พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มันติดอยู่ที่ปาก บอกไม่หมดหรือไงท่านปาทาน..555555

    สุดยอดๆๆๆ เอ! ว่าแต่ว่า ไปเกี่ยวพันยังไงก็ไม่รู้นะครับ มีพระอะไรที่ไปเกี่ยวกันหรือ? งงๆ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น่านนนนนนนนนนนนนนน คุณเพชร อีกแล้วครับท่าน
    ไว้ไปคุยกันในวันที่นัดพบกัน ล่ะกัน คร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้(23 ธันวาคม 2551) เป็นวันที่กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... ครบรอบ 3 ปี

    <TABLE class=tborder id=post167195 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">23-12-2005, 06:59 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_167195", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 28,164
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 14411 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_167195 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG] พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ถ้าต้องการที่จะได้......................<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสกไว้ (มีการจัดสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ,รัชกาลที่ 5) ถ้าท่านใดต้องการที่จะได้เพื่อไว้บูชา ผมพอมีจะแบ่งปันให้ได้


    [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    --------------------------------------------------------------
    --------------------------------------------------------------

    วันและเวลา ช่างเดินไปอย่างรวดเร็วจริงๆ แต่ในเวลาที่ผ่านมา กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... ก็ได้มีหลากหลายท่านที่เข้ามาร่วมบุญกัน อยู่กันต่อๆมา มีอีกหลายๆท่าน ที่ร่วมทำบุญแล้วก็จากไปตามทางของตนเอง
    ในกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... มีทั้งความสุข , ความทุกข์ , ความสมหวัง , ความผิดหวัง และอีกหลายหลากอย่างมากมาย

    **************************************
    **************************************
    <TABLE class=tborder id=threadslist cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY id=threadbits_forum_196><TR><TD class=alt1 id=td_threadtitle_22445 title="พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ถ้าต้องการที่จะได้......................<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสกไว้ (มีการจัดสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ,รัชกาลที่ 5) ถ้าท่านใดต้องการที่จะได้เพื่อไว้บูชา ผมพอมีจะแบ่งปันให้ได้

    ..." style="CURSOR: default">[​IMG] [​IMG] พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... ([​IMG] 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)
    [​IMG] sithiphong
    </TD><TD class=alt2 title="จำนวนตอบ: 25,973, จำนวนอ่าน: 641,687">
    วันนี้ 08:54 PM
    โดย
    sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt1 align=middle>25,973</TD><TD class=alt2 align=middle>641,687</TD></TR></TBODY></TABLE>

    +++++++++++++++++++++++++++
    +++++++++++++++++++++++++++

    ผ่านมาจนวันนี้( 24 ธันวาคม 2551) มาจนถึงหน้าที่ 1299 http://palungjit.org/showthread.php?t=22445&page=1299 ผมได้มีเพื่อนที่รักกัน ห่วงใยกัน เพิ่มขึ้นอีกหลายๆท่าน ซึ่งในคณะพระวังหน้า มีความรัก ความห่วงใยให้กันเสมอ ผมมั่นใจว่า ยังมีต่อไปอีกนาน

    ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน ที่ได้มาร่วมบุญ ได้มาต่อบุญกันไป และโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมกันทำบุญ ไม่ว่าจะทำบุญด้วยงานบุญใดๆก็ตาม อีกทั้งขอบคุณท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามอ่านมาตลอด

    โมทนาสาธุครับ
     
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <!-- / next / previous links --><!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 15 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    จ๊ะเอ๋ครับ...หุ หุ
     
  5. ancient bead

    ancient bead สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +0
    พุทธศิลป์ เช่นนี้ ลักษณะการลงรัก ปิดทอง แบบนี้มีอยู่สองแห่ง

    ๑.กรุวังหน้า

    ๒.กรุวังหลวง

    ๓.การปิดประกับด้วยแผ่นจารอักขระ น่าจะอยู่ในรัชสมัย ร.๕

    แต่ทั้งนี้ต้องตรวจสอบด้วยแว่นขยายอีกครั้ง จึงจะสามารถบอกได้ว่าถึง

    ยุคหรือไม่
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แบงก์ปลอมพ่นพิษ! สั่นคลอนความเชื่อมั่น-เพิ่มต้นทุนการเงิน ใครจะเป็นเจ้าภาพ
    http://www.manager.co.th/Business/Vi...=9510000150933

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

    24 ธันวาคม 2551 10:03 น.

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]แบงก์ปลอมระบาดหนัก! เริ่มส่งผลกระทบต่อระบบธุรกิจในวงกว้าง บั่นทอนความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ต้นทุนพุ่ง ทั้งด้านบุคลากร-เครื่องมือ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดกล้าหาญที่จะประกาศตัวเป็นเจ้าภาพดูแล

    วันนี้ (24 ธ.ค.) แหล่งข่าวจากชมรมธนาคารไทย กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของธนบัตรปลอม ฉบับละ 500 บาท และ 1,000 บาท ที่แพร่หลายลุกลามไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว กำลังเพิ่มต้นทุนในระบบธนาคารในการตรวจสอบ ทั้งในด้านบุคลากร และเทคโนโลยีเครื่องไม้เครื่องมือ ซึ่งหากปล่อยไว้ โดยไม่มีการแก้ไขโดยรวดเร็วและถูกจุดแล้ว จะเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งตรงนี้ ยังไม่มีหน่วยงานใดประกาศเป็นเจ้าภาพที่จะดูแล

    ตอนนี้ การแพร่ระบาดรุนแรงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการตรวจพบธนบัตรปลอมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 25 ของธนบัตรปลอมที่ตรวจพบทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ประกอบการค้า ติดป้ายไม่ยอมรับธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ชำระค่าสินค้า เพราะเกรงว่าจะตกเป็นเหยื่อได้รับธนบัตรชำระค่าสินค้า ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงแค่ออกมาเตือนว่า การปฏิเสธรับธนบัตรฉบับละ 1,000 บาทนั้น เป็นความผิดตามกฎหมาย เพราะเป็นสิทธิของพ่อค้าที่จะไม่รับ

    นายนพพร ประโมจนีย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีธนบัตร 1,000 บาท ปลอมระบาดหนักในช่วงนี้ ธปท.ไม่นิ่งนอนใจ และได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตามจุดต่างๆ และประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการจับกุมผู้เผยแพร่ธนบัตรปลอม และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจการสังเกตธนบัตรปลอม ซึ่งมีหลายจุดบนธนบัตรที่จะเป็นข้อสังเกตได้ โดยในส่วนของธนาคารพาณิชได้กำชับและให้เฝ้าระวังอย่างเต็มที่ มั่นใจว่า ในระบบของธนาคารจะไม่มีธนบัตรปลอมอย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือกับพ่อค้าแม่ค้า อย่าปิดป้ายปฏิเสธรับธนบัตร 1,000 บาท โดยเบื้องต้นคงไม่จำเป็นต้องออกกฎระเบียบ เพื่อบังคับไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าปฏิเสธรับธนบัตรใบละ 1,000 บาทด้วย เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยคงไม่มีอำนาจ

    อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลด่วน สามารถเช็กได้ที่เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ โทร.0-2283-5353
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=130072#post130072

    หน้า 146

    ส่วนกระทู้ "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....." จาก บอร์ดอกาลิโก


    11-14-2006, 10:05 AM #1
    sithiphong
    เพื่อนรักอกาลิโก
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    เป็นสมาชิกเมื่อ: Jun 2006
    สถานที่อยู่: กรุงเทพ
    โพส: 2,719
    ขอบคุณ: 334
    ได้คำขอบคุณ 5,193 ครั้งจาก 2,290 โพส


    [​IMG] "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."



    Rating ปักหมุด กระทู้"พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....." / ผู้ตั้งกระทู้sithiphongโพสล่าสุด by sithiphongตอบ1,456ดู 56,942


    ที่นี่ก็เป็นเหมือนกับบ้านอีกหลังที่มีแต่ความอบอุ่นเช่นกันครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้จักต้นกำเนิด เรื่องเล่า และที่มาของ "คริสต์มาส" เทศกาล Fun-Fun สุดหรรษา
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1230118659&grpid=01&catid=08

    โดย...ตามลม

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>We wish you a merry Chrismas...and a Happy New Year






    [​IMG]

    คริสต์มาส คือ การฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส (Christmas) มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำนี้พบครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นคำว่า Christmas




    "Merry Christmas"



    คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส


    กำเนิด...คริสต์มาส


    หลายคนเข้าใจว่า วันคริสต์มาส เป็นวันเกิดของพระเยซูเจ้า เพราะตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระองค์ประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร


    นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมที วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้ เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน







    [​IMG]

    ภายหลังชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.330 พวกเขาจึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย ​
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มิสซาเที่ยงคืน



    เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น


    เหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส



    โฮ่ โฮ่ โฮ่ ลุงซานตาครอส




    คุณลุงตัวอ้วนๆ พุงกลมๆ มีผมและหนวดเคราสีขาว สวมชุดแดง แบกถุงของขวัญมากมายมาแจกจ่าย นั่นล่ะ ที่เขาเรียกว่า ซานตาคลอส ขวัญใจเด็กๆ เค้าล่ะ



    แท้จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย แต่มีที่มาโดยเริ่มจาก นักบุญชาวฮลลแลนด์ นามว่า นิโคลาส หรือเซนต์นิโคลัส สังฆราชแห่งเมืองมีรา (ประเทศตุรกี ปัจจุบัน) ในสมัยศตวรรษที่ 4 ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ







    [​IMG]

    เหตุที่นักบุญนิโคลาส ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นซานตาคลอส คนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ซานตาคลอสจะต้องให้ของขวัญกับเด็กๆ นั่นเอง

    เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้


    เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น





    สวยงาม ตามแบบต้นคริสต์มาส...


    ย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก



    ส่วนอีกตำราหนึ่ง ระบุว่า ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น


    การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ ...





    [​IMG]


    ขณะที่ ชาวเยอรมันยังมีประเพณี จุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ​


    ประเพณีดังกล่าว เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก จนถึงปัจจุบัน เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ให้ความหมายคือ นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า นอกจากนี้ ยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด รวมทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะเป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น


    เทียนและพวงมาลัย



    สมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า



    เพลง...



    เพลงคริสต์มาส เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 5 สมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า


    ต่อมา ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลง ในศตวรรษที่ 12 ที่ประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านต่างชื่นชอบ เพราะ มีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส บทเพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง



    [​IMG]


    เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน



    เพลงที่มีชื่อเสียงมากในเทศกาลนี้ ได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night โดยความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่า ออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อจึงตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก


    ขณะที่ เพลงคริสมาสต์ที่นิยมในปัจจุบัน แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่


    ของขวัญ...วันหรรษา



    การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียม เริ่มขึ้นจากชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (วันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน จึงกลายเป็นสิ่งที่ชาวต้องให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย





    [​IMG]

    ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา ขณะที่เด็กสหรัฐฯ คิดว่าเป็น "ซานตาคลอส"


    แต่แท้จริงแล้ว พ่อแม่ต่างหากเล่าที่เป็นผู้นำมาให้ เจ้าหนูน้อย ด้อยเดียงสาทั้งหลายเอ๋ย...


    ก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม เขาจะจัดงานแครอลลิ่ง เด็กๆ จะไปร้องเพลงตามบ้าน ขณะที่เมื่อถึงคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ก็จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การแสดง ร้องเพลง และร่วมสังสรรค์ครื้นเครงสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศที่สุดจะแสนดี บาง







    [​IMG]

    สีประจำ...คริสต์มาส



    สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

    สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

    สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

    สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว





    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1230118659&grpid=01&catid=08


    ***ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไพร้ซฯแนะ 10 วิธีบริหาร ช่วงเศรษฐกิจขาลง คำแนะนำที่ "ผู้นำ" ฟังแล้วต้องได้ยิน !
    http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?id=2495&catid=2

    ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ แนะ10วิธีบริหารช่วงเศรษฐกิจขาลงพลิกวิกฤตเปิดโอกาส ทั้งบริหารการเงินต้นทุนข้อมูลทรัพยากรบุคคล คำแนะนำที่ผู้บริหารฟังแล้วต้องได้ยิน!


    แน่นอนว่า ในปี 2552 ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ มากมายในทางลบ กระบวนการตั้งรับที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญมากของทุกองค์กร

    เมื่อเร็วๆ นี้ "ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส" (PricewaterhouseCoopers หรือ PwC) บริษัทให้คำปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญจนเป็นที่ยอมรับในภูมิภาคต่างๆ มีพนักงานกว่า 140,000 คน ใน 149 ประเทศ ได้ประเมินและวิเคราะห์ว่า ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังมีโอกาสทางธุรกิจอยู่และเชื่อว่าองค์กรที่จะผ่านพ้นวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้ควรให้ความสำคัญกับ "10 วิธีการบริหารในช่วง เศรษฐกิจขาลง"

    1.พิจารณาอย่างถี่ถ้วน <O:p</O:p
    สถานการณ์ที่เป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่คุณเชื่อ ความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจ ผลกระทบทางธุรกิจจากเศรษฐกิจขาลง อะไรที่เป็น และจะเป็นตัวผลักดันที่แท้จริงที่จะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ จะต้องพิจารณาทั้งในแง่ของประเภทธุรกิจ ตัวผลิตภัณฑ์ ลูกค้า สภาพตลาด และสภาวะของการแข่งขัน ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน โดยคำนึงถึงสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญและยินดีที่จะจ่ายเพื่อให้ได้มามากที่สุด <O:p</O:p
    นอกจากนั้นยังต้องรู้ว่าคู่แข่งขันกำลังทำอะไรอยู่ และวางแผนจะทำอะไรต่อไป
    <O:p</O:p
    2.ลงมือทำอย่างรอบคอบและมั่นใจ<O:p</O:p
    ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น การตัดสินใจอย่างทัน ท่วงทีเป็นสิ่งที่สำคัญ ผู้บริหารองค์กรควรมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่ทำให้เพิ่มคุณค่าและปัจจัยเสี่ยงหลักของธุรกิจ อย่าเพิกเฉยละเลย เพราะผู้ชนะคือผู้ที่สามารถใช้ข้อได้เปรียบในภาวะที่เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง<O:p</O:p
    ภาวะความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งต้องมาพร้อมกับทักษะที่จำเป็นรอบด้าน วันนี้สิ่งที่ ผู้บริหารองค์กรต้องถามตัวเองตลอดเวลา คือ คุณมีบุคลากรเช่นนั้นหรือยัง ?<O:p</O:p
    และจะต้องให้ความสำคัญใน 'สิ่งที่ควรจะทำ' มากกว่า 'สิ่งที่อยากจะทำ'
    มีการพิจารณาไตร่ตรองความเสี่ยงหลักในปัจจุบัน และให้ความสำคัญให้ถูกจุดกับสิ่งที่ได้ประเมินมาแล้ว ที่สำคัญต้องริเริ่มที่จะทำอะไรใหม่ๆ มีความกระตือรือร้น สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และหันกลับมามองทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่เพื่อนำไปขับเคลื่อนธุรกิจ
    <O:p</O:p
    3.วิธีการบริหารเงิน <O:p</O:p
    จะต้องมั่นใจว่าการเงินของคุณนั้นยังคงสามารถรักษาสภาพคล่องได้ โดยที่มีการสำรวจสินทรัพย์ทางการเงิน การได้มาซึ่งเงินทุน การสำรองไว้ซึ่งเงินบำเหน็จบำนาญ ติดตามผลการดำเนินงานในเรื่องภาระผูกพันทั้งทางด้านการเงินและมิใช่การเงิน มีการนำยุทธวิธีความร่วมมือมาใช้ในการจัดการเงินสด<O:p></O:p>
    ฉะนั้น วันนี้ผู้บริหารจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณมีความเข้าใจภาระหน้าที่ในการชำระหนี้ของคุณแค่ไหน ? คุณได้ รายงานผลการดำเนินงานต่อผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทางการเงินบ่อยแค่ไหน และพวกเขาได้รับทราบสถานการณ์ปัจจุบันมาก แค่ไหน ?
    <O:p</O:p
    4.จัดลำดับความสำคัญ <O:p</O:p
    โดยประเมินว่าผลิตภัณฑ์อะไร ลูกค้าประเภทไหน และช่องทางการจำหน่ายในการที่จะสร้างหรือทำลายคุณค่าขององค์กรเป็นอย่างไร โดยทบทวนโครงการการลงทุนที่มีอยู่ และโครงการที่กำลังจะเริ่มว่าควรหยุด หรือดำเนินต่อไป <O:p></O:p>
    ซึ่งทั้งหมดประเมินได้จากปัจจัยหลายอย่าง อาทิ ลูกค้ารายใดที่ลดปริมาณการ สั่งซื้อลง และคุณจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร ? ผลิตภัณฑ์ใด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ใดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างกำไรอย่างแท้จริง หรือคุณจะสามารถเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อจากช่องทางการจัด จำหน่ายใหม่ๆ ได้อย่างไร<O:p</O:p
    โครงการการลงทุนใดที่จะช่วยให้คุณฝ่าฟันวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ และโครงการลงทุนใดที่ยังชะลอออกไปได้ก่อน<O:p</O:p
    หากมุ่งความสนใจไปยังธุกริจหลักของคุณ ผลิตภัณฑ์ใด ลูกค้ารายไหน และ ช่องทางการจัดจำหน่ายใด ที่คุณควรจะให้ความสำคัญ
    <O:p</O:p
    5.การบริหารจัดการกับต้นทุน<O:p</O:p
    จะต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นถึงคุณค่าที่ดีขึ้น ลดความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น อีกทั้งพิจารณาว่าลักษณะการดำเนินธุรกิจควรที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ <O:p</O:p
    โดยพิจารณาจากต้นทุนการดำเนินงานเปรียบเทียบกับการเพิ่มมูลค่า <O:p</O:p
    ในส่วนของต้นทุนจะต้องดูว่า ธุรกิจที่ทำอยู่นั้นได้ดำเนิมาถูกทางหรือไม่ แล้วคุณได้ใช้ความสามารถและข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง<O:p</O:p
    บริษัทได้ขจัดความสิ้นเปลืองออกไปแล้วหรือยัง การดำเนินธุรกิจนั้นเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแล้วหรือไม่ และที่ผ่านมาสามารถใช้วิธีการจัดหาทรัพยากรที่ดีขึ้นได้หรือไม่<O:p</O:p
    สำหรับการเพิ่มมูลค่า ผู้บริหารจะพิจารณาว่ามีต้นทุนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโดยตรง แล้วอะไรคือประโยชน์ที่ได้จากสินค้าอย่างแท้จริง กิจกรรมใดที่ก่อให้เกิดกำไรและการดำเนินงานตรงจุดไหนที่ทำให้สูญเสียรายได้
    <O:p</O:p
    6.บริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ <O:p</O:p
    ความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้ในการบริหารในปีหน้าจะมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็น เพราะการกำหนด KPI ที่ชัดเจนสามารถวัดความมีประสิทธิผลของการดำเนินงานที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้าและกิจการได้ ดังนั้นการตัดสินใจต้องอยู่บน พื้นฐานของข้อเท็จจริงและทันต่อเวลา<O:p</O:p
    ผู้บริหารจะต้องมองย้อนกลับไปในอดีตว่าระบบขององค์กรได้สร้างข้อมูลที่มีประโยชน์ในระดับไหน
    <O:p</O:p
    7.เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวน<O:p</O:p
    ผู้ที่จะได้ชัยชนะจะต้องแสดงให้เห็นถึงความฉับไวและการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ โดยการจำลองสถานการณ์ที่จะสะท้อนถึงปัจจัยทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปและวางแผนสำหรับเหตุการณ์เหล่านั้น<O:p</O:p
    ผู้บริหารจะต้องพิจารณาว่า ธุรกิจของคุณได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลงอย่างไร และที่ผ่านมามีตัวแปรที่ใช้ในการสร้างสถานการณ์จำลองได้คำนึงถึงผลการดำเนินงานและช่วงระยะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่<O:p</O:p
    อะไรคือจุดบกพร่องของโครงสร้างทางธุรกิจ และโครงสร้างนั้นยืดหยุ่นมากพอที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมใหม่ๆ หรือไม่<O:p</O:p
    นั่นคือผู้บริหารองค์กรจะต้องมีการประเมินสถานการณ์จำลองและวิธีการรับมือต่อปัญหาดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ
    <O:p</O:p
    8.ช่วงสำคัญในการบริหารทรัพยากรบุคคล<O:p</O:p
    กุญแจสำคัญคือ การสื่อสารกับ พนักงานอย่างสม่ำเสมอและชัดเจน ระบุความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของพนักงานที่จำเป็นต่อองค์กร และมีการพัฒนาแรงจูงใจที่เหมาะสมให้แก่บุคลากร ไม่จำกัดการใช้ทรัพยากรแค่คนในองค์กร โดยอาจ มีการจัดจ้างจากภายนอก (outsourcing) แต่ควรที่จะรักษาคนที่มีความรู้ความสามารถไว้ในองค์กร<O:p</O:p
    สิ่งที่ผู้บริหารจะต้องพิจารณามากเป็นพิเศษ คือ ความต้องการของคนในองค์กรจะถูกกระทบจากสภาพแวดล้อมทาง เศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างไร ที่ผ่านมาได้ใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างไรเพื่อที่จะสะท้อนกับผลการดำเนินงานที่เปลี่ยนแปลงไป หรือมีการสร้างแรงจูงใจและให้ผลตอบแทนต่อพนักงานในองค์กรอย่างไร <O:p</O:p
    ที่มากกว่านั้นพนักงานมีความพอใจต่อกลยุทธ์การให้รางวัลตอบแทนขององค์กรมากน้อยเพียงใด และใช้ระบบการประเมินผลการทำงานอย่างไรที่จะสามารถวัดได้ถึงความร่วมมือที่พนักงานมอบให้แก่องค์กร<O:p</O:p
    ในส่วนของพนักงานไฟแรงให้ความสำคัญกับพวกเขาขนาดไหน <O:p</O:p
    สุดท้ายผู้บริหารทุกคนจะต้องตอบให้ได้ว่า ได้สื่อสารกับพนักงานของคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไร
    <O:p</O:p
    9.คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอยู่เสมอ <O:p</O:p
    ทุกองค์กรจะต้องประเมินผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจขาลง ทำความเข้าใจภาพรวม เพราะการรับรู้จะเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องมีการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและทันเวลา<O:p</O:p
    ดังนั้น ผู้บริหารจะต้องรู้ว่าใครคือผู้มีส่วนได้เสียหลักของธุรกิจ และสังเกตทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงของผู้มีส่วนได้เสียที่อาจจะมีผลกระทบต่อธุรกิจแล้วพัฒนาแผนการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อให้ทั้งบุคคลภายนอกและภายในมั่นใจว่าองค์กรมีการนำแผนที่มีการประมาณการนั้นมาใช้จริง <O:p</O:p
    นอกจากนั้นแล้วควรให้คนในองค์กรได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกลยุทธ์ของธุรกิจและสิ่งที่ต้องการปฏิบัติร่วมกัน
    <O:p</O:p
    10.น้ำขึ้นให้รีบตัก <O:p</O:p
    ภาวะวิกฤตหลายองค์กรมักจะตัดงบฯลงทุนต่างๆ มีเพียงซีอีโอไม่กี่องค์กรที่เดินสวนกระแสเลือกที่จะลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขาลง ในส่วนของไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์สก็เห็นว่าทุกองค์กรไม่ควรหยุดสร้างนวัตกรรมหรือการลงทุนในส่วนที่จะเจริญเติบโตในอนาคต เพราะตรงนี้คือโอกาส<O:p</O:p
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โทษเกี่ยวกับแบงก์ปลอม
    http://www.matichon.co.th/matichon/v...day=2008-12-25
    คอลัมน์ ข้าราษฎร

    โดย สายสะพาย



    ของปลอมระบาดจนพ่อค้าแม่ขายผวาไม่กล้ารับธนบัตรราคา 1,000 บาท

    มาดูกันว่า โทษทางอาญาเกี่ยวกับธนบัตรปลอมมีอะไรบ้าง เริ่มจาก

    1.การปลอมธนบัตร : ผู้ใดทำปลอมซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญ สำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอม เงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท (ประมาวลกฎหมายอาญามาตรา 240)

    2.การแปลงธนบัตร : ผู้ใดแปลงเงินตราฯให้ผิดไป จากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน แปลงเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท (มาตรา 241)

    3.นำเข้าธนบัตรปลอม : ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสิ่งใดๆ อันเป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ (มาตรา 243 )

    4.มีธนบัตรปลอมไว้เพื่อใช้ : ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใดๆ อันตนได้มาโดย รู้ว่าเป็นของแปลกตาม มาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่ สองพันบาทถึงสามหมื่นบาท (มาตรา 244)

    5.ได้ธนบัตรปลอมมาโดยไม่รู้ว่า เป็นของปลอม : ผู้ใดได้มาซึ่งสิ่งใดๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ถ้าต่อมารู้ว่าเป็นของปลอมฯ ยังขืนนำออกใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 245)

    6.ทำหรือมีเครื่องมือปลอมธนบัตร : ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงเงินตราฯ หรือมีเครื่อง มือหรือวัตถุเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท (มาตรา 246)

    7.ทำธนบัตรคล้ายคลึงเงินตรา : ผู้ใดทำบัตรหรือโลหธาตุอย่างใดๆ ให้มีลักษณะและขนาดคล้ายคลึงกับเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกระษาปณ์ธนบัตรฯหรือพันธบัตรรัฐบาล หรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ หรือจำหน่ายบัตรหรือโลหธาตุเช่นว่านั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน สองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    ถ้าการจำหน่ายบัตรหรือโลหธาตุดังกล่าวในวรรคแรก เป็นการจำหน่าย โดยการนำออกใช้ดังเช่นสิ่งใดๆ ที่กล่าวในวรรคแรก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 249)
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    [​IMG] <!-- / message --><!-- sig -->
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  13. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ท่านบอกผมว่าตอนนี้อากาศหนาวมากครับ
    และมีพระขึ้นไปปฏิบัติธรรมกับท่านด้วยครับ
    โมทนาสาธุครับ
     
  14. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    [​IMG]
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คีตา [​IMG]
    ขอเชิญร่วมงานบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอุทิศแด่...

    หลวงพ่อคืน ปสันโน - หลวงพ่อผล กิตติจาโร
    ณ วัดป่าบวรสังฆาราม(หน้าเรือนจำ) ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์

    วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    กำหนดงาน
    วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

    เวลา 07:30 น. พระภิกษุ-สามเณร ออกรับบิณฑบาตภายในวัดฯ

    เวลา 08:00 น. : ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุ - สามเณร
    : พระภิกษุ - สามเณร สวดทักษิณานุปทานอุทิศฯ
    : ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระภิกษุ - สามเณร
    : พระภิกษุ - สามเณรอนุโมทนา --เป็นเสร็จพิธีฯ

    _________________________________

    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คีตา [​IMG]
    ได้ ฟังการสนทนาธรรมระหว่าง ฆราวาสท่านหนึ่งกับครูบาอาจารย์รูปหนึ่งเมื่อซักครู่ท่านอยู่ที่วัดดังกล่าว มาจากจังหวัดตาก ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์และหลวงพ่อคืน

    "การดูจิต คือ ดู กิเลส ความคิด นิมิต อารมณ์ ในปัจจุบัน ให้เห็นถึงความ เกิดดับ ให้ขึ้นวิปัสสนาญาณ หากฟุ้งซ่าน มีอารมณ์ ให้ทำสมถะ"

    "วิธี กันและแก้ การเผลอ และ การเพ่ง คือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน"

    "มีกรรมฐานแบบนึงนะ เคยถามหลวงปู่ดูลย์ เรียกว่าตกกระไดพลอยโจน ทำได้หรือไม่ หลวงปู่ท่านว่า ทำได้แต่ต้องเคยทำ
    ฝึกทำจิตให้บริสุทธิ์ เริ่มต้นวันละ 5 นาที ทำได้แล้วก็เพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ เอาไว้เวลาคับขัน หากยังไม่จบในชาตินี้
    ...ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง... "
    </td> </tr> </tbody></table>
    มีงานบุญงานนึงที่ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์มากันมากครับ
    ตามที่พี่คีตาบอกไว้ครับ
    ใครสนใจมาร่วมงานบุญกันนะครับ

    โมทนาบุญด้วยครับ
     
  15. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ถ้าเป็นท่านเดียวกับที่ผมเคยไปพบ ที่บ้านท่านจะมีโต๊ะสำหรับไว้สอนแพทย์แผนไทย
    และจะมีสมุดข่อยโบราณที่เดียวกับยาสมุนไพรต่างๆด้วยครับ มีโอกาสอยากจะกลับไปขอชมเป็นบุญตาอีกสักครั้ง
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ข้าวงอก” มหัศจรรย์ของขวัญสุขภาพจากผืนดิน
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000151243
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 ธันวาคม 2551 07:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปัจจุบันกระแสการรักสุขภาพขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะท่ามกลางสถานการณ์ความเร่งรีบของวิถีประจำวันที่ทำให้คนใช้ร่างกายหนักขึ้น เผชิญมลพิษมากขึ้น ประกอบกับมีโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้มีการหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นตามไปด้วย จนในขณะนี้ แม้กระทั่งอาหารหลักอย่าง “ข้าว” ก็มี “ข้าวสุขภาพ” หลากหลายรูปแบบ ออกมาให้เลือกรับประทานกัน หนึ่งในข้าวสุขภาพที่กำลังอยู่ในความสนใจในกลุ่มรักสุขภาพก็คือ “ข้าวงอก”

    -1-
    เดชา ศิริภัทร ผู้อำนวยการมูลนิธิข้าวขวัญ จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ใช้เวลากว่า 20 ปี ในการค้นคว้าและพัฒนาการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้าวงอก ว่า การกินข้าวงอกเพื่อสุขภาพนั้นเริ่มต้นจากประเทศจีน จากนั้นก็เลยไปที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะแพร่ไปทั่วโลก

    “ในข้าวทุกประเภททุกสายพันธุ์จะมีสารที่เรียกว่า กาบา (Gaba - Gamma-Aminobutyric acid) แต่ก็จะมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป มีงานวิจัยออกมาว่า สารกาบามีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งทำให้จิตใจสงบ ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท และยังมีแป้งน้อยกว่าข้าวธรรมดาถึง 4 เท่า เหมาะต่อผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน ทั้งยังทำให้คลายเครียด ลดความกังวล และทำให้อารมณ์ดี หลายๆ คนเลยให้ชื่อเล่นของข้าวงอกว่า ข้าวอารมณ์ดีครับ”

    ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ อธิบายต่อไปว่า สำหรับคนที่ไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับข้าวงอกมาก่อนเลยนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า “ข้าวงอก” คือ ข้าวที่เอาเปลือกออกแล้ว แต่ยังไม่ได้ขัดสี ลักษณะก็คือ “ข้าวกล้อง” ทั่วไปที่รู้จักกันนั่นเอง การจะนำข้าวมาทำข้าวงอกนั้น ต้องใช้ข้าวกล้องเท่านั้น จะพันธุ์ใดก็ได้ งอกได้เหมือนกันหมด

    “ส่วนที่จะงอกได้ คือ ส่วนที่เป็นจมูกข้าว นั่นเป็นสาเหตุให้การทำข้าวงอก ต้องทำจากข้าวกล้องเท่านั้น เพราะข้าวกล้องยังไม่ได้สีเอาจมูกข้าวออกไป ถ้าเป็นข้าวสารขาวๆ นั่น เขาสีออกไปหมดแล้ว จมูกก็หลุด เอามาแช่ยังไงก็ไม่งอก เพราะส่วนที่งอกได้มันไม่มีแล้ว ในส่วนของสารกาบา ในข้าวกล้องธรรมดาก็มี แต่ในข้าวงอกจะมีมากที่สุด คือ ประมาณ 15 เท่าของข้าวกล้องธรรมดา ถ้ามองในเชิงปรัชญา การงอกของข้าวงอกมันหมายถึงชีวิต เมล็ดข้าวจะมีพลังชีวิตขณะที่มันกำลังงอก”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เดชาอธิบายว่า ในความเป็นจริงแล้ว ข้าวงอกก็ไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียวนักในประเทศไทย เพราะมีภูมิปัญญามานานแล้วในภาคเหนือและอีสาน ที่มีการทำ “ข้าวฮาง” ที่มีกรรมวิธีคล้ายคลึงกับการทำข้าวงอก แต่จุดประสงค์ไม่ใช่ทำไปรับประทานเพื่อสุขภาพ แต่เป็นการทำให้ข้าวนุ่มขึ้น รับประทานง่ายขึ้น โดยในแต่ละชุมชนก็จะมีวิธีการทำแตกต่างกันออกไปตามการสืบทอดของแต่ละแห่ง

    สำหรับวิธีการทำข้าวงอกสูตรของ ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ ก็ไม่ยากเย็นอะไร เคล็ดลับเพียงอย่างเดียวที่เขาแนะนำ ก็คือ ข้าวที่จะนำมาเพาะ ต้องเป็นข้าวกล้องใหม่ๆ ที่สีเอาเปลือกออกมาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จึงจะดี แต่ข้าวกล้องที่บรรจุในถุงขายตามศูนย์การค้าทั่วไปก็พอจะเพาะได้ เพียงแต่ก่อนจะนำมาเพาะ ควรทดลองเพาะแต่น้อยๆ ประมาณ 5-10 เมล็ดเสียก่อน เพื่อตรวจสอบว่าเพาะแล้วจะขึ้นหรือไม่

    “ไม่ยากเลยครับ นำข้าวกล้องที่เราต้องการจะเพาะเป็นข้าวงอกไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้น พอเช้า เราก็เทน้ำทิ้ง แล้วเอาผ้าเปียกมาห่อข้าวนั้นไว้ให้ชื้นและอุ่นๆ จากนั้นพอเย็น เราก็มาเปิดดู ถ้ามันงอก ตรงจมูกข้าวมันจะมีตุ่มสีขาวๆ นูนขึ้นมา นั่นแสดงว่าเพาะขึ้น แต่ถ้าเป็นหน้าหนาว อากาศเย็น มันจะขึ้นยากหน่อย พอแช่ไว้ 1 คืน อาจจะต้องห่อผ้าไว้ 2 วันจึงจะขึ้น และจากเท่าที่ทราบว่ามีการวิจัย เห็นว่าจังหวะที่ดีที่สุดที่จะนำมาหุง ก็คือช่วงที่งอกได้ประมาณ 1 มิลลิเมตรครับ”

    เดชา อธิบายวิธีการเพาะข้าวงอกต่อไปว่า เมื่อเพาะแล้วเห็นว่าข้าวกล้องที่เพาะงอกขึ้นมา 1 มิลลิเมตรแล้ว ก็นำไปหุงตามปกติ ข้าวที่หุงได้จะนุ่มกว่าข้าวกล้องธรรมดา แต่สำหรับคนที่ไม่สะดวกแช่ข้าวทุกครั้งที่จะรับประทาน ก็สามารถทำเก็บไว้ได้ ด้วยการแช่ข้าวและห่อด้วยผ้าเปียกจนงอก พองอกได้ที่ ก็นำไปตากจนแห้ง ใส่โหลไว้เหมือนข้าวสารปกติ แต่ถ้าจะทำเก็บไว้มากๆ ต้องระวังเรื่องของมอดแมลงอยู่สักหน่อย เพราะข้าวกล้องงอกจะมีกลิ่นหอมมากกว่า การรบกวนจากมอดแมลงจะมากกว่าข้าวสาร

    นักพัฒนาข้าวรายนี้ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ข้าวกล้องที่นิยมรับประทานกันมี 3 สี คือสีขาว จำพวกข้าวกล้องหอมมะลิขาว, สีแดง เช่น ข้าวกล้องมันปู ข้าวกล้องหอมมะลิแดง หรือข้าวหอมกุหลาบแดง และสีดำคือข้าวกล้องหอมนิล เป็นต้น

    “ใช้ข้าวกล้องอะไรก็ได้ครับ ข้าวมันปูก็จะเป็นที่นิยม แต่จะหาซื้อยากหน่อย เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสนำข้าวมันปูไปทำน้ำอาร์ซีป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง ข้าวมันปูจึงเป็นที่นิยมซื้อหามากกว่าเพื่อน”

    เดชา กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้กระแสข้าวกล้องงอกเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง วิตามินสูง มีวิตามินอี ธาตุเหล็ก แมงกานีส และแร่ธาตุดีๆ อื่นๆ อีกมากมาย และที่สำคัญคือ การเปลี่ยนเป็นน้ำตาลของข้าวกล้องงอกจะน้อยกว่าข้าวสารปกติที่นิยมรับประทานกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลอย่างยิ่ง

    เดชา กล่าวต่อไปอีกว่า ก่อนหน้านี้ ที่จะมีการวิเคราะห์วิจัยข้าวงอก ก็มีการรณรงค์การรับประทานข้าวกล้อง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือคนทั่วไปที่สนใจรักสุขภาพก็หันมาบริโภค แต่ข้าวกล้องหุงสุกมีความแข็ง บางคนที่ไม่ชอบก็จำต้องรับประทานแบบไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่ข้าวงอกจะตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ชอบความแข็งของข้าวกล้องธรรมดาได้

    “หุงแล้วจะนิ่มกว่าข้าวกล้องธรรมดาครับ และได้คุณค่าทางอาหารสูง เคี้ยวแล้วจะพอดีๆ ไม่เหมือนข้าวสารหอมมะลิที่จะแฉะๆ ก็ทำให้คนที่รักสุขภาพที่ไม่ชอบความแข็งของข้าวกล้องธรรมดา มีทางเลือกของข้าวสุขภาพมากขึ้น และกินอย่างความสุขขึ้น”

    ถึงตรงนี้ หลายคนอ่านแล้วอาจชักจะเริ่มสนใจเจ้าข้าวงอกนี้ขึ้นมาบ้าง แต่ไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน เดชาไขข้อสงสัยข้อนี้ว่า ขณะนี้ในเมืองไทยเท่าที่เห็น ยังไม่มีการทำข้าวงอกออกมาขายเป็นถุงอย่างข้าวสาร ข้าวเหนียว หรือข้าวกล้องอื่นๆ ในแต่ต่างประเทศพอจะพบบ้างแล้ว แต่อยู่ในรูปของซุปข้าวงอกสำเร็จรูปที่ชงน้ำร้อนพร้อมดื่ม

    “ไม่แน่ใจครับ ยังไม่เห็นว่าทำเป็นข้าวงอกแพกถุงขาย แต่ถ้าเป็นข้าวกล้องใหม่ๆ นำมาเพาะเองมีเยอะครับ ถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็หาซื้อได้ตามกลุ่มเกษตรอินทรีย์ เช่นที่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา สุรินทร์ ยโสธร สุพรรณบุรีครับ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ตามปั๊มที่มีร้านขายของเกษตรอินทรีย์ครับ ซื้อไปเพาะได้” เดชา สรุป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ข้าวงอก” มหัศจรรย์ของขวัญสุขภาพจากผืนดิน
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNew...=9510000151243
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 ธันวาคม 2551 07:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> -2-
    ด้าน ผศ.ดร.สุดารัตน์ เจียมยั่งยืน อาจารย์ภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “ผลของการงอกต่อสมบัติและการเปลี่ยนแปลงทางคุณค่าอาหารบางประการของข้าวกล้องหอมมะลิไทย” ระบุว่า เท่าที่ทดลอง ปรากฏว่า ข้าวกล้องหอมมะลิแดงจะแข็งกว่าชนิดขาว ทำให้งอกได้ยากกว่า

    “ตอนนี้เน้นการศึกษาไปในส่วนของข้าวที่งอกแล้ว เราพบว่า ความแข็งของข้าวจะลดลงเมื่อเพิ่มเวลาการเพาะหรือการแช่ให้นานขึ้น นอกจากนี้ยังมีปริมาณวิตามินอีเพิ่มมากขึ้นประมาณ 2 เท่า และมีปริมาณเอนไซม์อัลฟาอะไมเลสมากขึ้น ข้าวงอกที่ผ่านการหุงสุกมีความนุ่ม มีกลิ่นข้าว การพองตัวของเมล็ดข้าวมากขึ้น และไม่มีจุลินทรีย์หลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ ในส่วนของกรรมวิธีทำให้สุกของข้าวงอกนั้น จะสั้นกว่าข้าวสารปกติ คือใช้เวลาหุงสุกน้อยกว่า หุงสุกเร็วกว่า และข้าวที่ได้ออกมาก็นุ่มมากกว่า”

    ในขณะที่ ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรประจำโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ผู้ศึกษาด้านคุณประโยชน์ของข้าว กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลก็มีการจัดอบรมรวมถึงเผยแพร่ความรู้ในเรื่องของกรรมวิธีการเพาะข้าวงอกและประโยชน์ด้านสุขภาพของข้าวงอก

    “ในข้าวงอกมีสารกาบาสูงกว่าข้าวกล้องธรรมดา 15 เท่า สารกาบานี้มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะมันเป็นสารสื่อประสาททำให้ลดและคลายความกังวล เป็นยาแก้เครียดอย่างอ่อน ซึ่งใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ดีกว่าการให้ยาแก้เครียด ที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการแฮงค์ คือ มีสารจากยาตกค้างจนบางครั้งทำให้เมื่อตื่นในตอนเช้า ผู้ป่วยมีอาการไม่สดชื่น”

    ภญ.ผกากรอง ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า งานวิจัยของเธอยังไม่ได้ทำถึงการดูการเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลของข้าวกล้องงอก แต่ในต่างประเทศ มีการนำข้าวกล้องมาเป็นอาหารประจำของผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากข้าวกล้องมีความหยาบ เนื่องจากไม่ได้ถูกขัดสี ดังนั้น ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า การเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลจึงสม่ำเสมอ

    “ก็มีเหมือนกันที่ผู้ป่วยเบาหวานของเรา มีปัญหาน้ำตาลขึ้นสูงแบบพรวดพราดหลังรับประทานข้าวขาวธรรมดา ซึ่งเราพบว่า ข้าวขาวที่ถูกขัดสีออกไปหมดนั้น จะเหลือแต่คาร์โบไฮเดรตล้วนๆ ซึ่งจะย่อยเร็ว ทำให้น้ำตาลในแป้งออกมาสู่ร่างกายมากและไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้น้ำตาลในร่างกายผู้ป่วยเบาหวานจะไม่คงที่และสูงเร็วพรวดพราด และยังไม่ได้วิจัยไปถึงเรื่องน้ำตาลในข้างกล้องงอก แต่เชื่อว่าน่าจะดีกว่าข้าวขาวแน่นอน เพราะในต่างประเทศก็ให้ผู้ป่วยเบาหวานกินข้าวกล้อง เพราะย่อยยาก ร่างกายค่อยๆ ดูดซึม ทำให้น้ำตาลออกมาสม่ำเสมอ ข้าวกล้องงอกซึ่งไม่ได้ขัดสีเหมือนกัน ก็น่าจะดีต่อผู้ป่วย แถมยังมีสารกาบาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าข้าวกล้องธรรมดา 15 เท่าอีกด้วย” เภสัชกรผกากรอง ทิ้งท้าย

    หมายเหตุ : เอื้อเฟื้อภาพจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=spicy
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    พรุ่งนี้จะไปทานข้าวหมกแพะพิเศษแน่นอนครับ เนื้อ2ชี้น โอเลี้ยง2แก้ว ชัวร์อ่ะครับ หุ หุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...