พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  2. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
  3. kchatree

    kchatree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +1,240
    ท่านใดเคยเห็นไหม

    ท่านผู้ใดเคยเห็นไหมครับ ที่ใดสร้างครับ ช่วยชี้แนะหน่อย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. narin96

    narin96 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบคุณ คุณหนุ่ม ที่ให้ความรู้เรื่องเบี้ยแก้บุทอง นะครับ
     
  5. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    พูดให้ชวนสงสัยมากเลยครับ - -" มันมีเคล็ดลับขนาดนั้นเลยเหรอครับนี่
     
  6. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ประโยชน์ของการหัวเราะ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>หลาย ๆ คนเมื่อนึกถึงเรื่อง สุขภาพที่ดี มักจะคิดไปถึงเรื่องการออกกำลังกายไว้กาย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า บางครั้งกิจกรรมประจำวันของเราเองนี่แหล่ะ ก็มีส่วนช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    อย่างเช่นการ "หัวเราะ" สาว ๆ หลาย ๆ คนหลีกเลี่ยงที่จะส่งเสียงหัวเราะอย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าใบหน้าจะมีริ้วรอยก่อนวัยอันควร แต่เชื่อหรือไม่ว่า บางครั้งแค่การหัวเราะธรรมดา ๆ นี่แหล่ะก็สามารถทำให้ร่างกายดีขึ้นได้


    ... [​IMG] .... ความดันโลหิตลดลง

    ... [​IMG] .... ฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดลดลง ขณะเดียวกันการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ก็เป็นปกติ

    ... [​IMG] .... กระตุ้นระบบภูมิชีวิต (Immune system) ทำให้ T-celll ซึ่งเป็นทหารประจำตัว คอยกำจัดเชื้อโรคเพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงแอนตี้บอดี้อื่น ๆ ในร่างกายด้วย

    ... [​IMG] .... คลายความเจ็บปวด อารมณ์ขันทำให้ผู้ป่วยลืมความเจ็บปวด และยังกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับปวดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

    ... [​IMG] .... กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ขณะที่หัวเราะ กล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการหัวเราะ จะผ่อนคลาย และเมื่อหยุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการหัวเราะ ก็จะผ่อนคลาย เป็นการทำงานสองขั้นตอน

    ... [​IMG] ... หายใจดีขึ้น การหัวเราะบ่อย ๆ ทำให้ปอดโล่ง หายใจได้ลึกขึ้นดีมาก ๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจ

    ทราบเช่นนี้แล้ว อย่าลืมหันมาผ่อนคลายจิตใจ หัวเราะให้บ่อยขึ้น นะคะเพื่อสุขภาพที่ดีง่าย ๆ ที่แทบจะไม่ต้องเสียเงินซื้อเลยล่ะค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ที่มาอ้างอิงจาก
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/12565.html
     
  7. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนเราจริงหรือ?

    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มาอ้างอิงจาก
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/12556.html
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ต้องถามท่านปาทานครับ ถ้าทานปกติ คะแนนเต็ม 10อาจจะได้แค่ 10ครับ แต่ถ้าทานแบบที่ว่านี่เต็ม 10ต้องได้12 คะแนนครับ หุ หุ
     
  9. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    โอ้โห...ยิ่งทำให้อยากรู้เข้าไปอีก อืม..ไม่เคยกินเลยนะครับข้าวหมกแพะ เคยกินแต่แพะตุ๋น น่าลองจริงๆ
     
  10. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405

    ไม่รู้ว่าพูดถึงใคร แต่ขอมีส่วนร่วมด้วย ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่าชีวิตผมเนี่ยแต่เดิมตอนเรียนมัธยมก็เรียนสบายๆ
    พอตอนจะเข้ามหาวิทยาลัย ไม่รู้ยังไงเลือกหมอ ทั้งที่เคยอยากจะเป็นวิศวะ
    เป็นประธานชมรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ม.4 คลุกคลีอยู่กับคอมพ์ทั้งวันทั้งคืน
    ตอนนั้นมันก็คิดแค่ว่าหมอน่าจะสบาย วันๆเห็นแต่นั่งห้องแอร์
    เมื่อเข้ามาเรียนแล้วจึงรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ที่นั่งห้องแอร์น่ะจริงๆ แต่หลังจากนั้นสิ ยังมีภาระงานอีกมากมายเหลือเกิน

    พอจบมาทำงานด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะตอบแทนสังคม อยากจะทำความดีให้ประเทศชาติ ให้พ่อหลวงของเรา
    งานหนัก งานเหนื่อย ก็ทำ ก็ทน ถามว่าทำไหม ทำ ถามว่าคิดจะเลิกไหม ไม่คิด
    แต่เหนื่อย หนัก ท้อ ก็ทน มันก็เป็นธรรมดา เรายังเป็นปุถุชนคนเดินดิน
    ทำงานตั้งแต่เช้า ตกเย็นอยู่เวรจนถึงเช้า ก็ทำงานต่อ ถ้าเวรยุ่งไม่ได้นอน ก็ต้องอาศัยงีบเอา จนร่างกายปรับตัว เดี๋ยวนี้นอน 15 นาทีอยู่ได้ 2 ชั่วโมง ง่วงแล้วก็นอนอีกงีบ ก็ลุกมาทำงานได้ต่อ ทำขนาดนี้ก็ยังมีคนเขียนร้องเรียนว่า ทำไมกลางคืนหมอต้องนอน ทำไมไม่มาตรวจคนไข้ - -" ก็ไม่รู้จะทำยังไง
    ข้าว ได้แต่สอนคนไข้ให้กินตรงเวลา ส่วนตัวเอง บางวันข้าวเช้าตอนบ่าย 3 โมงก็มี ข้าวเที่ยงตอน 4 ทุ่มก็บ่อย หรือถ้ายุ่งมากๆแต่หิวจัด เคยหักมาม่ากินดิบๆแล้วดื่มน้ำตามก็มีมาแล้ว เพราะพอดึกๆ มันอยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้มีร้านอาหารใกล้ๆ ก็ต้องคว้าอะไรเข้าปากไปพลางๆ

    ตอนเรียนเคยปูผ้านอนกับรุ่นพี่ในห้องผ่าตัด ระหว่างเขาเข็นคนไข้เก่าออก แล้วรอคนไข้ใหม่มา ก็นอนมาแล้ว เพราะมันผ่าถึงเช้า เดี๋ยวต้องทำงานต่อ
    เมื่อมาเจอกับสิ่งไม่คาดฝัน กับคนที่ไม่ได้มุ่งมั่นจะเป็นหมอ บอกตรงๆตอนแรกนั้นทำเอาท้อทีเดียว
    แต่ที่ทนก็เพราะอย่างที่บอก เราอยู่ตรงนี้ ก็อยากทำให้ดี เป็นอาชีพที่เกี่ยวกับชีวิตไม่ทำให้ดีไม่ได้
    แต่เหนื่อยไหม เหนื่อย ท้อ เครียด หวังไว้จะได้ดูแลพ่อแม่ ก็ไม่ได้ทำ บางทีก็นั่งน้ำตาซึมว่าเราดูคนอื่นแต่แม่เราเลือดออกในกระเพาะอาหารเราลาไปดูแลท่านไม่ได้เพราะหมอไม่พอ

    แต่ด้วยความโชคดีที่ผมพยายามจะหาวิธี ว่าทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติธรรมได้ในสภาวะที่เวลาจำกัด
    เมื่อไปอ่านเจอ กรรมฐาน 40 กอง จึงได้จุดประกายในการนำ พรหมวิหาร 4 มาปฏิบัติ ระหว่างทำงานเพราะคิดว่านี่น่าจะทำควบคู่กับงานของเราไปได้
    ทุกๆอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อเราเปลี่ยนความคิด จากที่คิดว่าเราต้องพยายามเพื่อทำงานให้ดี ก็กลายเป็นการทำบุญ จิตใจก็ผ่องใสขึ้น
    ถึงแม้ความเหน็ดเหนื่อยจะไม่ได้น้อยลง แต่ก็ทำให้ไม่มีความรู้สึกท้อถอยเหมือนแต่ก่อน
    และก็มีความสุขมากขึ้นในแต่ละวันที่ทำงาน น่าแปลกใจที่อะไรๆดูจะดีขึ้นไปหมด ผมมีเวลากลับไปดูแลคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น การงานก็ราบรื่นขึ้น ได้รู้จักกับพี่ที่ใจดีมีเมตตาหลายๆท่าน

    ที่เล่ามาก็อยากจะเป็นกำลังใจให้กับท่านอื่นๆ ทุกวันนี้เวลาวันหยุดที่ทุกคนเที่ยวกัน มันคือวันที่ผมทำงานหนักที่สุดเพราะอุบัติเหตุจะเยอะ
    ผมยังต้องทำงานตั้งแต่เช้าวันศุกร์ แล้วอยู่เวรยาวไปจนถึงเย็นวันจันทร์ จึงได้พักผ่อน แต่ก็มีความสุขได้ขึ้นกับใจของเรา

    ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังประสบความรู้สึกว่าทุกข์ เพราะโลกนี้ทุกอย่างเป็นทุกข์อยู่แล้วดังที่พระพุทธองค์ทรงเทศนา เพียงแต่เราจะปฏิบัติกับมันอย่างไร หาทางออกและแนวทางให้ได้เท่านั้นเอง
    และก็อย่างที่คุณ nongnooo ว่าไว้ เราคิดว่าเราทุกข์ที่สุด แต่จริงๆแล้วเราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเขาทุกข์อย่างไร เพราะเขาไม่เอามาป่าวประกาศให้คนอื่นฟัง

    สู้ๆ คำของท่านปาทาน คำนี้ดีที่สุดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2008
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    โมทนาสาธุครับ
    วันนี้ยังโดนแซวเลยว่าเพิ่งรู้นะเนี่ย นอนแค่ 5ชั่วโมง พี่ผมก็เคยบอกว่าเฮ้ยนอนน้อยไป อาจตายได้นะ ผมก็บอกว่า ก็มันต้องเป็นอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ครับ ...
     
  12. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    555 ผมมายืนยันว่าไม่ตายหรอกครับ แต่ว่าร่างกายจะเพลียๆหน่อย สำหรับอายุวัยนี้
    แต่ว่าอีกหน่อยพออายุมากเข้าร่างกายก็จะต้องการการนอนหลับน้อยลงเรื่อยๆครับ เดี๋ยวก็จะกลายเป็นปกติไปเองครับ
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <!-- / next / previous links --><!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 20 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 18 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, ake7440+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หวาดดีครับไว้มาเรียนแล้วจะชวนนั่งเรือด่วนมาทาน ให้ท่านปาทานเลี้ยงรับรองสุดยอดครับ
    ผมขออนุญาตเล่าตำนานของร้านนี้นะครับ เจ้าของร้านเป็นเจ้าของตลาดวัดแขกที่สีลม รวยมากครับ ตอนนี้บริหารงานโดยรุ่นลูกสาว ถ้าใครเกิดทันเมื่อราวๆ 40กว่าปีก่อนตอนผมยังเท่าเจ้าโดนี่ มีสลัดอากาศเป็นมุสลิมจี้เครื่องบินมาจอดที่ประเทศไทย โดยขอน้ำและอาหาร ทางรัฐบาลก็ให้ร้านนี้ละครับจัดข้าวหมกไก่ผมจำไม่ได้น่าจะ40 ห่อส่งให้พวกเขาทานกันครับ หุ หุ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ติดใจมากครับ
    สงสัยว่า ต้องลาพักร้อนไปทานอีกแน่นอนครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ฉู่หวังห้าวซี่เยา : อ๋องฉู่นิยมเอวคอด
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000138067
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 ธันวาคม 2551 18:40 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=238 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=238>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 楚 (chǔ) อ่านว่า ฉู่ แปลว่า รัฐฉู่
    王 (wáng) อ่านว่า หวัง แปลว่า อ๋อง(กษัตริย์)
    好 (hào) อ่านว่า ห้าว แปลว่า ชื่นชอบ
    细 (xì) อ่านว่า ซี่ แปลว่า เล็ก ละเอียด ประณีต
    腰 (yāo) อ่านว่า เยา แปลว่า เอว


    ในอดีตกาล อ๋องฉู่หลิงยามออกว่าราชการนั้น ชอบที่จะเห็นบรรดาขุนนางมีเอวคอดเล็ก ทรวงทรงองค์เอวอรชรอ้อนแอ้นราวกับกิ่งหลิว เนื่องจากอ๋องรัฐฉู่เชื่อว่ามีเพียงสิ่งนี้จึงจะเรียกว่าเป็นทัศนียภาพที่งดงามต่อสายตา และทำให้วังหลวงดูดีมีสง่าราศี ถึงกับมีบรรดาขุนนางที่ได้รับการโปรดปรานจากอ๋องฉู๋เป็นพิเศษเพียงเพราะเกิดมาโชคดีมีรูปร่างบอบบาง เอวเล็กอยู่แล้ว ซึ่งอ๋องฉู่จะไว้วางใจและเชื่อถือคำพูดของขุนนางเหล่านั้นเป็นพิเศษ

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นต่างก็หาร้อยแปดพันวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีเอวบางร่างน้อย เพื่อที่จะทำให้เป็นที่โปรดปรานและได้รับความไว้วางใจจากอ๋องฉู๋หลิง พวกเขาต่างจำกัดอาหารตนเอง โดยกินข้าววันละมื้อเดียว ดังนั้นขุนนางในวังหลวงหลายรายจึงมักจะมีอาการวิงเวียน อ่อนเพลียเนื่องจากได้รับอาหารไม่เพียงพอ ขุนนางใหญ่บางรายถึงขั้นคิดวิธีลัดเพื่อลดน้ำหนักและขนาดเอวในเวลาอันรวดเร็ว นั่นคือทุกเช้าเมื่อตื่นนอนและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก่อนอื่นจะหายให้เข้าลึกๆ และแขม่วเอวเอาไว้จากนั้นจึงนำผ้าแถบมารัดร่างกายส่วนเอวจนแน่นเพื่อให้ช่วงกลางลำตัวแลดูคอดกิ่ว ซึ่งผลข้างเคียงทำให้บรรดาขุนนางเหล่านี้หลายรายหายใจไม่ออก ไม่มีแรงทรงตัว ยามเดินไปไหนมาไหนต้องใช้วิธีค่อยๆ พยุงตัวไปตามผนังหรือกำแพง สร้างความลำบากอย่างยิ่ง

    เช่นนี้เรื่อยมาจนเวลาผ่านไปราว 1 ปี ข้าราชบริพารของอ๋องฉู่ต่างพากันเปลี่ยนเป็นหน้าซีดเหลือง กล้ามเนื้อฝ่อเล็กเหี่ยวย่น บอบบางแทบต้านทานแรงลมพัดไม่ไหว จึงไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถทำงานให้บ้านเมือง บริหารปกครองประเทศได้หรือไม่

    อ๋องฉู่หลิงใช้รสนิยมส่วนตัวมากำหนดพฤติกรรมของขุนนางในบังคับบัญชา ทั้งยังใช้ตัดสินความเชื่อใจทางการทำงาน ทำให้ขุนนางต่างพากันพยายามทำทุกอย่างที่จะเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของเบื้องบนโดยไม่สนใจการงานด้านอื่น เมื่อทั้งชนชั้นบนและชนชั้นล่างต่างเป็นไปเช่นนี้ ย่อมเกิดผลร้ายแรงต่อบ้านเมือง

    เช่นเดียวกับการทำกิจการงานใดในปัจจุบัน หากเจ้านายและลูกน้องไม่สนใจผลประโยชน์โดยรวม โดยเจ้านายใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสินการทำงานของลูกน้อง ขณะที่ลูกน้องไม่สนใจทำงานเอาแต่ประจบเจ้านาย ย่อมทำให้กิจการนั้นไม่เจริญรุ่งเรือง และอาจถึงกับล่มจมได้ ในที่สุด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    วันนี้ผมไปซื้อมาทานที่บ้านครับ
    ที่ตัก เรียกว่า ยี่จัก (เป็นข้อเท้าหมู) คัรับ ส่วนนี้หากใครชอบเอ็น ขอบอกว่า อร่อยมากๆครับ
    [​IMG][​IMG]


    ส่วนกล่องนี้ ข้าวหมกแพะ ฝากท่านโดครับ

    [​IMG]
    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    วิธีทานข้าวหมกแพะนี่ ก็เป็นความลับนะครับ บอกต่อกันมารุ่นต่อรุ่นครับ 555 หุ หุ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หน้าแตกครับ ไม่มีใครรับเย็บด้วยสิครับ

    ชื่อร้าน ขาหมูเจริญแสงนะครับ

    .
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น้องหมอ มาอธิบายให้ด้วยนะครับว่า ถูกหรือไม่อย่างไร

    เรื่องของชีวจิต เป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพ แต่ไม่ใช่การรักษาโรคนะครับ ผมยืนยันได้ว่า การรักษาต้องไปรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ในบางโรคที่เล็กๆน้อยๆ ก็ใช้แพทย์แผนไทยได้ แต่ไม่ใช่โรคมะเร็ง ,โรคเอสด์ หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ (เป็นความเห็นส่วนตัว) ผมเคยด่าหมอกลางโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมาแล้ว เพื่อนผมเป็นโรคมะเร็ง แต่หมอที่รักษา รักษาแบบชีวจิต รักษามา 1 ปี หายครับ หายที่ว่า หายไปจากโลกนี้ครับ ก็เลยด่าหมอและด่าโรงพยาบาลกลางโรงพยาบาล ด่าไปได้สักพัก คงมีคนสั่งให้พยาบาลมาหาผม มาขอคุยด้วย แล้วขอเบอร์โทร.ผม และแจ้งว่า ทางผอ.โรงพยาบาลจะโทร.ไปสอบถามรายละเอียด ผมก็ให้เบอร์ไป รอให้ทางโรงพยาบาลโทร.มาหา ผมรอมา 5 ปีแล้ว รอตั้งแต่ประมาณต้นปี พ.ศ.2547 จนถึงวันนี้ ยังไม่มีโทร.มาหาเลย แต่ก็ไม่ซีเรียส เนื่องจากเป็นกลยุทธให้ผมหยุดด่าหมอและด่าโรงพยาบาลครับ

    ยืนยันนะครับว่า การรักษาโรค ต้องรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ใช่รักษาแบบชีวจิต

    -------------------------------------------------------------

    คุณรู้จริงหรือไม่ กับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

    http://hilight.kapook.com/view/32225

    [​IMG]


    ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องการความช่วยเหลือโดยด่วน เช่น อุบัติเหตุ ไฟไหม้ เป็นต้น สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำก็คือ ต้องตั้งสติให้ได้และอย่าตกใจ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นอีกเรื่องถัดมาที่คุณควรเรียนรู้และฝึกปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นกับตัวคุณหรือคนรอบตัวได้

    คำถามต่อไปนี้จะทดสอบว่าคุณรู้วิธีรักษาพยาบาลเบื้องต้นดีเพียงใด โดยลองคิดและตอบคำถามเหล่านี้อย่างรวดเร็วว่าถูกหรือผิด ดังนี้ค่ะ​

    [​IMG] คำถาม : วิธีการรักษาแผลสดที่ดีที่สุด โดยการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค อย่างแอลกอฮอล์ ไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ เช็ดทำความสะอาดบาดแผล และปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง อย่าถูกน้ำ (ถูก หรือ ผิด) ​

    คำตอบ : ผิด การใช้แอลกอฮอล์ ไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ อาจทำลายเชื้อโรคที่ดีไปด้วยและทำให้การสมานแผลช้าลงได้ ทางที่ดีคุณจึงควรล้างทำความสะอาดบาดแผลสดด้วยน้ำและสบู่อ่อนๆ ก่อนปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยาแบบเจล ซึ่งจะทำให้แผลชุ่มชื้นและหายเร็วกว่าแบบแห้ง ​

    [​IMG] คำถาม : หากมีแผลไฟไหม้ ให้ใช้น้ำแข็งประคบ (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ : ผิด น้ำแข็งช่วยให้เลือดแข็งตัว ซึ่งทำให้แผลหายช้าและยังปวดมากอีกด้วย ควรใช้น้ำเย็นประคบแผลอย่างน้อย 10 นาที เพื่อให้บริเวณที่ไหม้เย็นลง แล้วจึงดูลักษณะแผล หากพองและไหม้เกรียมให้ไปพบแพทย์โดยทันที ​

    [​IMG] คำถาม : ถ้าฟันแท้หลุด ให้เก็บฟันซี่ที่หลุดไว้ในน้ำนม (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ : ถูก เพราะแร่ธาตุในน้ำนมและระดับความเข้มข้นใกล้เคียงกับในช่องปาก จึงช่วยคงสภาพของฟันไว้ได้ และเพื่อช่วยให้ฟันซี่นั้นยังใช้การได้ ควรรีบไปพบทันตแพทย์ภายใน 45 นาที ​

    [​IMG] คำถาม : การใช้น้ำผึ้งถูเบาๆ บริเวณบาดแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกจะช่วยเยียวยาอาการดังกล่าวได้ (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ : ถูก จากการวิจัยในสหรัฐยืนยันว่า ในน้ำผึ้งมีเอนไซม์ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงช่วยฆ่าเชื้อโรคจากแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกได้ และทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้นด้วย ​

    [​IMG] คำถาม : แผลยาวเกิน 2.5 เซนติเมตรเท่านั้นที่จำเป็นต้องเย็บ (ถูก หรือ ผิด)​

    คำตอบ :ผิด แผลที่ถูกบาดอาจเล็กน้อยแต่ลึกและจำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ หากเห็นรอยบาดลึกลงไปหรือเลือดไหลเกิน 15 นาทีหลังจากกดแผล ให้รีบไปพบแพทย์​

    ทางที่ดีที่สุด ยึดหลักสั้นๆ ง่ายๆ "มีสติและไม่ประมาท" ที่ใช้ได้เสมอในทุกเวลาและทุกสถานการณ์ค่ะ​




    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  19. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 20 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 16 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ake7440, ksriuta, nongnooo+, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- currently active users -->

    หุหุ ท่านปาทานพักร้อนเพียงพอแล้วเหรอครับ ปีนี้เราได้มา 1 ถ้วยแล้วนะครับ.... จากเด็กผี
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหตุผลที่กำหนดให้ 25 ธันวาคม เป็นวันคริสต์มาส

    http://hilight.kapook.com/view/32248

    [​IMG]


    วันคริสต์มาสถือเป็นวันฉลองที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งของศาสนาคริสต์

    วันคริสต์มาส (Christmas Day) เป็นวันที่คริสตชนทั่วโลกจะฉลองตรงกันในวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี และยังนับเป็นวันฉลองสากลที่สำคัญวันหนึ่งของชาวโลกแม้ไม่เป็นคริสตชนด้วย ความหมายและความเป็นมาขอวันคริสต์มาสนี้จะต้องวิเคราะห์ออกเป็นสองประเด็นดังนี้ คือ

    1.ประเด็นที่เป็นความรู้ในแง่ประวัติศาสตร์ของโลก โดยอาศัยเหตุผลและหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิเศษหาความจริง​

    2.ประเด็นที่เป็นความรู้ในแง่ของข้อความเชื่อ (Dogma) ทางศาสนาคริสต์โดยไม่ต้องอาศัยเหตุผลและหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ มาเป็นเครื่องพิสูจน์หาความจริง​

    [​IMG] ประเด็นที่เป็นความรู้ในแง่ประวัติศาสตร์ของโลก

    พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์มีเนื้อหนังมังสาจากนักบุญยอแซฟผู้เป็นพ่อและจากพระนางมารีอาผู้เป็นแม่จริง แต่มิได้ยืนยันว่าพระองค์มาเกิดตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม จริงๆ เหมือนกับวันเกิดของคนทั่วๆ ไป เพราะเวลาที่พระเยซูเกิด ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดคิดบันทึกไว้ ถือเป็นการเกิดมาธรรมดาๆ เหมือนเด็กทั่วไป​

    แต่การที่ชาวโลกยึดถือเอาวันที่ 25 ธันวาคม ว่าเป็นวันเกิดของพระเยซูมาเป็นเวลาหลายศตวรรษจนถึงปัจจุบันก็เพราะเหตุผลดังนี้ คือ

    คริสตชนสมัยโบราณพยายามใช้เหตุผลต่างๆ เพื่อจะทำให้การเกิดมาของพระเยซูตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมให้ได้ เพราะมีเบื้องหลังมาจากอิทธิพลทางประเพณีบางอย่างของโรมันสมัยนั้น ซึ่งนับถือพระและเทพเจ้าประจำที่ต่างๆ มากมาย และเทพเจ้าที่ถือว่าสำคัญองค์หนึ่ง ได้แก่ "พระอาทิตย์" ซึ่งถือกันแพร่หลายมากในสมัยนั้น​

    การถือพระอาทิตย์นี้มีประเพณีปฏิบัติอย่างหนึ่ง คือ เมื่อฤดูหนาวสิ้นสุดลงแล้ว จะมีการฉลองใหญ่โตในหมู่ชาวโรมันเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ การฉลองนี้เรียกว่า "ซัทเทอร์นาเลีย" ตรงกับวันที่ 17-19 ธันวาคม ถือเป็นเทศกาลฉลองที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีและสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีการปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระและแลกเปลี่ยนของขวัญกันด้วย

    ปกติเมื่อฤดูหนาวสิ้นสุดลงแล้ว แสงแดดจากดวงอาทิตย์จะเริ่มสาดส่องลงมาอีกครั้งหนึ่ง (เพราะในฤดูหนาวไม่มีแสงแดดแต่มีแสงสว่าง) ทำให้ต้นไม้และธรรมชาติกลับมีชีวิตชีวาและสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดวงอาทิตย์ที่เคยมืดมนอับแสงในฤดูหนาวก็จะเริ่มแผดแสงจ้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง​

    เหตุการณ์นี้ทำให้โรมันเข้าใจว่าพระอาทิตย์ได้หลุดพ้นออกมาจากการถูกจับกุมไว้ในฤดูหนาว จึงถือว่าเป็นวันเกิดของพระอาทิตย์ที่ได้รับชัยชนะใหม่อีกครั้งหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังย่างเข้ามา สิ่งเหล่านี้จึงนับว่าเป็นพื้นฐานทางความคิดของโรมันที่นับถือพระอาทิตย์เป็นเทพเจ้า​

    ต่อมาเมื่อจักรภพโรมันได้ยอมรับเอาคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว และคริสตชนดั้งเดิมตั้งแต่สมัยอัครสาวกเป็นต้นมาต่างก็ถือว่าวันอาทิตย์เป็นวันพระเจ้าอยู่แล้วด้วย​

    ดังนั้น ถ้าพระอาทิตย์ที่ชาวโรมันนับถืออยู่ก่อนเป็นผู้ได้รับชัยชนะและถือว่ามีวันเกิดเป็นวันที่ 25 ธันวาคม พระเยซูผู้ได้รับชัยชนะเหนือโลกและความตาย อีกทั้งยังเป็นเจ้าของวันอาทิตย์ด้วยก็ย่อมจะต้องมีวันเกิดตรงกับพระอาทิตย์ของชาวโรมันในวันที่ 25 ธันวาคมด้วย

    แสดงให้เห็นว่าคริสตชนสมัยแรกๆ หลังจากที่ศาสนาคริสต์ได้เป็นศาสนาประจำชาติของโรมันแล้ว (ราวๆ ศตวรรษที่ 4 หรือประมาณ 1,600 ปีผ่านมาแล้ว) พยายามเอาชนะศาสนาดั้งเดิมของโรมันที่นับถือพระอาทิตย์เป็นเทพเจ้าด้วยวิธีการจูงใจให้คล้อยตามด้วยเหตุผลที่แยบคายของผู้นำศาสนาในสมัยนั้น​

    ในการรับเอาวันสำคัญที่พวกโรมันนับถือกันอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งการฉลองอย่างสนุกสนานที่ทุกคนถือปฏิบัติกันก่อนแล้วเข้ามาเป็นวันสำคัญของคริสตชนได้อย่างสนิทสนม โดยเปลี่ยนเป็นพระเยซูผู้เป็นเจ้าแห่งวันอาทิตย์มาแทน "พระอาทิตย์" ที่นับถือกันอยู่ก่อนเท่านั้น ถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผล ทำให้ชาวโรมันยอมรับพระเยซูและวันเกิดของพระองค์ได้อย่างไม่รู้สึกตัวและเกิดปฏิกิริยาใดๆ​

    หรือพูดง่ายๆ ก็คือ วันสำคัญแห่งเทพเจ้าของชาวโรมันโบราณก็คือ "วันคริสต์มาส" ของคริสตศาสนิกชนทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี

    ทางด้านหลักฐานประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ ก็ไม่ปรากฏแจ้งชัดว่ามีการฉลองใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับวันเกิดของพระเยซูตั้งแต่แรกเริ่มมา จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 4 หลังจากที่จักรพรรดิโรมันยอมรับเอาคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว คริสตชนทางจารีตตะวันออก (เอเชียน้อย) ก็ค่อยๆ รับเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันเกิดของพระเยซู แทนวันที่ 6 มกราคม ซึ่งเคยถือมาแต่ก่อน แต่ก็ยังมีบางแห่งที่ถือวันที่ 6 มกราคม เป็นวันเกิดของพระเยซูอยู่ด้วย

    ที่สุดก็มีกฤษฎีกาของพระสันตะปาปาจูลีอัสที่หนึ่ง แห่งกรุงโรม ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์ ได้ประกาศออกมาอย่างแจ้งชัดว่า "วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ถือเป็นวันคริสต์มาสโดยไม่มีการเลื่อนอีกต่อไป"

    และนับตั้งแต่นั้นมาก็เป็นที่ยอมรับและตกลงกันในพระศาสนจักรทั่วโลก ในการยึดถือวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันคริสต์มาสสืบทอดมาจนปัจจุบัน​

    [​IMG] ประเด็นที่เป็นความรู้

    ในแง่ของข้อความเชื่อ (Dogma) ทางศาสนาคริสต์ คือ พระศาสนจักรคาทอลิก สอนให้คริสตชนทั้งหลายมีความเชื่อมั่นว่าพระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้าได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์มีร่างกายจริงๆ จากพระนางมารีอาผู้เป็นพรหมจารีเพื่อไถ่บาปมนุษย์ และพระเยซูองค์นี้เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในบุคคลเดียวกัน แต่มิได้ยืนยันว่าพระองค์ลงมาเกิดตรงวันที่ 25 ธันวาคมจริงๆ เพราะถือว่าไม่ใช่แก่นแท้ของความจริงทางศาสนาที่จะต้องรู้วันเดือนปีเกิด แต่เป็นขอบเขตความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่จะต้องไปศึกษาพิสูจน์หาความจริงกันเอง​

    เหตุผลและหลักฐานที่ถือว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับวันคริสต์มาส หรือการเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ของพระเยซูในแง่ที่เป็นข้อความเชื่อทางศาสนาคือ "พระคัมภีร์ไบเบิล (Bible)" ถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดซึ่งบันทึกเหตุการณ์ในการบังเกิดของพระเยซูอย่างละเอียด​

    แม้ว่าข้อเท็จจริงบางอย่างจะไม่ตรงกับการบันทึกทางประวัติศาสตร์ของโลกก็ถูกต้องแล้ว เพราะผู้เขียนพระคัมภีร์มิได้มีจุดหมายในการบันทึกเหตุการณ์ของพระเยซู ไว้ให้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่มีจุดหมายบันทึกไว้เพื่อให้เป็นความจริงทางศาสนาสำหรับเพิ่มพูนความเลื่อมใสของคริสตชน ที่จะต้องมีต่อพระเยซูให้มากขึ้น

    ดังนั้นอย่าเอาข้อมูลในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในการเกิดมาของพระเยซู ไปเป็นหลักฐานหรือเหตุผลอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความจริงทางประวัติศาสตร์ของโลก เพราะประวัติศาสตร์จะพิสูจน์ว่าพระเยซูเกิดมาในโลกนี้จริงหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นเครื่องตัดสินผิด-ถูกของคริสตชนทั่วโลกที่มีความเชื่ออย่างมั่นคงว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้จริงเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคนตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล​

    เหตุการณ์การบังเกิดมาของพระเยซูจากหลักฐานที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของความจริง (Truth) ทางศาสนาที่เป็นข้อความเชื่อ (Dogma) ของคริสตชนทั้งหลาย คือ​

    เมื่อนางเอลิซาเบธตั้งครรภ์ได้ครบหกเดือน พระเจ้าได้ส่งเทวดาคาเบรียลไปยังเมืองนาซาแรธในมณฑลกาลิลีเพื่อแจ้งข่าวดีให้กับหญิงพรหมจารีผู้มีชื่อว่า "มารีอา" เป็นธิดาของนายยออากิมและนางอันนา ซึ่งเป็นสามีภรรยาที่ศักดิ์สิทธิ์ พระนางมารีอาตั้งพระทัยจะถือพรหมจรรย์ แต่ประเพณีของชาวยิวที่จะถือพรหมจรรย์นั้น จะต้องหาชายอาวุโสคนหนึ่งที่มีจิตใจเดียวกันมาให้การคุ้มครองให้พ้นอันตราย บิดามารดาของพระนางจึงจัดให้หมั้นกับชายคนหนึ่งชื่อ "ยอแซฟ" เป็นเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด และเป็นผู้มีอายุสูงพอสมควร​

    วันหนึ่งเทวดามาหาพระนางมารีอาและแจ้งว่า "วันทาท่านมารีอา ท่านเปี่ยมด้วยพระหรรษทานพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน และทรงประทานพรแก่ท่านอย่างล้นพ้น" พระนางมารีอารู้สึกฉงนพระทัยในคำพูดของเทวดาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร

    เทวดาจึงชี้แจงว่า "อย่ากลัวเลยท่านมารีอา พระเจ้าทรงเมตตาท่านอย่างล้นเหลือ ท่านจะตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งจงตั้งชื่อว่า "เยซู" พระกุมารจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าทรงตั้งให้พระองค์เป็นกษัตริย์ดังเช่นกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์จะเป็นกษัตริย์ของบรรดาวงศ์วานของผู้ที่มีความเชื่อตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะยั่งยืนตลอดทุกยุคสมัย"​

    พระนางมารีอาทรงถามเทวดาว่า "ข้าพเจ้าถือพรหมจรรย์จะเป็นดังที่ท่านพูดได้อย่างไรเล่า"

    เทวดาตอบพระนางมารีอาว่า "พระจิตของพระเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่านและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะคุ้มครองท่าน ด้วยเหตุนี้แหละท่านผู้เป็นเลิศกว่าคนทั้งปวงเป็นบุตรของพระเจ้า จำญาติของท่านที่ชื่อเอลิซาเบธที่เป็นหมันได้ไหม เขายังตั้งครรภ์ได้ครบหกเดือนแล้ว ทั้งๆ ที่เขาเองก็แก่มากแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะว่าไม่มีอะไรที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้"​

    พระนางมารีอาทรงตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า ขอให้เป็นไปดังที่ท่านพูดไว้นั้นเถิด" แล้วเทวดาองค์นั้นก็จากพระนางไป​

    พระนางมารีอาเมื่อได้รับแจ้งข่าวจากเทวดาแล้วก็ไม่กล้าเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับใครเลย เพราะถ้าเล่าก็คงไม่มีใครเชื่อและเข้าใจได้ แม้แต่นักบุญยอแซฟผู้เป็นสามีเองก็ตาม​

    ต่อมานักบุญยอแซฟพบว่าพระนางมารีอาตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่ตนมิได้มีความสัมพันธ์กันฉันสามีภรรยากับพระนางแต่ประการใดเลย จึงเกิดความวุ่นวายใจและหนักใจมาก ท่านไม่รู้จะทำประการใด ครั้นจะถามพระนางมารีอาก็ไม่กล้า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น พระนางก็ได้เจริญชีวิตเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ประพฤติตนหาที่ติมิได้ ดังนั้นจึงคิดจะส่งพระนางกลับไปอยู่กับบิดามารดาอย่างเงียบๆ

    ขณะที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั้น เทวดาก็ประจักษ์มาแจ้งข่าวแก่ท่านว่า "ยอแซฟเชื้อสายตระกูลดาวิด อย่ากลัวที่จะรับพระนางมารีอาเป็นภรรยาเลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระนางนั้น เป็นพระราชกิจของพระจิตเจ้า พระกุมารที่เกิดมานั้นจงถวายพระนามว่า "เยซู" พระองค์จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้ช่วยกู้ประชากรของพระเจ้าให้พ้นบาป"​

    เหตุการณ์นี้ตรงกับพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า "หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และจะบังเกิดบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งจะขนามนามว่า "เอมานแอล" แปลว่า "พระเจ้าสถิตกับเรา"​

    เมื่อเป็นเช่นนี้ นักบุญยอแซฟผู้ประพฤติถือพรหมจรรย์ด้วย จึงรับเป็นผู้คุ้มครองความเป็นพรหมจรรย์และพระเกียรติของพระนาง ท่านรับปฏิบัติตามที่เทวดาแจ้งทุกประการ ท่านเคารพต่อศีลพรหมจรรย์ของพระนางและยอมรับเป็นบิดาเลี้ยงของพระเยซูเจ้ากับพระนางมารีอา​

    แม้แต่คนทั้งหลายจะเข้าใจว่าพระเยซูเจ้ามิได้เป็นบุตรที่เกิดจากท่านก็ตาม นักบุญยอแซฟได้ปฏิบัติตนเป็นหัวหน้าครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง ท่านทำอาชีพช่างไม้เพื่อเลี้ยงครอบครัวของท่าน จึงมีคนเรียกพระเยซูเจ้าว่า "ลูกของช่างไม้"

    อีกไม่กี่เดือนต่อมา จักรพรรดิ "ออกัสตัส" แห่งกรุงโรม ซึ่งปกครองประเทศปาเลสไตน์ มีพระราชดำรัสให้ราษฎรทุกคนในอาณาจักรโรมไปลงทะเบียนที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน​

    นักบุญยอแซฟได้จากเมืองนาซาแรธในแคว้นกาลิลี ไปยังเมืองแบธเลแฮม ในมณฑลยูเดีย อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ ไปที่นั่นก็เพราะยอแซฟเป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ดาวิดผู้เป็นต้นตระกูล​

    ท่านได้เดินทางไปกับพระนางมารีอาเพื่อจะไปลงทะเบียนสำมะโนครัวตามคำสั่ง เมื่อท่านมาถึงเมืองแบธเลแฮมปรากฏว่าไม่มีที่พักแล้วตามโรงแรม นักบุญยอแซฟจึงต้องหาที่พักตามภูเขาอันเป็นที่พักของสัตว์ในเวลากลางคืนและในคืนนั้นเอง พระกุมารเยซูก็ได้บังเกิดมาโดยเลือกเอาถ้ำเลี้ยงสัตว์เป็นพระราชวังของพระองค์ พระนางเอาผ้าพันกายพระกุมารและวางไว้ในรางหญ้า​

    มีพวกเลี้ยงแกะอยู่ตามชานเมืองกำลังเฝ้าฝูงแกะที่ทุ่งหญ้า ได้เห็นเทวทูตของพระเจ้าปรากฏ เพื่อแจ้งข่าวการบังเกิดมาของพระกุมาร เมื่อเทวทูตจากไปแล้วเขาก็ชวนกันไปที่เมืองแบธเลแฮม เพื่อจะได้ดูเหตุการณ์ที่เทวทูตแจ้งแก่เขา และเขาก็ได้พบเห็นทุกอย่างที่เทวทูตบอกไว้พลางร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดี

    ดังนั้น เมื่อคริสตชนทั้งหลายทำการฉลองวันคริสต์มาสเป็นประจำทุกปีต้องยอมรับว่า ในแง่ความรื่นเริงสนุกสนานภายนอกนั้นก็สืบเนื่องมาจากประเพณีของชาวโรมันที่เคยฉลองพระอาทิตย์ของเขา แต่คริสตชนก็นำประเพณีนี้มาใช้ให้มีความหมายเกี่ยวกับการฉลองวันเกิดของพระเยซู เช่น การแจกของขวัญ ฯลฯ ซึ่งถือว่าเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นและอยู่นอกพระคัมภีร์ทั้งสิ้น​

    แต่คริสตชนทั้งหลายก็จะต้องรู้จักใช้ประเพณีที่ดีงามเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่จะนำเราไปสู่ความสำคัญและหัวใจของวันคริสต์มาสที่แท้จริงและถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของศาสนา



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ​
     

แชร์หน้านี้

Loading...