พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปัญญา

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    http://th.wikipedia.org/wiki/ปัญญา

    ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว คือรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ, รู้สิ่งที่ควรทำควรเว้น เป็นต้น เป็นธรรมที่คอยกำกับศรัทธา เพื่อให้เชื่อประกอบด้วยเหตุผล ไม่ให้หลงเชื่ออย่างงมงาย

    ปัญญา ทำให้เกิดได้ 3 วิธี คือ
    1. โดยการสดับตรับฟัง การศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา)
    2. โดยการคิดค้น การตรึกตรอง (จินตามยปัญญา)
    3. โดยการอบรมจิต การเจริญภาวนา (ภาวนามยปัญญา)
    ปัญญา ที่เป็นระดับ อธิปัญญา คือปัญญาอย่างสูง จัดเป็นสิกขาข้อหนึ่งใน สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา คือ อธิศีล อธิสมาธิ อธิปัญญา

    อ้างอิง

    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 20/1000000Post-expand include size: 3968/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:43573-0!1!0!!th!2 and timestamp 20081106124242 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/ปัญญา".
    หมวดหมู่: พุทธศาสนา | อภิธานศัพท์พุทธศาสนา
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สติ

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    http://th.wikipedia.org/wiki/สติ

    สติ แปลว่า ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ไม่เผลอไผล ฉุกคิดขึ้นได้ ระงับยับยั้งใจได้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท
    สติ เป็นธรรมมีอุปการะมาก คือทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้น เป็นเหตุให้ฉุกคิด ยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม และกระตุ้นให้นึกถึงชีวิตจนทำให้เสียสละทำความดีงามต่างๆ ได้ แต่หากขาดสติแล้วจะเป็นเหตุให้ทำอะไรผิดพลาดพลั้งเผลอและเสียหายร่ำไป
    สติ เป็นคุณธรรมที่เกิดเองไม่ได้ ต้องทำให้เกิดขึ้นด้วยการฝึกฝนรวบรวมจิตใจให้นิ่งแน่วด้วยวิธีต่างๆ เช่น ทำสมาธิ สวดมนต์ ภาวนา



    [แก้] อ้างอิง

    พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548

    [แก้] สติ

    สติ(ความระลึกได้) เป็นอนัตตาดั่งเช่นธรรมทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้น สติจึงทำให้เกิดขึ้นไม่ได้และไม่สามารถกำหนดให้เกิดได้ แต่สติจะเกิดได้ต้องมีเหตุ และเหตุที่ทำให้สติเกิดคือ จิตจำสภาวะธรรมได้แม่นยำ (อ้างจาก คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ)จิตจะจำสภาวะธรรมได้แม่นยำ ก็เมื่อเราหมั่นตามรู้กายตามรู้ใจเนืองๆ ด้วยความเป็นกลาง กล่าวคือ เมื่อสภาวะใดๆเกิดขึ้นที่จิต เช่น ความโกรธ ความชอบ ความรัก ความหลงไปคิด ความกลัว ความอิจฉา ไม่ว่าสภาวะธรรมใดๆทั้งฝ่ายกุศล(ดี) และฝ่ายอกุศล(ชั่ว) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ให้หมั่นตามรู้เนืองๆด้วยใจที่เป็นกลาง การหมั่นตามรู้เนืองๆนี้เอง จะทำให้จิตจำสภาวะธรรมได้แม่นยำ(เรียกเป็นบาลีว่า ถิรสัญญา) แล้วเป็นเหตุให้สติเกิด คือเมื่อสภาวะธรรมนั้นๆเกิดขึ้น และจิตจำสภาวะธรรมนั้นได้ สติ(ความระลึกได้)จะเกิดเอง
    การหมั่นตามรู้เนืองๆ เป็นจุดสำคัญและถือเป็นการเจริญภาวนาที่เรียบง่ายและสัดสั้นที่สุด มนุษย์เราทั่วทั้งโลกเคยชินกับการหาความรู้ด้วยการฟัง การอ่าน (สุตมยปัญญา) หรือ การคิดวิเคราะห์เอา (จินตามยปัญญา)แต่การหาความรู้ในทางพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดคือ การคอยตามรู้ตามความเป็นจริงถึงสภาวะใดๆที่เกิดขึ้นกับกายกับใจด้วยความเป็นกลาง เมื่อตามรู้บ่อยๆด้วยใจที่เป็นกลาง เช่น เมื่อเกิดความโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ เกิดความอยาก ก็รู้ว่าอยาก เกิดหลงไปคิดก็รู้ว่าหลงไปคิด เกิดความสุขก็รู้ว่าเกิดความสุข เกิดความทุกข์ก็รู้ว่าเกิดความทุกข์ เช่นนี้ เมื่อตามรู้ซ้ำๆบ่อยๆจนจิตจำสภาวะธรรมได้แม่นยำ จะทำให้สติเกิดขึ้นกับจิต เมื่อสติเกิดบ่อยๆ ก็ทำให้จิตมีความสุข เมื่อเกิดความสุขบ่อยๆ ก็จะทำให้จิตตั้งมั่นเกิดสัมมาสมาธิ เมื่อเกิดสัมมาสมาธิบ่อยๆ ก็เป็นเหตุให้เกิดปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ ว่า มันไม่เที่ยง(อนิจจัง) มันไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอด(ทุกขัง)และมันไม่มีตัวตนของใครบังคับมันไม่ได้(อนัตตา)การได้เห็นความจริงเช่นนี้ก็คือการหาความรู้ด้วยการตามรู้บ่อย หรือที่เรียกเป็นบาลีว่า ภาวนามยปัญญา
    การเห็นความจริงของกายของใจว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาบ่อยๆจนจิตตัดสินความรู้เองครั้งแรก ก็จะทำให้สักกายทิฏฐิคือความเห็นว่ามีตัวมีตนอยู่ถูกทำลาย ทำให้ผู้นั้นบรรลุโสดาปัตติมรรคเป็นพระโสดาบัน นี่เป็นปัญญาขั้นที่ทำลายความเห็นผิดว่ากายใจเป็นของตน หมั่นตามรู้กายใจต่อไปเรื่อยๆจนจิตตัดสินความรู้ครั้งที่สอง ก็จะทำให้กิเลส (กามราคะ และ โทสะ)เบาบางลง ทำให้ผู้นั้นบรรลุสกิทาคามิมรรคเป็นพระสกิทาคามี จากนั้นหมั่นตามรู้กายใจต่อไปเรื่อยๆจนจิตตัดสินความรู้ครั้งที่สาม ก็จะสามารถละ กามราคะและโทสะได้สมบูรณ์ ทำให้ผู้นั้นบรรลุอนาคามิมรรคเป็นพระอนาคามี และเมื่อตามรู้กายตามรู้ใจเนืองๆต่อไปอีกจนจิตตัดสินความรู้ครั้งที่สี่ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย จิตจะทำลาย ความฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ) ความถือตัว(มานะ) ความเพลิดเพลินพอใจในรูป (รูปราคะ) ความเพลิดเพลินพอใจในอรูป(อรูปราคะ)และอวิชชา (ความไม่รู้ความจริงทั้งสี่-อริจสัจจ์สี่)ได้อย่างราบคาบ เป็นการจบกิจที่ต้องกระทำอย่างสมบูรณ์ในพุทธศาสนา ผู้นั้นเรียกขานกันว่า พระอรหันต์ จิตจะพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง
    สติจึงถือเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก
    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 53/1000000Post-expand include size: 6019/2048000 bytesTemplate argument size: 557/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:48814-0!1!0!!th!2 and timestamp 20081113051655 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/สติ".
    หมวดหมู่: บทความที่รอการตรวจสอบรูปแบบ | หลักธรรมในพุทธศาสนา | อภิธานศัพท์พุทธศาสนา
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาเล่าเรื่องความเชื่อให้อ่านกัน

    สมัยเมื่อสัก 14-15 ปีที่ผ่านมา สมัยก่อนผมกินเหล้า มีอยู่วันนึง ไปกินเหล้าบ้านเพื่อน กินกันอยู่สัก 3-4 คน คุยกันไปคุยกันมา ก็ไปคุยกันเรื่องผี ว่า ผีมีจริงหรือไม่ ผมบอกว่าผีมีจริง อีกคนบอกว่า ผีไม่มีจริง พูดไปพูดมา ก็เริ่มเถียงกัน สุดท้ายมีการท้ากัน ผมบอกว่า ถ้าเก่งจริงก็ไปเจอกันที่วัด ผมจะไปซื้อของมา ผมเองก็ไปซื้อของ เมื่อซื้อของมาแล้ว ก็ไปที่วัด

    พอถึงวัด ปรากฎว่า มีลมพัด ลมค่อนข้างแรง ทั้งๆที่ปกติจะไม่มีลมในลักษณะนี้ เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ในเมือง มีตึกสูงล้อมรอบอยู่

    พอไปถึงวัด ผมเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อย แล้วให้คนที่บอกว่า ผีไม่มีจริงทดลอง มาถึงตอนนี้ คนที่บอกว่า ผีไม่มีจริง ถอดใจไว้ที่บ้าน ไม่กล้า บอกผมว่า ให้ผมทดลองเอง เขาจะดู ผมบอกว่า คนที่จะดู ต้องทดลองเอง แต่ไม่รับรองว่า ชีวิตในอนาคตจะเป็นอย่างไร และการทดลองต้องถอดพระออกจากคอ

    เป็นเรื่องปกติ คนแบบนี้มีมาก ส่วนใหญ่เก่งแต่พูด เก่งแต่ปาก แต่ให้ลองด้วยตัวเอง ไม่มีใครกล้า

    นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปัจจุบันผมเลิกกินเหล้ามานานแล้วนะครับ

    อย่าไปกินเลยครับ ไม่ดีแน่นอน

    ยาเสพติดและการพนันทุกๆอย่าง อย่าไปริลองเลยครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 48 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 46 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, suwat.su</TD></TR></TBODY></TABLE>

    โอ้โห มากันเยอะเลยครับ

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 54 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 51 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, suwat.su, tea-tea </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  7. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    วันที่ 151.สวดมนต์ไหว้พระ2.ภาวนาทำสมาธิ3.รักษาศีลสมาทานศีล4.รับงับความโกรธกับความโลภอันเป็นกิเลส5.ช่วยแม่จัดของที่จะขายของ6.ยินดีในบุญของผู้อื่น7.ศึกษาธรรมะต่างๆ9.เพียรที่ปิดกั้นระวังความชั่วต่างๆมิให้เกิด8.ร่วมทำบุญสร้างสถานปฏิบัติธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ10.เพียรที่กำจัดบาปและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว11.เพียรที่จะสร้างความดี12.เพียรรักษาความดี รักษาความดีอย่างตั้งมั่น13.แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายวันที่ 161.สวดมนต์ไหว้2..ภาวนาทำสมาธิ3.รักษาศีลสมาทานศีล4.รับงับความโกรธกับความโลภอันเป็นกิเลส5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง6.ยินดีในบุญของผู้อื่น8.ทำบุญอธิฐานใส่บาตรกับแม่7.ศึกษาธรรมะต่างๆ9.เพียรที่ปิดกั้นระวังความชั่วต่างๆมิให้เกิด10.เพียรที่กำจัดบาปและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว11.เพียรที่จะสร้างความดี12.เพียรรักษาความดี รักษาความดีอย่างตั้งมั่น13.แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย14.เสียสละที่นั่งให้เด็กบนรถเมล์15.มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่สัญญากับเพื่อน16.ทดแทนพระคุณพ่อแม่โดยการตั้งใจเรียนอ่านหนังสือ17.ช่วยแม่ขายของ
     
  8. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ง่า....มาแล้วครับ จะมารีดผ้า แต่ขอทำเรื่องติดค้างก่อน

    ภาพนี้หรือครับดูปั๊บ ผมก็นึกถึงแดนนิพพาน ที่เป็นแสงดาวพร่างพราวกระพริบอยู่นั่น เปรียบดั่งแดนนิพพานที่สัตว์โลกจักข้ามไปถึง แต่เดี๋ยวก่อน สะพานมันขาดหายไปไหนล่ะ เดินๆไปก็หล่นตุ้บลงน้ำหลงว่ายวนอยู่ในห้วงมหานทีเช่นนี้ก็คงไม่ถึงฝั่งฝัน หรือไม่อาจมองเห็นเลยก็เป็นได้ สะพานที่ทอดยาวไปให้เราเดินถึงแดนนิพพานแท้จริงก็ยังมีอยู่หากตาดีมีจิตที่แจ่มใสก็จักมองเห็นได้ แต่ที่ขาดหายไปก็เพราะอวิชชา ความไม่รู้ที่ทำให้เราหลงเวียนว่ายอยู่ในห้วงตัณหาราคะโมหะแลโกรธะ ห้วงน้ำแห่งกิเลสที่ทำให้เราเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ห้วงวัฎฎสงสาร แต่หากเราทำลายอวิชชานี้ได้เราก็จะเห็นสะพานที่ทอดยาวไปนิพพาน เมื่อตาเห็นก็เกิดรูปสวย ใจรับก็พอใจ สัมผัสพาเคลิ้มไหว ระเริงชล ไม่จบสิ้น เวียนว่ายตายเกิดภพแล้ว ภพเล่า สุขบ้างทุกข์บ้าง แต่แท้จริงสุขก็คือทุกข์ เพราะมันอนิจจังไม่เที่ยงแท้ หากรู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ว่าอยาตนะคือบ่อเกิด ดับสิ้นซึ่งอวิชชา ก็จะเห็นสะพานที่ทอดยาวให้ข้ามไป

    เอาสมุทรสูตรก็แล้วกันนะ ค้นมากๆเวียนหัว ลุงแก่แล้วเดี๋ยวจะหลับก่อนรีดผ้า

    พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์<TABLE id=AutoNumber11 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width="100%">
    <CENTER><TABLE id=AutoNumber12 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#fff8d9 cellSpacing=3 cellPadding=10 width=750 bgColor=#fff8d9 border=1><TBODY><TR><TD width="100%">

    378 มหาสมุทรในพุทธศาสนา​

    ปัญหา คำว่า ​
     
  9. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    งานนี้คิดหนักครับ เพราะผมมองแล้ว ไม่แน่ใจว่าคิดถูกต้องตามเกณฑ์ไหม และไม่แน่ใจว่าจะแปลกประหลาดไปหรือเปล่า
    ขอกลับไปตั้งสติ แล้วมามองอีกครั้ง หากยังเป็นแบบเดิมก็จะขอร่วมกิจกรรมแบบที่คิดไว้นี่แหละครับ

    ปล. ครั้งนี้ผมอ่านกติกาโดยละเอียด และ มองภาพโดยละเอียดแล้วครับ
     
  10. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ให้กำลังใจน้องชินนะครับ อันนี้ผมอ่านแล้วชอบเลยครับ แต่ตามหลักการควรหาธรรมะมาแนบหรืออ้างอิงจะดีมากครับ...
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เหล้าผมก็ยังมีทานบ้างครับ ส่วนมากเดี๋ยวนี้เอาไว้แก้ปวดท้องหรือท้องเสียครับ หลังจาก ยาฝรั่งแล้วไม่ดีขึ้นครับ หุ หุ แต่น้องๆอย่าตามนะครับ เปลืองเงินไม่ดีด้วยครับ หุ หุ
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมก้เห็นต่างนะครับ พี่เอกเพียงแต่ขอเรียบเรียงเทียบกับธรรมะหน่อยครับ หุ หุ
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ๑๗ พฤศจิกายน ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้มีพระราชพิธีถวายบังคมและสัการะพระบรมรูปทรงม้า เป็นปีแรก

    <TABLE cellSpacing=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=black></TD></TR><TR><TD class=th_b>ที่มา "การศึกษาวันนี้"</TD></TR><TR><TD class=th_b> ผู้เขียน : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ </TD></TR><TR><TD class=th_b> </TD></TR><TR><TD class=th_normal>:: ๑๐๐ ปี พระบรมรูปทรงม้า


    <TABLE cellSpacing=0 width=201 align=right border=0><TBODY><TR><TD> </TD><TD>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=170 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: 1px solid; BORDER-TOP: 1px solid; BORDER-LEFT: 1px solid; BORDER-BOTTOM: 1px solid" borderColor=#d9e906 align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD><TD> </TD></TR><TR><TD> </TD><TD>
    </TD></TR></TBODY></TABLE> ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 ตรงกับวันที่มีพระราชพิธีสมโภชเมื่อวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 หรือเมื่อ 100 ปีล่วงมาแล้ว
    การสร้าง ?พระบรมรูปทรงม้า? กล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หนึ่งที่มีความสำคัญ ประการแรก ?พระบรมรูปทรงม้า? เป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ได้สร้างขึ้นในขณะที่พระองค์ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ และยังได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานเปิดด้วยพระองค์เอง อันเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะโดยปรกติแล้ว อนุสาวรีย์ของบุคคลใดมักจะสร้างภายหลังจากที่บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว
    ประการที่สอง มูลเหตุของการสร้างพระบรมรูปทรงม้า เนื่องมาจาก ?พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก? อันเป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นเนื่องในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในราชวงศ์จักรีที่ผ่านมา
    ประการที่สาม เงินที่สร้างพระบรมรูปทรงม้าครั้งนั้นเป็นเงินที่เหล่าอาณาประชาราษฎร์ ไม่ว่าจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนทุกชาติทุกภาษาทั่วประเทศ ได้ร่วมบริจาคเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และความพร้อมใจที่ร่วมเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 5 ซึ่งได้เงินถึง 1 ล้าน 2 แสนบาท เกินราคาค่าสร้างพระบรมรูปไปถึง 5 เท่า
    ในตอนขอรับบริจาคนั้น มีข่าวแจ้งต่อมาว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 และกำลังเสด็จพระราชดำเนินชมพระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส ทรงโปรดพระรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้าหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ตั้งไว้ลานหน้าพระราชวัง จึงทรงปรารภว่าถ้ามีพระบรมรูปของพระองค์ทรงม้าตั้งไว้ในสนามที่ถนนราชดำเนินต่อกับบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม ก็จะสง่างามดี เหมือนที่เขามีกันตามประเทศต่าง ๆ ในยุโรป จึงได้มีการนำพระราชปรารภดังกล่าวเข้าที่ประชุมจัดงาน และมีมติให้สร้างพระบรมรูปทรงม้าขึ้น
    เงินที่เหลือจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้านี้ ต่อมายังได้นำไปขยายโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนชื่อเป็น ?จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย? อันเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 6 อีกด้วย
    ในการสร้าง ?พระบรมรูปทรงม้า? ได้ว่าจ้างบริษัท ซูซ เชอร์เฟรส ฟองเดอร์ (SUSSF Fres FONDEURS) ของประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้หล่อ ซึ่งขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงเสด็จประพาสยุโรปอยู่ที่กรุงปารีสพอดี จึงได้เสด็จไปทำการตกลงและเลือกชนิดโลหะด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังทรงเสด็จไปประทับเป็นแบบให้นายช่างปั้นหุ่น เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.2450
    ลักษณะของพระบรมรูป หล่อด้วยโลหะทองบรอนซ์ ส่วนพระองค์ใหญ่กว่าขนาดจริงเล็กน้อย ทรงชุดฉลองพระองค์เครื่องยศจอมพลทหารบก และประทับอยู่บนหลังม้าพระที่นั่งขนาดใหญ่กว่าขนาดจริงเช่นเดียวกัน
    ม้าพระที่นั่งมิใช่ปั้นจากแบบม้าพระที่นั่งจริง แต่เป็นม้าที่บริษัทได้ปั้นเป็นแบบเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตัวม้าพระที่นั่งยืนอยู่บนแผ่นโลหะทองบรอนซ์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดหนาประมาณ 25 ซม. และอยู่บนแท่นหินอ่อนสี่เหลี่ยมสูงราว 6 เมตร กว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 5 เมตรครึ่ง ห่างจากฐานออกมาจะมีเสาล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมอยู่ 10 ต้น และจะมีห่วงโซ่ขนาดใหญ่ขึงล้อมรอบ กว้าง 9 เมตร ยาว 11 เมตร แต่ละช่วงเสาจะมีโซ่ชนิดกลม 23 ห่วง และชนิดกลมรี 24 ห่วงเท่ากัน
    ทางฐานด้านขวาจะมีอักษรภาษาฝรั่งเศสจารึกชื่อนายช่างปั้นแบบ คือนายซี แมสสัน (C.MASSON SEULP 1908) และนายช่างหล่อคือ นายยี ปอพก์ (G.PAUPG Statuare) ไว้ ส่วนด้านขวาจะเป็นชื่อบริษัทที่ทำการหล่อพระบรมรูปคือ บริษัท ซูซ เชอร์เฟรส ฟองเดอร์ (SUSSF Fres FONDEURS.PARIS) และแท่นหินอ่อนด้านหน้าจะมีแผ่นโลหะจารึกอักษรภาษาไทย มีข้อความเฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวติดอยู่ มีใจความสำคัญกล่าวถึงพระเกียรติคุณที่ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า และใช้พระปรีชาสามารถนำประโยชน์สุขมาสู่อาณาประชาราษฎร์ โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก พระกรุณาปราณีที่มีต่อราษฎรเปรียบประดุจเป็นบุรพาการีของเหล่าพสกนิกร พระองค์จึงเป็น ?ปิยมหาราช ที่รักของประชาชนทั่วไป?
    พระราชพิธีสมโภชพระบรมรูปทรงม้า ได้จัดขึ้นในวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 ในครั้งนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมกุฎราชกุมาร (รัชกาลที่ 6)ได้กราบบังคมพระกรุณาถวายพระบรมรูป ตอนหนึ่งความว่า ?อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีความประสงค์จะใคร่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้เป็นพยาน ให้มหาชนในอนาคตกาลทราบความรู้สึกแห่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในบัดนี้จึงได้ช่วยกันขวนขวายตามกำลังสามารถสถาปนาพระบรมรูปของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทขึ้นไว้ หวังให้เป็นอนุสาวรีย์แห่งความจงรักภักดีของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันมีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปรากฏอยู่ชั่วกาลปาวสาน...?
    ด้วยเหตุนี้ พระบรมรูปทรงม้าจึงเป็นดั่งประจักษ์พยานแห่งความรักและความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพระพุทธเจ้าหลวงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.2453 พสกนิกรใคร่จะให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป จึงได้ทูลเกล้าฯขอพระบรมราชานุญาตต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
    พระองค์ก็ทรงเห็นชอบ และโปรดเกล้าฯ ให้มีวันถวายบังคมพระบรมรูปครั้งแรกในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2454 ต่อมาในปี พ.ศ.2455 ได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 23 ตุลาคม อันเป็นวันคล้ายวันสวรรคตแทน
    ในปัจจุบัน นอกจากวันที่ 23 ตุลาคม อันเป็นวันถวายบังคมพระบรมรูปอย่างเป็นทางการแล้ว ในวันอื่น ๆ เรามักจะเห็นประชาชนพากันไปถวายสักการะที่พระบรมรูปทรงม้าอยู่มิได้ขาด โดยเฉพาะในคืนวันอังคาร ที่ถือว่าเป็นวันพระราชสมภพของพระองค์ ประมาณ 4 ทุ่ม จะเห็นคนจำนวนไม่น้อยไปตั้งโต๊ะวางเครื่องสักการะบูชา ซึ่งถือเป็นการจัดเครื่องบูชาอย่าง ?เทพ? ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเชื่อมั่นว่าพระองค์เปรียบเสมือนดั่งเทพยดาที่มาปกปักษ์รักษาประเทศชาติ และราษฎรให้อยู่รอดปลอดภัย
    ดอกไม้ที่นิยมนำไปบูชาคือ ดอกกุหลาบสีชมพู เชื่อกันว่าเป็นดอกไม้ที่ทรงโปรดและเป็นสีวันพระราชสมภพ อีกทั้งยังมีหนามแหลมคม อันหมายถึง อำนาจ หากนำมาบูชาก็จะทำให้ผู้บูชามีอำนาจไปด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://edutoday.elearneasy.com/shows_news.php?news_id=4818
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมมีรางวัลให้ 2 รางวัลก็คือ
    รางวัลที่ 1 พระพิมพ์หลวงปู่ บุเงิน 1 องค์ ,บุนาค 1 องค์
    รางวัลที่ 2 ลูกสะกด (ลงรัก) 2 ลูก

    การให้คะแนน
    ผมจะแบ่งคะแนน ออกเป็น 2 ส่วน แต่คะแนนท่านที่จะได้รับพระพิมพ์หรือวัตถุมงคลทั้ง 2 รางวัล ต้องมีคะแนนของทั้งสองส่วน คือ
    1.ผมตัดสิน 50 %
    2.ผมขอให้สมาชิกชาววังหน้า และสมาชิกชมรมพระวังหน้า โหวตโพสของท่านที่เข้าร่วมกิจกรรม อีก 50 %
    (โดยให้โหวตเพียง 2 ท่าน หากโหวตท่านใดเป็นอันดับ 1 ให้ลงเป็นชื่อแรก และหากโหวตท่านใดเป็นอันดับ 2 ให้ลงเป็นชื่อที่ 2 เช่น
    1.คุณเพชร (อันดับ 1)
    2.คุณnongnooo (อันดับ 2)
    แต่สำหรับการโหวตครั้งนี้ ผมไม่มีพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลมอบให้นะครับ)
    การตัดสิน สามารถตัดสินว่า ไม่มีใครสมควรได้ ก็ได้นะครับ


    ผมให้เริ่มการอธิบายความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว พร้อมทั้งอธิบายธรรมะที่เกี่ยวข้องกับความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว นี้ตั้งแต่วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2551) เวลาประมาณ 17.00 น.

    สิ้นสุดการอธิบายความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว พร้อมทั้งอธิบายธรรมะที่เกี่ยวข้องกับความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา 18.00 น.

    หลังจาก(วันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา 18.00 น.)นั้น ผมขอให้สมาชิกชาววังหน้า และสมาชิกชมรมพระวังหน้า โหวตโพสของท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 2 ท่าน สิ้นสุดการโหวต วันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา 18.00 น.

    ก็เป็นข้อความเงื่อนไขของกิจกรรมต่างๆที่คุณหนุ่มพยายามนำพระวังหน้ามามอบให้เพื่อนคณะพระวังหน้า บอกใบ้ให้นิดนะครับว่า ทุกกิจกรรมมีผลต่อการตัดสินใจมอบพระสมเด็จอัศจรรย์โกลาฤกษ์ในโครงการธนาคารความดี ดังนั้นหากเห็นคุณค่าในรางวัลที่จะได้รับมอบนี้ คงต้องออกแรงกันหน่อยครับ ไม่ต้องเสียเงินซักบาท
     
  16. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541

    ใจจริงก็อยากจะร่วมด้วยนะค่ะ แต่มองแล้วไม่คิดอะไรเลยคะ มันว่างไปหมดเลย แอบมีมึนเล็กน้อยตอนมองน้ำ(เป็นโรคเมาเรือค่ะ)อะค่ะ (พร้อมกับแอบสงสัยว่า ไปนั่งกันแบบนั้นจะโดนยุงกัด หรือ มด มารังควาญบ้างรึเปล่าเนี่ย) สงสัยช่วงนี้บาปจะหนา ทำแต่บุญออนไลน์เป็นส่วนมาก ดังนั้น ตอนนี้ก็คงเป็นได้แค่กำลังใจให้ทุกคนค่ะ

    ปล. คุณเพชรตื่นเช้ามากๆเลยนะคะเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กิจกรรมที่ผมจัดขึ้นในครั้งที่แล้ว และครั้งนี้ และอาจจะมีครั้งต่อไป มีผลต่อการมอบพระสมเด็จ(อัศจรรย์โกลาฤกษ์) เป็นอย่างยิ่ง

    ผมเองเหลืออยู่ไม่มากแล้ว และคงต้องเก็บไว้ให้กับลูกหลานผมเอง

    มองอย่างไร มองแบบไหน สามารถมองได้ทุกมุม และนำมาเขียนได้ การเขียนนั้น ผมแนะอย่างนี้ เขียนอย่างไรให้ผู้ที่อ่าน(ให้เราคิดเสมอว่าผู้อ่านไม่รู้เรื่อง) เขียนให้ผู้อ่านรู้เรื่องและเข้าใจ
    ผมนึกถึงตอนเด็กๆ ทำไมเราจึงไม่สนใจวิชาเรียงความเลย ทำไมเราไม่สนใจวิชาประวัติศาสตร์เลย สิ่งต่างๆเหล่านี้ มันกลับมีผลต่อตัวเราในปัจจุบันจริงๆ วิชาเรียงความ เป็นการเขียน การอธิบายให้กับคน(ที่ไม่รู้เรื่อง) อ่านหรือฟังแล้วรู้เรื่องและเข้าใจ วิชาประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่กลับมาแสดงให้เห็นว่า วงจรบางเรื่องในอดีต ได้ย้อนกลับมาสู่ปัจจุบัน

    เอาใจช่วยทุกๆท่านครับ
     
  19. หม่อง

    หม่อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    363
    ค่าพลัง:
    +943
    มองภาพแล้วผมได้แต่คิดว่าพื้นน้ำที่มองเห็นกระเพื่อมอยู่เปรียบเสมือนภาวะจิตของคนเราที่ถูกกระทบด้วยรูปธรรมนามธรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ทำให้หลงวนอยู่ในห้วงอารมณ์ กิเลส ตัณหา ทำให้จิตหลงระเริง เปรียบเหมือนสิ่งที่มาตกกระทบพื้นน้ำไม่ว่าจะเป็นแรงลม หรือวัตถุใดก็ทำให้พื้นน้ำกระเพื่อม ไม่สามารถมองเห็นเงาสะท้อนของแสงดาวที่ตกกระทบบนพื้นน้ำได้อย่างชัดเจนแจ่มใส ซึ่งแสงดาวก็เปรียบเสมือนคำสอนของพระพุทธองค์ ตราบใดที่ผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังคงอยู่ในห้วงอารมณ์ กิเลส ตัณหา ไม่พัฒนาภาวะจิตของตนเองให้ดีก่อน แม้แต่แสงสว่างแห่งธรรมของพระองค์ที่ทรงประทานนำทางชีวิตแก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในโลกทุกผู้ทุกคนก็ไม่สามารถเห็นเส้นทางแห่งธรรมได้ชัดเจน
    ...............ส่วนธรรมะที่เกี่ยวข้อง ผมความรู้เรื่องธรรมน้อยจริงๆไม่ทราบครับ ....แค่เห็นรูปแล้วก็รู้สึกตามที่บอกครับ ยังเข้าไม่ถึงธรรมแห่งพระองค์จริงๆ ได้แต่ว่าสักวันคงบังเกิดแสงสว่างแห่งปัญญานำทางสู่ธรรมได้อย่างแจ่มแจ้ง ....

    ขออนุโมทนาครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...