พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เรียน ท่านsithiphong

    ขอร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ

    รูปที่เห็นจะเน้นที่ประกายดาว ระยิบระยับ และ สายน้ำ ที่มีการเคลื่อนไหว
    โดยมีส่วนที่อยู่ในมุมมืด คือ ชายหญิง คู่รัก ที่อยู่ในช่วงที่มีความสุข

    ส่วนการนำธรรมะ มาอธิบาย คงบอกได้เพียงว่า
    -ประกายดาว ระยิบระยับ เปรียบกับ แสงธรรมนำชีวิต
    -สายน้ำ ที่มีการเคลื่อนไหว เปรียบกับ กองกิเลสที่ห้อมล้อมคน
    -ชายหญิง คู่รัก เปรียบกับ ความสุขทางโลกที่ไม่จีรัง
    โดยสรุป คือ ทุกสิ่งล้วน" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ครับ

    ขอบคุณ ครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในการนัดพบกันครั้งหน้า ผมจะนำพระพิมพ์ไปศึกษากัน โดยจะนำทั้งของเดิมที่เคยพบเห็นกัน และของใหม่ที่พึ่งเคยเห็น จะนำไปศึกษากันทั้งเนื้อหาทรงพิมพ์ พลังอิทธิคุณ และประวัติของการสร้าง ซึ่งบอกได้แต่เพียงว่า เป็นงานที่อลังการณ์มากๆ

    มีหลายสิ่งหลายอย่าง ท่านอาจารย์ประถม ท่านบอกมาว่า ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยพบมาก่อน และท่านเองก็ขอพระพิมพ์ผม ผมมอบให้ท่านหลายๆพิมพ์ครับ

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่วนการนัดพบกันในครั้งหน้า ผมจะโทร.แจ้งเป็นรายท่านนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  5. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    [​IMG]


    เอาใหม่นะครานี้มองภาพตามที่เห็นจริง เกริ่นธรรมที่เกิดขึ้นในดวงจิต

    เดือนต่ำดาวตก รุ่งสางอโณทัย หริ่งหริ่งเรไร
    สายน้ำระยับ คู่รักพรอดพร่ำ แต่ค่ำถึงเช้า เฝ้าชวนดู

    ทุกสิ่งที่เกิด ทุกสิ่งที่เห็น เป็นอนิจจัง
    ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงแท้

    หมู่ดาวเกลื่อนฟ้ามองว่าสวย เช้ามาก็หายสิ้น
    สายน้ำดูพราวตา นานไปอาจเน่าเหม็น
    คู่รัก ดูรักยิ่ง สุขจริง คงไม่นาน
    เช้าค่ำ คงเวียนย่ำ สุขทุกข์ คงคือกัน

    ไม่มีอะไรแน่นอนและยั่งยืนครับ ไม่ว่าธรรมชาติและชีวิต
    ธรรมชาติแสนสวยงามที่ทั้งคู่มองเห็น ต่อไปก็เปลี่ยนแปลง อาจด้วยน้ำมือมนุษย์หรือด้วยธรรมชาติเอง
    คู่รักวันนี้ดูสุขนัก ชีวิตข้างหน้าไป จะอย่างไร จากพราก สุขทุกข์ เจ็บไข้ ดับสิ้นไป (อ่านแล้ว ทำลายความคลาสสิคของเขาจังเลยนะ ไม่โรแมนตึกเอาจริงตานี่ คิคิ)


    พระไตรลักษณ์
    อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา
    ความไม่เที่ยง - ความเป็นทุกข์ - ความไม่เป็นของๆ ใครทั้งสิ้น
    พระไตรลักษณ์ เป็นธรรมะสำคัญมาก เป็นแก่นของธรรมชาติทั้งปวง ที่ผู้มุ่งหาทางรู้จักกับโลกรู้จักกับธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง รู้จักความจริงเกี่ยวกับตัวของตัวเอง รู้จักความจริงของกายและใจ เพื่อจะได้รู้เท่าทันและเพื่อการมุ่งทำลายกิเลส ทำลายทุกข์ทั้งปวง ทำลายอวิชชา จะต้องเข้าใจรู้ให้ซึ้งชัดเจนถ่องแท้ เกี่ยวกับพระไตรลักษณ์นี้ (ด้วยการปฏิบัติตน ปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจ)
    พระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นจริงของสรรพสิ่งในธรรมฝ่ายโลกหรือ ธรรมฝ่ายทุกข์ทั้งปวง ความเป็นจริงที่ว่าก็คือ
    (๑)
    สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง (อนิจจัง)
    (๒)
    สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    (๓)
    สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่ได้เป็นของๆ ใคร ไม่ได้เป็น ใครผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครเป็น ผู้สร้าง (อนัตตา)
    อนิจจัง - ไม่เที่ยง
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ทรงเข้าไปตรัสรู้ความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง แต่ที่จริงล้วน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่ และดับไป ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าด้วยความสามารถรับรู้ด้วย ผัสสะทั้ง ๖ แบบคนธรรมดาทั่วๆ ไปในชีวิตแบบทั่วๆ ไปนั้น ไม่สามารถเข้าไปสังเกตรู้ได้ ทั้งนี้ในทางธรรมอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะความไม่เที่ยงนี้ถูกบดบังไว้ด้วยความต่อเนื่อง ของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่างรวดเร็วต่อเนื่องจน คนธรรมดาๆ ไม่สามารถเข้าไปรับรู้ได้ก็เลยนึกว่าเที่ยง
    ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์เรานี้เอง ในทางแพทย์ก็พิสูจน์แล้วว่า นับตั้งแต่วันที่คลอดออกมาดูโลกเซลล์ต่างๆ ก็เกิด-ตาย เกิด-ตาย ต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเมื่อมนุษย์คนใดอายุ ๗ ขวบ นั้น ที่จริงแล้วทุกๆ เซลล์ที่เกิดมาพร้อมกับการออกมาดูโลกของ คนๆ นั้นได้ตายไปหมดแล้ว เซลล์ที่เหลือเป็นเซล์ใหม่กว่านั้นทั้งนั้น และก็กำลังเกิด-ตาย เกิด-ตายอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
    แต่ทั้งหมดนี้ เราไม่รู้ เราก็เห็นๆ อยู่ว่ามนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นมา แล้วก็เจริญเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะมาเห็นชัดก็ตอนอายุเข้าเขตชรา ผิวหนังเหี่ยวย่น อวัยวะต่างๆ เสื่อมสมรรถภาพลงแล้วนั่นแหละ
    สิ่งที่มาบดบังความจริงที่ว่าไม่เที่ยงนี้ก็คือ 'ความต่อเนื่อง' เซลล์ก็ เกิดดับต่อเนื่องสืบทอดหน้าที่กันไป กิริยาอาการต่างๆ อารมณ์ ต่างๆ ก็เกิดดับต่อเนื่องสืบทอดกันไปอย่างรวดเร็วจนยากที่จะ สังเกตได้หากไม่ใช้วิธีการโดยเฉพาะ ความต่อเนื่องตัวนี้ภาษา ธรรมเรียกว่า 'สันตติ'
    ทุกขัง - เป็นทุกข์
    สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นทุกข์
    ตามธรรมดาแล้ว เรามักเห็นชีวิตเป็นทุกข์ก็เมื่อต้องเจ็บป่วย มีปัญหา หรือต้องพบกับการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่ต้องการ หรือการต้อง ถูกบังคับหรือมีความจำเป็นต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักไม่ต้องการ
    แต่ในความเป็นจริงแท้ๆ แล้ว ความทุกข์มีอยู่ตลอดเวลาแต่เราจับสังเกต ไม่ได้เท่านั้นเอง อย่างเช่น ที่จริงแล้วในชีวิตประจำวันความทุกข์ได้แสดง ตัวอยู่ตลอดเวลากับอาการของกายและใจของเรา แต่เราไม่ทราบ ที่จริงแล้ว เมื่อต้องยืนนานๆ เราก็ทุกข์จึงต้องเปลี่ยนเป็นลงนั้ง นั่งเข้านานๆ ก็เมื่อยและทุกข์จึงเปลี่ยนเป็นนอน นอนที่ว่าเป็นอาการ ที่สบายที่สุดแล้ว เอาเข้าจริงๆ นอนนานๆ ก็เมื่อย ต้องขยับ ต้องเปลี่ยน ท่า ต้องลุกขึ้นนั่ง ลุกขึ้นเดินบ้าง เดินนานๆ ก็เมื่อยต้องลงนั่งพัก ฯลฯ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลานับแต่เกิดจนตายไป แต่เราไม่รู้
    ที่เราไม่รู้ก็เพราะว่ามี 'การเปลี่ยนอิริยาบท' เกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นไป โดยอัตโนมัติที่เราไม่เคยจับสังเกต ดังนั้น เมื่อมาทำวิปัสสนากรรมฐาน ครูบาอาจารย์ท่านจึงบอกให้เดินนานๆ คือ เดินจงกรมให้นานๆ ช้าๆ แต่นานๆ ค่อยๆ สังเกตอาการของกายและใจไปเรื่อยๆ เวลานั่งสมาธิ ท่านก็บอกว่าไม่ให้เปลี่ยนท่า ทั้งนี้เพราะว่าตลอดเวลาในชีวิต มนุษย์เรามีการเปลี่ยนอิริยาบทนี้เอง ที่เข้ามาปิดบังไม่ให้เราเห็น ความจริงที่ว่าที่แท้อะไรๆ ก็เป็นทุกข์ เมื่อเรามาเดินจงกรมและ นั่งสมาธิตามแนววิปัสสนากรรมฐานและสติปัฏฐานสี่นี้เอง เราจึง พยายามเดินจงกรมนานๆ ดูความทุกข์ ดูความเมื่อย ดูไปจนถึง ที่สุดแห่งความทุกข์ความเมื่อยความเจ็บปวด นั่งสมาธิก็ให้พยายาม อยู่ในท่านั้นนานๆ ไม่กระดุกกระดิก เพื่อให้เห็นเท่าทันความเป็นจริง อันนี้ของกายและใจ ว่ากายและใจนอกจากจะไม่เที่ยงแล้วยังเป็นทุกข์
    อนัตตา - ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในบังคับบัญชาใครทั้งสิ้น
    อีกความจริงอันสำคัญก็คือ สรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคลเราเขาที่ไหน ไม่เป็นของใคร ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ล้วนเกิดเพราะเหตุ ได้อัตภาพตัวตนแบบนั้น แบบนี้ก็เพราะมีเหตุมาให้เป็นแบบนั้นแบบนี้
    สิ่งที่บดบังไม่ให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปเห็นความเป็นจริง (อนัตตา) อันนี้ ก็คือ ความเป็นกลุ่มเป็นก้อน (ฆนสัญญา = ความสำคัญว่าเป็นก้อน ความสำคัญเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งบังปัญญาไม่ให้เห็นภาวะที่เป็น อนัตตา)
    กล่าวคือ ที่แท้อย่างเช่นร่างกายเรานี้ก็ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ มาประชุม กัน อวัยวะต่างๆ ก็เกิดจากธาตุทั้งสี่มาประชุมกัน อวัยวะต่างๆ มารวมกัน ประกอบกันเข้าจนเป็นกาย แต่หากลองแยกอวัยวะแต่ละส่วนออกมาวาง ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร เป็นของๆ ใคร อวัยวะต่างๆ เมื่อเค้า จะป่วยไข้ไม่สบายไปใครก็บังคับไม่ได้ บังคับหรือสั่งให้ไม่เจ็บก็ไม่ได้ ให้ไม่แก่ไม่เสื่อมก็ไม่ได้ ฯลฯ แต่เรานึกว่าเป็นเรา เป็นตัวเรากายเรา ตัวเขากายเขา เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต่างๆ ก็เพราะเรามองเห็นทั้งก้อน ทั้งหมด ทั้งแท่ง โดยไม่ได้ เข้าไปเห็นในรายละเอียดจริงๆ ว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นการประกอบกันเข้า ระหว่างสิ่งละเอียดหลายๆ อย่าง มาเป็นสิ่งที่หยาบขึ้นหลายๆ อย่าง มาเป็นสิ่งที่หยาบจนเห็นชัดอย่างเช่นกายของคนๆ หนึ่ง ฯลฯ

    ขอขอบคุณ http://www.geocities.com/easydharma/dm004017.html
    <!--.....end parts.....-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  6. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ครานี้ขอเป็นภาษาไทยนะจ๊ะลุง อ้อ.อย่าเรียงนานนักล่ะ จะไม่ทันเข้าพรรษาปีหน้า

    ปล.รักคนแก่
     
  7. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    เห็นภาพแล้วมีความเห็นเกิดขึ้นมากมายหลายๆประเด็นตามลำดับขั้นตอนของจิตใจในการที่จะคิดปรุงแต่งไปตาม โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งย่อมจะเกิดมีได้ในจิตใจของมนุษย์ทุกๆคน เพียงแต่เราจะรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดในจิตใจของเราในตอนนี้ได้หรือไม่ เมื่อรู้แล้วสามารถใช้หลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้เคยศึกษามานั้นช่วยแก้ไขได้หรือไม่ ถ้าพิจารณาตามหลักธรรมแล้ว ผมว่าเข้าหลักของเมื่อมีสุขย่อมมีทุกข์ ในขณะเดียวกันเมื่อมีทุกข์ย่อมมีสุข เพียงแต่เราสามารถที่จะมองได้แตกฉานหรือไม่ ทุกข์-สุขขวางกั้นแค่เพียงเส้นด้ายเล็กๆเท่านั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปครับ อันนี้ก็เข้าหลักของพระไตรลักษณ์(เห็นด้วยกับคุณ ตั้งจิตครับ) ที่แสดงความคิดเห็นออกมาอย่างนี้ เพราะในรูปภาพมีคู่รักหนุ่มสาวรวมอยู่ในภาพด้วย แต่ถ้าเป็นภาพวิวอย่างเดียวก็จะมีความเห็นไปอีกแบบหนึ่ง อีกอย่างที่เกิดขึ้นในใจคือโมหะ เพราะว่าหนุ่มสาวในรูปกำลังอยู่ในภวังค์แห่งรักซึ่งดูน่าอิจฉานะครับ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นของมันเช่นนั้นเองใช่มั๊ยครับ ชั่วฟ้าดินสลายในชีวิตจริงผมว่าคงไม่มีนะครับ คงมีอยู่แต่ในละคร เอาเท่านี้ก่อนนะครับ

    [​IMG]
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder style="BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=2>ข้อความส่วนตัว: โมทนาบุญ</TD></TR></TBODY></TABLE><!-- post # --><TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] วันนี้, 04:42 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>
    สมาชิก






    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->โมทนาบุญ
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->คุณหนุ่ม
    ขอโมทนาบุญกับกุศลจิตกับคุณหนุ่ม
    ที่ได้จัดพระผงยาวาสนาจำนวนหนึ่งไว้ให้.....
    ถวายบรรจุพระเจดีย์,พระภิกษุสงฆ์
    หรือใครก็ตามที่เห็นสมควร
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16/11/51
    ได้ถวายหลวงพ่อจรัลไปบางส่วนแล้ว
    บรรจุเต็มกล่องแสตนเลสขนาดใหญ่
    ไปไม่ทันรอบที่หลวงพ่อลงเทศน์
    แต่ก็ได้ฝากโยมที่นั่นไว้ว่า
    ช่วยถวายให้หลวงพ่อจรัลรับทราบด้วย
    และยังได้ถวายพระบรมสารีริกธาตุองค์ใสเล็กๆไปด้วย
    วันหลังจะขอพระบรมสารีริกธาตุอีกได้ไม๊
    ถวายไปใกล้จะหมดแล้ว
    และได้ถวายไว้ที่ปรียนันท์ธรรมสถาน
    อำเภอพยุหะคีรีี นครสวรรค์
    เป็นสัณฐานที่คุณหนุ่มให้ไว้สีชมพูใสๆ
    บุญจากการได้สนธนาธรรม ฟังธรรม
    สาธยายธรรม ปฏิบัติธรรม อีกทั้งเดินขึ้นเขาแบกอิฐไปสร้างพระเจดีย์บนเขา
    และพาพี่ชายกับน้องข้างบ้าน
    ไปปฏิบัติธรรมวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
    คุณหนุ่มโมทนาบุญได้เลย

    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ---------------------------------------------------------
    ---------------------------------------------------------

    เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ ผมยังมีอีกครับ จะมาอัญเชิญอีกเมื่อไหร่บอกได้เลยครับ ไม่มีปัญหา

    ผมขออนุญาตนำมาลงบนบอร์ด จะได้ให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ โมทนาบุญกันด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับบุคคลท่านนี้ เป็นเพื่อนแท้ของผมอีกท่านนึง ที่ไม่เคยคิดร้าย ไม่เคยแทงข้างหลัง และการแทงข้างหลังก็นำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไปบอกกันต่อๆไป

    .
     
  10. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ข้อคิดธรรมมะจากหลวงปู่เกษม เขมโกที่ทรงคุณประเสริฐยิ่ง
    อาจจะเป็นกำลังใจให้ทุกท่านชาวคณะ,
    ท่านที่ผ่านมาอ่านและโดยเฉพาะคุณหมอเอกค่ะ

    โมทนาบุญกับท่านเ้จ้าของบทความและท่านเจ้าของกระทู้
    ขออนุญาตนำมาลงให้อ่านกันณที่นี่ด้วยนะคะ

    ที่มา
    http://palungjit.org/showthread.php?p=1666847#post1666847
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  11. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    เจริญธรรมครับ
    โมทนาสาธุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมต้องหาเวลาไปกินแล้วครับ สงกะสัย ต้องพักร้อน เอ้ย พักหนีหนาวสักวันสองวัน ไปเดินตลาดหาของ(กิน) อย่าคิดเป็นอย่างอื่น คุณnongnooo ว่างป่าวครับ จะได้พาผมไปเดินบ้าง หุหุหุ

    ____________________________________



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"นายฮง" ..ขาหมูพิสดาร เครื่องยาจีน-โกโก้ฝรั่ง / แม่ช้อยนางรำ
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000136057
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 พฤศจิกายน 2551 15:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย : แม่ช้อยนางรำ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"นายฮง" กับขาหมูพิสดาร ขาวันหนึ่งเป็นร้อยขา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> กินขาหมูมาก็มาก เพิ่งมาเจอสูตรประหลาด
    ต้มเครื่องพะโล้ แต่ใส่ผงโกโก้เป็นตัวหลัก
    รสชาติอร่อยแบบพิสดาร ชนิดนึกไม่ถึง


    ก็อย่างที่เจ้านายรู้..รู้กัน อีชั้นนะชอบกินข้าวขาหมู ถ้ารู้ว่าที่ไหนอร่อย ช้อยจะต้องไปเปิบ

    อย่าว่าแต่ตามตรอกตามซอก ซอยในกทม. ขอให้รู้ว่าที่ไหนจังหวัดไหนขาหมูขึ้นชื่อ อีชั้นตระเวนเปิบเหนือจรมดใต้มาแล้วแทบทุกชา แต่เจ้านายเจ้าค่ะ เจ้าขา

    เกิดมาช้อยก็เพิ่งจะเจอะจะเจอ แล้วได้เจี๊ยะ "ขาหมูต้มพะโล้ใส่ผงโกโก้ไมโล-โอวันติน" เจ้านี้..แล้วอร่อยพิสดาร

    ก็เลยรบกวนชวนให้มารักกัน โอ๊ย..ม่ายช่าย ชวนเจ้านายมาเปิบพิสดารสมกับที่อีชั้นตั้งชื่อหัวคอลัมน์นี้มาเกือบ 40 ปี..แย้ว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขาหมู..หรือคากิ อย่าลืมใส่ใส่ใหญ่ ข้าวอบเผือก แล้วก็ตุ๋นซี่โคร่งไก่มะระ อ้อ..แล้วน้ำแข็งใส่น้ำชา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เรื่องมีอยู่ว่า

    แฟนคอลัมน์ที่รับฟังรายการ "คอเลอร์ ออฟ ไลฟ์" ที่อีชั้นจัดทางสถานีวิทยุเอฟ.เอ็ม 99 "คลื่นแข็งแรง" อสมท. ทุกจันทร์ทุกศุกร์ ระหว่างเวลา 15.00-16.00 น. ส่ง เอส.เอ็ม.เอส มาบอกอีชั้นว่า

    มีขาหมูเจ้าหนึ่งอร่อยแบบพิสดาร

    คือขาหมูนะต้มด้วยเครื่องพะโล้ หรือเครื่องยาจีน แต่ตัวชูรส-ชูชาติดันเป็นโกโก้ ทีทั้งไมโล-โอวันติน รวมทั้งข้าวที่กินกับขาหมูไม่ใช่ข้าวขาวธรรมดา แบบที่ขายๆ กันทั่วไป

    พวกทำเป็น "ข้าวอบเผือก" แบบจีนแต้จิ๋วโบราณ ที่ลูกหลานแต้จิ๋วรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จักมักจี่กันแล้ว เรื่องนี้อีชั้นเห็นจะนั่งดูดายอยู่ไม่ได้แล้ว
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เชิญบริจาค ซื้อ อภิญญาใหญ่ Server เพื่อเว็บพลังจิต
    http://palungjit.org/showthread.php?t=159295
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เนื่องจาก เว็บพลังจิต ได้มีผู้เข้าใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ

    จากระทู้ 26,000 UIP คนเข้าเว็บมากสุดเป็นประวัติการและนิมิตในฝัน
    ส่งผลให้ server ทำงานหนัก ส่งผลทำให้ เว็บอืดๆ คนเข้าเว็บได้ไม่สะดวกและเรามีความต้องการ server ใหม่ เพื่อรองรับคนจำนวณมาก


    [​IMG]

    ปัจจุบันเว็บพลังจิตได้รับความนิยมในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนไทยที่อยู่ประเทศไทยและทั่วโลก
    เฉพาะคนไทยเข้ามาใช้บริการทำให้เว็บพลังจิต ทำให้เป็นปรากฏการเว็บทางพุทธศาสนา ที่นิยมมากที่สุดในโลก (สถิติโดย Alexa)
    กระทู้ เว็บพลังจิต เป็นยอดนิยมอันดับที่ 1 เว็บพุทธศาสนาทั่วโลก


    ซึ่งต่อไปในอนาคตอันไกล้
    เราจะขยายเว็บพลังจิต เป้าหมายเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา เผยแผ่แบบให้คนในประเทศนั้นจริงๆ เผยแผ่แบบนานาชาติแบบท้องถื่น จำนวณ100 กว่าประเทศ 100 กว่าภาษา

    วันนี้ผมได้ทำการทดลอง ย้าย server แบบแยกโหลดกัน
    แยกระหว่าง webserver และ database server ก็ไม่สามรารถช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้นมาได้ เนื่องจากว่า web server (อภิญญา) อีกตัว spec ต่ำเกินไป อายุ 3 ปี ทำให้ช้า
    แต่ database server (พระแม่ธรณี server) อีกตัวยังใช้งานได้เร็วดี



    ( รายชื่อ Server ที่ใช้งานอยู่ คือ อภิญญา Server, พระแม่ธรณี Server )







    <HR>


    ตอนนี้ เว็บเริ่มอืดแล้ว แล้วจะอืดลงไปเรื่อยๆ คนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ข้อมุลเยอะขึ้นเรื่อยๆ

    เราควรเร่งรีบ ซื้อ server ใหม่อย่างเร่งด่วน

    ขอเชิญชวนบริจาคซื้อ
    อภิญญาใหญ่ Server

    ตอนนี้เราอยู่ยุคอภิญญาใหญ่ในสาธารณะ ตามหลวงพี่อฤาษีลิงดำทำนาย
    และเรากำลังจะขยายตัวเองให้ใหญ่ออกไปเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาไปทั่วโลก


    งบที่ต้องการ ประมาณ 130,000 บาท
    ราคาของ server จะขึ้นลงตามตลาด

    เป็น Sever Multicore processor

    คาดว่า Servers 3 ตัวนี้ เมื่อต่อกัน จะรองรับ คนได้ประมาณ 4-5 หมื่นคนต่อวัน

    บริจาคได้ 2 ทางคือ โอนเข้าทางธนาคารและโอนทาง credit card

    โอนเข้า ทางบัญชี คุณ ตั้ม (tamsak)


    ทางโอนเงินเข้าบัญชี

    นายณัฐพัชร จันทรสูตร เพื่อพระไตรปิฎกฉบับเว็บเวอร์ชั่น
    บัญชีเงินฝากออมทรัพย์
    เลขที่บัญชี 081 - 2 - 47448 - 7
    ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
    สาขา สะพานใหม่ดอนเมือง




    นาย ณัฐพัชร จันทรสูตร
    บัญชีเงินฝากออมทรัพย์
    เลขที่บัญชี 134 - 7 - 02014 - 9
    ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
    สาขาสะพานใหม่ ดอนเมือง

    -----------------------------------


    กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

    -เชิญอ่าน ประวัติและ ชื่อ Server ของ เว็บพลังจิต ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต แล้วจะทราบที่มาของชื่อ
    -เชิญร่วมบริจาค ซื้อ พระแม่ธรณี Server...สำหรับเว็บพลังจิตและโครงการพระไตรฯ-ฐานข้อมูล

    โดย [​IMG] WebSnow<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1666931", true); </SCRIPT> เว็บมาสเตอร์, ผู้ก่อตั้ง (วีระชัย)



     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมีความคิดเห็นว่า หากเราจะร่วมกันบริจาค เราบริจาคในนามคณะพระวังหน้า ดีหรือเปล่าครับ

    ลองเสนอแนะความคิดเห็นกัน
    ;aa36

    แต่จะชี้แจงว่า บริจาคในนามคณะพระวังหน้า โดยมีท่านใดบ้างที่ร่วมบริจาคครับ
    ;aa13
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขับรถอย่างฉลาด ปลอดภัย และประหยัดน้ำมัน

    http://hilight.kapook.com/view/31011

    [​IMG]


    เพิ่งไปงานอบรมการขับรถอย่างฉลาด ปลอดภัย และประหยัดน้ำมัน ที่ฟอร์ดเขาจัดมาค่ะ เห็นว่าเป็นประโยชน์กับสาวนักซิ่งอย่างพวกเรา ที่อาจจะสนุกกับการขับรถจนลืมเรื่องพวกนี้ไป เลยลองหยิบบางส่วนมาฝาก เผื่อว่าคุณรถของคุณจะปลอดภัยและประหยัดค่าน้ำมันไปได้บ้าง

    อะไรที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วเราก็จะไม่พูดซ้ำ เช่น คาดเข็มขัด ไม่โทรศัพท์ตอนขับ แต่จะเลือกหัวข้อที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกันนักมาบอกกัน

    [​IMG]For Safe

    [​IMG]1. นั่งสะโพกชิดเบาะจนกระทั่งเอามือสอดเข้าไปไม่ได้ การนั่งแบบนี้ทำให้มีวิสัยทัศน์ที่ดี ​

    [​IMG]2. ปรับกระจกมองหลังและกระจกมองข้างให้อยู่ในมุมที่สามารถเห็นได้ชัดเจน ​

    [​IMG]3. ลักษณะการจับพวงมาลัยคือบริเวณที่ 3 และ 9 นาฬิกาของพวงมาลัย การจับแบบนี้จะสามารถบังคับพวงมาลัยได้ดีที่สุด​

    [​IMG]4.ปรับเบาะให้มีระยะห่างของตัวเรากับพวงมาลัย ด้วยการเอาข้อมือวางไว้บนจุดบนสุดของพวงมาลัย ระยะห่างเท่านี้ทำให้เราควบคุมพวงมาลัยได้ดีในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ​

    [​IMG]5.เว้นระยะห่างจากคันหน้า 3 วินาที คือเป็นเวลา 3 วินาทีที่รถเราจะวิ่งไปถึงคันข้างหน้า คุณสามารถวัดได้โดยเทียบกับจุดสังเกตที่ไม่เคลื่อนที่ เช่น เสาไฟฟ้า ​


    [​IMG]



    [​IMG]For Save

    [​IMG]1.ถ้าใช้เกียร์สูง รอบเครื่องยนต์ต่ำ ก็จะกินน้ำมันน้อยกว่า ​

    [​IMG]2.ขณะที่การจราจรติดขัดหรือใกล้สี่แยกไฟแดง แค่ถอนเท้าออกจากคันเร่งแล้วปล่อยให้รถไหลไปตามแรงเฉื่อยดีกว่า ​

    [​IMG]3.ถ้าหยุดรถกับที่นานเกิน 20 วินาทีสามารถดับเครื่องยนต์ได้ เช่น กรณีที่ขนของขึ้นลงจากรถ รอสัญญาณไฟ รถติดมาก หรือหยุดรอหลังไม้กั้นทางรถไฟ ​

    [​IMG]4.เติมลมยางเป็นประจำ ช่วยให้รถกินน้ำมันน้อยกว่า (ดูสเปคของลมยางรถคุณได้ในคู่มือหรือข้างประตูรถ) ​

    [​IMG]5.นำของที่ไม่ใช้ออกจากรถบ้าง เป็นการลดน้ำหนักที่เครื่องต้องแบกไปไหนมาไหนด้วย ​





    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    ฉบับที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 ​
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เลือกซื้อเสื้อผ้าอย่างไร... ห่างไกลสารเคมี

    http://hilight.kapook.com/view/31007

    [​IMG]
    คุณไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าลดราคาสะบั้นหั่นแหลก แต่พอใส่แล้วทำไมถึงคันยุกยิกนั่นแสดงว่าคุณแพ้สารเคมีแล้วล่ะ เนื่องจากเสื้อผ้าใหม่ๆ เต็มไปด้วยสารเคมีโดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้และมีผิวแพ้ง่ายก็จะออกอาการทันที ข้อแนะนำก็คือ

    [​IMG] แหล่งผลิต ผู้เชียวชาญกล่าวว่า สีจากสารเคมีมักมีปัญหากับผิวหนัง ซึ่งสารเคมีบางชนิดมักมีปัญหากับผิวหนัง และสารเคมีบางชนิดมีข้อห้ามใช้ แต่ในประเทศที่มีค่าแรงถูก เช่น จีนหรืออินเดีย ไม่มีข้อห้ามในการใช้สีอันตราย

    [​IMG] หลีกเลี่ยงผ้า Polymid เพราะผ้าที่ทำจากเส้นใยดังกล่าวติดสีได้ไม่ทน สีมักตกเมื่อโดนเหงื่อและเข้าไปในร่างกายเรา ทางเลือกก็คือ ผ้า Polyester ติดสีได้ดีกว่าจึงมีความปลอดภัยกว่า

    [​IMG] ผ้าสีอ่อนดีกว่าสีเข้ม หากผ้ามีสีเข้มมากเท่าไหร่สีก็จะยิ่งตกได้ง่ายเมื่อโดนเหงื่อ เช่น สีดำและสีน้ำเงินตกสีได้ง่ายกว่าสีขาวสีเบจ หรือสีน้ำตาลอ่อน

    [​IMG] อ่านข้อบ่งใช้ หากเขียนว่า ให้แยกซักแสดงว่าสีย้อมผ้าไม่คงทน สีตกได้เมื่อสวมใส่รวมทั้งสีนีออนด้วย

    [​IMG] ผ้าไม่ต้องรีด แน่นอนว่าผ้าที่ไม่มีรอยยับย่นย่อมดีแน่ แต่สวมใส่แล้วผิวแดง แสดงว่าคุณแพ้สารเคมีที่ทำให้ผ้าเรียบ

    [​IMG] ระวังลายพิมพ์ ภาพพิมพ์สีต่างๆ ของเสื้อยึดดูเท่ๆ เก๋ๆ แต่มันทำจาก PVC ซึ่งสามารถทำให้ฮอร์โมนของเราแกว่งไกวได้ ข้อแนะนำก็คือ ควรใส่เสื้อตัวเล็กไว้ด้านในป้องกันอีกชั้นหนึ่ง

    [​IMG] ผ้าฝ้ายธรรมชาติ หากเป็นผ้าฝ้ายที่เข้าเครื่องซักผ้าได้แสดงว่า มีสารเคมีที่ทำให้ผ้าแข็งไม่ยุ่ยและมีสาร Plasticizer ซึ่งเป็นสารอันตราย จึงควรซื้อผ้าฝ้ายธรรมชาติที่ซักด้วยมือจะดีกว่า

    [​IMG] ผ้าดูแลรักษาง่าย ไม่ควรซื้อเพราะในเส้นใยผ้ามีสารฟอร์มาลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารอันตราย

    [​IMG] สารฟอกขาว ผ้ายีนส์ส่วนใหญ่ มักมีสารฟอกขาว ดังนั้น จึงควรซักบ่อยๆ เพื่อชะล้างสารเคมีออกไปก่อนใส่

    [​IMG] ไม่เปื้อน หากเป็นผ้าที่สิ่งสกปรกไม่ติดผ้าก็ไม่ควรซื้อเพราะผ้าเหล่านี้มีสารเคมีอันตราย





    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
    ประจำวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2551

     
  17. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    การมองภาพภาพนี้สิ่งที่เห็นคือ ความว่างเปล่า หรือ คือ ธรรมชาติของโลก ค่ะ ถ้าเราไม่เอา อายตนะ 6 ไปจับกับสิ่งสมมุติต่างๆ สิ่งที่เห็นก็เป็นเพียงแค่ภาพภาพหนึ่ง เมื่อไม่มีอารมณ์ไปจับ ก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือ ความสุข คือ ความทุกข์ คือความสวยงาม ไม่คิดเลยไปจากสิ่งที่เห็น เมื่อไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่ง ก็จะมองเห็นถึงความจริงที่ว่า ทุกสิ่งล้วน หมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน ทั้งดาวตก และ ระลอกน้ำ ที่มีเกิดและมีดับ หาได้มีความสวยงามอันเป็นกิเลสไม่

    ข้อความย่อ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้ ความว่า เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีใจไม่กวัดแกว่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้ ความว่า พึงเป็นผู้สำรวมจักษุ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้โลเลเพราะจักษุประกอบด้วยความเป็นผู้โลเลเพราะจักษุ คิดว่า เราพึงเห็นรูปที่ยังไม่ได้เห็น พึงผ่านเลยรูปที่ได้เห็นแล้ว

    ข้อความเต็มจาก พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส

    ว่าด้วยการสำรวมจักษุ

    [๙๖๙] พึงทราบอธิบายในคำว่า พึงเป็นผู้สำรวมจักษุ ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้าดังต่อไปนี้ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้โลเลเพราะจักษุประกอบด้วยความเป็นผู้โลเลเพราะจักษุ คิดว่า เราพึงเห็นรูปที่ยังไม่ได้เห็น พึงผ่านเลยรูปที่ได้เห็นแล้ว ดังนี้ จึงเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเที่ยวไปนาน ซึ่งความเที่ยวไปไม่แน่นอน

    เพื่อเห็นรูป จากอารามนี้ไปยังอารามโน้น จากสวนนี้ไปยังสวนโน้น จากบ้านนี้ไปยังบ้านโน้นจากนิคมนี้ไปยังนิคมโน้น จากนครนี้ไปยังนครโน้น จากแคว้นนี้ไปยังแคว้นโน้น จากชนบทนี้ไปยังชนบทโน้น ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน เดินไปตามถนนไม่สำรวมเดินไป เดินแลดูกองพลช้าง แลดูกองพลม้า แลดูกองพลรถ แลดูกองพลเดินเท้า
    แลดูพวกสตรี แลดูพวกบุรุษ แลดูพวกกุมาร แลดูพวกกุมารี แลดูร้านตลาด แลดูหน้ามุขเรือนแลดูข้างบน แลดูข้างล่าง แลดูทิศน้อยทิศใหญ่ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่งภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ถือนิมิต ถืออนุพยัญชนะ ย่อมไม่ปฏิบัติ เพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ย่อมไม่
    รักษาจักขุนทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.
    อนึ่ง เหมือนอย่างว่า ท่านสมณพราหมณ์จำพวกหนึ่ง ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับ การประโคม มหรสพมีการรำเป็นต้น

    การเล่นนิยาย เพลงปรบมือ ฆ้อง ระนาด หนัง เพลง ขอทาน ไต่ราว การเล่นหน้าศพ ชนช้างแข่งม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ ชนนกกระทา รำกระบี่กระบอง ชกมวยมวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพ กองทัพ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.

    ภิกษุเป็นผู้ไม่ทอดจักษุอย่างไร? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้โลเลเพราะจักษุ ไม่ประกอบด้วยความเป็นผู้โลเลเพราะจักษุ ไม่คิดว่า เราพึงเห็นรูปที่ยังไม่ได้เห็น พึงผ่านเลยรูปที่ได้เห็นแล้วดังนี้ เป็นผู้ไม่ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเที่ยวไปนาน ซึ่งความเที่ยวไปไม่แน่นอน

    เพื่อเห็นรูป จากอารามนี้ไปยังอารามโน้น ... จากชนบทนี้ไปยังชนบทโน้น ภิกษุไม่เป็นผู้ทอดจักษุ
    ไปแม้อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน เดินไปตามทาง ย่อมสำรวมเดินไปไม่เดินแลดูกองพลช้าง ฯลฯ ไม่แลดูทิศน้อยทิศใหญ่ ภิกษุเป็นผู้ไม่ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ ฯลฯ ย่อมถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุไม่เป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้. อนึ่ง เหมือนอย่างว่า ท่านสมณพราหมณ์จำพวกหนึ่ง ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ฯลฯ กองทัพ ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ ภิกษุไม่เป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น
    จึงชื่อว่า ภิกษุพึงเป็นผู้สำรวม

    ว่าด้วยจิตที่เป็นกาลของสมถะและวิปัสสนา

    [๙๘๗] คำว่า มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ในคำว่า เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น พึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้ ความว่า เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีจิตไม่ฟุ้งซ่านมีใจไม่กวัดแกว่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น. คำว่า ภิกษุนั้นพึงกำจัดความมืด ความว่า พึงขจัด กำจัด ละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความมืดคือราคะ ความมืดคือโทสะ ความมืดคือโมหะ ความมืดคือมานะ ความมืดคือทิฏฐิ ความมืดคือกิเลส
    ความมืดคือทุจริต อันทำให้บอด ทำให้ไม่มีจักษุ ทำให้ไม่มีญาณ ดับปัญญา เป็นฝักฝ่ายความลำบากไม่ให้เป็นไปเพื่อนิพพาน. คำว่า ภควา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ.

    อีกอย่างหนึ่ง. ชื่อว่าภควา เพราะอรรถว่า ผู้ทำลายราคะ ทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายมานะ ทำลายทิฏฐิ ทำลายเสี้ยนหนาม ทำลายกิเลส. เพราะอรรถว่า ทรงจำแนก ทรงแจกแจง ทรงจำแนกเฉพาะซึ่งธรรมรัตนะ. เพราะอรรถว่า ทรงทำที่สุดแห่งภพทั้งหลาย. เพราะอรรถว่า มีพระกายอันทรงอบรมแล้ว มีศีลอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว มีปัญญาอันอบรมแล้ว.

    อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะและป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออกเร้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันมีอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อรูป
    สมาบัติ ๔ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ ๘
    อภิภายตนะ ๘ อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งสัญญาภาวนา ๑๐ กสิณสมาบัติ ๑๐ อานาปาณสติสมาธิ อสุภสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งตถาคตพลญาณ ๑๐ เวสารัชญาณ ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ พุทธธรรม ๖ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา
    พระบิดา พระภาดา พระภคินี มิตร อำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา

    มิได้เฉลิมให้ พระนามว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม (พระนามมีในอรหัตผลให้ลำดับแห่งอรหัตมรรค) เป็นสัจฉิกาบัญญัติ พร้อมด้วยการทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงโพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้นพึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

    ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษแล้ว พึงกำจัดฉันทะในธรรมเหล่านั้น
    ภิกษุนั้น เมื่อกำหนดพิจารณาธรรมโดยชอบตามกาล เป็นผู้มีจิตเป็น
    ธรรมเอกผุดขึ้น พึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้
    ฉะนี้แล.
    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
     
  18. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    ขอร่วมด้วยคนนะค่ะ ชอบเวปนี้มากค่ะ มีประโยชน์มากๆ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โอ้โห มาเยี่ยมมากครับ

    .
     
  20. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    **-**


    เห็นด้วยอย่างยิ่ง;aa36
     

แชร์หน้านี้

Loading...