พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ่า...อนาคตชาววังหน้าเรา เยี่ยมจริงๆครับ (deejai)
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวัง โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้กำเริบ ในหน้าหนาว

    http://hilight.kapook.com/view/30946

    [​IMG]

    นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนังและภูมิแพ้ผิวหนัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนว่า ช่วงเปลี่ยนฤดูสู่หน้าหนาวนั้น พบโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้กำเริบได้บ่อย โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังไม่ใช่โรคติดต่อ ที่มักเริ่มพบในวัยเด็ก ร้อยละ 70 พบประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นประวัติว่าพ่อแม่เป็นหืดหอบ ลมพิษ หรือน้ำมูกไหลเพราะแพ้อากาศ แบ่งลักษณะเป็น 3 ช่วงอายุ คือ ช่วงวัยทารก มักพบเป็นผื่นที่แก้มหรือบริเวณอื่นของใบหน้า หรือตามด้านนอกของแขนขา ลำตัว ช่วงวัยเด็ก ผื่นมักเป็นตามข้อพับแขนขา ผื่นจะแดงหนา อาจคันรุนแรงมาก ช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ มักคันมาก และอาการคันมักกำเริบตอนกลางคืน ผื่นมักเป็นตามข้อพับแขนขา ใบหน้า หัวไหล่

    นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร เปิดเผยต่อว่า ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ไม่ควรใช้สบู่มาก ไม่ควรนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ ไม่ควรอาบน้ำร้อนจัด การเช็ดตัวให้ใช้วิธีซับไม่ควรเช็ดหรือถูแรงๆ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าขนสัตว์ที่หนา ควรใส่เสื้อผ้าฝ้ายทอโปร่งๆ ให้พยายามระงับสติอารมณ์ไว้ อย่าเครียด อย่าเกาบริเวณที่คัน ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีขน ขณะนี้กำลังมีข่าวว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาคือโอบามา กำลังหาสุนัขประจำทำเนียบ แต่ต้องเป็นพันธุ์ที่ไม่กระตุ้นโรคภูมิแพ้ เพราะลูกสาววัยสิบขวบเป็นโรคภูมิแพ้

    เรื่องนี้สมาคมแพทย์โรคภูมิแพ้อเมริกัน (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology) แสดงความเห็นว่า ไม่มีสุนัขพันธุ์ใดที่ไม่กระตุ้นโรคภูมิแพ้ ความเข้าใจที่ว่าโรคภูมิแพ้เกิดจากขนสุนัขนั้นผิด ที่จริงสารก่อภูมิแพ้ในสุนัขนั้นคือโปรตีนที่อยู่ในเศษขี้ไคล น้ำลายและฉี่ ซึ่งสุนัขทุกตัวมีโปรตีนเหล่านี้ ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัขจริงๆ อาจต้องปรึกษาแพทย์ และไม่ควรให้สุนัขเข้าห้องนอน ควรอาบน้ำให้สุนัขทุกสัปดาห์ ไม่ควรใช้พรมปูพื้นเพราะทำความสะอาดยาก

    นพ.ประวิตร กล่าวว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้และผู้ปกครองเด็กต้องพยายามเข้าใจว่า แม้ว่าโรคนี้จะก่อให้เกิดความน่ารำคาญเพียงใดก็ตาม โรคนี้ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต จึงควรยอมรับสภาพความเป็นจริงที่จะมีชีวิตอยู่กับโรคนี้ให้ได้



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชนออนไลน์
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
     
  3. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    วันนี้ดีใจหลายๆเรื่องอิ่มในบุญที่ได้ทำหลายๆอย่าง ถึงแม้จะไม่มีโอกาสไปร่วมถวายงานพระราชพิธีฯ แต่ก็ติดตามดู
    และได้มีโอกาสนั่งสมาธิ น้อมจิตรำลึกถึงพระองค์ท่าน ในช่วงเวลาที่ว่างจากการถ่ายทอดสด

    ส่วนอีกเรื่องคือการได้ร่วมบุญที่กระทู้ สร้างบุษบกประดิษฐานพระโมคคัลลานะรับมอบพระธาตุโมคคัลลานะ และพระกรุลำพูนอายุ๕๐๐-๗๐๐ ปี ครับ
     
  4. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    วันนี้ได้ตามอ่านกระทู้มาจนถึงวันแห่งความรัก ในปีปัจจุบัน พบเรื่องบางเรื่องที่เพิ่งรู้ และก็ตกใจเป็นอันมากทีเดียว

    และอีกเรื่องที่รู้สึกชื่นชม ก็คือ คุณ nongnooo นี่ ไม่พลาดเลยนะครับ โพสโชว์อะไรไว้ เก็บหมด ผมตามเซฟรูปไม่ได้เลย หุหุ
     
  5. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ว่าจะขุดให้น้อยๆแล้วเชียว แต่เห็นองค์นี้แล้ว ละสายตาไม่ได้จริงๆ เลยขอนำมาโพสนะครับ

    [​IMG] [​IMG]

    กราบ กราบ กราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  6. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    <CENTER>อาลัย ... พระพี่นาง

    </CENTER>



    [​IMG]

    ขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และถวายความอาลัยรัก
    สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์.

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ฯ

    ความรักเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แลกมาได้ด้วยความรักเท่านั้น เมื่อให้ความรัก ความห่วงใย และให้ความสุขออกไปให้ผู้อื่นมากเท่าได... ก็ย่อมจะได้รับความรัก ความห่วงใย และความสุขกลับคืนมามากเท่านั้น

    [​IMG]
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เพื่อความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับหลักกรรม 4 กรรมมิใช่สูตรสำเร็จ

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01161151&sectionid=0121&day=2008-11-16


    วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11208 มติชนรายวัน


    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลายท่านมักจะมองเรื่องกรรมเป็น "สูตรสำเร็จ"

    ผู้รู้จักคุ้นเคยกันท่านหนึ่งถามว่า คนที่แย่งสามีคนอื่นไป จะต้องได้รับกรรมคือถูกแย่งสามีหรือไม่

    การมองแบบนี้เรียกว่า "แบบสูตรสำเร็จ" คือทำอย่างใด ก็ต้องได้อย่างนั้นจริงๆ ไม่ผิดเพี้ยน ฆ่าเขา และฆ่าโดยวิธีใด ก็จะถูกฆ่าด้วยวิธีนั้นเช่นเดียวกัน แย่งสามีเขาไป ก็ต้องถูกคนอื่นแย่งสามีเช่นเดียวกัน

    ความจริงผลกรรมที่ทำ มันอาจเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่มิใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นทุกกรณี เขาคนที่ทำชั่วนั้นๆ อาจได้รับผลอย่างอื่น ไม่ตรงเผงอย่างนั้น แต่เป็นผลคล้ายๆ กัน

    ยกตัวอย่างเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง นายคนหนึ่งเป็นคนมีอำนาจและมีอิทธิพลมาก ได้ทำกรรมชั่วช้ามากมาย ทำให้ผู้คนเขาเดือดร้อนมามาก จนผู้คนเขาสาปแช่งว่า เมื่อใดมันจะวิบัติฉิบหายเสียที แต่เขาก็เจริญร่ำรวย อยู่อย่างอู้ฟู่ อ้าฟ่า ในสายตาของประชาชน

    วันดีคืนดี ลูกชายสุดที่รักของเขาก็ถูกรถบรรทุกบี้ตาย ขณะกลับจากท่องราตรียามดึกคืนหนึ่ง เขามีบุตรชายโทน หวังจะให้รับมรดกหมื่นล้านแสนล้าน ที่เขากอบโกยเอาไว้ แต่ก็มาเสียลูกรักไป

    เขาได้รับความทุกข์แสนสาหัส ความทุกข์เพราะเสียลูกชายสุดที่รักคนเดียวไป ได้ทรมานจิตใจเขาสิ้นระยะเวลายาวนาน

    อย่างนี้แหละครับที่ว่า เขาทำอย่างใด ไม่จำเป็นต้องได้รับผลอย่างนั้น แต่จะได้รับผล "คล้ายๆ กัน" นายคนนี้ข่มเหงรังแกคนมากมาย ทุจริตคอร์รัปชั่นมามาก เขาไม่จำเป็นจะต้องถูกคนอื่นข่มเหงตอบ และไม่จำเป็นต้องถูกคนอื่นโกงตอบ

    แต่เขาก็ได้รับผลกรรมที่หนักหนาสาหัส ไม่แพ้กรรมที่ทำคือ ต้องเสียบุตรชายคนเดียวไป

    คนแย่งสามีคนอื่นไป ก็ไม่จำต้องถูกผู้หญิงอีกคนมาแย่งเอาสามีไป แต่อาจได้รับผลกรรมอย่างอื่นที่ร้ายแรงพอๆ กัน เช่นทั้งๆ ที่อยู่กินด้วยกันกับสามี (ที่แย่งเขามา) แต่ก็ไม่มีความสุขอย่างที่คาดหวังไว้เลย มีแต่ความเจ็บช้ำใจ เพราะสามีตัวดีทำให้ อะไรทำนองนี้

    นอกจากจะไม่ใช่ "สูตรสำเร็จ" แล้ว กรรมที่ทำไว้ อาจไม่ให้ผลก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขใหม่ที่เราทำเพิ่มภายหลังด้วย ที่พูดนี้เป็นฉันใด

    คืออย่างนี้ครับ ตามหลักกฎแห่งกรรมมีว่า "หว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น ทำกรรมดีย่อมได้ผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ผลชั่ว"

    ท่านเปรียบการทำกรรมและการรับผลของกรรม เหมือนการหว่านพืชและการได้ผลแห่งพืชนั้น

    เช่นสมมุติว่า เราหว่านหรือเพาะถั่วงา เราก็ย่อมได้ต้นถั่วต้นงา และได้ผลถั่วผลงา เราจะได้ต้นพริกไทยเป็นต้นหาได้ไม่ พืชชนิดไหน ก็จะงอกออกมาเป็นต้นไม้ชนิดนั้น และให้ผลชนิดนั้น

    ชนิดของพืชนั้นไม่กลายพันธุ์แน่นอน แต่ผลที่ได้อาจเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือได้น้อยลง หรืออาจไม่ได้ผลเลยก็ย่อมเป็นได้ เพราะเงื่อนไขอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

    ถ้าดูแลดี เอาใจใส่ รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ฯลฯ ก็ย่อมจะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าปลูกแล้วไม่สนใจดูแล ปล่อยตามมีตามเกิด ก็อาจได้ผลบ้างแต่ไม่มากเท่าที่ควร หรือปล่อยทิ้งไว้ สัตว์มาเหยียบย่ำ หรือคนมารื้อทิ้งเสีย ก็อาจไม่ได้ผลเลยก็ได้

    เรื่องของกรรมที่ทำก็เหมือนกัน ทันทีที่ทำ แนวโน้มที่มันจะให้ผลย่อมมี ถ้าไม่มีอะไรมาขัดขวาง มันก็จะให้ผลตามลักษณะของกรรมที่ทำ เพราะเหตุนี้แหละพระท่านจึงว่า "ทำกรรมดีย่อมได้ผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ผลชั่ว" (ให้สังเกตคำว่า "ย่อมได้" ท่านมิได้พูดว่า "ต้องได้")

    ท่านจึงเปรียบการให้ผลของกรรมที่ทำเหมือนสุนัขไล่เนื้อ

    กรรมเหมือนสุนัข คนที่ทำกรรมเหมือนเนื้อ ลองวาดภาพดูเนื้อที่สุนัขไล่ล่าเอาชีวิต แนวโน้มที่สุนัขมันจะทันนั้นย่อมมีมาก มันทันเมื่อใด มันก็กัดเนื้อเมื่อนั้น กรรมก็เหมือนกัน มันไล่ตามสนองคนทำกรรมทุกระยะ เมื่อมัน "ทัน" เมื่อใดมันก็สนองผลเมื่อนั้น

    แต่โอกาสที่สุนัขมันไล่ไม่ทันเนื้อก็ย่อมมี สุนัขมันอาจเป็นสุนัขแก่ เรี่ยวแรงถดถอยไล่ไปหอบแฮ่กๆ ไป ไม่ทันเนื้อหนุ่มที่หนีสุดชีวิตก็เป็นได้ หรือสุนัขมันไล่ไปๆ เกิดขี้เกียจหยุดไล่เอาดื้อๆ หรือกำลังจะทันอยู่พอดี เนื้อมันวิ่งหายเข้าไปในหลืบเขาหรือป่าทึบ สุนัขมองไม่เห็น วิ่งไล่ไปผิดทิศทางก็ได้

    อย่างนี้แหละเรียกว่า "โอกาส" หรือ "เงื่อนไข" ใหม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

    กรรมที่ทำไว้ (ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วนะครับ คนส่วนมากพอพูดถึงกรรม ก็นึกแต่กรรมชั่วอย่างเดียว) มีแนวโน้มที่จะสนองผล แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปตามนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ย่อมมี "โอกาส" หรือ "เงื่อนไข" ใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

    โอกาส หรือเงื่อนไข ที่ว่านี้ก็คือ กรรมใหม่ที่เราทำนั้นเอง สมมุติว่าเราทำกรรมชั่วบางอย่างไว้ เรามีโอกาสทำกรรมดีในเวลาต่อมา และทำบ่อยๆ ทำมากๆ ด้วย กรรมชั่วที่ทำไว้ก่อนนั้น มันก็รอจังหวะจะสนองผล ดุจสุนัขกำลังไล่ล่าเนื้อ แต่กรรมดีใหม่ๆ ที่เราทำไว้ก็มีมาก มันอาจทำให้กรรมเก่านั้นเบาบาง หรือจางหายไปจนไม่สามารถให้ผลเลยก็ได้

    หลักวิชาเรื่องกรรมมีว่า

    - กรรมบางอย่างทำแล้วให้ผลทันตาเห็น หรือให้ผลไม่ช้าไม่นานหลังจากทำ เช่นอาจเป็นเดือนนั้น ปีนั้น

    - กรรมบางอย่างไม่ให้ผลทันที แต่จะให้ผลในกาลข้างหน้า เช่นเดือนหน้า ปีหน้า หรือชาติหน้า

    - กรรมบางอย่างให้ผลในโอกาสต่อๆ ไป เช่น เดือนต่อๆ ไป หรือปีต่อๆ ไป หรือชาติต่อๆ ไป

    - กรรมบางอย่างไม่มีโอกาสให้ผลเลย กลายเป็นอโหสิกรรมไป

    ดูอย่างองคุลีมาลโจรสิครับ ฆ่าคนมากมายหลายชีวิต แต่ในบั้นปลายแห่งชีวิต ได้พบพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์ กรรมชั่วที่ทำไว้ จ้องจะ "ตะครุบ" อยู่พอดี แต่ "เงื่อนไขใหม่" ที่แรงกว่า (คือการบรรลุพระอรหันตผล) มาขัดจังหวะพอดิบพอดี กรรมที่ทำไว้ก็เลยกลายเป็น "อโหสิกรรม"

    เจ๊าไปเลย มันเป็นอย่างนั้นเสียล่วย !

    ทุกอย่างเป็นอนิจจัง กฎแห่งกรรมก็ตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้ และคนที่จะเปลี่ยนก็คือตัวเราเอง ใครเผลอทำอะไรไม่ดีไว้ ก็ไม่ต้องตกใจรีบสร้างความดีด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และอื่นๆ อีก (มีอะไรบ้างจะนำมาเล่าทีหลัง) ทำให้บ่อยๆ ทำให้มากๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วย "สลายพลังกรรมชั่ว" ทีละนิดๆ จนกระทั่งหมดไปในที่สุด
     
  8. ทองอ้วน

    ทองอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีครับพี่ๆทุกคน ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมมักจะมีอาการลักษณะรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่ามันเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ในระยะหลังๆ เกิดขึ้นแรงๆและบ่อยๆมากครับ ลักษณะของอาการที่เกิดขึ้น คือ เกือบทุกครั้ง ที่ได้สัมผัสพระไม่ว่าจะมาวางที่ฝ่ามือ หรือ ใช้นิ้วจับ จะเหมือนมีกระแสอะไรสักอย่างวิ่งเข้ามาตามตัวมีความรู้สึกเย็นวาบ ทั้งตัว ตามแขน ตามขา ตามตัว แล้ว ไล่ไปต้นคอ ถึงหัว แล้วขนลุกตั้งชั้น จากนั้นจะค่อยๆหายไป แล้วก็จะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ซ้ำอีกเป็นช่วงๆ จนกว่าผมจะปล่อยวางพระลง ความรู้สึกที่เย็นวาบนั้น จะมีระดับความรุนแรงไม่เท่ากัน ขึ้นกับว่าผมจะสัมผัสพระองค์ไหน อย่างบางองค์ผมจะไม่มีความรู้สึกเลยไม่ว่าจะจับนานเท่าไรก็ตาม บางองค์รุนแรงมากน้อยต่างๆกันไป ซึ่งตอนแรกๆผมก็นึกไปว่าจะอุปทานไปเองหรือเปล่า แต่เปล่าเลยผมลองเช็คอยู่หลายๆครั้งแล้วก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม ผมตกใจและกังวลมากไม่รู้ว่าจะเขียนมาบอกดีหรือเปล่า กลัวจะไม่มีใครเชื่อนะครับ ไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้เรียกว่าอะไรครับ...
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เป็นความรุ้สึกที่สัมผัสพลังอิทธิคุณขององค์พระที่พอเริ่มจะสัมผัสได้

    แต่อย่าไปกังวล อย่าไปวิตก ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เครื่องสังเค็ด งานพระเมรุ"พระพี่นาง"
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB4Tmc9PQ==

    สุจิต เมืองสุข




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตามพระราชประเพณีโบราณ ภายหลังการถวายพระเพลิงพระบรมศพ หรือพระศพ เสร็จสิ้นลง พระเมรุมาศ หรือพระเมรุส่วนที่ถวายเพลิงจะถูกรื้อนำไปสร้างพระอาราม เพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศล ในอดีตดังเช่นงานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นำพระเมรุไปสร้างเป็นโรงพยาบาลศิริราชมาจวบปัจจุบัน เพื่อเป็นสิ่งระลึกถึงพระกรุณาธิคุณ

    นอกจากนี้ ในงานพระราชทานเพลิงพระบรมศพ หรือพระศพ จำต้องมี "เครื่องสังเค็ด" หรือของที่ระลึกในทุกครั้ง คำว่าเครื่องสังเค็ดเป็นคำโบราณ มีความหมายว่า "ของชำร่วย" แต่เรียกว่า "ของที่ระลึก" ในงานอวมงคล

    อาจารย์ณัฏฐภัทร จันทวิช นักโบราณคดี 10 ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ให้ข้อมูลเรื่องเครื่องสังเค็ดในโบราณราชประเพณี ว่า เดิมจะอยู่ในริ้วขบวนพระราชพิธีฯ เป็นลำดับแรก โดยมีสัตว์หิมพานต์มงคลต่างๆ ประมาณ 20 คู่ เช่น กินนร กินรี อัปสร สิงหะ ช้าง สิงห์ แรด และระมาด อยู่ในริ้วขบวน

    หลังสัตว์หิมพานต์เหล่านี้จะมีบุษบกสำหรับใส่เครื่องสังเค็ด เครื่องอภัยทาน เครื่องน้ำหอม น้ำกุหลาบ น้ำกระแจะจันทน์ สำหรับใช้สรงพระศพที่พระเมรุ

    เมื่อริ้วขบวนเคลื่อนถึงยังแนวรั้วราชวัติ สัตว์หิมพานต์จะถูกทิ้งไว้รอบๆ แนวรั้วราชวัติ ส่วนเครื่องต่างๆ ที่อยู่ในบุษบกจะนำลง แต่ปัจจุบันส่วนนี้ถูกตัดออกไป ไม่มีในริ้วขบวน
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เครื่องสังเค็ดในงานพระเมรุ "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์" ครั้งนี้ สำนักพระราชวังจัดเครื่องสังเค็ด ประกอบด้วย

    "ตู้สังเค็ด" บรรจุหนังสือสารานุกรมสำหรับเยาวชนและหนังสืออื่นๆ จำนวน 30 ชุด สำหรับถวายพระอารามหลวง 30 พระอาราม ได้แก่ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดอรุณราชวราราม วัดราชาธิวาส วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดราชโอรสาราม วัดนิเวศธรรมประวัติ วัดสุวรรณดาราราม

    วัดพระศรีมหาธาตุ วัดพระปฐมเจดีย์ วัดสระเกศ วัดอนงคาราม วัดพิชัยญาติ วัดปทุมวนาราม วัดชนะสงคราม วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ วัดสัมพันธวงศ์ วัดสุวรรณาราม วัดโพธิ์แมน (วัดจีน) วัดกุศลสมาคร (วัดญวน) วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ วัดตำหนักใต้ วัดบางไส้ไก่ และวัดแคนอก

    ตู้สังเค็ดเป็นตู้ไม้สี่เหลี่ยมทาสีน้ำตาลแดง มีขาสำหรับรองรับน้ำหนัก 4 ขา ขนาดกว้าง 82 เซนติเมตร ลึก 41 เซนติเมตร สูง 126 เซนติเมตร ขอบตู้ด้านล่างส่วนที่ติดกับขาตู้ประดับไม้แกะสลักลายปิดทอง ตัวตู้สังเค็ดเปิดด้านหน้าด้วยบานกระจก 2 บาน ผนังตู้แต่ละด้านกรุกระจกใส หน้ากระดานประดับพระนามย่อ "กว" รูปหยดน้ำ

    "สำรับภัตตาหารสามหาบ" ใน 1 ชุด ประกอบด้วย โตกใหญ่ (เครื่องคาว) โตกกลาง (เครื่องหวาน) และโตกเล็ก สำหรับถวายพระสงฆ์ที่รับสำรับภัตตาหารสามหาบ 6 วัด ได้แก่ วัดสระเกศ วัดชนะสงคราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    "พัดรองที่ระลึก ผ้ากราบและย่าม (สีดำ)" จัดทำ 175 ชุด ถวายพระเทศน์ พระสวดศราทธพรต บรรพชิตจีนและญวน พระสงฆ์สดับปกรณ์ และถวายพระพิธีธรรม ทั้งสิ้น 10 วัด ได้แก่ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดราชสิทธาราม วัดระฆังโฆสิตาราม วัดอนงคาราม วัดประยุรวงศาวาส วัดสระเกศวรวิหาร วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และวัดสุทัศนเทพวราราม

    โดยพัดรองที่ระลึกสีดำมีพื้นกำมะหยี่ดำขอบกุ๊นผ้าสีแดง รวมถึงผ้ากราบและย่าม (สีดำ) จะถวายในงานพระราชกุศลออกพระเมรุ

    "พัดรองที่ระลึก ผ้ากราบและย่าม (สีแดง)" จัดทำ 45 ชุด สำหรับถวายพระสวดพระพุทธมนต์ พระเทศน์ พระรับอนุโมทนา และพระสดับปกรณ์ โดยพัดรองที่ระลึกสีแดงมีพื้นกำมะหยี่แดงขอบกุ๊นผ้าสีดำหรือน้ำเงินเข้ม รวมถึงผ้ากราบและย่าม (สีแดง) จะถวายในงานพระราชกุศลพระอัฐิ

    นอกเหนือจากเครื่องสังเค็ดที่ออกโดยสำนักพระราชวัง ทางมหาเถรสมาคมได้ถวายพระไตรปิฎกภาษาบาลีและภาษาไทย รวม 90 เล่ม พร้อมตู้ เป็นเครื่องสังเค็ด โดยเสด็จพระราชกุศลจำนวน 30 ชุด ตามจำนวนเครื่องสังเค็ดที่สำนักพระราชวังจัดสร้าง

    อาจารย์ณัฏฐภัทรให้รายละเอียดด้วยว่า เครื่องสังเค็ดในงานพระเมรุ ที่ทุกงานจำเป็นต้องมี คือ พัดรองที่ระลึกสำหรับถวายพระสงฆ์ ลักษณะใกล้เคียงกับตาลปัตร แต่ใช้เฉพาะงาน

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้เรียกว่า "พัดรอง" และเป็นที่น่าสังเกตว่า เครื่องสังเค็ดที่มอบให้วัดต่างๆ จะพระราชทานไม่ยกเว้นแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นที่มีศาสนสถานที่สำคัญก็จะได้รับพระราชทานเครื่องสังเค็ดเช่นกัน

    ดังในงานพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานเชิงเทียนให้แก่โบสถ์คริสต์ และพระราชทานกระถางธูปให้วัดจีนที่สำคัญ

    ธรรมเนียมนิยมการสร้างถวายเครื่องสังเค็ด เริ่มขึ้นหลังจากงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา โดยเครื่องสังเค็ดจะถวายไปยังวัดวาอารามต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น ธรรมาสน์เทศน์ ธรรมาสน์สวด หนังสือปาติโมกข์พร้อมตู้ เทียนสลักพร้อมตู้ลายทอง หีบใส่หนังสือสวด หนังสือเทศน์ พัดรอง ย่าม ผ้ากราบ และภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ของสงฆ์

    การจัดทำของที่ระลึกในงานพระเมรุมาศ หรืองานพระเมรุ นอกจากจะมีขึ้นสำหรับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแล้ว ยังแพร่หลายลงมาในระดับประชาชน จนเป็นประเพณีปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พิธี"สุกำศพ" พระศพเจ้านาย
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB4Tmc9PQ==


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ขั้นตอนหนึ่งในงานพระราชพิธีพระบรมศพ หรือพระศพ ไม่ค่อยเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวาง คือ ขั้นตอนการ "สุกำศพ" เนื่องจากเป็นเรื่องภายในราชสำนัก และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่เฉพาะฝ่าย เช่น เจ้าพนักงานสนมพลเรือน เจ้าพนักงานภูษามาลา หากเทียบกับสามัญชนทั่วไปก็คือ การแต่งตัวให้ศพ และห่อผ้าขาวมัดตราสังลงหีบศพ

    คำว่า "สุกำ" หมายถึง "เครื่องขาวแต่งศพ"

    "สุกำศพ" จึงหมายถึง การที่เจ้าพนักงานภูษามาลา หรือเจ้าพนักงานสนมพลเรือน นำผ้าขาวห่อศพ และใช้ด้ายดิบมัดตราสัง แล้วบรรจุศพลงโกศหรือหีบ ซึ่งมีกระดาษฟางปูรองรับ

    นายนนทพร อยู่มั่งมี นักเขียนด้านศิลปวัฒนธรรม เจ้าของงานเขียนเรื่องพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพ เผยความรู้ที่ค้นคว้ามานานหลายปีถึงขั้นตอนการสุกำศพเจ้านาย ว่า มีความซับซ้อนมากกว่าแค่การแต่งตัวให้ศพ และห่อผ้าขาวมัดตราสังลงหีบศพ

    โดยเริ่มจากภายหลังการสรงน้ำพระบรมศพ หรือพระศพ เจ้าพนักงานภูษามาลาจะเชิญเครื่อง "พระมหาสุกำ" หรือ "พระสุกำ" สำหรับแต่งพระบรมศพ หรือพระศพ ซึ่งจะเรียกต่างกันตามพระอิสริยยศ หากเป็นพระมหากษัตริย์เครื่องพระมหาสุกำจะมีความอลังการสมพระเกียรติยศ

    ตัวอย่าง เครื่องพระมหาสุกำของพระมหากษัตริย์ตามโบราณราชประเพณี ประกอบด้วย พระภูษาหลายชั้น และเครื่องประดับอีกจำนวนมาก รวมทั้งยังนำแผ่นทองจำหลักลายปิดที่พระพักตร์ และท้ายสุดคือ การทรงพระมาลาสุกำ ในที่นี้อาจหมายถึงพระมหามงกุฎ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ส่วนเจ้านายและผู้มีบรรดาศักดิ์ จะได้รับพระราชทานเครื่องพระสุกำ หรือเครื่องสุกำลดหลั่นกันไปตามอิสริยยศ และสถานภาพ

    เมื่อถวายเครื่องสุกำศพ หรือแต่งศพเสร็จแล้ว จึงทำสุกำศพ หรือการมัดตราสัง และห่อศพ แม้ในอดีตไม่มีการใช้น้ำยาปรับสภาพ อาจทำให้พระบรมศพ หรือพระศพเปื่อย จึงจำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำพระเศียร คือ "พระปทุมปัตนิการ" รองที่พระบาท มีก้านออกมาค้ำพระหนุ (คาง) ให้พระเศียรอยู่ในท่าที่เหมาะสม ก่อนจัดพระอิริยาบถให้อยู่ในท่านั่ง

    หลังจากถวายเครื่องค้ำพระเศียรแล้ว จึงถวายพระกัปปาสิกะสูตร (ด้ายสายสิญจน์ หรือด้ายดิบ) มัดตราสัง แล้วเตรียมพระกัปปาสิกะเศวตพัสตร์ หรือ "ผ้าฝ้ายสีขาว" ปูซ้อนกันเป็นรูปหกแฉก แล้วเชิญพระบรมศพหรือพระศพให้ประทับในท่านั่งเหนือผ้านั้น แล้วรวบชายผ้าไว้เหนือพระเศียร ปล่อยชายผ้าไว้สำหรับผูกพระภูษาโยงสดับปกรณ์

    จากนั้นห่อด้วยผ้าตั้งแต่พระบาท พันขึ้นไปจนถึงพระกัณฐา (คอ) แล้วเหน็บไว้ ขั้นตอนสุดท้าย คือการเชิญพระบรมศพหรือพระศพลงพระโกศด้วยหมอนโดยรอบ

    วิธีการดังกล่าวนี้เป็นขั้นตอนก่อนนำพระบรมศพหรือพระศพลงพระโกศในท่านั่ง โดยการเชิญพระบรมศพหรือพระศพลงพระโกศในท่านั่งมีมาแต่สมัยโบราณ และต่อเนื่องจนถึงงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อปีพ.ศ.2527 <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นับเป็นครั้งสุดท้ายที่ดำเนินขั้นตอนตามกรรมวิธีแบบโบราณ

    หลังจากพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและขั้นตอนการสุกำศพ เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จสวรรคต

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรมศพและพระศพลงหีบพระศพ แทนการบรรจุพระโกศ ซึ่งสามารถทำได้ตามพระราชอัธยาศัย ได้แก่ พระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในครั้งนี้

    เมื่อมีการเปลี่ยนการบรรจุพระบรมศพหรือพระศพลงหีบพระศพแทนพระโกศ ทำให้มีผลต่อท่าทางของพระศพ จากการนั่งคุกพระชานุ (เข่า) ประนมพระหัตถ์ (มือ) ไปเป็นบรรทมหลับแทน

    นายนนทพรอธิบายว่า นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่เลิกใช้ในการถวายพระเพลิงพระบรมศพหรือพระศพ คือ การถวายพระเพลิงพระบุพโพ (น้ำเหลือง) โดยกระทำก่อนการถวายพระเพลิงพระสรีระ

    เนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย ทำให้การรักษาสภาพศพดีขึ้น ศพจึงไม่มีของเสียออกมามากเช่นอดีต โดยสถานที่เผาพระบุพโพจะอยู่ตามวัดต่างๆ เป็นคนละส่วนกับการออกพระเมรุที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

    เช่น เมื่อครั้งงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้นำพระบุพโพและเครื่องสุกำศพไปถวายพระเพลิงที่พระเมรุหลวง วัดเทพศิรินทราวาส

    "แต่เดิมการถวายพระเพลิงก่อนหน้าสมัยรัชกาลที่ 5 จะกระทำเพียงครั้งเดียว ในระหว่างเวลา 13.00-16.00 น. แต่ปลายรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมามีการถวายพระเพลิง 2 ครั้ง โดยเจ้าพนักงานเผาศพริเริ่มขึ้น เพื่อไม่ต้องการให้กลิ่นเผาศพมารบกวนผู้มาร่วมงาน และเผาจริงในเวลาดึก ที่จะเชิญเฉพาะญาติสนิทเท่านั้น" นายนนทพรกล่าว

    เมื่อการปรับเปลี่ยนวิธีการบรรจุพระบรมศพหรือพระศพเป็นการใช้หีบพระศพแทน ทำให้หน้าที่ของพระโกศใช้เฉพาะเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ไม่ได้ใช้บรรจุพระบรมศพ หรือพระศพจริง

    กรณีหีบพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประดิษฐานหลังพระแท่นแว่นฟ้าทองประกอบพระลองทองใหญ่ ภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร 7 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องสูงทองแผ่ลวด บังแทรก ชุมสายต้นไม้ทองเงิน ณ มุขตะวันตก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

    พระราชพิธีพระบรมศพและพระศพมีธรรมเนียมปฏิบัติหลายขั้นตอน แม้บางสิ่งจะปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม แต่จุดมุ่งหมายยังคงอยู่ที่การส่งเจ้านายพระองค์ที่ล่วงลับเสด็จสู่สวรรคาลัย

    สำหรับเจ้านายที่มีพระกรุณาธิคุณอย่างสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงได้รับการถวายพระเกียรติสูงสุดตามโบราณราชประเพณี
     
  12. ทองอ้วน

    ทองอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +135
    ขอบคุณครับ คุณ Sithiphong
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">ดัชเชสจอร์เจียนา สิ่งเดียวที่ใฝ่หา คือ...ความรัก
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=111548

    [16 พ.ย. 51 - 13:53]


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]


    ระยะนี้การเมืองเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้คนให้ความสนใจทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก แต่หากมองให้ถ้วนทั่วแล้ว ไม่ว่าที่ไหนในโลก ผู้หญิงก็มีบทบาททางการเมืองน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่ดี ก็พอจะทำใจได้ว่า สมัยนี้ก็ยังดีกว่าสมัยก่อน เพราะมีการเปิดโอกาสให้สตรีได้ออกมายืนโดดเด่นอยู่บนแถวหน้าของแวดวงการเมืองได้ มากกว่าก่อนเก่า

    แล้วสาวๆในอดีตที่สนใจการเมืองล่ะ จะทำอย่างไรกันบ้าง ว่าแล้วไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียลก็ขอค้นคว้า เปิดหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษ นำพาท่านผู้อ่านไปพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แม้จะเกิดมาในยุคที่ผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง แต่เธอก็ไม่ยอมเก็บงำแนวคิดของตัวเองไว้หลังบ้าน
    จอร์เจียนา สเปนเซอร์ คือสาวที่เรากำลังพูดถึง

    [​IMG]

    ในปี ค.ศ.1757 จอร์เจียนาลืมตาขึ้นมาดูโลกในแวดวงของชนชั้นสูงแห่งเมืองผู้ดี แต่ชีวิตของเธอกลับไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก ก่อนวันเกิดอายุครบ 17 ปีเพียง 1 วัน ในวัยสาวสะพรั่งเธอถูกจับคลุมถุงชนเข้าพิธีวิวาห์กับวิลเลียม คาเวนดิช ดยุคแห่งเดวอนเชียร์ ชายสูงศักดิ์ผู้มีอายุแก่กว่าเธอเกือบ 10 ปี
    จากเด็กหญิงที่ค่อนข้างจะขี้อายในวัยเด็ก จอร์เจียนากลายเป็นดัชเชสแห่งเดวอนเชียร์ และนายหญิงแห่งคฤหาสน์แชทส์เวิร์ธ สาวน้อยผู้ถูกสังคมเฝ้ามอง เธอพัฒนาตัวเองไปอย่างมากจากการเข้าสังคม และได้กลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกิจกรรมทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง
    ครอบครัวของจอร์เจียนาเป็นนักการเมืองสังกัดพรรควิก (ปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็นพรรคลิเบอรัล) อยู่แล้ว แต่ตัวดัชเชสเองไม่สามารถทำงานการเมืองอย่างออกนอกหน้าได้ เธอจึงเคลื่อนไหวด้วยการจัดงานปาร์ตี้ เพื่อให้คนที่ไม่สามารถพบปะกันทางการเมืองได้โอกาสมาเจอกันที่คฤหาสน์เดวอนเชียร์ และยังทำหน้าที่เป็นผู้นำแคมเปญหาเสียงให้ชาร์ลส์ เจมส์ ฟ็อกซ์ ซึ่งเป็นญาติห่างๆด้วย
    จอร์เจียนาได้รับคำชมว่า เป็นสุภาพสตรีที่เฉลียวฉลาด เป็นผู้นำแฟชั่นแห่งยุค เป็นสตรีที่มีอิทธิพล และเธอก็ใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อทำงานสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่เธอพยายามจะช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆ

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะช่วยเหลือผู้อื่นมาก จนได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองหญิงที่ประชาชนรักมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น แต่ในชีวิตส่วนตัวของเธอเอง กลับต้องพบแต่ความเจ็บปวด โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก
    จอร์เจียนาเป็นคนแนะนำให้ท่านดยุคผู้สามีรู้จักกับอลิซาเบธ ฟอสเตอร์ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่บอกอย่างนี้ก็เพราะในท้ายที่สุด เพื่อนคนนี้ก็กลายมาเป็นชู้อย่างเปิดเผยของสามีเพื่อน และหลังจากจอร์เจียนาตายในอีกไม่กี่ปีต่อมา คุณเธอก็ขยับฐานะจากชู้รักมาเป็นภรรยาคนที่ 2 ของท่านดยุค
    ในช่วงที่จอร์เจียนาไม่สบายใจกับเรื่องรักที่ไม่ลับของสามี เธอก็หันไปปรับทุกข์กับเพื่อนวัยเด็ก ชาร์ลส์ เกรย์ หรือท่านเอิร์ลเกรย์ที่ 2 ซึ่งในเวลาต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
    ปรับทุกข์ไม่ปรับเปล่า ว่าแล้วปรับกันไปปรับกันมา จอร์เจียนาซึ่งยังคงฐานะเป็นดัชเชสแห่งเดวอนเชียร์ก็เกิดตุ๊บป่อง มีลูกสาวกับเกรย์ 1 คน คือ อลิซา คอร์ทนีย์ ซึ่งต้องยกให้อยู่ในความดูแลของครอบครัวฝ่ายชาย เนื่องจากบิดามารดาไม่ สามารถครองรักกันโดยเปิดเผย
    หลังจากยกลูกสาวให้ครอบครัวของชายคนรัก จอร์เจียนาต้องกลับไปใช้ชีวิตในฐานะดัชเชสแห่งเดวอนเชียร์อีก แม้จะเป็นชีวิตที่ทุกข์ระทม ต้องทนอยู่กับชายที่ไม่เคยรักเธอ จอร์เจียนาจึงหันเข้าหาเครื่องปลอบประโลมอื่นๆ ทั้งยาเสพติด แอลกอฮอล์ และการพนัน รวมไปถึงมีอาการกินอาหารผิดปกติเนื่องจากความเจ็บปวดในใจ

    [​IMG]

    จากหญิงสาวผู้ร่าเริง สดใส และมองโลกในแง่ดี พร้อมที่จะทำงานเพื่อสังคมอย่างไม่หยุดยั้ง เธอกลายเป็นดัชเชสผู้เศร้าหมอง โหยหาความรักที่ไม่สามารถสมหวัง จากสาวน้อยที่เคยมีผู้เอ่ยชมความงามของเธอว่า สามารถจุดไปป์จากนัยน์ตาของเธอได้ ทว่าในช่วงท้ายของชีวิต จอร์เจียนาเป็นดัชเชสผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจากการพนัน ทั้งๆที่ตระกูลสเปนเซอร์ของเธอเอง และตระกูลของดยุคแห่งเดวอนเชียร์ล้วนแต่ร่ำรวยมหาศาล
    บทสุดท้ายของชีวิตที่เคยเป็นเหมือนดั่งเทพนิยาย ก็กลายเป็นเพียงเรื่องเศร้า หญิงสาวที่เคยถูกจับตามองในฐานะสาวสังคมที่งามล้ำที่สุดแห่งกรุงลอนดอน จากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 49 ปี ด้วยอาการที่คาดว่าเป็นฝีที่ตับ ร่างของเธอถูกฝังที่โบสถ์ออลเซนต์ส เมืองดาร์บี้ และเข้าสู่ความสงบตราบนิรันดร์

    [​IMG]

    ถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเกิดสะกิดใจและสงสัยขึ้นมาตงิดๆว่า ดัชเชสจอร์เจียนาผู้มาจากตระกูลสเปนเซอร์นี้ น่าจะมีความเกี่ยว ข้องกับสาวงามเลื่องชื่ออีกคนหนึ่งคือ ไดอานา สเปนเซอร์ ผู้ที่ในกาลต่อมาเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส เจ้าชายแห่งเวลส์ และดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงไดอานา
    ก็ต้องเฉลยว่าจอร์เจียนาและไดอานามีความเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก ในฐานะเลดี้จากตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลสเปนเซอร์ ซึ่งเจ้าหญิงไดอานาสืบเชื้อสายมาจากจอร์จ จอห์น หรือเอิร์ลที่ 2 แห่งสเปนเซอร์ ผู้เป็นพี่ชายของจอร์เจียนานั่นเอง

    [​IMG]

    แม้จอร์เจียนาและไดอานาจะเกิดห่างกันมากกว่า 2 ศตวรรษ แต่เลดี้แห่งสเปนเซอร์ทั้ง 2 คน ก็มีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน ด้วยความงามอันเป็นที่ลือเลื่อง เป็นสาวสังคมผู้นำแฟชั่น หญิงสาวที่อุทิศตนเพื่อการกุศลและผู้เจ็บป่วย ภรรยาผู้ทุกข์ระทมกับการนอกใจของสามี จนต้องหันไปหาชายอื่น และจากไปก่อนวัยอันควร เจ้าหญิงไดอานาถูกนำมาเปรียบเทียบกับจอร์เจียนาอยู่บ่อยครั้ง
    แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าหญิงทั้งสองก็เป็นตัวของตัวเองอย่างยากจะหาใครเสมอเหมือน เป็นผู้หญิงที่มีความคิดอ่านล้ำเกินยุคสมัย หญิงสูงศักดิ์ที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่กำลังของเธอจะอำนวยได้ หญิงผู้ใฝ่หาความรัก แต่ไม่เคยพบรักแท้
    ที่ไม่น่าเชื่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ ในที่สุดแล้ว วงการฮอลลีวูดได้นำเรื่องราวของสาวงามต่างยุคทั้งสองคนมาสร้างเป็นภาพยนตร์สองเรื่อง โดยมีการแถลงข่าวว่า เรื่องราวของเจ้าหญิงไดอานาจะดัดแปลงเรื่องมาจากงานเขียนเรื่อง Diana And The Paparazzi ในขณะที่ชีวิตของจอร์เจียนาได้โลดแล่นอยู่บนจอเงินด้วยการดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง Georgiana, Duchess of Devonshire และผู้สร้างหนังทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็ต้องการให้ดาราสาวเคียรา ไนท์ลีย์ มารับบทเป็นเจ้าหญิงผู้เพรียกหารัก ซึ่งในท้ายที่สุด เคียรา ไนท์ลีย์ ได้ตัดสินใจรับบทจอร์เจียนาใน The Duchess ก่อน
    แล้วเจ้าหญิงผู้ถูกลืมก็จะกลับมาอยู่ในหัวใจของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง.

    ทีมงาน ต่วยตูน



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระสถานะของ"โสทรเชษฐภคินี"
    http://www.komchadluek.net/specialreport/princess/specialreportnews.php?id=569

    <!-- by Line --><!--โดย : สุทธิชัย
    --><!-- End by line -->[​IMG]

    ตามกฎมณเฑียรบาลและโบราณราชประเพณีของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยามาถึงปัจจุบันนั้น ได้นับเอาเฉพาะชายเท่านั้น ถึงจะเป็นพระมหากษัตริย์ได้ ไม่เหมือนในต่างประเทศที่ยอมให้ขัตติยนารี คือผู้หญิง รับราชสมบัติได้
    แต่พระมหากษัตริย์อาจจะมีพี่สาวที่ร่วมพ่อแม่เดียวกันได้ ซึ่งพี่สาวจะไม่มีโอกาสรับราชสมบัติเป็นอันขาด เมื่อองค์น้องขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ โดยเหตุที่ลำดับของการสืบราชสมบัติข้ามผู้เป็นพี่สาวไป เมื่อเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ก็เป็นธรรมเนียมที่ท่านจะต้องยกย่องพี่สาวของท่านว่ามีพระเกียรติคุณยิ่งใหญ่
    เพราะฉะนั้นจะมีสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์บ้างเป็นครั้งคราว และคราวใดที่มีต้องถือว่าผู้ที่เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นั้น เป็นบุคคลสำคัญของแผ่นดินเสมอมา
    ในประเทศไทยมีผู้ที่ดำรงพระสถานะเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ของพระมหากษัตริย์ที่นับว่าสำคัญมีอยู่ 3 ครั้ง แล้วก็สำคัญยิ่งทั้ง 3 ครั้ง
    ครั้งที่ 1 สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชา ท่านมีพระมเหสีคือ พระวิสุทธิกษัตรี มีพระโอรสและพระธิดา 3 องค์
    พระธิดาองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า สมเด็จพระพี่นางเธอพระสุพรรณกัลยา พระโอรสองค์ที่ 2 คือ สมเด็จพระนเรศวร และพระโอรสองค์ที่ 3 คือ พระเอกาทศรถ
    พระโอรสทั้ง 2 พระองค์ได้ครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ทั้งคู่ เว้นแต่สมเด็จพระสุพรรณกัลยาที่ไม่ได้ทรงครองราชย์ เพราะทรงเป็นขัตติยนารี
    เพราะฉะนั้น เมื่อถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นธรรมดาที่จะทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระเกียรติคุณและพระอุปการคุณยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ
    จึงทรงยกขึ้นเป็นที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และยิ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ พระองค์นี้ต้องรอนแรมไปตกระกำลำบากจนถึงขั้นสิ้นพระชนม์ ต้องถูกปลงพระชนม์ในประเทศพม่า ก็ยิ่งเป็นเหตุอันชวนสลดสังเวชใจ เรื่องอย่างนี้มีจารึกอยู่ในพงศาวดาร
    ที่นับว่าสำคัญ เป็นเรื่องเป็นราวเป็นหลักเป็นฐานที่สุดก็คือ เมื่อตอนเริ่มสร้างกรุงเทพฯ เมื่อสมัยที่เริ่มพระบรมราชจักรีวงศ์ รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก่อนครองราชย์พระองค์ท่านเป็นคนธรรมดาสามัญ ทรงพระนามว่า ทองด้วง
    ท่านมีพ่อแม่พี่น้อง เมื่อท่านทำราชการก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นลำดับ เมื่อถึงปี พ.ศ.2325 ได้ปราบดาภิเษกเป็นรัชกาลที่ 1 ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งกรุงเทพมหานคร
    เมื่อท่านเป็นเจ้า และเป็นการเริ่มราชวงศ์ท่านจึงต้องยกพี่น้อง ญาติทั้งหลาย ขึ้นเป็นเจ้าให้หมด เพื่อจะได้สืบราชวงศ์ต่อไป
    และครั้งที่ 3 ก็คือครั้งนี้...
    สมเด็จพระบรมราชชนก ที่เรียกแต่เดิมว่า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ท่านเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ทรงอภิเษกสมรสกับคนธรรมดา คือ น.ส.สังวาลย์ มีพระโอรส พระธิดา 3 พระองค์
    องค์ใหญ่ ตอนประสูติเป็นหม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา ประสูติในปี พ.ศ.2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ประเทศอังกฤษ
    อีก 2 ปีต่อมา หม่อมสังวาลย์ได้ประสูติพระโอรส ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ทรงพระนามเมื่อแรกประสูติว่า หม่อมเจ้าชายอานันทมหิดล
    อีก 2 ปีต่อมา พระชายาได้ประสูติพระโอรสพระองค์เล็ก ที่ รพ.เมาต์ออเบิร์น ทรงพระนามเมื่อแรกประสูติว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช
    แรกประสูติ โดย 2 พระองค์แรกเป็นหม่อมเจ้า พระองค์หลังเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ทั้งนี้ เพราะว่า 2 พระองค์แรกประสูติในสมัยรัชกาลที่ 6 ยังไม่มีการประกาศยกย่องสถาปนา
    พอถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2470 สมัยรัชกาลที่ 7 มีพระราชดำริว่า บรรดาหลานปู่ของรัชกาลที่ 5 ทั้งหลาย ที่พ่อเป็นสมเด็จเจ้าฟ้านั้น ควรจะมีพระยศเป็นพระองค์เจ้าให้หมด ใครที่เป็นหม่อมเจ้าก็ยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้า ที่ประสูติใหม่ก็เป็นพระองค์เจ้าตั้งแต่ประสูติ
    โดยวิธีนี้ มีผลย้อนหลังให้หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนาเป็นพระองค์เจ้า เช่นเดียวกับหม่อมเจ้าชายอานันทมหิดล ที่ได้เป็นพระองค์เจ้า และหลังจากมีประกาศ 1 เดือน พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงประสูติ เป็นพระองค์เจ้าตั้งแต่แรกประสูติ
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เคยมีรับสั่งเล่าพระราชทานและทรงเขียนไว้ว่า...ฉันเอง และรัชกาลที่ 8 เกิดเป็นหม่อมเจ้า แต่พระเจ้าอยู่หัวนั้นท่านประสูติเป็นพระองค์เจ้า เพราะฉะนั้นชีวิตฉันมาถึงป่านนี้ ฉันเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนยศตั้ง 6 ครั้ง
    เมื่อคราวที่มีผู้ไปกราบทูลว่า สมควรจะเปลี่ยนครั้งที่ 7 มีรับสั่งว่า พอแล้ว เพราะเปลี่ยนมา 6 ครั้งแล้ว เพราะตอนนี้มีดำริที่จะถวายเฉลิมพระยศให้สูงขึ้น ก็ไม่โปรด รับสั่งว่า อายุปูนนี้เปลี่ยนมา 6 หนนั้นพอแล้ว
    นี่คือเรื่องของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ คำว่า เป็นพี่ที่มีพ่อและแม่เดียวกัน มีคำราชาศัพท์เรียกว่า "พระโสทรเชษฐภคินี"
    "โสทร" แปลว่า ร่วมท้องเดียวกัน เหมือนคำว่า "อุทร"
    "เชษฐภคินี" แปลว่า พี่สาว ฉะนั้น คำว่า "เชษฐภคินี" อย่างเดียว อาจจะไม่ใช่พี่สาวแม่เดียวกันก็ได้ อาจจะร่วมพ่อเดียวกัน แต่คนละแม่ก็ได้
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงองค์อุปถัมภ์มรดกธรรมอันยิ่งใหญ่
    http://www.komchadluek.net/2008/11/16/x_lady_i001_231334.php?news_id=231334


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER>[​IMG]</CENTER>


    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง
    และพระธัมมทานที่ได้พระราชทานไว้ก่อนเสด็จสู่สวรรคาลัย คือ พระไตรปิฎกสากล ซึ่งจักเป็นมรดกธรรมที่จะแพร่หลายต่อไปชั่วกาลนาน

    ด้วย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ทรงเห็นความสำคัญของภาษาบาลี ในฐานะที่เป็นภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ ด้วยเหตุนี้การรักษาและสืบทอดพระไตรปิฎกบาลี จึงเป็นการบำเพ็ญพระกุศลเป็นการส่วนพระองค์ที่สำคัญประการหนึ่งในปลายพระชนม์ชีพ โดยปี พ.ศ. 2544 ได้เสด็จไปทรงเป็นประธานในการแสดงปาฐกถาพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรก ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2546 ทรงเริ่มศึกษาโครงการพระไตรปิฎกสากล และในปี พ.ศ. 2547 ทรงรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ เพื่อพระราชทานและประดิษฐานพระไตรปิฎกสากลในนานาประเทศ <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    จากนั้นในปี พ.ศ.2548 ได้เสด็จจาริกส่วนพระองค์ ณ กรุงโคลัมโบ ตามคำกราบทูลเชิญของประธานาธิบดีศรีลังกา เพื่อพระราชทานพระไตรปิฎกฉบับสากลอักษรโรมัน 40 เล่ม ชุดแรกของโลกเป็นปฐมฤกษ์ แก่สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และได้พระราชทานพระไตรปิฎกสากลตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
    ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่เข้าพระทัยว่า พระไตรปิฎกบาลีเป็นพระพุทธพจน์ที่บริสุทธิ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นคลังอารยธรรมทางปัญญาและสันติสุขที่แท้จริง ดังที่ปรากฏแล้วในประวัติศาสตร์โลกมาร่วม 3,000 ปี และในความเป็นสากลที่สำคัญยิ่งของพระไตรปิฎกบาลี พระองค์ท่านจึงทรงเป็นผู้ริเริ่มให้ปรากฏใหม่ในประชาคมโลก คือ การประดิษฐานพระไตรปิฎก อักษรโรมันในสถาบันตุลาการระดับนานาชาติ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นสถาบันตุลาการระดับชาติแห่งแรกของโลกที่ได้รับพระไตรปิฎกสากล ในปี พ.ศ. 2548

    และในปี พ.ศ. 2550 ก็ได้พระราชทานพระไตรปิฎกสากลฉบับนี้แก่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระดับนานาชาติ และพระราชทานแก่ ศาลฎีกาแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในราชอาณาจักรไทย <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    การพระราชทานพระไตรปิฎกสากล จากผู้ทรงเป็นปราชญ์และกุลเชษฐ์แห่งพระราชวงศ์ พร้อมทั้งการจัดพิมพ์เป็นอักษรโรมันชุดสมบูรณ์เป็นครั้งแรกจากประเทศไทย จึงได้รับการต้อนรับจากสถาบันสำคัญต่างๆ ในระดับนานาชาติ ด้วยผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมเห็นว่าพระไตรปิฎกชุดนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาและสันติสุข เสมือนสมบัติอันล้ำค่าและเกียรติยศสูงสุด ในการแสดงออกถึงอุดมการณ์ของบุคคลและสถาบันนั้นๆ ที่จะอุทิศเพื่อความเจริญที่ยั่งยืนในสังคมโลก
    พระไตรปิฎกสากลชุดนี้ได้ประดิษฐานแล้ว ณ สถาบันการศึกษาในต่างประเทศหลายแห่ง ได้แก่ สวีเดน อินเดีย และญี่ปุ่น ดังปรากฏล่าสุดที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จไปพระราชทานพระไตรปิฎกสากลแก่สถาบันต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
    ล่าสุดกองทุนสนทนาธัมม์นำสุข ท่านผู้หญิง ม.ล.มณีรัตน์ บุนนาค ในสังฆราชูปถัมภ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แถลงข่าว "การมอบพระไตรปิฎกสากลเป็นพระธัมมทาน" แก่สถาบันสำคัญ 10 สถาบันใน 10 ประเทศ เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    สถาบันนานาชาติทั้ง 10 สถาบัน ใน 10 ประเทศ ที่ได้รับมอบพระไตรปิฎกสากลเป็นธัมมทานนั้น ได้แก่ สถาบัน Buddhist Academy at the Holy Tooth Relic, Kandy สถาบันทางพระพุทธศาสนาที่ทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในประเทศศรีลังกา, สถาบัน World Tipitaka Council of Japan, Tokyo ผู้แทนสถาบันต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นที่เคยรับพระราชทานพระไตรปิฎกอักษรสยามในสมัยรัชกาลที่ 5, The National Library of Sweden, Stockholm หอสมุดแห่งชาติสวีเดน ที่เคยได้รับพระราชทานพระไตรปิฎกอักษรสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วน บังกลาเทศ ฮ่องกง เกาหลี มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และสิงคโปร์ เป็นสถาบันที่ได้รับการคัดเลือกจากสภาพระไตรปิฎกสากลแห่งประเทศศรีลังกา
    การมอบพระไตรปิฎกสากลเป็นพระธัมมทานแก่สถาบันต่างๆ ในนานาประเทศ เป็นการดำเนินตามพระศรัทธาใน สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวง ที่ได้ทรงอุปถัมภ์พระไตรปิฎกสากล ซึ่งความเป็นสากลดังกล่าว ทำให้ประชาชนชาวโลกสามารถร่วมกันอนุรักษ์ศึกษาและอ่านสังวัธยายได้ สำหรับประเทศไทย ทางกรุงเทพมหานคร ได้จัดให้มีพิธีอ่านพระสังวัธยายพระไตรปิฎกสากล ที่ลานคนเมือง และทุกเขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณในการเผยแผ่พระไตรปิฎกสากลจากประเทศไทยสู่นานาประเทศทั่วโลกด้วย
    ด้าน ฯพณฯ จายาราทนา บันดา ดิซานายากา เอกอัครราชทูตศรีลังกา ประจำประเทศไทย คณะผู้แทนต่างประเทศที่เดินทางมารับมอบพระไตรปิฎกสากล ได้กล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ว่า ไทยและศรีลังกามีความใกล้ชิดกันมานานนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน อีกทั้งเป็นประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พระไตรปิฎกคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีความสำคัญยิ่งต่อชาวพุทธทั่วโลก
    "พระมหากษัตริย์เป็นองค์สำคัญที่สุดของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แห่งราชอาณาจักรไทย ทรงเป็นธรรมมิกราชามาตลอด การที่กองทุนสนทนาธัมม์นำสุขฯ ได้มอบพระไตรปิฎกให้แก่วัดพระเขี้ยวแก้ว วัดสำคัญของศรีลังกา การรับมอบครั้งนี้จึงมีความสำคัญยิ่ง ตอนที่ข้าพเจ้าไปที่วัดนี้ก็ได้เห็นพระไตรปิฎกฉบับสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเก็บรักษาในตู้พระไตรปิฎกไว้อย่างดี"
    ฯพณฯ เคียวจิ โคมาชิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ผู้แทนรับมอบพระไตรปิฎกสากล กล่าวว่า ด้วยพระกรุณาธิคุณในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงขอขอบคุณกองทุนสนทนาธัมม์นำสุขฯ เป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกสากลชุด 40 เล่มชุดนี้ ซึ่งนับเป็นผลงานอันยอดเยี่ยม รวมทั้งมีความยินดียิ่งในการจัดพิมพ์ดังกล่าว และรู้สึกเป็นเกียรติที่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
    "จากนี้จะมีการนำพระไตรปิฎกสากลไปเผยแผ่ต่อไป โดยจะนำไปประดิษฐานไว้ที่มหาวิทยาลัย ห้องสมุด และวัดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษา ซึ่งพระไตรปิฎกอักษรโรมันชุดนี้ เป็นฉบับที่มีความถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมทั้งอ่านง่าย ทำให้ศึกษาได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น นับเป็นผลงานอันทรงคุณค่า นำมาซึ่งปัญญา ความรุ่งเรือง และสันติสุขสู่โลก" พระกรุณาธิคุณในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ได้พระราชทานและประดิษฐานพระไตรปิฎกสากล จึงเป็นกุศลประโยชน์อันประมาณค่ามิได้ ขอทรงเจริญในพระธัมม์ตราบจนถึงพระนิพพานเทอญ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>ตามดูสุนัขทรงเลี้ยงใน"พระตำหนักเลอดิส" อีกครั้ง
    http://www.komchadluek.net/2008/11/16/x_soc_s001_231372.php?news_id=231372

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER>[​IMG]</CENTER>


    พระตำหนักเลอดิส(Le Dix Palace) เป็นพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือที่ทรงเรียกพระตำหนักของพระองค์ว่า "บ้าน"
    ทุกครั้งพระตำหนักเลอดิส ตั้งอยู่เลขที่ 10 ซอยแสงมุกดา ถนนสุขุมวิท 43 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร คำว่า "เลอดิส" ที่นำมาใช้ตั้งชื่อพระตำหนักนั้น แปลว่า บ้านเลขที่ 10 ในภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง โดยก่อนหน้านี้ทรงประทับอยู่ที่วังสระปทุม ก่อนจะทรงย้ายมาประทับที่วังเลอดิส เมื่อปี พ.ศ. 2523
    เมื่อพูดถึง"พระตำหนัก" เชื่อว่าทุกคนคงจินตนาการกันไปว่า พระตำหนัก จะต้องใหญ่โตและหรูหรา สมกับพระเกียรติของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเป็นแน่ แต่สำหรับพระตำหนักเลอดิสแห่งนี้ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนจินตนาการเลยสักนิด ด้วยอาณาบริเวณที่ไม่กว้างขวาง และการตกแต่งที่เรียบง่ายสอดคล้องกับพระจริยวัตรของพระองค์ที่เรียบง่าย...แต่งดงามยิ่ง <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    พระตำหนักเลอดิส อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับ พระตำหนักวิลล่าวัฒนา อาคาร 6 ชั้นตั้งอยู่ในซอยบ้านดอน ถนนสุขุมวิท 47 สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2540 เพื่อใช้เป็นที่ทรงงานหรือเป็นที่รับแขก โดยชื่อพระตำหนักวิลล่าตั้งชื่อตาม พระตำหนักวิลล่าวัฒนา (Villa Vadhana) เมืองปุยยี ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเช่าใช้เป็นที่ประทับ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2478 เป็นเวลากว่าสิบปี
    บริเวณพระตำหนักเลอดิสร่มรื่นด้วยเงาไม้ใหญ่ มีตำหนักแพซึ่งเคยอยู่ในวังเพชรบูรณ์ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ตั้งอยู่เป็นศาลากลางน้ำ มีเต่าอาศัยอยู่มากมายในสระน้ำนั้น นอกจากนี้ยังมีองครักษ์น้อยๆ อย่างสุนัขทรงเลี้ยงเกือบ 30 สุนัข ที่พระองค์ทรงโปรด ต่างอาศัยอยู่ในพระตำหนักแห่งนี้ ด้วยความรักความเมตตาจากพระองค์
    สุนัขทรงเลี้ยงที่เราคุ้นตากันดีคือ สุนัขเพศเมียพันธุ์บอร์เดอร์เทอร์เรีย ชื่อ คุณสิบสาม ซึ่งเป็นสุนัขที่โปรด ไม่ว่าจะเสด็จไปแห่งหนใดจะทรงจูงคุณสิบสามไปด้วยทุกครั้งคุณสิบสามจากไปเมื่อปี 2546 ด้วยอายุยืนยาวถึง 15 ปี 22 วัน ภายในอ้อมพระกรของพระองค์ด้วยความรักและพระเมตตา <CENTER>[​IMG]</CENTER>



    ไม่เพียงแต่คุณสิบสามเท่านั้นที่ทรงให้ความรักและความเมตตาภายในพระตำหนักเลอดิส ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีกหลายสุนัข ที่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สุนัขทรงเลี้ยงทั้งหมด มีความน่ารัก น่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก ไล่กันมาตั้งแต่สองผู้เฒ่าประจำวังเลอดิส คุณเค็ดซัล คุณตอลเต็ก เกิดวันที่ 7 พฤษภาคม 2535 ทั้งสองเป็นลูกของ คุณพาโร และ คุณทิมพู สุนัขพันธุ์แอปโซพาโรนั้นเจ้าหญิงเพมเพมแห่งภูฏานและดาโชบารุน พระสวามีได้ถวายเป็นที่ระลึกแด่พระองค์ท่าน เมื่อคราวเสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏาน ปี 2531
    คุณต้นคูนเกิดเดือนกันยายน2546 สำหรับต้นคูนนี้ไม่ทราบวันเกิดที่แน่นอน เพราะทรงพบ ต้นคูน ผูกติดไว้กับต้นคูนหน้าวังเลอดิสจึงกลายเป็นที่มาของชื่อ คุณเท็นอีเลฟเว่นเจ้าชิทสุเท็นอีเลฟเว่นเกิดวันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะเกิดวันที่ 10 เดือน 11 คุณไนท์ เกิดในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์2549 ถือเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของวัง คุณบ่อเบี้ย เป็นสุนัขพันธุ์บางแก้ว เกิดวันที่ 12 ตุลาคม2547 ส่วนสุดสวย-สุดหล่อ คุณซิกแซ็ก-คุณเกาลัดจัดเป็นคู่หูตุนาหงันและเป็นดาวเด่นของพระตำหนักแห่งนี้คุณซิกแซ็ก เกิดวันที่ 28 ธันวาคม2545 ส่วนคุณเกาลัด เกิดวันที่ 30 มิถุนายน 2544 ทั้งสองสุนัขมีลูก 4 สุนัข โดยประทานชื่อในตระกูลถั่ว ประกอบด้วย คุณเฮเซลนัท คุณเชสท์นัท คุณพีนัท และ คุณวอลนัท เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547คุณหลง เกิดวันที่ 5 กันยายน 2541 เป็นสุนัขหลงเหมือนชื่อ เพราะหลงอยู่ในซอยหน้าวัง สามพี่น้อง คุณตูลูส คุณอัลบี้คุณลียอง เกิดวันเดียวกันเมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 2537 ทั้งสามเป็นลูกของ คุณเกร สุนัขพันธุ์ไทยและ คุณจุด สุนัขพันธุ์ดัลเมน แต่ความจริงแล้วครอบครัวนี้มีกัน 4 พี่น้อง อีกตัวหนึ่งคือ คุณหนูเล็ก แต่พระองค์ท่านได้ประทานให้ผู้อื่นไป <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    คุณคีรีบูนเกิดวันที่26 สิงหาคม 2539 มาจากประเทศสเปน เป็นสุนัขที่ปราดเปรียว สง่างาม ถ้าดูจากทางด้านหน้าจะเห็นว่าเป็นสุนัขที่ผอมมาก ซึ่งเป็นมาตรฐานของสุนัขพันธุ์นี้ หนุ่มหล่อ คุณแซนดี้ เกิดวันที่ 15 มีนาคม 2543 ส่วนคู่แม่ลูก คุณมน เกิดวันที่ 10 มีนาคม 2544 ส่วนลูก คุณวันพุธ เกิดวันที่ 8 มิถุนายน 2548 คุณมังกร เกิดวันที่ 6 มกราคม 2544 ส่วนเจ้าชิทสุ คุณดาว เป็นสาวสวยเกิดวันที่ 2 กันยายน 2545 ขณะที่ คุณแพนด้า เป็นรุ่นพี่ เกิดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2540 ส่วน คุณเจน กับ คุณไดมอนด์เกิดวันที่29 สิงหาคม 2546 ปิดท้ายด้วย คุณภาพัน เกิดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547
    จริงๆแล้วนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสุนัขทรงเลี้ยงในพระตำหนักเลอดิสเท่านั้น แม้วันนี้จะไม่มี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในพระตำหนักแล้ว แต่สุนัขทรงเลี้ยงของพระองค์ท่าน ก็ยังคงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากข้าราชบริพารในพระองค์ทุกคนเช่นเดิม <CENTER>[​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โสทรเชษฐภคินี...พี่สาวผู้ยิ่งใหญ่

    http://www.posttoday.com/news.php?id=17759

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยมีพระราชดำรัสว่า"สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็นสมเด็จพระโสทรเชษฐภคินีอันสนิท"


    [​IMG]

     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>มีวิกฤต มีโอกาส

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.posttoday.com/finance.php?id=17716

    โนฮาว : สวัสดีครับ สบายดีนะครับ


    ปูกะตอย : สบายดีจ้า สบายดีจ้า เข้าหน้าหนาวเต็มตัวแล้วนะ สุขภาพน่ะ ดูแลบ้างนะ เห็นทำแต่งาน

    โนฮาว : แหม ก้อไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังงัย มีพลังก้อทำๆ ไปเถอะ

    ปูกะตอย : ชั้นว่าสุขภาพสำคัญกว่าความร่ำรวยนะ แต่ถ้าแข็งแรงทั้งสองเรื่องก้อยิ่งดี เอ้อ...ว่าแต่ว่ารู้เปล่าว่าปีหน้าตลาดหุ้นจะเป็นยังงัย ชั้นดูทีวีทีไรมีแต่เรื่องไม่ค่อยดีทั้งนั้น หาอะไรบวกๆ แทบไม่เจอเลยอ่ะ

    โนฮาว : ถามแบบนี้ใครจะไปรู้ ทุกคนก็ได้แค่คาดเดากันทั้งนั้น ไม่มี ใครรู้หรอกว่าปีหน้าหุ้นบ้านเราจะออกหัวหรือออกก้อย แต่ที่แน่ๆ จะทำอะไร ก้อระมัดระวังให้มากขึ้น

    ปูกะตอย : เรื่องนี้ชั้นรู้แล้ว แต่ชั้นอยากรู้ว่าในช่วงวิกฤตแบบนี้พอจะมีทางให้ชั้นได้นำเงินไปออมไปลงทุนในหุ้นได้บ้างป่ะ

    โนฮาว : มีสิ ไม่ได้ยินเหรอว่า ในท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาส วันนี้มี คนบอกว่าปัญหาวิกฤตการเงินทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนในระบบอยู่ที่ประมาณ 30 เท่า จึงมีความพยายามที่จะลดสัดส่วนนี้ให้น้อยลงด้วยการขายหุ้นออกมา ทำให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ถูกมาก แต่เม็ดเงินจากการขายหุ้นยังคงอยู่ในระบบ และมีแนวโน้มที่จะกลับมาลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีในระยะยาว แต่ก็ยังกังวลว่าวิกฤตจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

    ปูกะตอย : ตกลงชั้นจะดีใจ หรือเสียใจ

    โนฮาว : ผู้รู้แนะนำว่า ตอนนี้มีนักลงทุน 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก เป็นพวกที่ยังไม่เคยลงทุนในหุ้น ถือเป็นกลุ่มที่โชคดีที่สุดที่จะเข้ามาลงทุนใน ตลาดหุ้น เพราะมีโอกาสได้ของดีราคาถูก และเชื่อว่าหลังวิกฤตเศรษฐกิจจะมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้น กลุ่มถัดมาเป็นพวกที่ลงทุนในตลาดอยู่แล้ว ก้อควรเพิ่มการ ถือครองเงินสด ลดสัดส่วนการถือหุ้นลง และเล่นเป็นรอบได้ เมื่อหุ้นลงอย่างหนักแล้วเข้าซื้อ กลุ่มสุดท้ายเป็นนักลงทุนระยะสั้นที่คลุกคลีกับตลาดอยู่แล้ว อาจต้องมองตลาดยามผันผวนให้ขาด หรืออาจต้องคิดสวนทาง อย่างเช่น เมื่อหุ้นขึ้น ให้ขายและซื้อเก็งกำไรเมื่อหุ้นลดลงแรง

    ปูกะตอย : แล้วชั้นอยู่กลุ่มไหนอ่ะ

    โนฮาว : อ้าว ขนาดตัวเองยังดูไม่ออกว่าเป็นนักลงทุนกลุ่มไหน งั้นวันนี้กลับไปทบทวนความทรงจำที่บ้านจะดีกว่า บาย บาย
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD><TD width=50></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" summary="" border=0><TBODY><TR><TD class=Tahoma12 vAlign=top align=left>http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=T0123741&issue=2374


    <CENTER>จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2374 13 พ.ย. - 15 พ.ย. 2551
    </CENTER>
    </TD><TD class=Tahoma12 vAlign=top align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" summary="" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD height=231><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width="60%"><TABLE class=ContentsSmall cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=ContentsSmall cellSpacing=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=Tahoma12 vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center bgColor=#cccccc><TBODY><TR><TD><TABLE height=20 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    ดูขยายใหญ่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=Tahoma12>มึน!น้ำมันลดของกินแพง _กระทุ้งพาณิชย์อย่าทำเป็นลืม/ 'ยูนิลีเวอร์-สหพัฒน์' ไม่ลดแต่แถม </TD></TR><TR><TD><DD>ต้นทุนชีวิตคนไทยยังพุ่งรอบด้าน แทบไม่พอยาไส้ ราคาสินค้าไม่มีทีท่าปรับลดลง แม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง 50% แล้ว ผู้ผลิตรายใหญ่ "ยูนิลีเวอร์/สหพัฒน์" แจงไม่ได้ทำลืม อ้างห้างจัดโปรโมชันลดแลกแจกแถมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลดราคาอีก ขณะที่ร้านข้าวแกงยันขายที่จานละ 25-35 บาท เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้ม/น้ำมันพืช/ค่าเช่ายังสูง ด้านคน.เตรียมกระทุ้งอีกรอบ



    <DD>จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ปรากฏว่าซัพพลายเออร์สินค้าทั้งรายใหญ่รายเล็กไม่ลดราคาสินค้าตามราคาน้ำมันที่ลดลง ในแง่ผลกระทบผู้บริโภค เป็นการเอาเปรียบเกินไปหรือไม่ เพราะเวลาขอขึ้นราคากับกรมการค้าภายในอ้างต้นทุนน้ำมันแพงขึ้น แต่เมื่อราคาน้ำมันลดลงกลับเมิน อ้างวัตถุดิบอื่นๆ ไม่ลดราคา โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค จากการสำรวจของ"ฐานเศรษฐกิจ" ผู้ประกอบการหลายรายอ้างว่าการปรับลดราคาเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เนื่องจากสินค้าไม่ได้มีต้นทุนการผลิตจากราคาน้ำมันแต่มีต้นทุนการผลิตจากราคาวัตถุดิบเป็นหลัก



    <DD>++ยูนิลีเวอร์ยันไม่ลดราคาสินค้า



    <DD>นางพงษ์ทิพย์ เทศะภู ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสาร บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ในช่วงที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับขึ้นราคา บริษัทไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่มีนโยบายการปรับลดราคาสินค้า เนื่องจากการประเมินสถานการณ์ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่า เศรษฐกิจยังคงชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งจะส่งผลให้การแข่งขันของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครุนแรงขึ้น



    <DD>"เห็นได้จากการจัดโปรโมชันในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่มีทั้งลด แลก แจก แถม รวมถึงกลยุทธ์การซื้อ 1 แถม 1 ซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าในราคาที่ถูกและสมเหตุสมผลอยู่แล้ว"



    <DD>++สหพัฒน์ยังไม่คุ้มกับต้นทุน



    <DD>ด้านนายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ



    <DD>สหพัฒน์ กล่าวว่า การที่สินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงนี้ ยังไม่มีการปรับลดราคา เนื่องจากวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เคมีต่างๆ ยังไม่มีการปรับลดราคาแต่อย่างใด ประกอบกับช่วงที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นเกือบถึง 40 บาทต่อลิตรนั้น บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าบางรายการเท่านั้น โดยเฉพาะในกลุ่มซักล้างที่ปรับขึ้นเพียง 10% ยังไม่คุ้มกับต้นทุนราคาที่เฉลี่ยสูงขึ้น 30%



    <DD>++ห้างงัดโปรโมชันลดราคา



    <DD>สำหรับการสำรวจราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในห้างสรรพสินค้าของ"ฐานเศรษฐกิจ"พบว่า การแข่งขันของสินค้าแต่ละแบรนด์ ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยในห้างเทสโก้ โลตัส เกือบทุกสาขา ล่าสุดได้จัดโปรโมชันลดราคา อาทิ ผงซักฟอกเอสเซ้นส์ 550 กรัม จากราคาปกติ 48 บาท ลดเหลือ 41 บาท ขณะที่ห้างบิ๊กซี เหลือ 39 บาท โดยซื้อ 1 แถมอีก 1 ชิ้น ผงซักฟอกบรีส ขนาด 1,100 กรัม ลดราคาจาก 99 บาท เหลือ 85 บาท หรือครีมบำรุงผิวบีไนซ์ ซื้อ 1 แถม 1 จากราคาปกติ 84.50 บาท หรือในห้างบิ๊กซี ได้จัดโปรโมชันเช่นกัน อาทิ ยาสีฟันซอลส์ บรรจุแพ็กคู่ ราคาปกติ 95 บาท ซื้อ 2 ชิ้นได้ในราคา 180 บาท น้ำมันมรกตเหลือ 38 บาท



    <DD>++ ข้าวแกงยืนราคา 25-35 บาท



    <DD>ทั้งนี้จากการสำรวจไม่เพียงแต่สินค้าอุปโภค บริโภคเท่านั้นที่ยังไม่ปรับลดราคา แม้แต่อาหารการกิน โดยเฉพาะข้าวแกง อาหารบรรจุถุง ตามร้านอาหารทั่วไปก็ไม่มีการปรับลดเช่นกัน ซึ่งจากการสอบถามจากร้านขายข้าวแกง ร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วๆไป ได้รับคำตอบไม่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ระบุว่า ในช่วง 2 ปีก่อน ราคาข้าวราดแกง จะตกอยู่ที่ 20-25 บาท แต่หลังจากต้นทุนหลักที่ใช้ประกอบอาหารได้ปรับตัวสูงขึ้น แม้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะปรับลด แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากนัก



    <DD>++โอดวัตถุดิบตัวอื่นยังไม่ลด



    <DD>สำหรับต้นทุนหลักที่ปรับขึ้นนั้น มาจากวัตถุดิบหลัก ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำตาลทรายที่ปรับขึ้นจาก 13.25 บาทต่อกิโลกรัม ปรับขึ้นเป็น 17.50 บาทต่อกิโลกรัม ราคาก๊าซหุงต้มจาก 260 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม รวมถึงน้ำมันพืชที่ปรับราคาขึ้นสูงเฉลี่ยเกือบ 10 บาทต่อขวดลิตร โดยน้ำมันปาล์มปรับขึ้นจากราคา 38 บาทต่อขวดเป็น 47.50 บาทต่อขวด น้ำมันถั่วเหลืองจาก 41 บาท ปรับขึ้นเป็น 49 บาทต่อขวด



    <DD>"แม้ว่าจะลดต้นทุนส่วนนี้ด้วยการซื้อขนาดเป็นถังปี๊บขนาดใหญ่ แต่ราคาเฉลี่ยก็ไม่แตกต่างกันมากนัก นี่ยังไม่รวมถึงราคาเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อหมูที่ปรับขึ้นจาก 70-80 บาทต่อกิโลกรัม ราคาข้าวสารที่ปรับตัวสูงขึ้นมากเกือบ 100% โดยเฉพาะราคาข้าวหอมมะลิ ที่ปรับขึ้นจากถังละ 260-280 บาท ปรับเป็น 480-500 บาท ทำให้จำเป็นต้องปรับราคาข้าวราดแกงขึ้นเป็น 25-35 บาท"เจ้าของร้านข้าวแกงรายหนึ่งชี้แจงให้ฟังถึงเหตุผลว่าทำไมไม่ลดราคา



    <DD>++แฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ลด



    <DD>นอกจากนี้ยังพบว่า ร้านอาหารที่ดำเนินธุรกิจประเภทแฟรนไชส์ ก็ไม่มีการปรับลดราคาสินค้าเช่นกัน โดยนายพรเทพ คงเอี่ยมพิธี เจ้าของแฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวหมูนายฮุย กล่าวว่า ราคาก๋วยเตี๋ยวในแต่ละสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศจะจำหน่ายในราคาไม่เท่ากัน เริ่มตั้งแต่ 20-35 บาท ขึ้นอยู่กับค่าเช่าพื้นที่ รวมทั้งที่ผ่านมาราคาต้นทุนวัตถุดิบมีการปรับราคาสูงขึ้น อาทิ ราคาก๊าซหุงต้ม จากเดิม 160-180 บาทต่อถัง เพิ่มเป็น 250 บาทต่อถัง รวมถึงราคาเนื้อสัตว์ยังมีราคาสูง แม้ว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวปรับลดลงเฉลี่ย 1 บาทต่อกิโลกรัม แต่ต้นทุนอื่นๆ ยังสูงต่อเนื่อง



    <DD>++นายฮุยแนะลดลูกชิ้น7เหลือ5ลูก



    <DD>เจ้าของแฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวหมูนายฮุย กล่าวย้ำว่า ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าที่ซื้อแฟรนไชส์เพื่อดำเนินธุรกิจต้องกำหนดราคาจำหน่ายเอง และหากบางร้านมาขอคำปรึกษาจะให้ยืนพื้นราคาเดิมไว้ แต่ลดสัดส่วนปริมาณอาหารลง อาทิ ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม จากเดิมได้ลูกชิ้น 7 ลูก ลดเหลือ 5 ลูก ขณะที่ปริมาณการสั่งวัตถุดิบจากสาขาแฟรนไชส์ก็มีปริมาณลดลง โดยเฉพาะเส้นก๋วยเตี๋ยว จากเดิมที่เคยสั่ง 5 กิโลกรัมต่อวัน บางสาขาลดลงเหลือแค่ 2 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น



    <DD>++ร้านเบเกอรี่อ้างน้ำตาล-นมยังสูง



    <DD>เช่นเดียวกับนางศิริพร แข่งเพียงแข หนึ่งในเจ้าของแฟรนไชส์ต้นตำรับโดนัตเค้กเสียบไม้ "รองด์ รองด์ โดนัท สติ๊ก" ที่กล่าวว่า ทางร้านไม่มีการปรับลดราคาสินค้า เนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวสำหรับการทำเบเกอรี่ 1 กิโลกรัม จากเดิม 17.25 บาท ปรับขึ้นเป็น 22.60 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์อยู่ที่ 23.60 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมที่มีราคา 18.25 บาทต่อกิโลกรัม อีกทั้งราคาเนยได้ปรับขึ้นเช่นกัน จากขนาด 5 กิโลกรัม ราคา 400 กว่าบาทเพิ่มขึ้นเป็น 500 กว่าบาท นอกจากนั้นราคานมเพิ่มขึ้น จึงทำให้ที่ผ่านมามีการปรับราคาขายหน้าร้านขึ้นจากเดิม 10 บาท ขึ้นเป็น 13 บาท /ไม้



    <DD>ส่วนในกรณีที่บริษัทขึ้นราคาขายหน้าร้านนั้น ได้มีการแจ้งให้กับลูกค้าทราบ ขึ้นอยู่แต่ละร้านจะขึ้นราคาหรือไม่ ถึงแม้วัตถุดิบที่ซื้อไปจากร้านจะขายเท่าเดิม แต่ยังมีวัตถุดิบอื่นๆ ที่ลูกค้าจะต้องไปซื้อเพิ่มยังต้องแบกภาระด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางโรงงานได้แจ้งว่า มีสินค้าบางอย่างที่ทยอยลดราคาลงมา เช่น เนย หากมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ราคาขายหน้าร้านอาจจะต้องปรับราคาลงมา 2-3 บาท เท่าราคาเดิมที่เคยขาย แต่ต้องพิจารณาสถานการณ์อีกครั้งภายใน 1 เดือนข้างหน้า



    <DD>++บ้านไม่ลดตามราคาเหล็กปูน



    <DD>ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ราคาเหล็กเส้นลดลงมาอยู่ที่ 18,000-40,000 บาทต่อตัน และราคาต่อกิโลกรัมเหลือ 18-24 บาท ส่วนราคาปูนอยู่ที่ 115-116 บาทต่อถุงลดลง 6% จากช่วงที่น้ำมันมีราคาแพงที่มีราคา 123 บาทต่อถุงแต่อย่างไรก็ตามราคาบ้านไม่ได้ปรับลดลงตาม



    <DD>เช่นเดียวกับนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) โดยกล่าวว่าแม้ราคาเหล็กจะลดลงแต่ราคาบ้านไม่ได้ปรับลดลงตาม หากจะมีการปรับลดก็จะทำเฉพาะทำเลที่มียอดขายไม่ดีเท่านั้นและเป็นในรูปแบบการแจกและแถมของตกแต่งบ้านมากกว่า



    <DD>++"คน."บอกไล่บี้เต็มที่แล้ว



    <DD>นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่ลดลงที่หลายคนรู้สึกว่า สินค้าอุปโภค-บริโภคโดยส่วนใหญ่ยังไม่ปรับลดลงตามราคาน้ำมัน โดยข้อเท็จจริงเวลานี้สินค้าหลายรายการที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนด้านการขนส่ง และเป็นต้นทุนวัตถุดิบได้ทยอยปรับลดราคาลงแล้ว โดยการปรับลดราคาแยกเป็น 2 กรณีคือ ผู้ประกอบการปรับลดราคาลงเอง และอีกส่วนหนึ่งปรับลดราคาลงตามคำร้องขอของกระทรวงพาณิชย์



    <DD>โดยที่ปรับลดราคาเองอาทิ ปลากระป๋อง ส่วนที่ปรับลดลงตามคำร้องขอของกระทรวงพาณิชย์ อาทิ น้ำมันปาล์มที่ก่อนหน้านี้ได้ขอให้ผู้ประกอบการตรึงราคาไว้ที่ขวดละ 47.50 บาท ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้เชิญผู้ประกอบการมาประชุมเพื่อความร่วมมือให้ปรับลดราคาลงเหลือขวดละ 38 บาท แต่ล่าสุดผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ปรับราคาลงเหลือขวดละ 35-36 บาท



    <DD>++เรียกพ่อค้าปุ๋ยหารือ



    <DD>ขณะเดียวกันในเดือนธันวาคมจะเชิญผู้ประกอบการปุ๋ยสำหรับต้นยางพารา ปาล์มน้ำมัน มาหารือเพื่อขอความร่วมมือในการปรับลดราคา และจะเชิญผู้ประกอบการปุ๋ยสำหรับนาข้าวมาหารืออีกครั้ง เพื่อขอความร่วมมือปรับลดราคาในรอบที่สอง หลังจากได้รับความร่วมมือในการปรับลดราคาปุ๋ยทุกสูตรลงจากเดิมเฉลี่ย 20% และในต้นปีหน้าจะเชิญผู้ประกอบการปุ๋ยสำหรับพืชไร่ เช่น ข้าวโพดเพื่อขอให้ลดราคาลงเป็นลำดับถัดไป รวมถึงทางกรมจะได้เรียกผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายกลุ่มสินค้ามาหารือต่อไป



    <DD>++กล่อมร้านข้าวแกงขายถูกลง



    <DD>ด้านนางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงราคาอาหารประเภทข้าวแกงและอาหารตามสั่งซึ่งจำเป็นต่อการครองชีพของคนไทยว่า ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาทางกรมได้เรียกประชุมผู้ประกอบการร้านอาหารในฟูดคอร์ตตามห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือในการปรับลดราคาอาหารลง จากช่วงราคาน้ำมันแพงได้ปรับขึ้นไปเป็นจานละ 30-40 บาท ขอให้ลดลงเหลือ 25-30 บาท ล่าสุดได้รับรายงานจากสายตรวจของกรมแจ้งว่า มีสาขาของห้างสรรพ



    <DD>สินค้าหลายแห่งได้ทำการปรับลดราคาลงแล้ว และอีกหลายสาขาอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ



    <DD>ส่วนร้านข้าวแกงตามตรอกซอก ซอย และตามตลาดสดต่างๆ ที่ปรับราคาอาหารขึ้นไปเป็นจานละ 20-25 บาท ทางเจ้าหน้าที่ของกรมได้เร่งเข้าไปเจรจาขอความร่วมมือให้ขายไม่เกินจานละ 20 บาท ขณะที่ผู้ค้าอีกส่วนหนึ่งก็ได้ปรับลดราคาข้าวแกงลงแล้ว



    <DD>++อาหารกุ้งลดแล้ว5%



    <DD>นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมการค้าภายในได้ทำหนังสือขอให้พิจารณาลดราคาอาหารสัตว์น้ำ ทางสมาคม ได้พิจารณาแล้วและมีความเห็นตรงกันว่ายินดีที่จะให้ความร่วมมือ โดยมีข้อสรุปว่าจะลดราคาอาหารกุ้งลง 5% มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ได้แจ้งข้อมูลไปยังเกษตรกรและลูกค้าให้รับทราบกันทั่วประเทศแล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีเกษตรกรและลูกค้ารายใดไม่ทราบข่าว หรือต้องจ่ายค่าสินค้าในราคาเดิมอยู่อีก



    <DD>++ก.ค.-พ.ย.ราคาน้ำมันร่วง50%



    <DD>สำหรับราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ได้ปรับตัวไปอยู่ที่ 147 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมัน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ขยับตัวไปอยู่ที่ระดับ 44.89 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซล 44.84 บาทต่อลิตร และหลังจากนั้นมาราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ในระดับราคา 62 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 27.75 บาทต่อลิตร และดีเซล 22.84 บาทต่อลิตร หรือราคาน้ำมันได้มีการปรับลดลงประมาณ 50% แล้ว



    <DD>จากผลการปรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง ส่งผลให้ราคาค่าโดยสารรถโดยสาร



    <DD>ขสมก.ปรับราคาจาก 7.50 บาท เหลือ 7 บาท ขณะที่รถร่วมบริการปรับลดจาก 10 บาท เหลือ 8.50 บาท ขณะที่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยและเหล็กก็ได้ปรับลดราคาเช่นกัน อาทิ เหล็กกล่องขนาด 1 คูณ 2 นิ้ว หนา 1.2 มิลลิเมตร ปรับลดราคาจาก 460 บาทต่อเส้น เหลือ 280 บาทต่อเส้น ขณะที่ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าต่างๆ มีการปรับลดราคาลงมาเล็กน้อยประมาณ 1-2 บาทต่อกล่อง


    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    เราต้องฉลาดซื้อ ฉลาดเลือก ฉลาดใช้ กันให้มากๆนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...