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ จะได้ส่วนคูณขยายเท่ากับ ๕๐ ปี นำตัวคูณ ๕๐ นี้ คูณเข้ากับ “ปีทิพย์” ในสวรรค์ชั้นต่างๆ สมมุติ ๕๐๐ ปีทิพย์ บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา (๑ ชาติบนจาตุมหาราชิกา) จะนับเป็นเวลาได้เท่ากับ




    ๕๐ ปี x ๓๖๕ วัน x ๕๐๐ ปีทิพย์ = ๙ ล้านปีมนุษย์




    จะเห็นได้ว่า ๑ ชาติในภพสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ต้องรอถึง ๙ ล้านปีมนุษย์ จึงจะเกิดใหม่ได้บนโลกมนุษย์อีกครั้ง ดังนี้ จึงมีรุกเทวดา และเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาจำนวนมากที่ต้องอยู่อาศัยร่วมกับมนุษย์ และได้รับผลกระทบอันยาวนานจากการกระทำของมนุษย์ เพราะต้องรอนานอยู่กับโลกถึง ๙ ล้านปีของโลกมนุษย์ เมื่อมนุษย์ตัดต้นไม้ใหญ่เพียงหนึ่งต้น เท่ากับ รุกขเทวดาผู้นั้นไม่มีที่อยู่อาศัยไปนานถึง ๒๐ ปี จนกว่าต้นใหม่จะขึ้นมาแทน และหากต้นใหม่ไม่ได้รับการปลูกทดแทน รุกขเทวดาจะต้องอยู่โดยไม่มีที่สถิตนานถึง ๙ ล้านปีมนุษย์ทีเดียว ในขณะที่มนุษย์ผู้ก่อกรรมตัดไม้ทำลายป่านั้นตายไปนานแล้ว




    ๕) พรหมโลก (สถานทิพยสุขบนความไม่รู้)

    คือ สถานที่พักของดวงจิตที่บำเพ็ญเพียรทางจิตขั้นสูงจนได้ฌาน หรือตายในขณะจิตมีวิถีแตกต่างจากปกติ กล่าวคือ วิถีจิตไม่ได้ดำเนินไปจาก “ภวังคจิต” (ดับขันธ์) ไปสู่ “จุติจิต” (เคลื่อนจากภพเก่า) ไปสู่ “ปฏิสนธิจิต” (ภพใหม่) แต่มีวิถีจิตอีกแบบหนึ่งได้แก่




    ๑) ฌานจิต คือ จิตขณะเข้าฌาน มีความพึงใจในภาวะ “การดำรงอยู่” (มีภพ)

    ๒) ดับขันธ์ คือ จิตขณะร่างกายสิ้นอายุขัยโดยไม่รู้ตัว ขันธ์ห้าดับขณะเข้าฌาน

    ๓) จุติจิต คือ จิตขณะเคลื่อนออกจากร่างเก่า ภพเก่า เพราะความเสื่อมอยู่ไม่ได้

    ๔) ปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะร่วมอาศัยปัจจัยปรุงแต่งจากขันธ์ห้าชุดใหม่ภพใหม่




    สาเหตุที่เกิด “ปฏิสนธิจิต” หลัง “จุติจิต” เพราะจิตขณะเข้าฌานนั้นมีการทรงสภาพ หรือการหล่อเลี้ยง “ชีวิตินทรีย์” เพื่อให้ภาวะฌานดำรงอยู่ เมื่อ “ขันธ์ห้าดับ” ฉับพลัน จิตยังทรงสภาพชีวิตินทรีย์อยู่ก็จะรักษาสภาพเดิมไว้ทันที จึง “ปฏิสนธิ” ทันทีในภพใหม่ คือ พรหมโลก หากจิตยังมีความอาลัยอาวรณ์ หรือจิตมีการพิจารณาสภาวะทรงสภาพนี้อยู่ต่อไป มีการเจริญหล่อเลี้ยงดวงจิตต่อไป จิตก็จะเกิดชาติภพใหม่เรื่อยๆ ไม่จบสิ้น ไม่ได้ซึ่งนิพพาน วิถีจิตที่จะเข้าสู่การนิพพาน คือ จิตที่ไม่อยู่ในภาวะ “รักษาสภาพฌาน” การ “ทรงฌาน” หรือ การหล่อเลี้ยง “ชีวิตินทรีย์” ของดวงจิตที่เข้าฌาน (ทำจิตให้เป็นฌานตั้งอยู่นานๆ) จิตต้องพิจารณา “อนิจจัง” การดับไปเท่านั้น ไม่พิจารณา, ไม่ยินดี, ไม่ส่งในการ “ตั้งอยู่” หรือ “เกิดขึ้น” ในภาวะสามนี้คือ เกิดขึ้น, ตั้งอยู่ ดับไป จิตต้องอยู่กับการ “ดับไปเพียงอย่างเดียว” เท่านั้น จิตจึงเข้าสู่ภาวะนิพพานแท้จริง ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป




    สำหรับผู้ไปปฏิสนธิเป็นพรหม จะมีอายุยืนยาวกว่าเทวดาบนสวรรค์มาก พรหมไม่มีเพศ ไม่มีการร่วมรัก ไม่มีการครองคู่ เป็นดั่งนักพรต หรือฤษีโดดเดี่ยวสงบสุขสมถะ มีความปราศจากกิเลสได้ชั่วคราว แต่ไม่ถาวร ตามกำลังสมถะที่ได้ฝึกจิตมา และจำจะต้องรอเวลานานมากกว่าจะได้เกิดอีกครั้ง ยาวนานเสียมากกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลาย เนื่องจากเทวดายังมีความก้าวหน้าในการขยันทำบุญ ไม่นั่งเข้าฌานอยู่เฉย จึงเหมาะแก่การเกิดบ่อยๆ และช่วยสร้างสรรค์โลกมนุษย์ พรหมจะได้เกิดจึงไม่บ่อยเท่าเทวดา และจะต้องอยู่เป็นพรหมนานเหลือคณา (ซึ่งก็มีความสุขบ้างพอควรที่ได้อยู่สวรรค์ชั้นพรหมนานๆ) สุดท้ายพรหมก็หมดวาระในพรหมโลก ต้องจุติลงมายังโลกเพื่อเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ โดยปกติ จะมาเกิดเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ (มนุษย์เกิดจากพรหม) เป็นผู้แรกๆ ที่เข้ามาอยู่บนโลก ในภาวะที่โลกยังไม่มีสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอื่นๆ เนื่องจากพรหมมีความพร้อม อิ่มฌาน เข้าฌานเสมอ จึงอดอาหารได้ กินอาหารน้อย ถึงขั้นไม่กินเลยก็อยู่ได้ และมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวนานสมกับที่เคยเป็นพรหม ดังนั้น โลกในยุคแรกๆ จึงเต็มไปด้วยฤษี หรือ “มนุษย์ถ้ำ” ที่ไม่นิยมออกไปไหน ไม่นิยมนุ่งผ้า มีผมและหนวดเครายาวรุงรัง ไม่มีเพศหญิงมีแต่เพศชายเป็นเบื้องต้น และจะเข้าฌานบำเพ็ญสมาธิในถ้ำอย่างสงบยาวนาน จวบจนได้เกิดความเสื่อมขึ้นในหมู่พรหม จนเกิดมนุษย์เพศหญิงบนโลก พร้อมทั้งการสืบพันธุ์ขึ้น ดวงจิตจากสถานต่างๆ จึงค่อยจุติมาตามวาระที่โลกพร้อมและเอื้อแก่กรรมของตนตามลำดับ ซึ่งยิ่งเสื่อมถอยลง มนุษย์ก็ต้องทำงานมากขึ้น หนักขึ้น มีเวลาพักน้อยลง ทั้งยังมีการแก่งแย่งแข่งขัน อาชญากรรม และความวุ่นวายมากขึ้นเป็นลำดับ




    ๖) สุขาวดี (สถานทิพยสุขบนปัญญา)

    คือ สถานที่ที่มีแต่ความสุขอย่างเดียวเท่านั้น พร้อมด้วยปัญญา จึงเป็นสุขแท้ถาวรและเป็นทิพยสุข คือ ไม่เสื่อมแบบโลกมนุษย์ ซึ่งสถานที่นั้นไม่ใช่เครื่องกำหนดสุขหรือทุกข์เพราะสุขแท้ถาวรอยู่ที่ใจนั้นปราศจากกิเลสต่างหาก ดังนั้น “สุขาวดี” มีแต่ความสุขอย่างเดียว เพราะดวงจิตเหล่านั้นปราศจากกิเลสนั่นเอง โดยจิตที่จุติสุขาวดีนี้มี ๒ ประเภท คือ




    ๑) ปฏิสนธิจิต (จิตที่มีการปฏิสนธิชาติภพใหม่)

    คือ จิตที่ปฏิสนธิในดินแดนสุขาวดี และเมื่อหมดวาระก็ต้องเกิดใหม่อีก ไม่สามารถพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ตามแต่ผลบุญและกรรมจะนำพาไป ไม่สถิตถาวร จึงต้องเกิดอีก หรือได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะเกิดอีกเพื่อโปรดสรรพสัตว์ จึงสามารถเกิดได้อีกตามจิตปรารถนา หรือตามการร้องขอของปวงสรรพสัตว์ หรือตามการบัญชาขององค์พระพุทธเจ้าต่างๆ โดยปฏิสนธิจิตที่จุติไปยังสุขาวดีมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้




    ๑.๑) ปฏิสนธิจิตที่พ้นอวิชชา

    คือ ดวงจิตที่ปฏิบัติทางจิตจน “กิเลสนิพพาน” หรือ “บรรลุธรรม” แล้ว แต่ได้ตั้งความปรารถนาเพื่อจะทำสิ่งดีงามต่อไป หรือเกิดความระลึกถึงการทรงอยู่, ตั้งอยู่ จิตจึงทรงสภาพชีวิตินทรีย์ต่อ เมื่อตายลงจึงไม่ได้เป็น “นิพพานจิต” แต่ได้เกิด “ปฏิสนธิจิต” ขึ้นใหม่ในภพสุขาวดี จิตเหล่านี้ได้ถือว่าพ้นเสียจากกิเลสแล้ว เป็นจิตที่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยปัญญา ได้แก่ พระมหาโพธิสัตว์, พระอรหันต์โพธิสัตว์ทั้งหลาย เช่น เจ้าแม่กวนอิม, พระจี้กง, พระสังกัจจายน์ ฯลฯ ดวงจิตเหล่านี้สามารถเกิดใหม่เพื่อโปรดสัตว์ได้อีก



    ๑.๒) ปฏิสนธิจิตที่ปนอวิชชา

    คือ ดวงจิตที่ปฏิบัติทางจิตน้อย จึงยังไม่บรรลุธรรม แต่ได้บำเพ็ญบุญบารมีมาก และได้อาศัยผลบุญที่มากพอในการปฏิสนธิเป็นสัตว์ (เทพ) ในสุขาวดีได้ จึงได้ตั้งจิตตรงมายังสุขาวดีด้วยการระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในสุขาวดี หรือพระโพธิสัตว์ที่ประทับอยู่ที่สุขาวดีเมื่อสิ้นใจลง จิตจึงเคลื่อนมาปฏิสนธิยังสุขาวดีได้ ซึ่งในการปฏิสนธิยังสุขาวดีทั้งๆ ที่ยังกิเลสไม่สิ้นนั้น จำต้อง “ฟักตัว” ในดอกบัวก่อน ระหว่างนั้น จะได้ฟังธรรมของพระอมิตาภพุทธเจ้าจนกระทั่งได้บรรลุธรรม พ้นจากความทุกข์ทั้งมวลแล้ว จึงออกจากดอกบัวนั้นได้ และเป็น “โพธิสัตว์” โดยสมบูรณ์ ซึ่งสามารถเกิดใหม่ได้อีกด้วย



    ๒) นิพพานจิต (จิตที่ไม่มีการปฏิสนธิอีก จึงไม่เกิดอีกและไม่มีการตายอีก)

    คือ จิตที่ไม่มีการปฏิสนธิอีก ไม่เกิดอีก จึงไม่มีการตายอีก ไม่มีการดับขันธ์อีก เมื่อไม่มีการดับขันธ์อีก จึงไม่สามารถเกิดอีกได้ ไม่มี “ปฏิสนธิ” ใหม่ได้อีก จิตหลังจากเข้าสู่วิถีเมื่อสิ้นใจ จะสิ้นลงจากภพเก่าด้วย “จุติจิต” แล้วเคลื่อนมายัง “สุขาวดี” โดยไม่มีการปฏิสนธิ ดังนั้น สุขาวดี จึงเป็นที่ประทับของ “จิตอรหันต์” ทั้งหลาย ทั้งนี้ สุขาวดีมีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก ยิ่งกว่าพรหมโลก ประกอบด้วยดินแดนของพระพุทธเจ้าที่นิพพานแล้วทั้งหลายมากมาย เช่น ด้านทิศตะวันตก เป็นดินแดนของพระอมิตาภะพุทธเจ้า, ทิศตะวันออก เป็นดินแดนของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ฯลฯ ทั้งยังมี “สาวก” หรือ “อรหันต์สาวก” ประทับอยู่ด้วย เมื่อถึงคราวโลกมนุษย์มีภัย และกรรมเปิดช่องโอกาสให้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ พระพุทธเจ้าจะทรงช่วยเหลือ โดยผ่านการบริหารพระอรหันต์สาวกต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับการบริหารและการปกครองของพระราชาทางธรรมองค์หนึ่งนั่นเอง




    ทั้งนี้ จิตที่ “นิพพาน” ไม่เกิดอีกจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการตั้งจิตมาเกิดที่สุขาวดี แต่เกิดจากการไม่ปรารถนาชาติภพใหม่ ไม่ปรารถนาการตั้งอยู่ของชีวิตินทรีย์ ปรารถนาความสิ้นไปของชาติภพ พอแล้ว หยุดแล้วซึ่งกิจใดๆ ต่อไปข้างหน้า ในขณะที่ “ปฏิสนธิจิต” คือ จิตที่จุติมาสุขาวดีแล้ว “ปฏิสนธิ” เพราะความปรารถนาการตั้งอยู่ของชีวิตินทรีย์ก็ดี, การปรารถนาชาติภพใหม่ก็ดี หรือแม้แต่ความปรารถนาในสุขาวดีก็ดี สิ่งเหล่านี้ นำไปสู่ “ปฏิสนธิ” ใหม่ได้อีก แต่ด้วยการเทศนาสั่งสอนของพระอมิตาภพุทธเจ้า จิตที่ปฏิสนธิที่สุขาวดีจึงพ้นทุกข์ทั้งหมด ดังนั้น กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า “สุขาวดี” ประกอบด้วยดวงจิตสองประเภทเท่านั้น คือ จิตของผู้ที่นิพพานสิ้นชาติภพแล้ว และจิตของผู้ที่ปฏิสนธิใหม่พร้อมการบรรลุธรรม ดังนั้น หากปรารถนา “นิพพาน” จะต้องไม่ต้องการ ไม่ปรารถนาซึ่ง “ชาติภพ” หรือ “สถานที่” ใดๆ แต่หากปรารถนา “สุขาวดี” จึงต้องเพ่งจิตยังสุขาวดี และในท้ายที่สุดทั้งจิตที่นิพพานและจิตที่ปรารถนาสุขาวดี ก็มาประทับยังสถานที่เดียวกันได้




    ข้อสังเกตและบทส่งท้าย

    ๑. พรหมลิขิต “ไม่มีจริง” เรื่องของการทำนายทายทัก เป็นเพียง “วิชาความรู้” ที่ช่วยให้ผู้ไม่มีปัญญาหยั่งรู้ ได้เห็นภาพที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับบุคคลหรือดวงจิตเท่านั้น เป็นเพียงแบบแผนคร่าวๆ ส่วนใหญ่เท่านั้น แต่สำหรับความเป็นจริงของแต่ละดวงจิตแล้ว จำต้องใช้ “ปัญญา” พิจารณาเป็นรายๆ ไป ไม่ใช่ “พรหมลิขิต”

    ๒. จิตเป็นผู้กำหนดเองทั้งหมด ไม่มีผู้ใดกำหนดว่าจะไปจุติยังสถานใดๆ แต่หากจิตมีความดื้อดึงไปจุติยังที่ไม่ควร ทั้งๆ ยังมีกิเลส จนหลุดออกจากสารระบบของการจัดการสามภพ ก็จะพบความทุกข์เอง รับกรรมนั้นเอง และจำต้องแสวงหาอาหารในแบบที่ตนคิดเอง ทดลองเอง ไม่มีอาหารทิพย์แบบที่เขาจัดไว้ให้

    ๓. กรรมเป็นเพียง “ปัจจัยปรุงแต่ง” เท่านั้น ในความเป็นอยู่ของจิตนั้นๆ เมื่อไปปฏิสนธิแล้วในภพนั้นๆ มีความเป็นอยู่อย่างไร, กินอย่างไร, นอนอย่างไร ฯลฯ หากบุญมีน้อยแต่ไปอยู่ในภพที่สูงมากๆ เมื่อหมดบุญจำต้องอดและหิวโหยอยู่ในภพนั้นนานแสนนานกว่าจะสิ้นอายุขัยลงจากภพนั้นๆ ดังนั้น การกำหนดจิตไปเองด้วยความไม่รู้ว่าบุญมีเท่าไร จึงมีแต่ความเสี่ยง จำต้องผ่านการตรวจวัดบุญก่อน

    ๔. ระบบการจัดการสามภพโดยผู้ปกครองสามภพ ได้แก่ พระอินทร์ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์, พระยายม ผู้ปกครองนรก และเป็นหนึ่งในสี่ราชาผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา และเทวราชาของสวรรค์และสถานทิพย์ต่างๆ เทวราชาทั้งหมดนี้ จะเป็นผู้ปกครองและบริหารการเวียนว่ายตายเกิดของดวงจิตแต่ละดวงทุกดวงจิต หากจะเกิดบนโลกได้จำต้องผ่านการจัดการของพระอินทร์ หากดวงจิตจะจุติที่สวรรค์-นรกชั้นใดจำต้องผ่านบัญชีของเทวราชาที่ปกครองสวรรค์-นรกชั้นนั้นๆ โดยท่านเหล่านี้จะมีสมุดบันทึกบุญกรรมจึงล่วงรู้ได้ว่าดวงจิตควรจุติยังสถานที่ใด ซึ่งเป็นการจัดบันทึกคร่าวๆ ใกล้เคียงความจริง แต่ไม่ถึงกับ ๑๐๐% จำต้องใช้ปัญญาพิจารณาเป็นรายๆ ด้วย ดังนั้น ทำให้พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ ทรงตั้งปณิธานไปโปรดสัตว์ในนรก ด้วยการใช้ปัญญาพิจารณากรรม แก้ไขเป็นรายๆ ไป
    ๕. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่สำเร็จธรรมนิพพานแล้ว และหมดสิ้นชาติใหม่แล้ว ไม่เกิดไม่ตายอีกแล้ว จะทรงมีสถานที่ประทับอยู่ ไม่สูญสลายไปไหน สถานที่ประทับนั้นแตกต่างกันออกไป ในพระสุตตันตปิฎกเคยกล่าวไว้ว่า สถานที่ประทับของพระสิขีพุทธเจ้า อยู่ที่พรหมโลก ในขณะที่พระอมิตาภพุทธเจ้าทรงอยู่ที่สุขาวดี ดังนั้น เรื่องของการหมดสิ้นการเวียนว่ายตายเกิด นั้น ไม่ได้แปลว่าสูญความเป็นตถตาแต่เดิม ตถตายังคงอยู่ สิ่งที่สูญไปคือชาติภพใหม่ และความเป็นตถาตานั้น จะมีที่ประทับสถิตอยู่ แตกต่างกันไปตามแต่ละพระองค์

    </TD></TR><TR><TD align=right>โดย physigmund_foid</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>
     
  17. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    เด๋วนี้ผมดีใจอย่างแต่ก่อนพ่อไม่เคยสวดมนต์ ไม่ค่อยชอบทำบุญ แต่สิ่งที่ชอบของพ่อคืออยากมีลาภ ผมเลยไปขอคาถาเงินล้านที่ได้ไปขอแจกมาเก็บไว้ให้แม่สวดพอผมกับแม่ทำบุญมากเข้าเช้าแม่จะสวดมนต์ทุกวันเป็นชั่วโมง พ่อเด๋วนี้พ่อผมจากที่สวดมนต์ไม่เป็นไปแอบสวดมนต์ตอนไหนไม่รู้แม่ไปแอบเห็นแต่ก่อนผมอธิษฐานแทบตายอยากให้พ่อทำบุญสวดมนต์ภาวนาแรกท่านบอกว่าคนเราคายไปก็เป็นดิน เด๋วนี้พ่อเริ่มเชื่อ แรกผมเป็นคนนำกับแม่น้องแรกหาว่าผมบ้าก็เริ่มพ่อก็หันมาสนใจ ยกเว้นพี่ชายไม่รู้เป็นไร สนใจแต่เรื่องเที่ยว
    ผมว่าจะชวนทีละนิด ดีใจจริงๆที่คนในบ้านเริ่มทำบุญ
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    บ้างว่า ทำความดี ไม่ต้องการบอกใครให้ทราบ ก็ถูก และดีครับ เห็นด้วย แต่หากนำความดีนั้นมาบอกเล่าเป็นธรรมทาน กับผู้อื่นให้ได้โมทนา จนถึงมีผู้คิดจะทำความดีเพิ่มขึ้นไม่ดีกว่าหรือ เจตนาของโครงการธนาคารความดีไม่ได้ต้องการ show off ว่าใครดีกว่าใคร เพียงเห็นว่า การมอบพระให้ในโอกาสต่างๆของการร่วมบุญส่วนมาก จะต้องร่วมด้วยเงินเท่านั้น จึงทำให้หลายๆท่านที่เข้ามาเวบนี้ที่เป็นเยาวชน วัยรุ่น น้องๆนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่ได้ทำงานไม่มีโอกาสได้รับโอกาสนี้ จึงคิดว่าหากมีเพียง ๒ มือทำไมเราจะหาโอกาสสร้างความดีกันไม่ได้ และได้รับรางวัลเป็นพระวังหน้ากัน แต่ขึ้นกับว่าทัศนคติของคนที่ไม่เห็นด้วยกับพระวังหน้าว่ามีจริง หรือสงสัยในอิทธิคุณแห่งพระวังหน้า ก็ขออย่าได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้เลย หรือหากจะเข้าร่วมด้วย แต่ไม่ประสงค์ที่จะรับพระวังหน้าที่ไม่มีราคาค่างวด และไม่นิยมในวงการเลย ก็ขอโมทนาอย่างที่สุด..
     
  19. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    พี่ครับถ้าสมมุติยุงมากัดเราแล้วเราไม่รู้พอรู้สึกคนเอาขาถูกับโต๊ะให้หายคันปรากฏว่ายุงตายศีลจะขาดไหมเพราะไม่ได้ตั้งใจจริงแต่ก็ไปอารธนาใหม่
     
  20. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    น้องผมเอาไปบอกเพื่อนเพื่อนน้องผมก็หาว่าผมบ้า พี่ก็บอกว่ามันอ่านธรรมะมากของเข้ามันบ้าแน่เลย ผมก็เลยพูดว่าถ้าพระเข้าสิงผมก็ดีสิจะได้ไม่เป็นคนชั่ว อิอิ เคยครั้งหนึ่งเอาหนังสือพระไปให้เพื่อนออ่านมันชอบด่าผมว่างงมงายเด๋วไม่ค่อยกล้าให้ผมอ่านแล้ว บางคนก็บอกว่าผมบูชาพระมาเก็บไว้ของเข้าบ้า ดูสิ ผมนั่งสมาธิตอนกลางคืน สวดมนต์บ่อย ก็โดนด่าว่าบ้า แต่ผมนิ่งไม่พูดเข้ามาอ่านทุกวันผมชอบพระทุกสายชอบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อีสานเหนือใต้กลางชอบหมด แต่ละสายมีมุมมองดีๆต่างกันไปหลายมุมศึกษาได้ตลอดสนุกดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...