พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินปลาดีกว่าน้ำมันปลา ป้องกันเสี่ยง โรคหัวใจ

    http://hilight.kapook.com/view/31739

    [​IMG]


    สถาบันอาหาร สุขภาพ และโภชนาการมนุษย์แห่งนิวซีแลนด์ แนะนำว่า ควรจะกินปลาแซลมอนโดยตรงจะได้ คุณประโยชน์มากกว่ากินน้ำมันปลาแคปซูล

    นักวิจัยของสถาบันได้ศึกษาพบว่า แม้ว่าการกินปลากับกินแคปซูลน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์พอๆ กัน ช่วยเพิ่มระดับของสารโอเมกา-3 แต่การกินปลายังได้คุณประโยชน์ ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นของเซเลเนียมที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นอีกด้วย ​

    ผู้ช่วยศาสตราจารย์เวลมา สโตนเฮาส์ หัวหน้าคณะนักวิจัย ยังแจ้งด้วยว่า เซเลเนียมนอกจากมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็น มะเร็ง แล้ว ยังเชื่อว่ามันยังช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
    [​IMG]
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การวางตัวในสังคมปีใหม่

    http://women.kapook.com/work00087/

    [​IMG]



    สิ้นปีแต่ละครั้ง ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้คนมีการแสดงออกหลายประการ ซึ่งชักนำให้คนอื่นๆ เข้าไปมีส่วนร่วมโดยอัตโนมัติ ในครอบครัวอาจมีการวางแผนเดินทางไปพักผ่อนท่องเที่ยวด้วยกัน หรือจัดงานฉลองเล็กๆ เป็นการภายใน บางครอบครัวอาจเชิญญาติสนิทหรือบุคคลใกล้ชิดมาร่วมด้วย

    ในบริษัทเองก็จะต้องมีการส่งบัตรอวยพร มอบของขวัญเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับผู้เกี่ยวข้อง ไหนจะแผนการท่องเที่ยวหรือพักผ่อนส่วนตัว และอื่นๆ อีกสารพัด ในเทศกาลปีใหม่ การวางตัวและการจัดการกับกิจกรรมส่วนตัวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมีส่วนนำทั้งความสุขและปัญหามาให้ได้เท่าๆ กัน เรามีข้อแนะนำการวางตัวในสังคมปีใหม่ ดังต่อไปนี้ค่ะ



    [​IMG] 1. วางแผน
    </PRE>
    คิดเสียให้เสร็จว่าปีใหม่จะทำอะไรบ้าง แยกเป็นหมวดๆ เพื่อไม่ให้สับสน เช่น กลุ่มคนที่ต้องส่งบัตรอวยพร กลุ่มคนที่ต้องโทรศัพท์ไปอวยพร กลุ่มคนที่ต้องเดินทางไปอวยพร คนที่ต้องส่งของขวัญไปให้ เหล่านี้เป็นต้น หรือหากจะเดินทางเพื่อพักผ่อนหรือท่องเที่ยว ก็ต้องวางแผนเพื่อจับจองที่พักและสำรองที่นั่ง กรณีที่ต้องเดินทางร่วมกับผู้อื่น ไหนจะต้องวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายอีก ต้องบอกกันตามตรงนะคะว่า ปีใหม่แต่ละที มีรายการจ่ายรอเราอยู่เยอะแยะเหลือเกิน หากไม่มีการวางแผนให้รัดกุม อาจส่งผลกระทบถึงเดือนถัดไป หรืออาจทำให้เงินที่สู้เก็บออมมีอันต้องร่อยหรอตามไปด้วย การวางแผนว่าจะต้องทำอะไรบ้าง จะต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง จึงสำคัญมากจริงๆ​




    [​IMG] 2. กำหนดวิธี
    </PRE>
    เมื่อวางแผนเสร็จแล้ว ก็มากำหนดวิธีปฏิบัติค่ะ บางอย่างดำเนินการได้เอง บางอย่างไหว้วาน กระจายงาน หรือแม้กระทั่งจ้างคนอื่นทำแทนได้ เช่น การส่งบัตรอวยพร ส่งช่อดอกไม้ ส่งของขวัญ ส่งกระเช้าปีใหม่ หากไม่กำหนดวิธีและแบ่งงานออกไปอย่างนี้ บางแผนงานที่มีอาจเสียหายได้​



    [​IMG] 3. กำหนดเวลา
    </PRE>
    มีแผนงานแล้ว มีวิธีการแล้ว กำหนดเงื่อนเวลาลงไปเลยค่ะ ว่างานไหนจะจัดการให้แล้วเสร็จเมื่อไหร่ เพราะยิ่งใกล้สิ้นปี ยิ่งมีเรื่องให้ต้องชำระสะสางมาก หากไม่จัดสรรเวลาให้ดีๆ บางงาน บางวิธี อาจไม่ทันได้ลงมือนะคะ​



    [​IMG] 4. กำหนดตัวเอง
    </PRE>
    ปีใหม่เป็นช่วงเวลาของการทบทวนตัวเองค่ะ มีหลายเรื่องให้ต้องทบทวน และกำหนดตัวเองว่าต้องเริ่มใหม่ ต้องแก้ไข หรือต้องดำรงสิ่งที่ทำอีอยู่แล้วให้ดีต่อไปและดียิ่งขึ้น แยกเป็นเรื่องย่อยๆ ได้หลายเรื่องดังต่อไปนี้ค่ะ​



    [​IMG] ยิ้มแย้มแจ่มใส
    </PRE>
    คือ การเปิดประตูความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนอื่นๆ อันจะนำสิ่งที่ดีๆ มาสู่ตัวเราเองหรือส่วนรวม เป้นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะ ที่เราจะยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งช่วงปีใหม่เป็นช่วงของความสุข ความรื่นเริง ควรที่จะยิ้มแย้มแจ่มใสต่อทั้งคนในครอบครัว คนรอบตัว ทั้งในที่ทำงาน ในวงสังคม และในที่สาธารณะ คนที่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นมิตร ไปที่ไหนก็ไม่มีใครรังเกียจ ใครได้อยู่ใกล้ก็มีโอกาสประทับใจได้ง่ายๆ มีความสุขได้ง่ายๆ​




    [​IMG] สื่อสารดี
    </PRE>
    ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม เป็นผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ การสื่อสารคือหัวใจของการอยู่ร่วมกันค่ะ การสื่อสารที่ดีต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ รู้วิธีที่จะสื่อสาร ด้วยการเรียบเรียงความคิดให้เป็นระเบียบ เลือกใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม ผ่านน้ำเสียงที่น่าฟัง มีจังหวะจะโคน ชัดเจน และเป็นมิตร สื่อสารเท่าที่สมควร อย่าให้มากหรือน้อยไปกว่าความสมควร และจงสื่อสารอย่างตั้งใจ​

    การสื่อสารกับคนในครอบครัวทำอย่างหนึ่ง สื่อสารกับคนในที่ทำงานเดียวกันทำอย่างหนึ่ง ต่างที่ทำงานก็ต้องอีกอย่างหนึ่ง ศิลปะในการรู้จริตคน รู้สิ่งแวดล้อม รู้กาลเทศะ เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนให้ชำนาญ จะได้ดูผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ และดูจริงใจค่ะ​



    [​IMG] ทัศนคติที่ดี
    </PRE>
    ทัศนคติเป็นจุดเริ่มต้นของคนทุกคน จะเป้นมิตรหรือไม่เป้ฯมิตร มองโลกในแง่บวกหรือแง่ร้าย จะดูแจ่มใสผ่อนคลาย หรือมีมาด ยียวน ทั้งหมดล้วนเกิดจากทัศนคติ หรือความคิดตั้งต้น หากเรามีความคิดตั้งต้นที่ดีต่องานที่เราทำอยู่ เราก็จะอยากทำงานนั้น และทำอย่างดี หากเรามีทัศนคติที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน เราก็จะวางตัว วางความสัมพันธ์กับเขาได้ดี สร้างสรรค์ และนำไปสู่การสานประโยชน์อื่นๆ ร่วมกันต่อไป หากเรามีทัศนคติที่ดีต่อคนในครอบครัว เราก็จะเกิดความรัก ความผูกพัน ความเอาใจใส่ จะระมัดระวังคำพูด ท่าที และการปฏิบัติต่อกัน ให้เป็นไปในทางที่ดี ทัศนคติที่ดีจึงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตประจำวัน ปัจจุบัน และอนาคตที่ประเสริฐที่สุด​



    [​IMG] ภาพลักษณ์
    </PRE>
    ไม่ว่าคุณจะปรากฏกายที่ไหน อยู่กับใคร ในกาลเทศะใดก็ตาม คุณมักจะดูดีอยู่เสมอ สมาร์ท มีพลังในตัวเอง แจ่มใส ฉลาด และเปิดรับทุกคน ภาพลักษณ์ที่ดีเริ่มง่ายๆ จากการมีจิตใจที่ดี มีความพิถีพิถันต่อการแต่งกายและการเข้าสังคม เสือ้ผ้าหน้าผมและเครื่องประดับต่างๆ ถูกเลือกแล้ว ว่าเหมาะสมกับกิจกรรม ผู้คน และสถานที่ที่จะไปเข้าร่วม การรู้จักกำหนดตนเองให้ใส่ใจต่อภาพลักษณ์ จะทำให้ทุกๆ ที่ที่เราเข้าไปมีส่วนร่วม มีผู้คนประทับใจในเราตัว และกล่าวถึงเราในทางที่ดีตลอดไป​



    [​IMG] อารมณ์
    </PRE>
    ต้องประคองอารมณ์ของตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ ไม่วู่วามหุนหัน ไม่เดือดง่าย ไม่โมโหเก่ง ไม่หงุดหงิด จู้จี้ ขี้บ่น แต่ต้องเป็นคนที่มีความสุขในตน และแผ่ซ่านความสุขให้คนอื่นสัมผัสได้ โดยเฉพาะคนในครอบครัว ส่วนใหญ่เรามักมองข้ามคนในครอบครัว คิดจะพูดอะไรก็พูด คิดจะทำอะไรก็ทำ กับคนอื่นๆ เรายังคำนึงถึงมารยาทและความเกรงใจ แต่กับคนที่อยู่ใกล้ๆ เรากลับมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย หันกลับมาให้ความสำคัญกับอารมร์ของตนเองในทุกขณะจะดีกว่า ไม่ว่าเราจะอยู่กับใคร อยู่ที่ไหน อยู่เมื่อไร อยู่นานเท่าไหร่ ทั้งหมดที่ดิฉันแนะนำไปถือว่าเป้นสิ่งที่เหมาะแก่การนำไปใคร่ครวญ​



    [​IMG] ปีใหม่...เริ่มใหม่ เริ่มง่ายๆ จากการใส่ใจ
    </PRE>

    แม้จะมีแผนหยุดพักผ่อนก็จริง แต่ชีวิตไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านั้นมันยังต้องไปของมันต่อ จึงต้องย้ำให้กลับมาเตรียมการและทบทวนสิ่งที่หมดที่ว่าไปแล้วโชคดีมีความสุขทุกคนนะคะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ
    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก at office
    [​IMG]
    เรื่องโดย : Officemat

    </PRE>
     
  4. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อือ....ได้ข่าวแว่วๆว่า โอเปค จะประชุมลดกำลังการผลิต โดยครั้งนี้จะลดอย่างเป็นประวัติการณ์
    ไม่รู้ว่าน้ำมันจะแพงอีกไหมครับนี่ ว่าแต่ว่าจะมีกระแสคัดค้านไหมเพราะเศรษฐกิจกำลังทรุดกันอยู่ ว้า..อุตส่าห์ดีใจน้ำมันถูกได้หน่อยเดียวเองครับ
    ไม่เป็นไรเราอยู่กับปัจจุบัน เดี๋ยววันนี้ดีใจที่พรุ่งนี้น้ำมันจะลงก่อน แหะๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2008
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ

    ว่าแต่ว่า ก็ทานปลาดุกฟูไม่ได้แล้วสิครับเนี่ย

    ของโปรดของผมเลย แต่หลังจากไปปล่อยปลาดุก ไม่เคยกินอีกเลย ถึงแม้จะกลืนน้ำลายหลายตุ่มก็ตาม หุหุหุ

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธปท.จ่ายยาแรงลดดอกเบี้ย1% ส่งสัญญาณศก.ไทยดิ่งเหว ปีหน้ารับมือวิกฤตคนตกงาน!!
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01eco01081251&sectionid=0103&day=2008-12-08

    โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในสัปดาห์นี้ คงจะเห็นธนาคารพาณิชย์อีกหลายแห่งประกาศลดดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก ตามหลังธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นเจ้าแรกนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.5% และปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากประจำลง 0.5-1% เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน

    ตอบรับการดำเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ที่หันมาใช้นโยบายการเงินกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น หลังจากช่วงต้นปีจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งเป็นการพลิกนโยบายแบบฉับพลัน เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ลงมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวดเดียว 1% จาก 3.75% เหลือ 2.75%

    นั่นเพราะสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจมีมากขึ้น หลังจากเห็นตัวเลขจริงของไตรมาส 3 ที่ขยายตัวเพียง 4% ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และตัวเลขล่าสุดของเดือนตุลาคมที่ประกาศออกมายังเห็นชัดเจนว่า ชะลอลงทุกด้าน ทั้งการผลิต การบริโภค การลงทุนและการส่งออก ที่เริ่มเห็นว่าปริมาณการส่งออกหดตัวลงเป็นครั้งแรก จากเดิมที่แม้การขยายตัวของการส่งออกจะหดตัว แต่จะมาจากราคาที่ลดลงเท่านั้น ขณะที่ปริมาณการส่งออกยังคงขยายตัว แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้านการนำเข้าที่ยังขยายตัวสูง จากที่คาดหวังว่า ตัวเลขที่สูงจะมาจากการนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ ซึ่งจะเป็นการนำเข้าเพื่อผลิตและส่งออกสร้างรายได้ให้ประเทศในภายหลัง แต่กลายเป็นว่าเป็นการนำเข้าในรายการพิเศษ ทั้งดาวเทียม เครื่องบิน และทองคำ ทำให้ภาพรวมจึงดูไม่ดีนัก เป็นการชะลอลงจากไตรมาส 3 ที่ชะลอตัวอยู่แล้ว

    เมื่อรายรับน้อยกว่ารายจ่าย เป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอกับภาวะการขาดดุลการค้าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อประกอบเข้ากับดุลบริการที่ขาดดุล เพราะรายได้จากการลงทุนของต่างชาติลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การส่งกลับกำไรของบริษัทลูกในไทยมีมากขึ้น เพราะบริษัทแม่ต้องการสภาพคล่อง รวมถึงการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศมากขึ้น จากสภาพคล่องในต่างประเทศที่ตึงตัวขึ้น ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวหดหาย จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง เพราะปัญหาทางการเมืองในประเทศเอง ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลถึง 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าประมาณการไว้ และทำให้ปีนี้ทั้งปีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เคยมองว่าจะเกินดุล 1-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับเป็นขาดดุลทันที เพราะหากสถานการณ์ใน 1-2 เดือนยังเป็นเช่นนี้ คงจะกระทบต่อดุลบริการ การจะทำให้เกินดุลใน 2 เดือนที่เหลือของปี เพื่อชดเชยการขาดดุลไปแล้ว คงยาก

    ก่อนหน้านั้น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เองก็ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ปี 2551 เหลือเติบโตแค่ 4.5% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 5.2-5.7% และในปี 2552 จีดีพีน่าจะเติบโตได้ 3-4% รวมถึงผู้บริหารแบงก์ชาติเองจะออกมายอมรับแล้วว่า เตรียมปรับประมาณการจีดีพีปี 2552 ลงจากประมาณการเดิม 3.8-5% หลังจากที่มองไปทางไหนก็เจอปัจจัยลบมากกว่าบวก

    ทั้งปัจจัยภายนอก ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ออกมาประเมินเศรษฐกิจโลกปีหน้าอาจจะขยายตัวเพียง 1.2% โดยที่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 3 กลุ่ม คือ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่ปัจจัยภายในของไทยเองยังเจอกับปัญหาการไร้เสถียรภาพการเมือง การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดล้อมสนามบิน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการท่องเที่ยว แม้ว่า ล่าสุดจะสลายการชุมนุมไปแล้ว แต่ผลลบยังจะคงอยู่และต่อเนื่องไปอีกหลายปีทีเดียว

    จะเห็นตัวอย่างได้ดีจากการชุมนุมปิดสนามบินที่ภูเก็ต หาดใหญ่ รวมถึงการหยุดงานของพนักงานขับรถไฟ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความวุ่นวาย รุนแรงถึงขั้นที่รัฐบาลต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไปถึง 1 ล้านคนทีเดียว และจนถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นฤดูท่องเที่ยวของไทยเอง จำนวนนักท่องเที่ยวก็ยังไม่กลับมา เพราะเห็นจากการท่องเที่ยวหดตัวถึง 6.3% และเมื่อเกิดเหตุซ้ำ ในการปิดประตูของประเทศ อย่างเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ถือว่าเป็นการตอกฝาโลงการท่องเที่ยวไทยทีเดียว

    นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ แบงก์ชาติเองยอมรับว่า เหตุการณ์ไม่สงบทางการเมือง ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเดือนตุลาคมหายไป 40% และหากผลต่อเนื่องไปอีก 2 เดือนสุดท้ายของปี จะทำให้นักท่องเที่ยวหายไป 3.5 ล้านคน คิดเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวหายไป 1.4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% ของมูลค่าจีดีพี ยังไม่นับรวมถึงผลกระทบต่อเนื่องทั้ง การจ้างงาน การบริโภคและการลงทุน

    ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 38.3 ถือเป็นระดับต่ำสุดนับจากที่ได้จัดทำดัชนีเมื่อปี 2543 โดยเป็นการปรับลดเกือบทุกองค์ประกอบ และผู้บริโภคยังคงกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจและความต้องการทั้งในและนอกประเทศที่ชะลอลง จะเห็นว่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 42.5 เนื่องจากคำสั่งซื้อเริ่มชะลอลงต่อเนื่องจาก 2 เดือนก่อน เป็นการเห็นถึงสัญญาณการถดถอยของประเทศคู่ค้า

    ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้มีการคาดการณ์ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีรอบการประชุมในวันที่ 3 ธันวาคม หนีไม่พ้นต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายลง แม้ว่าการประชุมก่อนหน้า จะยังยืนดอกเบี้ยไว้ที่ 3.75% และยังคงปฏิเสธที่จะประชุม กนง.ฉุกเฉิน หลังจากที่ 1 วันให้หลังหลายธนาคารกลางของโลกต่างดาหน้าปรับดอกเบี้ยลง เพื่อรับมือกับสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยให้เหตุผลเพียงว่าหากไม่มีเหตุผลเพียงพอ อาจจะทำให้แปลเจตนารมณ์ไปทางร้ายมากกว่า ทำให้เสียงเรียกร้องลดดอกเบี้ยจึงหนาหูขึ้น แต่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 0.25-0.5% แต่มีนักวิชาการบางคนที่เรียกร้องให้ลดถึง 1% เพื่อให้ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันท่วงที

    ไม่มีใครจะคาดคิดว่าจะได้รับการตอบสนองจาก กนง. เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ทั้งนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการแบงก์ชาติเองก็ออกมาชี้แจงว่า นโยบายการเงินจะไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและภาวะขาดความเชื่อมั่น เพราะไม่ว่าดอกเบี้ยจะต่ำเพียงใด หากยังไม่มั่นใจก็คงไม่เกิดการลงทุนหรือการบริโภคได้ ขณะที่นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงินเอง ก็ออกมาพูดในทำนองเดียวกัน พร้อมกับปฏิเสธข้อเสนอของนักวิชาการและเศรษฐศาสตร์ ในการเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยลง 1% ว่า หากทางการเห็นด้วยทุกอย่างกับนักเศรษฐศาสตร์คงเป็นเรื่องที่แปลก

    แต่เรื่องแปลกก็ปรากฏขึ้นแล้ว เมื่อการประชุมของ กนง. วันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา เลือกที่จะให้ยาแรง ด้วยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1% เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 8 ปีนับตั้งแต่มีการจัดตั้ง กนง. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2543 หลังจากที่แบงก์ชาติหันมาใช้การดูแลนโยบายด้วยการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targetting) แทน โดยประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2543 ซึ่งในครั้งนั้นกำหนดดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ ดอกเบี้ยอาร์พี 14 วัน ครั้งแรกอยู่ที่ 1.5% โดยที่จะมีการประชุมทุก 6 สัปดาห์ แต่เนื่องจากการตอบรับไม่สะท้อนเท่าที่ควร จึงได้เปลี่ยนมาเป็นอาร์พี 1 วัน เมื่อต้นปี 2550

    แม้แบงก์ชาติจะยอมรับว่าการลดดอกเบี้ยแรงครั้งนี้มาจากการเห็นสัญญาณเศรษฐกิจปีหน้า แม้จะไม่ติดลบ แต่อัตราการขยายตัวต่ำมาก แต่หลายคนเชื่อว่าการตัดสินใจดังกล่าวคงไม่ใช่จากกรรมการ กนง. 3 คน ที่เป็นผู้บริหารแบงก์ชาติแน่นอน เพราะ กนง.ชุดใหม่ภายใต้กฎหมายแบงก์ชาติฉบับใหม่นั้น จะมีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกถึง 4 คน จากจำนวน กนง. 7 คน ชื่อที่รู้จักกันดีคือ นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์

    แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลตอบรับล้วนออกมาในเชิงบวกจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือ สศค.เองก็ออกรายงานว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1% ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันอยู่ที่ 0.55% เป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เองก็ตอบรับทันทีในวันรุ่งขึ้น ไม่ต้องรอนานถึง 8 ไตรมาส ตามทฤษฎีของ กนง.

    แต่จะให้มาก ต้องรอดูผลตอบรับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไปจากแหล่งเงินของผู้ประกอบการอย่างธนาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ เพราะชัดเจนแล้วว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจการเงินโลกชะลอตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น และทำให้การส่งออกชะลอตัวมาก ในขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศยังขยายตัวต่ำ ปัญหาการว่างงานเป็นปัญหาใหญ่ เพราะหากจะรองรับแรงงาน ไม่ให้เกิดปัญหาว่างงาน จีดีพีจะต้องขยายตัว 5%

    แต่หากจีดีพีปี 2552 ขยายตัวเพียง 3% สถานการณ์การว่างงานที่เลวร้ายสุด ไม่น่าจะเกิน 1 ล้านคน เพราะยังเชื่อว่าภาคเกษตรจะสามารถรองรับการว่างงานได้ส่วนหนึ่ง แต่หากจีพีดีต่ำกว่า 3% จะเกิดปัญหาใหญ่ คือ เรื่องคนตกงาน จะเป็นโจทย์ใหญ่ให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข นอกเหนือจากปัญหาสารพันที่รุมเร้าอยู่รอบตัวในขณะนี้

    แต่คำถามคือ จนป่านนี้ยังไม่รู้โฉมหน้าของรัฐบาลใหม่!!
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภัย...แฮกเกอร์คริสต์มาสนี้ ปล้นออนไลน์กลางทาง
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe01081251&sectionid=0147&day=2008-12-08


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>โจนาธาน ลีโอพันโด เจ้าหน้าที่สื่อสารด้านเทคนิค ศูนย์วิจัยข้อมูลเทรนด์แล็ปส์ เทรนด์ไมโคร อิงค์ มีคำเตือนมาถึงนักช็อปออนไลน์ ระวังภัยจากเหล่าแฮกเกอร์ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งทุกหนทุกแห่งทั่วโลกต่างก็กำลังวุ่นวายกับการเตรียมซื้อของขวัญให้กับคนสำคัญที่อยู่ในลิสต์รายชื่อของพวกเขาในขณะที่ห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าต่างๆ ก็ได้รับประโยชน์จากยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น

    แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามหาผลประโยชน์และรายได้จากเทศกาลนี้ด้วยเช่นกันนั่นคือ "อาชญากรคอมพิวเตอร์"

    เป็นที่รู้กันดีว่าอัตราการแพร่เชื้อมัลแวร์จะเพิ่มขึ้นระหว่างช่วงปลายปีจากผลการสำรวจภัยคุกคามข้อมูลบนเว็บของศูนย์วิจัยเทรนด์แล็ปส์ บริษัท เทรนด์ ไมโคร อิงค์ พบว่า อัตราการแพร่เชื้อมัลแวร์ทั่วโลกนับจากปี 2550 จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5 เท่าในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคม โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ, เยอรมนี และญี่ปุ่น ข้อมูลของปี 2551 ล่าสุดแสดงให้เห็นในลักษณะเช่นเดียวกัน คือพบการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นมากในช่วงปลายปีนี้

    จริงๆ แล้วการเพิ่มขึ้นของมัลแวร์ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันแต่ว่าเนื่องจากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าหรือซื้อของขวัญสำหรับคนพิเศษในช่วงเวลาเดียวกันนี้ของทุกปีนั่นหมายถึงว่าพวกเขากำลังมองหาข้อมูล และประเภทของสินค้าที่จะซื้อ การต่อรองราคา เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับอาชญากรคอมพิวเตอร์ที่จะแสวงหาผลประโยชน์และรายได้ช่วงดังกล่าว

    เป้าหมายของการโจมตีจะเป็นเหล่านักช็อปปิ้งที่เลือกรูปแบบใหม่ในการซื้อสินค้า โดยพบว่าเมื่อปีที่แล้วเหล่าอาชญากรคอมพิวเตอร์จะใช้วิธีวางกับดักล่อเหยื่อไว้ที่เว็บไซต์ Google เป็นผู้นำด้านการค้นหาข้อมูลสำหรับการเลือกซื้อของขวัญในช่วงคริสต์มาสโดยผู้ใช้อินเตอร์เน็ตตกเป็นเหยื่อจะได้รับของขวัญเป็น TROJ_ZLOB.ERT ซึ่งก่อนหน้านี้เคยพบเทคนิคในรูปแบบเดียวกันนี้ถูกนำมาใช้ช่วงเทศกาลฮัลโลวีนมาแล้ว ยิ่งช่วงเวลานี้ผู้คนมักจะเจอกลลวงของมัลแวร์ Mal_FakeAV6

    นักช็อปปิ้งมีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นการซื้อขายสินค้าแบบออนไลน์ที่ไม่ได้มีการแสดงตัวตนของผู้ซื้อและผู้ขายเหมือนการซื้อขายสินค้าแบบปกติที่เห็นหน้ากันและเหล่านักช็อปปิ้งออนไลน์ยังต้องกังวลในเรื่องของการชำระสินค้าแบบออนไลน์และการจัดส่งสินค้าด้วยมันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจหากจะพบว่าคุณอาจจะตกเป็นเหยื่อของเหล่าอาชญากรคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งเว็บ PayPal หนึ่งในผู้รับชำระสินค้าและบริการออนไลน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด พบว่าเว็บไซต์ของตัวเองก็ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากฟิชชิ่งหลายครั้ง

    พวกมัลแวร์แพร่กระจายเชื้อร้ายอย่างไร? คำตอบคือ เชื้อร้าย ZBOT ของคีย์ล็อกเกอร์จะถูกแพร่กระจายผ่านทางอี-เมลโดยจะอ้างว่าผู้ใช้งานหรือเจ้าของอี-เมลยังไม่ได้รับแพคเกจสินค้าให้ดูไฟล์เอกสารที่แนบมา ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นใบสั่งซื้อสินค้าแต่จริงๆ แล้วมีมัลแวร์ติดมาด้วย

    อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายป้องกันภัยอัจฉริยะของเทรนด์ไมโคร (สมาร์ท โพรเท็คชั่น เน็ตเวิร์ค) จะสามารถช่วยปกป้องผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจากการโจมตีของเหล่าแฮกเกอร์ที่จะมาถึงในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้ได้
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555ถ้าคิดเร็วๆก็คล้ายๆอย่างนั้นครับ แต่โดยนิสัยเทรดเดอร์อย่างผมเห็นเป็นเรื่องปกติครับ ลองมองกลับกันครับ ลงมาจากประมาณ 140เหรียญลงมาเมื่อวาน เหลือ 40เหรียญให้มันขึ้นเต็มที่เป็น60เหรียญเราก็น่าจะรับไหวมั้งครับ แต่ในเชิงการเก็งกำไรนี่จะปรับขึ้นแค่ชั่วคราวอาจเด้งไปสักจาก 40ไป55แล้วก็มาแกว่งๆแถวๆ50มั้งครับ มั่วๆนะครับอย่าพึ่งเชื่อครับ หุ หุ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คอนโดฯมือใหม่ไม่รอด แบงก์เข้มสินเชื่อ หยุดสร้าง-คืนเงินดาวน์ลูกค้า

    http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?id=2370&catid=1

    คอนโดฯมือใหม่เจ็บหนัก แบงก์เข้มสินเชื่อ อีไอเอกวดขันหนัก ยอดขายไม่ทะลุเป้า ถึงขั้นต้องหยุดก่อสร้าง ลูกค้ารับเคราะห์แห่ร้องสคบ.ทวงคืนเงินดาวน์ เผยสถิติร้องเรียนพุ่งพรวด


    แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากข้อมูลการร้องเรียนของผู้บริโภคเกี่ยวกับการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่าตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาถึงขณะนี้มีผู้บริโภคร้องเรียนจากการซื้อห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมมากขึ้น ประเด็นหลักคือการถูกละเมิดสัญญาจากเจ้าของโครงการที่ไม่สามารถส่งมอบห้องชุดได้ทันตามกำหนด สาเหตุจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อพัฒนาโครงการต่อ ผลมาจากยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ทำให้ต้องหยุดการก่อสร้าง
    นอกจากนี้บางโครงการประสบปัญหาจากรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำให้การก่อสร้างล่าช้าหรือไม่สามารถพัฒนาต่อได้
    ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากผู้ประกอบการบางรายเสนอทางเลือกให้ลูกค้าเปลี่ยนมาซื้อห้องชุดในอาคารอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในโครงการเดียวกันหรือคนละโครงการ แต่มีเงื่อนไขต้องชำระเงินเพิ่มตามขนาดและราคาขายของห้องชุดที่จะปรับเปลี่ยนใหม่ ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้

    ที่สำคัญผู้ประกอบการเคยบอกว่ายินดีจะคืนเงินให้ลูกค้า แต่สุดท้ายกลับผิดนัด จึงขอให้ สคบ.ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม บางโครงการแม้หยุดหรือยกเลิกก่อสร้างก็ไม่มีปัญหาถูกร้องเรียน เพราะเจ้าของโครงการเคลียร์กับลูกค้าได้ลงตัว หรือคืนเงินดาวน์ เงินจอง
    "ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คอนโดฯส่วนใหญ่ประสบปัญหาต้นทุนก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นจากราคาเหล็กเส้น แบงก์เองก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการ ดีเวลอปเปอร์ก็มีปัญหา อย่างเช่น โครงการหนึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างตึกเอ พร้อมๆ กับเริ่มเปิดขายตึกบี แต่ปรากฏว่ายอดขายไม่เป็นไปตามเป้า แบงก์เลยหยุดปล่อยสินเชื่อ และให้ลูกค้าเปลี่ยนมาซื้อห้องชุดในตึกเอแทน แต่ลูกค้าไม่ยินยอม เลยมาร้องเรียนมาที่ สคบ."
    ตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา สคบ.ได้รับร้องเรียนปัญหาเกี่ยวกับการซื้อคอนโดฯไม่น้อยกว่า 2-3 โครงการ อาทิ โครงการคอนโดฯ เดอะ คาริสมา ของบริษัท อินสไตล์เอสเตท จำกัด โครงการคอนโดฯ พีคส์ทาวน์ ของบริษัทสยามโซเคอิ ฯลฯ โดยกรณี เดอะ คาริสมา ลูกค้าระบุในข้อร้องเรียนว่าไม่สามารถส่งมอบห้องชุดได้ตามสัญญา จึงต้องการเงินคืน ล่าสุดได้นำเสนอเรื่องให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) พิจารณาแล้ว และมีมติส่งฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาล ส่วนโครงการพีคส์ทาวน์ เท่าที่ทราบมีปัญหาต้องหยุดการก่อสร้าง เบื้องต้น สคบ.อยู่ระหว่างการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างผู้ประกอบการและผู้ร้องเรียน
    สคบ.จึงขอแนะนำผู้บริโภคที่ต้องการจะซื้อห้องชุดในช่วงนี้ว่า ควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ให้ดี คือ 1)ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ และดูว่ามีสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือให้การสนับสนุนสินเชื่อพัฒนาโครงการหรือไม่ และ 2)ตรวจสอบข้อความในสัญญาอย่างละเอียด โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ประกอบการไม่สามารถส่งมอบห้องชุดได้ทันตามที่วันเวลาที่ระบุในสัญญา เนื่องจากกรณีนี้สามารถเรียกคืนเงินที่ชำระไปพร้อมดอกเบี้ยได้ นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์เรียกร้องค่าปรับในอัตรา 0.01%-1% ของราคาขายห้องชุดที่ระบุในสัญญาได้ด้วย
    สถิติการร้องเรียนของผู้บริโภคเกี่ยวกับปัญหาที่อยู่อาศัยตั้งแต่กันยายน-พฤศจิกายน 2551 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 97 ราย เป็น 115 ราย และ 122 รายตามลำดับ ลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้ที่มีปริมาณการร้องเรียนเฉลี่ยเดือนละ 200-300 ราย แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะลดลง สาเหตุน่าจะมาจากปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่า สคบ.ย้ายสถานที่ทำการจากทำเนียบรัฐบาล ไปอยู่ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะแล้ว

    นายกิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้คอนโดฯบางโครงการอาจจะมีปัญหาแต่ตลาดคอนโดฯโดยรวมยังไม่น่าห่วง และไม่ถึงขั้นเกิดปัญหาฟองสบู่แตกเหมือนปี 2540 เนื่องจากผู้ประกอบการระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้อุตสาหกรรมนี้ไม่มีเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมอื่นไหลเข้ามาเหมือนอดีตที่ผ่านมา
    "ตอนนี้ยังไม่น่าห่วงมาก เพราะดีเวลอปเปอร์ทุกคนเพลย์เซฟมานานแล้ว ที่น่าห่วงคือในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินโลก ดีเวลอปเปอร์ที่อิงเงินลงทุนจากกองทุนต่างประเทศ และไม่มีฐานเงินทุนในประเทศ อาจประสบปัญหาหากจะเพิ่มทุนในอนาคต" นายกิตติศักดิ์กล่าว
    สอดคล้องกับความเห็นของแหล่งข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มองว่า ปัญหาคอนโดฯหยุดหรือชะลอการก่อสร้าง หลักๆ เกิดจากสถาบันการเงินไม่ย่อมปล่อยสินเชื่อ ทำให้สภาพคล่องสะดุด หรือรายงานอีไอเอไม่ผ่านการพิจารณา บวกกับได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกและเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวลง จึงเลือกที่จะยกเลิกโครงการ และคืนเงินดาวน์ให้กับลูกค้า
    อย่างโครงการย่านพัฒนาการ ของบริษัทโนเบิล นาโน ในเครือ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเดิมจะก่อสร้างบนเนื้อที่ 20 ไร่ จากทั้งหมด 110 ไร่ รูปแบบเป็นอาคารสูง 8 ชั้น 7 คลัสเตอร์ จำนวน 882 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.88 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท คืนเงินดาวน์ให้กับลูกค้าที่จองซื้อห้องชุด หลังปรับเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการเป็นรูปแบบอื่น

    ส่วนโครงการเดอะ คาริสมา สุขุมวิท คอนโดมิเนียม สุขุมวิท 36 ที่พัฒนาโดยบริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด ของกลุ่มปราณีภัณฑ์ ไม่สามารถขึ้นโครงการได้เพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อทำให้ขาดสภาพคล่อง ทั้งๆ ที่จ่ายค่าซื้อที่ดินไปแล้ว จนทำให้ไม่สามารถคืนเงินให้กับลูกค้าบางส่วนได้

    ผู้สื่อข่าวสอบถามกรณีดังกล่าวจากนายพีระศักดิ์ กลิ่นสุนทร กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินสไตล์ เอสเตทฯ ในเครือปราณีภัณฑ์กรุ๊ป ได้รับการชี้แจงว่ายังไม่สะดวกที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากติดภารกิจในต่างจังหวัด
    ขณะที่นายธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้แจงก่อนหน้านี้ว่าได้หยุดทำกิจกรรมการตลาดและการขายโครงการ โนเบิล นาโน ย่านพัฒนาการ และคืนเงินจองให้กับลูกค้าที่จองซื้อห้องชุดโครงการดังกล่าวแล้ว เนื่องจากต้องการรอความชัดเจนในการเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ที่ขยายระยะเวลาเปิดให้บริการออกไปถึงปลายปี 2552

    ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โครงการเดอะ คาริสมา สุขุมวิท คอนโดมิเนียม สุขุมวิท 36 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เดิมมีแผนจะพัฒนาเป็นอาคารสูง 23 ชั้น ประกอบด้วยห้องชุด ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 31-123 ตร.ม. ราคาขายเฉลี่ย 7 หมื่นบาท/ตร.ม. เปิดการขายครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2548 ที่ผ่านมา สำหรับโครงการอื่นๆ ที่บริษัทอินสไตล์ เอสเตทฯ พัฒนาและเปิดขายช่วงก่อนหน้านี้ ได้แก่ โครงการเดอะ โคโลนี สุขุมวิท 11 มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท, เดอะ โคโลนี พาร์ค ลุมพินี มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท, โครงการเดอะ ซิตี้ ลีฟวิ่ง รัชดาภิเษก ฯลฯ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถอดรหัสวิกฤต "1982" เหลียวหลัง "เรแกน" แลหน้า "โอบามา"
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02for02081251&day=2008-12-08&sectionid=0205


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เป็นที่น่าสังเกตว่า ในหลายๆ ครั้ง ที่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมา มักจะให้ภาพที่สะท้อนความรุนแรง ในระดับเดียวกับวิกฤตการณ์ในปี 1982 ซึ่งตรงกับ พ.ศ.2525

    เช่น คำประกาศของสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ ของสหรัฐ เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (1 ธ.ค.) ที่ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐ ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2550 ซึ่งนับถึงขณะนี้ถือเป็นการเข้าสู่ภาวะถดถอยยาวนานที่สุด นับจากปี 1982 โดยครั้งล่าสุด ที่สหรัฐเข้าสู่ภาวะเช่นนี้ เกิดขึ้น ในช่วงเดือนมีนาคม จนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2544

    ลักษณะของการถดถอยทางเศรษฐกิจที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ประกาศออกมา บรรยายว่า การชะลอลงสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ การจ้างงาน การผลิตอุตสาหกรรม ยอดขาย และรายได้ ทั้งนี้ นับจากต้นปีมีจำนวนผู้ว่างงานในสหรัฐแล้วทั้งสิ้น 1.2 ล้านคนถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่สถาบันใช้ในการกำหนดจุดเริ่มต้นของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในประเทศ

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นคำร้องขอรับผลประโยชน์จากการว่างงาน ได้เพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี โดยจำนวนผู้ว่างงานที่ยื่นขอรับผลประโยชน์ในสัปดาห์ที่สิ้นสุด 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 542,000 คน ขณะที่ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจของ คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ลดลง 0.8% เช่นเดียวกับดัชนีภาคการผลิตลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 ปี

    อีกทั้งเมื่อมีการสำรวจเจาะลึกที่ข้อมูลการว่างงานยังพบด้วยว่า คำร้องของผู้ว่างงานเป็นครั้งแรก ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุด นับจากปี 1982 ซึ่งถือเป็นตัวเลขหนึ่งที่ตอกย้ำสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่เริ่มคล้ายคลึงกับวิกฤตในอดีต

    ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนล่าสุดที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการว่างงานในสหรัฐออกมาอย่างรอบด้าน พบว่า อัตราว่างงานได้เพิ่มเป็น 6.5% จาก 6.1% ของเดือนก่อน โดยที่มีแนวโน้มว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งลดลง 240,000 คนในเดือนตุลาคม มีแนวโน้มจะลดลงเกิน 350,000 คน ในเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้มีการประมาณการตัวเลขว่างงานในปี 2552 ว่า จะพุ่งทะยานไปถึง 8% โดย นาริแมน เบห์ราเวช หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ของ ไอเอชเอส โกลบอล อินไซต์ ให้ความ เห็นว่า หากคาดการณ์ภายในสมมติฐานความเป็นไปได้ที่ดีที่สุด การว่างงานจะอยู่ระหว่าง 8.2-8.3% ในปี 2552 แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้ตัวเลขเพิ่มเป็น 9%

    เกิดอะไรกับเศรษฐกิจ ในปี 1982 หากเป็นในแง่ของการว่างงาน ภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ทั้งก่อนและหลังปี 1982 พบว่า อัตราการว่างงานของสหรัฐ เป็นตัวเลข 2 หลักต่อเนื่องนานถึง 9 เดือนโดยเริ่มทำสถิติว่างงานสูงกระฉูดที่ 10.1% ในเดือนกันยายน 1982 ก่อนจะมายุติที่อัตราเดิม ในเดือนมิถุนายนปี 1983 อัตราว่างงานสูงสุดในช่วงเวลานั้น อยู่ที่ 10.8% ในเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม 1982 ด้วยจำนวนคนว่างงานมหาศาล 9 ล้านคน หลังจากประเทศหลุดพ้นจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1990 อัตราว่างงานขยับลงมาอยู่ที่ 7.3-7.8% ในปี 1992 หรือ พ.ศ.2535

    ในแง่ของข้อมูลเศรษฐกิจ ปี 1981 และ 1982 ซึ่งสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติระบุว่า เป็นช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจอยู่ในภาวะขาลงรุนแรงในระดับถดถอยทางเศรษฐกิจ โดยมีจุดเริ่มต้นของการถดถอยในเดือนกรกฎาคม ปี 1981 จนถึงพฤศจิกายน 1982 ในช่วงเวลานั้น ธุรกิจของภาคเอกชนล้มลง 17,000 แห่ง เกษตรกรหมดตัว สูญเสียที่ดินทำกิน ขณะที่คนยากจน ผู้ป่วย และผู้สูงอายุไร้ที่อยู่อาศัย

    รัฐบาลในสมัยนั้น ซึ่งนั่งบริหารโดยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ดำเนินมาตรการกระตุ้นที่เรียกว่า การกระตุ้นด้านอุปทาน หรือ supply side economics ทั้งยังมีการปรับลดภาษีอย่างทั่วถึง 25% ให้กับประชาชน ทั้งคนจน และคนร่ำรวย และนำไปสู่ภาวะขาดดุลงบประมาณในเวลาต่อมา ที่สูง 2 แสนล้านดอลลาร์ อดีตประธานาธิบดีต้องทุ่มเทความพยายามและปรับนโยบายเศรษฐกิจให้สอดคล้องว่าที่จะฟื้นเศรษฐกิจให้เติบโตอีกครั้งก็ปลายเทอมแรกของเขา

    ย้อนกลับมาในปี 2551 อีกเดือนกว่าๆ บารัก โอบามา ว่าที่ผู้นำผิวสีคนแรกของสหรัฐ จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 อย่างเป็นทางการ รหัสวิกฤต ซึ่งเข็มทิศชี้ชัดแล้วว่า เขามีโอกาสสูงที่จะเดินย่ำรอยประวัติศาสตร์วิกฤตถดถอยใน ปี 1981-1982 เฉกเช่นที่อดีตประธานาธิบดีเรแกนเคยเผชิญมาแล้ว

    ไล่เรียง และเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบัน สิ่งที่โอบามาต้องเผชิญ เมื่อเขาเข้ามารับไม้ต่อจากประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จูเนียร์ ในวันที่ 20 มกราคม 2552 ซึ่งนอกเหนือจากตัวเลขว่างงานที่กำลังไต่เพดานบินเพื่อทำสถิติ และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ที่ติดลบ เฉพาะไตรมาส 3 จีดีพีอยู่ที่ 0.5% ต่ำสุดใน 7 ปีแล้ว

    ปัญหาเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นๆ ได้สะท้อนออกมาที่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ อีกมากมาย เป็นต้นว่า ดัชนีนอกภาคการผลิต ของสถาบันการจัดการอุปทาน (institute for supply management) ดัชนีดังกล่าว อยู่ที่ 44.4 ในเดือนตุลาคม ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่ากลาง 50 บ่งบอกว่า ได้เกิดการหดตัวในกิจกรรมภาคบริการ ซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 80% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ครอบคลุมธุรกิจหลายสาขา ตั้งแต่ธนาคาร สายการบิน โรงแรม และภัตตาคาร

    อัตราการเติบโตของประสิทธิภาพการเพิ่มผลผลิตนอกภาคเกษตร ในไตรมาส 3 ถือว่า ต่ำที่สุดในปีนี้ โดยผลผลิตลดลงมากที่สุดในรอบ 7 ปี ขณะที่ประสิทธิภาพการเพิ่มผลผลิตเพิ่มขึ้นที่อัตรา 1.3% หลังจากขยายตัว 3.6% ในไตรมาสสอง

    แม้แต่ยอดขายรถยนต์ของสหรัฐ ก็ร่วงระนาว 37% ในเดือนพฤศจิกายน ต่ำสุด นับจากปี 1982 เช่นกัน โดยเมื่อปรับตามฤดูกาลแล้ว ยอดขายโดยรวมอยู่ที่ 10.2 ล้านคัน ยอดขายตกต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 13 ทั้งนี้ ยอดขายรถของไครสเลอร์ ตกมากที่สุด 47% ขณะที่ยอดขายของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ลดลง 41%

    ในส่วนของภาคก่อสร้าง ดัชนีการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐลดลง 1.2% ในเดือนตุลาคม ขณะที่การก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างส่วนบุคคล ลดลง 3.5% ลดลงมากที่สุด นับจากเดือนกรกฎาคม ยอดขายบ้านใหม่สำหรับครอบครัวเดี่ยวลดลงอย่างรุนแรง ในเดือนตุลาคม และกำลังไต่ลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปีครึ่ง ยอดขายต่อปี อยู่ที่ 433,000 หลัง ลดลง 5.3% จากตัวเลขตรวจทานแล้ว 457,000 หลังในเดือนกันยายน และเป็นอัตราที่ชะลอลงมากที่สุด นับจากยอดขาย 401,000 หลังที่ทำสถิติไว้ในช่วงปี 2534

    เปรียบเทียบกับยอดขายบ้านมือสอง ลดลง 3.1% ในเดือนตุลาคม อยู่ที่อัตรา 4.98 ล้านหลังต่อปี ขณะที่ราคากลางของที่อยู่อาศัย ลดลงมาที่ระดับต่ำสุด ในรอบมากกว่า 4 ปี เช่นเดียวกับอัตราการสร้างบ้านใหม่ ในสหรัฐ ลดลงมาที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

    อีกตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจคือ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการ ขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศนี้ ถึง 2 ใน 3 ลดลง 1% ในเดือนตุลาคม มากที่สุด ในรอบมากกว่า 7 ปี สอดรับกับดัชนีความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภค เดือนพฤศจิกายน ที่ทรุดลง สู่ระดับต่ำสุด 28 ปี

    ไม่เพียงแต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่กำลังตามหลอนรัฐบาลใหม่ของโอบามา อย่างกระชั้นชิด ตลาดหุ้น ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงอีกประการหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งสรุปรวมภาพตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน ถือเป็นอีกเดือนที่เป็นฝันร้ายของนักลงทุน โดยดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์พัวร์ 500 ปรับตัวลง 7.5% ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ลดลง 5.3% และดัชนีแนสแดค ทรุดแรง 10.8% ในเดือนเดียว

    นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่การคัดสรรดรีมทีมเศรษฐกิจของว่าที่ประธานาธิบดีผิวสีจะพรั่งพร้อมด้วยบุคคลที่มากประสบการณ์ และมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับวิกฤต ทั้งทิมโมธี ไกธ์เนอร์ ที่เข้ามารั้งตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง และลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ เป็นประธานสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ เสริมด้วย คริสตินา โรเมอร์ นั่งตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ที่ต้องทำงานร่วมกับซัมเมอร์ส รับบทคุมทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจและให้คำปรึกษาแก่ประธานาธิบดี

    ยังไม่นับ พอล โวคเกอร์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ ในสมัยเรแกน จะมานั่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานาธิบดี ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะกิจที่เติมเข้ามาเสริมทัพชั่วคราว เพื่อตั้งรับ วิกฤตอย่างเข้มข้น

    ความคาดหวังของสหรัฐในอนาคตอันใกล้ คือ การหยุดวิกฤตไม่ให้รุนแรงไปกว่าปี 1982 เพื่อป้องกันความรุนแรงแบบ ก้าวกระโดด ที่ข้ามขั้นไปสู่ระดับวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก หรือ great depression เพราะถึงตอนนั้น โอกาสในการฟื้นเศรษฐกิจจะยิ่งใช้เวลานานกว่าปกติ ของการภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเพียง 1-2 ปี เสียเป็นส่วนใหญ่
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "เจ็ดวิธีตีหิน" คาถาฝึกคิดจาก "ประภาส"
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02spe03081251&day=2008-12-08&sectionid=0223

    [​IMG]
    สรกล - อีกคนหนึ่งที่เราเรียนเชิญมาวันนี้ ไม่ต้องบรรยายว่าเขาเป็นใคร จะขอเอ่ยชื่อเฉยๆ คุณประภาส ชลศรานนท์ ครับ (ปรบมือ) หลายคน ก็รู้จักกันในฐานะนักแต่งเพลง แล้วก็คนรู้จักในฐานะนักเขียนหลายเล่มมากชุด คุยกับประภาส หลายคนรู้จักรายการของ เวิร์คพอยท์ เวิร์คพอยท์มีหลายรายการมากเลย อยากรู้ไหมครับว่า รายการแบบนี้คิดเริ่มต้นจากอะไร อยากรู้ที่มาของรายการไหนบ้าง ชิงร้อยชิงล้าน คุณพระช่วย พี่อยากเล่าเรื่องไหน

    ประภาส - คืองี้นะครับ เรื่องที่ผู้ฟังถามมาที่มาของรายการเนี่ย เผอิญเดี๋ยวผมจะเล่าในเรื่องที่เราจะเล่ามันจะสอดคล้องพอดี จะพูดถึงรายการคุณพระช่วยด้วย ดีไหมครับ

    ตอนที่ตุ้มเชิญให้มาบรรยาย ก็ไม่ได้เตรียมอะไรมาก บอกไว้ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่เคยพูดที่ทีซีดีซี น่าจะเป็นประโยชน์ ให้มาพูดอีกครั้งหนึ่ง ก็เอาตัวหนังสือขึ้นจอคล้ายๆ กัน เพียงแต่ครั้งนั้นเขาเก็บค่าฟัง แต่ครั้งนี้ฟรี ผมว่าเป็นโอกาสที่ดี โดยเฉพาะนักเรียนที่มาฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ที่ผมคิดเองว่ามีที่มาอะไร อย่างไร โดยผ่านประสบการณ์ของผมเอง โดยผ่านการมองไปที่คนอื่นๆ ที่คนต่างประเทศและคนไทย

    ผมตั้งชื่อนั้นว่า "เจ็ดวิธีตีหิน"

    ฝึกคิดแบบ

    "เป๊ะๆ กะๆ คละๆ"

    จริงๆ คำนี้มันต่อจากที่ตุ้มเคยเขียนคอลัมน์ครั้งหนึ่งว่า ประกายไฟ ซึ่งผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาว่า เวลาคนเรามีความคิดสร้างสรรค์เหมือนมีประกายไฟเกิดขึ้น สิ่งที่จะทำให้เกิดต่อขึ้นเป็นจริงให้ได้ ให้มันสำเร็จ คิดต่อไปได้คือ เชื้อเพลิง ผมก็คิดว่าประกายไฟคือปิ๊งแรก หรือปิ๊งที่เกิดจากอะไรขึ้นมา แล้วก็ใช้ เชื้อเพลิงจุดต่อ ผมมองเป็นพวกความรู้ที่เรามีอยู่ ประสบการณ์ ที่เรามีอยู่ เป็นเชื้อเพลิง

    สรกล - ไอ้ตรงแว้บต้องฝึกไหม หรือมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของแต่ละคน

    ประภาส - ผมเชื่อว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินะ แต่ว่า ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆ ฝึกใช้ไปเรื่อยๆ ฝึกมองไปเรื่อยๆ ผมว่าฝึกได้

    สรกล - จำได้ว่าตอนนี้ ที่เวิร์คพอยท์มีคลินิกประภาส

    ประภาส - ก็คล้ายๆ อย่างนี้

    สรกล - คือจะสอนว่า มีวิธีการคิดอย่างไรบ้าง

    ประภาส - รวมทั้งเรื่องที่จะเล่าให้ฟังก็เคยอยู่ในเวิร์คพอยท์ ผมเริ่มอย่างนี้ ผมมองความคิดคนออกเป็นสามอย่าง ลองดูซิว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า มนุษย์เราคิดอยู่สามอย่างเท่านั้นเอง คือ แบบแรก ผมเรียกว่าคิดแบบเป๊ะๆ ถือว่าเป็นภาษาวิชาการนะครับ คือ เวลาเราพูดถึงเราให้เงินเขา 100 บาท ซื้อของ 50 บาท ทอนเงิน 50 บาท บวกลบง่ายๆ เราจะเดินทางไปไหนตัวเลขมันบอกอยู่ในไมล์ในรถ มันเป็นตัวเลขจริงๆ ตุ้มเป็นผู้ชาย ผมเป็นผู้ชาย

    สรกล - เป็นความคิดแบบเป๊ะๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นอะไร

    ประภาส - แบบที่สอง ผมคิดว่าเป็นความคิดแบบกะๆ คืออยู่ในชีวิตปัจจุบัน เรารินน้ำไม่มีใครรินน้ำกี่ซีซี หรือ ตักข้าวกี่เมล็ด หรือไปเที่ยวหัวหิน เอาเงินไปประมาณหนึ่ง ไม่มีใครมา บอกว่าเอาเงินไป 4,280.90 บาท เป็นความคิดแบบประมาณที่เราใช้อยู่

    สรกล - เป๊ะๆ กะๆ แล้วอีกอัน อะไรพี่

    ประภาส - แบบคละๆ คือ ความคิดแบบมีทางเลือก ผมคิดว่าอันนี้เป็นความคิดแบบมีสร้างสรรค์ คือ สองอันแรกเป็นความคิดปกติ แต่เมื่อใดก็ตามที่คนมีความคิดว่า เที่ยงนี้เราจะไปกินก๋วยเตี๋ยว หรือกินข้าวดี มันเกิดครีเอทีฟไอเดียขึ้นมาแล้ว

    สรกล - มันเป็นทางเลือก สร้างทางเลือกขึ้นมา

    ประภาส - ครับ ความคิดแบบครีเอทีฟเริ่มเกิดขึ้นแล้วครับ หรือเปลี่ยนเป็นเอาหินตกลงมาจากข้างบนโดนมันก็เกิดเป็นครีเอทีฟได้เรื่อยๆ เป็นความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ เราถึงได้มีชักโครกที่พัฒนาจากส้วมหลุม จนถึงมีน้ำฉีด มีลมเป่า คือสร้างทางเลือกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็ไปถึงดวงจันทร์ ถึงดาวอังคาร จากความคิดแบบคละๆ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    1.ทำลายกรอบลวงตา

    สรกล - นี่คือสามวิธีคิด

    ประภาส - ผมคิดว่ามนุษย์มีอยู่เท่านี้เอง ผมมองไปแบบนั้น คิดเอง ผมเลยมองไปถึงเรื่อง 7 วิธีตีหิน ซึ่งเป็นไอเดียที่เกิดขึ้นแบบทางเลือกหมดเลย

    อันแรกเลย วิธีตีหินที่ใช้อยู่อันแรก คือ เรื่องใหญ่สุด คือเรื่องของการทำลายกรอบลวงตา มีประโยคหนึ่งที่พูดกันบ่อยคือ ให้คิดนอกกรอบ ซึ่งถูกต้องครับ แต่ผมตีความอย่างนี้ครับ เวลาเราแก้ปัญหา เราแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ผมว่ามนุษย์ต้องมีกรอบ จะแต่งเพลงให้ใครร้องก็ต้องมีกรอบ หนังโฆษณายาว 30 วินาที เวลา 30 วินาทีคือกรอบ จะต้องออกภายในวันพรุ่งนี้เช้า งบประมาณในการทำบ้านหลังหนึ่งเท่านี้ นี่คือกรอบ

    แต่เราไปมองกรอบมันเองว่ามีกรอบแค่ไหน เช่น การทำรายการทีวีรายการหนึ่ง 30 นาที 2 รายการต่อกัน เราคิดว่ามันเป็น กรอบ มันอาจเป็นรายการหนึ่งชั่วโมงก็ได้ครับ เรามักจะไปสร้างกรอบมันเอง ผมคิดอย่างนั้น

    2.คิดย้อนศร

    สรกล - นั่นคือเรื่องแรก คิดนอกกรอบ

    ประภาส -ไปวิธีที่สอง คือ คิดย้อนศร ง่ายๆ เวลาที่คนมองว่าโลกแบน ก็มองว่าโลกกลม มองย้อนกลับไปเลย ความคิดนี้เกิดขึ้นไม่ว่ากาลิเลโอจะมองว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ คือ คิดย้อนไป หรือแม้แต่สำนวนที่ว่า กินเหล้าอย่าให้เหล้ากินเรา

    เพลง "รักเป็นดั่งต้นไม้" มีที่มาจากการย้อนศร ผมฟังเพลงอีกอันหนึ่งว่าดังแก้วบางที่เขาทุบทิ้ง แต่ผมมองว่าไม่ใช่ ความรักไม่ใช่แก้วบางแน่ แตกแล้วต้องงอกขึ้นมาได้ เติบโตได้

    "ต้นชบากับคนตาบอด" เพลงนี้มาจากการมองย้อนศร มีกลอนเขียนว่า คนตาบอดคงไม่มีทางเห็นความงามของต้นไม้ น่าสงสารจังเลย ผมก็มองย้อนกลับไปว่าไม่จริง เขาเห็นความงามด้วยวิธีอื่น คือวิธีมองกลับ หรือคนที่เขาเอาอู่ไปหารถ ทำธุรกิจอย่างหนึ่งเอาโรงหนังไปไว้ในห้าง หรือเอาห้างไปไว้ในโรงหนัง คือการมองย้อนกลับ เป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง หรือเรื่องฮิตเรื่องหนึ่งของการตลาด

    สรกล - ผมมีตัวอย่างในเชิงธุรกิจ สมัยก่อนมักจะสร้างโรงหนังแล้วมีตึกแถวรอบ คือจะสร้างโรงหนังก่อนแล้วสร้างตึกแถวรอบโรงหนัง โรงหนังจะมีคนมา ตึกแถวจะมีคน โรงหนังจะเป็นแม่เหล็ก พอวันหนึ่งโรงหนังอยู่ในห้าง สักพักหนึ่งเมเจอร์คิดอีกแบบนั้นคือห้างเป็นแม่เหล็กแล้วคนจะไปดูโรงหนัง แต่คิดย้อนกลับไปสู่อดีตจะไม่ใช่ตึกแถวแล้ว แต่เป็นเมเจอร์ รัชโยธิน เป็นโรงหนังอยู่แล้วก็ขายช็อปต่างๆ เป็นการหารายได้ เป็นวิธีคิดอย่างที่พี่จิกพูด

    ประภาส - อีกตัวอย่างหนึ่ง ผมว่าอันนี้เป็นการคิดย้อนศรของ อ.บัณฑิต จุฬาสัย ปกติคนสร้างบ้านหรือสร้างตึกจะสร้างขึ้นมาก่อน เวลาต่อเติมจะสร้างต่อขึ้นไปชั้นบน อาจารย์บัณฑิตสร้างบ้านทำข้างล่างโล่งแล้วทำบ้านข้างบนก่อน แกบอกว่าถ้าจะต่อเติมให้ต่อเติมข้างล่าง มันจะไม่รบกวนความเป็นอยู่ บ้านแกเป็นบ้านสามชั้นเสาสูงๆ มีบันไดขึ้นไป แกบอกว่าถ้าจะขยายครอบครัวจะสร้างลงมาเรื่อยๆ เป็นวิธีคิดย้อนศรที่มันดี

    3.หนามยอกเอาหนามบ่ง

    สรกล - ไปวิธีที่สาม

    ประภาส - หนามยอกเอาหนามบ่ง ผมว่ามันคล้ายๆ กับการทำของไร้ค่าให้มีค่า คือ แบบว่าผมกำกับละครให้พงศ์พัฒน์เล่นเรื่องแรกคือเทวดาตกสวรรค์ ตอนนี้ก็ถ่ายอยู่ เขาเป็นพระเอกที่ผู้ช่วยผู้กำกับต้องเดินมา บอกว่าพี่เทกไหม ไอ้อ๊อฟมันแคะขี้มูกอีกแล้ว พี่เทกไหม ไอ้อ๊อฟมันเกาตูดอีกแล้ว คือเขาเป็นพระเอกที่อยู่ไม่สุข ดูเหมือนว่ามันจะมีปัญหาในการถ่ายทำ พอเขาพูดแบบนี้ ผมเลยพูดบอกว่า อ๊อฟ อยากแคะแคะไป อยากเกาเกาไป เพราะว่าแคแร็กเตอร์ตัวนี้พี่จะให้เป็นอย่างนี้ แล้วก็ได้ผลนะ เขาได้ ชิงรางวัลดารายอดเยี่ยมจากการแคะขื้มูก

    สรกล - คือแทนที่จะเปลี่ยนแคแร็กเตอร์เขา ก็เอาแคแร็กเตอร์ของเขามาขาย

    ประภาส - อย่างรูปการ์ตูนที่ผมเอามาให้ดู คือ เขาเอาหินมาสร้างเป็นเครื่องป้องกันหิน หรือที่ญี่ปุ่นมีอยู่เมืองหนึ่งน้ำท่วมใหญ่ แล้วปีนั้นไม่มีกระสอบทราย น้ำท่วมเยอะมาก ทรายไม่พอ ถามว่าที่ญี่ปุ่นเอาอะไรแทนทราย ก็คือเอาน้ำใส่ถุงแล้วกันเป็นกระสอบทรายแทน คือหนามยอกเอาหนามบ่ง

    4.เรื่องเล็กรอบตัว

    ประภาส - วิธีที่สี่ คือ หยิบจากเรื่องเล็กๆ รอบตัวเรานี่แหละ เช่น เพลง "เพราะอะไร" ซึ่งเพลงนี้หลายคนคงรู้จัก เพลงนี้เกิดจากประโยคสั้นๆ ที่ผมไปถามลูกที่เขายังเล็กๆ อยู่ว่า "รักพ่อไหม" "รักแม่ไหม" "รักเพราะอะไร"

    และเขาก็ตอบแบบเด็กๆ ว่า "ไม่รู้"

    ผมรู้สึกว่าประโยคนี้มันเอาไปทำอะไรต่อได้ คิดว่ามันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่เอามาทำอะไรได้ เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์มากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบยาปฏิชีวนะที่มีคนทิ้งเชื้อราไว้ว่ามันฆ่าอะไรได้ แล้วมีคนเห็นจึงนำมาใช้

    อย่างเรื่องรายการแฟนพันธุ์แท้ที่บ้าบอล ผมมีเพื่อน 2 คนที่บ้าบอลมาก เขาคุยกันว่า ลิเวอร์พูลที่ชนะในปีนั้น เตะด้วยขาข้าง ไหน ? ผมคิดว่ามันจะรู้ไปทำไมวะ ทำไมมันรู้ละเอียดขนาดนี้ ? จึงคิดที่จะทำรายการที่ให้คนดูรู้สึกว่ามันจะรู้ไปทำไมวะ ? คิดว่ามันน่าจะไม่เลว อย่างเช่นเอาหน้าคนมาถามคน มันจึงเกิดเป็นรายการเกมทศกัณฐ์

    5.จับคู่ผสมพันธุ์

    ประภาส - เช่น ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ก็นำต้มยำมาผสมกับก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง ซึ่งเป็นความคิดแบบคละๆ โพส-โมเดิร์นก็นำมารวมกัน แม้กระทั่งพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทที่ข้างล่างเป็นยุโรป

    เคยได้ยินไอศกรีมมะม่วงน้ำปลาหวานไหม ? ผมได้ไปเจอที่เซ็นทรัลเวิลด์ เขาได้เอามะม่วงดิบมาทำเป็นไอศกรีมแล้วมี ท็อปปิ้งเป็นน้ำปลาหวานโรยด้วยกุ้งแห้ง ผมว่ามันเป็นครีเอทีฟไอเดีย หรืออย่างทำฟันไปด้วย นวดเท้าไปด้วย ซึ่งมีแล้วที่ญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นธุรกิจใหม่ มีเพื่อนผม คนหนึ่งชื่อตุ้ม เขาคิดเหมือนกันว่า เขาจะ ทำนวดบุฟเฟต์ จะกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ห้ามลุกไปเยี่ยวนะ

    6.สมมตินะสมมุติ

    ประภาส - ผมใช้บ่อยในงานเพลงและงานเขียน สมมติว่าถ้าโลกนี้มีเราสองคน ก็เกิดเป็นชื่อเพลงนี้ ถ้า...(คิดต่อ) เป็นตัว จุดประกายไฟที่ดีมาก ถ้าอย่างนี้แล้วจะ เป็นอย่างไร ? หรือถ้าจะจับคนที่ฉลาดมากๆ ไปขังไว้ที่ห้องสมุดคืนหนึ่ง รุ่งเช้ามันจะตอบคำถามได้ไหม ? อันนี้ก็กลายมาเป็นรายการ อัจฉริยะข้ามคืน

    หรือถ้าดอกทานตะวันที่หันหน้าไปหาพระอาทิตย์เป็นธรรมเนียมนี้ ถ้ามีเปลวไฟดวงหนึ่งเกิดขึ้น แล้วจะเป็นอย่างไร ? จึงกลายมาเป็นเพลง ไม้ขีดไฟกับ ดอกทานตะวัน หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าถ้าจะร้องเพลงไปด้วย ขับรถไปด้วยจะได้ไหม ? ถ้ามีวิทยุในรถยนต์จะเป็นอย่างไร ? ทำได้ไหม ? ซึ่งสมัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่และไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคนจะไม่มีสมาธิในการ ขับรถ และต่อมามีบริษัทซื้อความคิดนี้ไปทำได้

    สรกล - วอล์กแมนของโซนี่ ก็เกิดจากเช่นนี้เหมือนกัน คิดว่าถ้าจะให้วิทยุเครื่องใหญ่ๆ เป็นเครื่องเล็กจะทำอย่างไร ? และใส่หูฟังได้ อันนี้จึงเป็นจุดพลิกของโซนี่ ซึ่งมาจากสมมตินะ...สมมุติ

    7.ขีดไปก่อน เขียนไปก่อน

    ประภาส - ไม่มีไอเดียเลย โดยเราขีดไปก่อน เขียนไปก่อน ผมเคยเขียน "ฯลฯ" เห็นว่ามันสวยดี จึงเป็นที่มาของหนังสือ ชื่อไปยาลใหญ่ และกลายเป็นชื่อเพลงต่อมาอีกมากมาย ผมคิดว่าเรามีประกายไฟอยู่ก็จริง แต่ก่อนนั้นเราต้องมีเชื้อไฟอยู่ด้วย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เราคิดอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีอะไรไปจุดไฟให้มันติด แต่เกิดจากการเขียนด้วยมือ

    หรือรายการ คุณพระช่วย ก็มาจากคำว่า โอ้มายก๊อด หรือเพลงเจ้าภาพจงเจริญ ตอนผมแต่งผมไม่ได้แต่งเพลงนี้ แต่ผมแต่งเพลง ขอให้เจ้าหนี้จงเจริญ แล้วตอนหลังมาแก้ใหม่จากเชื้อที่มีอยู่ในตัว

    ผมมองว่าทั้ง 7 อันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ เรายังหนีความเคยชินไม่ได้ ผมว่าความเคยชินเป็นตัวทำให้ประกายไฟไม่ติด เพราะความเคยชินคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อย่างอาจารย์สิงห์พูดว่า "เอาของเก่ามาใช้จะดีหรือ ?" บ้านผมเอาเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่ามาทำบ้านใหม่ ผมจึงโดนคำถามเยอะมากเลยว่า "ไม่กลัวผีเหรอ ?" ซึ่งมันเป็นความคิดเดิมๆ ที่ถ้าเอาบ้านเก่ามาทำจะมีผี ผมจึงตอบไปว่า

    "ถ้ามีผีมันจะไม่หลอกผมหรอก เพราะ ผีป่ามันจะไปหลอกคนที่เอาไม้ใหม่ๆ มาทำมากกว่า"

    สรกล - ใน 7 ข้อใช้อันไหนมากที่สุด ?

    ประภาส - อันที่ 1 ทำลายกรอบลวงตา เวลาที่ติดอะไรมากๆ ก็ขยายกรอบแล้วมองกลับไปอีกทีหนึ่ง

    สรกล - มองเด็กรุ่นใหม่อย่างไร หรืออยากฝากอะไรไหม ?

    ประภาส - เด็กรุ่นใหม่มีข้อได้เปรียบเรื่องเทคโนโลยี อยากได้อะไร ? อยากรู้อะไร ? ก็เสิร์ชเอา มีเครื่องไม้เครื่องมือในการแต่งเพลงเยอะ ซึ่งมันเป็นข้อดีนะ แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดข้อเสียด้วย คนเริ่มคล้ายกันหมด อยู่ที่ในกรอบของกูเกิล ดังนั้นเด็กจึงต้องการประกายไฟที่เยอะๆ ที่จะคิดอะไรที่แตกต่างออกไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเราคิดว่าอันนี้มันเวิร์กมันชิน อะไรๆ ก็จะออกมาคล้ายกันหมด


    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02spe03081251&day=2008-12-08&sectionid=0223
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">
    13 โครงการในพระราชูปถัมภ์ นำเสนอผลผลิตรับ ปีใหม่ [8 ธ.ค. 51 - 00:25]

    http://www.thairath.co.th/news.php?section=society&content=114298

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]

    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธานเปิดงาน​
     
  14. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    แหะต้องขอโทษด้วยกดผิด ไม่ได้คัดค้านอะไรนะครับจะโมทนาที่นำบทสวดมนต์บูชาแต่ดันกดผิดโทษทีครับคงไม่มีโกรธอะไนนะครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมนำบทความที่ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เคยเขียนไว้และผมได้ขออนุญาตจากท่านมาเพื่อนำลงในเว็บพลังจิตแล้ว ได้นำไปตั้งเป็นกระทู้ในชมรมพระวังหน้าแล้ว และจะทยอยนำลงอีกครับ
    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เป็นอย่างสูงครับ

    ชมรมพระวังหน้า

    <TABLE class=tborder style="BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=tcat width="100%" colSpan=3>เว็บบอร์ดของกลุ่ม พระวังหน้า</TD><TD class=vbmenu_control id=grouptools style="CURSOR: hand" noWrap state="false" unselectable="true">Group Tools<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("grouptools"); </SCRIPT> [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><FORM id=group_discussion_inlinemod_form action=group_inlinemod.php?groupid=6 method=post><TABLE class="tborder discussion_list" id=discussion_list cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR class=block_title><TD class=thead width="100%">ตั้งโดย แสดงผลกระทู้ 10 จาก 10 </TD><TD class=thead noWrap align=middle>คำตอบ </TD><TD class=thead noWrap align=middle>ข้อความล่าสุด </TD><TD class=thead noWrap align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12849 title=พระพุทธคุณไม่มีในองค์พระเครื่อง width="100%">
    by sithiphong



    พระพุทธคุณไม่มีในองค์พระเครื่อง พระพุทธคุณไม่มีในองค์พระเครื่อง โดย ปรัศนี ประชากร สงวนลิขสิทธิ์ ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>10</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    วันนี้ 06:17 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_201 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[201] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12379 title=กิจกรรมชาวคณะพระวังหน้าและชมรมพระวังหน้า width="100%">by sithiphong


    กิจกรรมชาวคณะพระวังหน้าและชมรมพระวังหน้า ผมตั้งกระทู้นี้เพื่อการทำกิจกรรมร่วมกันของชาวคณะพระวังหน้าและชมรมพระวังหน้าครับ ขอบคุณครับ


    </TD><TD class=alt2 align=middle>55</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    วันนี้ 11:53 AM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_111 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[111] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12820 title=คำอธิฐานขอบารมี width="100%">by sithiphong


    คำอธิฐานขอบารมี คำอธิฐานขอบารมี ข้าพเจ้าขอเดชะพลานิสงค์ เมื่อจะปลงชีวิตขอให้คิดได้ ขออย่าได้มีมารมาผจญดลใจ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>5</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    เมื่อวานนี้ 09:50 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_200 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[200] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12818 title=ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม width="100%">by sithiphong


    ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>1</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    เมื่อวานนี้ 09:34 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_199 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[199] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12807 title="การไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )" width="100%">by sithiphong


    การไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ ) ไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ ) วัดเทพศิรินทราวาส ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>9</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    เมื่อวานนี้ 06:50 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_198 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[198] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12791 title=ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร width="100%">by sithiphong


    ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร ประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>15</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    เมื่อวานนี้ 06:16 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_197 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[197] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12709 title="สมเด็จพระวันรัต(ทับ) วัดโสมนัส กับ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์" width="100%">by sithiphong


    สมเด็จพระวันรัต(ทับ) วัดโสมนัส กับ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ภาพปริศนา ? "พระสงฆ์สอนหนังสือเด็ก" ความเข้าใจผิดอันคลาดเคลื่อน ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>13</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    06-12-2008 08:58 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_190 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[190] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion19 title=พระวังหน้า width="100%">by ชวภณ


    พระวังหน้า สมัครแล้วครับ ทันใจเลยล่ะครับ


    </TD><TD class=alt2 align=middle>2043</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    06-12-2008 08:42 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_5 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[5] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12637 title=ศานสนกิจที่ชาวพุทธควรรู้ width="100%">by sithiphong


    ศานสนกิจที่ชาวพุทธควรรู้ คำบูชาพระรัตนตรัย อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ อิมินาสักกาเรนะ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>15</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    05-12-2008 07:21 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_165 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[165] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12313 title=แจ้งงานบุญ width="100%">by sithiphong


    แจ้งงานบุญ ผมตั้งกระทู้ในชมรมพระวังหน้าขึ้นมาใหม่ เพื่อไว้แจ้งการบอกบุญครับ โมทนาสาธุครับ


    </TD><TD class=alt2 align=middle>12</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    05-12-2008 06:14 PM

    by sithiphong [​IMG]

    </TD><TD class=alt2><INPUT class=inlinemod_checkbox id=gdiscussionlist_103 title="" type=checkbox value=0 name=gdiscussionlist[103] inlineModID="inlineMod_comment"></TD></TR></TBODY></TABLE></FORM>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่างทองนี่เป็นสมัยนี้มั้งคับ อาจจะมีก็ได้นะครับ 55555 หุ หุ
     
  18. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่านโดฝากขอบคุณ คุณป้าแมวเหมียวด้วยครับ หุ หุ เค้าคือโดจิ บ่ ช่ายโดเรมอนครับ หุ หุ
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    555555เอาเป็นแม่เชียวเหรอ หุหุ แค่ ผบ.เป็นแม่คนที่2ก็ แย่แล้วครับ หุ หุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...