พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คุณแมวเหมียวมีเรื่องราวสนุกมาเล่าให้ชาววังหน้าฟังได้สนุกทุกวัน อิ...อิ...
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เนื่องด้วยคณะศิษยานุศิษย์ ซึ่งเลี่ยมใสในพระพุทธศาสนา ในสายของคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ที่ได้เสด็จมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิ ได้พร้อมใจกันร่วมจัดตั้งสถานปฏิบัติธรรม
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เติมความรู้รอบตัวกันหน่อย..

    ภาวะเศรษฐกิจที่ว่าดี หรือไม่นั้น ดัชนีตัวหนึ่งที่นิยมวัดกันคือ ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นอย่างไร มักจะสะท้อนความวิตกกังวล หรือตื่นตูมของการคาดการณ์ในอนาคต พูดง่ายๆคือมองอนาคตยังไงนั่นแหละ หากมองว่าสดใส เขาก็ไม่ตื่นตะหนกขายหุ้นออกมา หุ้นก็ไม่ตก เงินในมือก็อยู่ครบ หากมองว่าแย่ เขากลัวมูลค่าการลงทุนจะต่ำลง เงินหาย เขาก็ต้องชิงขายก่อน ที่นี้ในภาวะการตลาดที่ไม่แน่นอนนี้ (ผมคิดว่านักลงทุนคลายความกังวลลงไปได้บ้างถึงไม่มาก ก็ไม่ถึงกับกังวลมากกว่าเดือนก่อน แต่หากวัดกันที่ผลประกอบการของปีหน้า ก็นับว่าแย่แน่ๆ งงไม๊ครับ !) มาตรการหนึ่งที่จะมาช่วยแก้วิกฤตคือบริษัทซื้อหุ้นคืน ผมมองอย่างนี้ หากเป็นบุคคลธรรมดา การลงทุนจะลงทุนเร็ว และถอนทุนเร็ว ต่างจากบริษัท ที่มีขั้นตอน มีนโยบาย มีระเบียบ การถอนทุน การลงทุนช้ากว่า แต่เยอะกว่า ถึงจะวิกฤตยังไง บริษัทเขาก็ยังต้องลงทุน แต่อาจจะชลอตัวเท่านั้น เลิกคงไม่เลิก การซื้อหุ้นที่มีราคาตลาดต่ำกว่า ทรัพย์สินสุทธิในช่วงนี้จึงนับว่ามีความน่าสนใจมาก เพราะซื้อได้ถูกกว่าเจ้าของหุ้นเสียอีก(คงจำช่วงวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งของเราได้ Thailand Grand Sale สิบปีที่ผ่านมา มันก็สามารถฟื้นได้ในระดับหนึ่ง) ลองศึกษาแนวทางของการที่บริษัทซื้อหุ้นคืนดูว่าผลดี ผลเสียต่อเราเป็นอย่างไร และเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากกระบวนการนี้ได้อย่างไร..

    บริษัทซื้อหุ้นคืน

    « ซื้อหุ้นยามวิกฤติ | Main | Moment Of Truth »
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในยามที่หุ้นมีราคาร่วงลงเกือบทุกวันและราคาหุ้นในขณะนี้ตกต่ำลงเกือบ 50% จากต้นปีหรือในช่วงเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนรายย่อยหรือที่เป็นบุคคลธรรมดาต่างก็เข้ามาซื้อหุ้นเพราะคิดว่านี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ซื้อหุ้นถูกและคาดหวังที่จะเห็นหุ้นปรับตัวกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วและแรง พวกเขาคิดอย่างนั้นเพราะไม่เห็นว่าบริษัทที่เขาซื้อนั้นจะมีปัญหาอะไรแต่ราคาลดลงมามากเกินปกติ คงไม่ต้องพูดว่าพวกเขาต่างก็ผิดหวังเป็นส่วนใหญ่เพราะหุ้นที่เขาซื้อมาในราคาถูกแสนถูกกลับปรับตัวลดลงไปอีก หลายคนตัดสินใจขายทิ้งตัดขาดทุน หลายคนยังเก็บไว้และปลอบใจตัวเองว่าไม่ช้าก็เร็วหุ้นคงกลับขึ้นมาได้เมื่อภาวะตลาดหุ้นดีขึ้นหรืองบการเงินที่ดูดี ๆ ถูกประกาศออกมาและคนแห่กลับมาซื้อหุ้นตัวที่ตนเองซื้อไว้ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในชั้นนี้คงเป็นเรื่องที่พูดได้ยากว่าพวกเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่เข้ามาซื้อหุ้นในยามที่ตลาดเกิดวิกฤติ เหตุก็เพราะว่า หุ้นตัวที่เขาซื้อนั้น เขาอาจจะไม่รู้จริงว่าสถานะจะเป็นอย่างไรในอนาคตไม่กี่เดือนหรือปีข้างหน้า อย่าลืมว่าราคาหุ้นนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพใหญ่ที่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจการเงินเท่านั้น แต่รวมถึงภาพเล็กซึ่งก็คือผลการดำเนินงานของบริษัทด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นักลงทุนนั้น เมื่อประสบกับภาวะวิกฤติตลาดหุ้นและเข้ามาซื้อหุ้นแม้ในราคาที่ต่ำมากก็มักจะต้องรับความเสี่ยงที่สูงกว่าปกติ แต่สำหรับบริษัทแล้ว ภาวะวิกฤติตลาดหุ้นที่ทำให้ราคาหุ้นตกต่ำลงมากนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมถ้าบริษัทมีเงินสดอยู่ในมือหรือมีความสามารถที่จะระดมเงินสดได้มากพอ เหตุผลก็คือ บริษัทหรือผู้บริหารนั้นย่อมที่จะรู้จักสถานะของบริษัทดีพอที่จะมั่นใจได้ว่า หุ้นของบริษัทนั้นถูกเกินความเป็นจริงไปมากและการซื้อหุ้นของบริษัทนั้นจะเป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้นในอนาคตอย่างไม่มีข้อสงสัย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การที่บริษัทซื้อหุ้นคืนนั้น มองในภาพใหญ่ก็คือ หุ้นที่เหลืออยู่จะมีจำนวนน้อยลง ดังนั้นเวลา “แบ่ง” ส่วนของผู้ถือหุ้นแต่ละหุ้นก็จะมากขึ้น ดังนั้น โดยทฤษฎีแล้ว ราคาหุ้นก็จะสูงขึ้น ผู้ถือหุ้นอยู่ก็จะได้ประโยชน์ มองอีกด้านหนึ่ง การซื้อหุ้นคืนนั้น อาจจะเหมือนกับว่าผู้ถือหุ้นบริษัทเห็นว่าหุ้นของบริษัทมีราคาถูกมากอยากจะซื้อหุ้นเพิ่มแต่ไม่มีเงินแล้วหรือคิดว่าไม่อยากจะเสี่ยงเพิ่มอีก แต่ว่าตัวบริษัทเองนั้นมีเงินอยู่ ผู้ถือหุ้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทจึงคิดว่าเราน่าจะใช้เงินบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นแทน และถ้าผู้บริหารบริษัทเองก็เห็นสอดคล้องว่าหุ้นของบริษัทนั้นมีราคาถูกเกินไปจริง ๆ เมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัท การซื้อหุ้นบริษัทคืนก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีและความเสี่ยงน่าจะมีจำกัด และนี่ก็คือที่มาของการที่บริษัทจะซื้อหุ้นของตนเองคืนจากตลาดหุ้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่พูดมานั้นก็เป็นเรื่องของการคิดพิจารณาอย่างที่มองว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทที่ผู้ถือหุ้นทุกคนรวมถึงเจ้าของที่เป็นผู้บริหารมีผลประโยชน์สอดคล้องกันที่อยากจะเห็นบริษัทมีมูลค่าหรือความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นและทุกฝ่ายได้ประโยชน์เท่ากันตามสัดส่วนของการถือหุ้น แต่ในความเป็นจริงก็คือ หลายบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในบริษัทจำนวนมากนั้น ผลประโยชน์ของผู้บริหาร เจ้าของ และผู้ถือหุ้นรายย่อยนั้นมักจะไม่ตรงกันมากนัก เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ผู้บริหารนั้นมักจะชอบเก็บเงินของบริษัทไว้เองมาก ๆ เพราะเขาสามารถสั่งการเอาไปใช้ได้และการมีเงินสดมากนั้นเขาจะสามารถบริหารได้อย่างสบายใจ เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ควบคุมบริษัทนั้นก็เช่นกัน เขามักจะสามารถสั่งการใช้จ่ายเงินของบริษัทได้มากกว่าส่วนที่เขาจะได้ประโยชน์จากเรื่องของราคาหุ้น ดังนั้นเขามักจะลังเลถ้าต้องเอาเงินไปซื้อหุ้นของบริษัท[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เรื่องของการซื้อหุ้นบริษัทคืนนั้น ว่าที่จริงเคยมีการทำกันคึกคักอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อตลาดหลักทรัพย์และ กลต. อนุญาตให้ทำได้เมื่อหลายปีก่อน แต่ในครั้งนั้น หลาย ๆ บริษัททำด้วยเหตุผลที่อยากจะให้ราคาหุ้นของตนเองเพิ่มขึ้นเพราะคิดว่าแรงซื้อจากบริษัทจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นโดยที่อาจจะไม่ได้สนใจหรือเห็นว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นมีราคาหุ้นถูกจริง ๆ แต่หลังจากทำแผนซื้อหุ้นคืนแล้วก็ปรากฏว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามที่หวังแต่บริษัทกลับเสียเม็ดเงินที่ผู้บริหารมีอำนาจสั่งการได้ไป ดังนั้น ความนิยมจึงหมดไป [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การซื้อหุ้นบริษัทคืนที่กำลังมีการพิจารณากันมากขึ้นในรอบนี้ผมคิดว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่าในอดีตมาก เหตุก็เพราะว่า ในรอบนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ตกลงมามากและมีราคาถูกมากเป็นประวัติการณ์ ในขณะเดียวกัน เม็ดเงินสดที่บริษัทส่วนใหญ่มีอยู่นั้น มีมากกว่าในอดีตมากเนื่องจากบริษัทจดทะเบียนมีกำไรที่ดีต่อเนื่องมาหลายปีและไม่ได้มีการลงทุนมากนักในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น การพิจารณาซื้อหุ้นบริษัทคืนในยามที่นักลงทุนต่างชาติกำลังเทขายหุ้นเพราะต้องการเงินเร่งด่วนจึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับบริษัทที่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ดูเหมือนว่าทางการและตลาดหลักทรัพย์เองก็กำลังพยายามกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนพิจารณาซื้อหุ้นคืนแต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วจะมีกี่บริษัทที่จะทำจริง ๆ อาจจะเป็นได้ว่า บริษัทที่มีเงินสดล้นจริง ๆ ก็มักจะมีราคาหุ้นที่ตกลงมาไม่มาก ดังนั้นการซื้อหุ้นคืนก็ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนบริษัทที่ราคาหุ้นตกลงมามากก็อาจจะเป็นบริษัทที่ไม่ได้มีเงินสดเหลือ พวกเขาแค่มีหนี้ไม่มากเท่านั้น ดังนั้นจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อหุ้นคืน? ครั้นจะไปขอกู้สถาบันการเงินเขาก็ไม่ยอมปล่อยกู้ เพราะในระบบสถาบันการเงินไทยนั้น เขามักจะไม่ยอมปล่อยกู้ให้กับกิจกรรมการซื้อขายหุ้นอยู่แล้ว ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ถ้าจะทำเรื่องนี้ให้เกิดผลจริง ๆ หน่วยงานด้านตลาดทุนและรัฐบาลควรที่จะต้องมีมาตรการเสริมเช่น ทำให้กระบวนการซื้อหุ้นคืนทำได้เร็วขึ้น และที่สำคัญ เรื่องของการหาเงินมาซื้อหุ้นคืนที่จะเปิดช่องทางให้บริษัทจดทะเบียนสามารถหาเงินมาได้เพียงพอและรวดเร็วขึ้น [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ทั้งหมดนั้นก็คือความเห็นของผมเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืน และผมคิดว่า ในสภาวการณ์แบบนี้ ถ้ามีบริษัทใดประกาศซื้อหุ้นคืนได้ และเราดูแล้วว่ากิจการของบริษัทยังดูดีอยู่และน่าจะดีต่อไปในอนาคตแม้ว่าเศรษฐกิจดูเหมือนว่าจะยังไม่พ้นวิกฤติ นี่ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี นั่นก็คือ ข้อแรก ผู้บริหารดูแลประโยชน์และความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นทุกคน ข้อสอง เขามั่นใจในอนาคตของบริษัท และข้อสุดท้าย เขามีกำลังหรือมีเงินที่จะมาซื้อหุ้นได้ในยามวิกฤติ ดังนั้น เราก็อาจพิจารณาลงทุนในหุ้นเหล่านี้ได้อย่างสบายใจ[/FONT]



    บทความนี้นำมาจากแนวคิดของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งได้ Posted at 1:33 PM in โลกในมุมมองของ Value Investor
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การวิเคราะห์ว่า เป็นโอกาส หรือวิกฤต(ของเรา)โดยนำคำสอนที่ประสบความสำเร็จของปรมาจารย์ด้านการลงทุน...

    Monday, 6 October 2008

    วิกฤติหรือโอกาส

    « You Are What You Read | Main | ซื้อหุ้นยามวิกฤติ »
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ทำให้นักลงทุนเสียหายหนักมากและคนจำนวนมากต่างก็ “หนีตาย” หรือถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว แต่ดูเหมือนว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ กำลังยุ่งอยู่กับการลงทุนในบริษัทหลาย ๆ แห่ง ที่โดดเด่นก็คือ โกลด์แมนซาคและจีอี ที่เขาจ่ายเงินไปรวมกัน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเม็ดเงินจำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญที่มีอยู่ในมือ สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ช่วงนี้คือ “โอกาสทอง” ที่เขาจะได้ลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมในราคาที่ถูกมาก คำถามที่ตามมาก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ มีมุมมองหรือกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในภาวะวิกฤติ และต่อไปนี้ก็คือความคิดของเขาที่ถูกนำเสนอโดย Alice Schroeder ผู้เขียนหนังสือชื่อ Snowball ซึ่งเล่าประวัติชีวิตของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่กำลังขายดีอยู่ในขณะนี้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บัฟเฟตต์คิดว่า[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]1) ในช่วงวิกฤตินั้น ถ้าคุณมีเงินสด และ มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะลงทุน นี่คือสวรรค์และเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ สิ่งที่ผมอยากอธิบายเพิ่มเติมก็คือ คนส่วนมากนั้นอาจจะมีเงินสด แต่ในยามที่เกิดวิกฤติ คนเหล่านั้นมักไม่กล้าลงทุนเนื่องจากพวกเขามักจะกลัวว่าเงินลงทุนจะสูญหายไปกับภาวะวิกฤติ บัฟเฟตต์บอกว่า ในยามที่คนกลัว เราจะต้องพยายามที่จะกล้าหรือ “โลภ” เพื่อที่จะได้กล้าเสี่ยงลงทุนในยามที่ “เลวร้ายที่สุด” และนี่มักจะกลายเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำถ้าเราทำได้ถูกต้อง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]2) ในการที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้องนั้น บัฟเฟตต์บอกว่า จงอย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ นั่นหมายความว่า เวลาเกิดวิกฤติ ราคาหุ้นตกลงมามากก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าไปซื้อเพียงเพราะราคามันลงมา แต่จะซื้อเพราะเราดูแล้วว่าเรารู้จักและเข้าใจธุรกิจดี และรู้ว่าราคาที่เราเห็นนั้นต่ำกว่ามูลค่าของมันมาก สิ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือ ในช่วงที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในช่วงปี 2000 นั้น หุ้นไฮเท็คจำนวนมากมีราคาตกลงมา หลาย ๆ ตัวตกลงมา 80-90% แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่ได้เข้าไปซื้อลงทุนเลย เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจเหล่านั้นพอ และก็ต้องบอกว่าบัฟเฟตต์คิดถูกที่ไม่ได้เข้าเล่นหุ้นไฮเท็ค เพราะหุ้นส่วนมากที่ตกลงมานั้น ไม่ได้มีโอกาสกลับขึ้นมาอีกเลย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]3 ) อย่าพยายามรับมีดที่กำลังร่วงลงมาจนกว่าคุณจะเข้าใจและจัดการกับความเสี่ยงได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่บัฟเฟตต์ระมัดระวังเสมอ จากประวัติของบัฟเฟตต์นั้น แทบทุกครั้งที่เขาเข้าไปลงทุนในหุ้นที่กำลัง “วิกฤติ” ก็คือ นอกจากโอกาสที่จะทำกำไรมหาศาลแล้ว เขาจะมองหา “ตาข่าย” รองรับเสมอถ้าสิ่งที่เขาคิดไว้ผิดพลาด กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่เขาใช้เป็นประจำก็คือ แทนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นโดยตรง เขามักจะเสนอซื้อหุ้นบุริมสิทธ์ที่บริษัทสัญญาว่าจะจ่ายปันผลแน่นอน เช่นในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอีที่จ่ายปันผล 10% ต่อปี และเขามีสิทธ์ที่จะได้เงินคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทล้มละลาย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาจะขออ็อปชั่นหรือวอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญในอนาคตในราคาที่กำหนดล่วงหน้าซึ่งจะทำให้เขาได้กำไรมหาศาลถ้าบริษัทฟื้นตัวและรอดจากภาวะวิกฤติไปได้ อย่างในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอี เขาก็ได้วอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวนเท่ากับหุ้นบุริมสิทธ์ภายในเวลา 5 ปีในราคาพอ ๆ กับราคาตลาดในช่วงที่เขาตัดสินใจลงทุน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สถิติการลงทุนในยาม “วิกฤติ” ของบัฟเฟตต์ นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายอดเยี่ยมและต้องถือเป็นตำนาน ในครั้งนี้เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การตอบรับจากตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะเป็นในทางบวกตั้งแต่เขาเข้าไปลงทุนแล้ว แต่ประเด็นของเราก็คือ การตกลงมาของตลาดหุ้นบ้านเราในวันนี้ถือเป็นวิกฤติหรือโอกาสที่เราจะเข้าไปทำเงิน?[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]วิเคราะห์ดูแล้ว ผมเห็นว่าภาวะของเศรษฐกิจและตลาดการเงินของเราจริง ๆ ไม่ได้ถูกกระทบมากเพราะเราได้รับบทเรียนจากวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้กิจการทั้งหลายในประเทศไทยมีความระมัดระวังมาก รวมไปถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ไม่ได้มีการปล่อยเงินกู้ออกไปง่าย ๆ อย่างในสมัยก่อน และนี่ทำให้การกู้เงินของบริษัทต่าง ๆ มีสัดส่วนน้อยลงไปมากทำให้ฐานะการเงินของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้มแข็ง ดังนั้น ภาวะวิกฤติที่กระทบกับไทยโดยตรงจริง ๆ จึงอยู่ที่ตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติต่างก็เทขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไปดูแลตนเองในต่างประเทศ ผลก็คือ ราคาหุ้นลดลงเรื่อย ๆ โดยที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ แน่นอน ผลการดำเนินงานในอนาคตอาจจะถดถอยลงบ้างแต่ก็คงไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลดลงของราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่พึ่งพิงกับการใช้จ่ายเงินในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การลงทุนใน “ภาวะวิกฤติ” ในช่วงนี้ แน่นอน มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาวะวิกฤติของอเมริกาลามไปและทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ถ้าเรายึดหลัก 3 ข้อ ของบัฟเฟตต์ข้างต้น ผมคิดว่ามีโอกาสสูงที่เราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี พูดถึงเรื่องนี้ ผมลองนึกย้อนหลังไปในช่วงประมาณ 12 ปีที่ผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์และเก็บข้อมูลอย่างละเอียดก็พบว่า ผมผ่าน “ภาวะวิกฤติ” มาถึง 2 ครั้งแล้วคือในปี 2540 และ 2543 ทั้งสองครั้งดัชนีตลาดตกลงมากว่า 40% ซึ่งมากกว่าภาวะในขณะนี้ แต่ผมก็รอดมาได้ ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมครั้งนี้ผมจะรอดไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า ใน 2 ครั้งก่อนนั้น ภาวะเศรษฐกิจจริงเลวร้ายกว่าในปัจจุบันมาก เพราะฉะนั้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว การเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ก็ต้องถือว่าได้เปรียบมาก อย่าปล่อย “โอกาสทอง” ให้หลุดไปนะครับ
    [/FONT]

    Posted by nivate at 8:41 AM in โลกในมุมมองของ Value Investor
     
  7. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
  8. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    เรียนคุณ Sithiphong PM รายชื่อให้แล้วนะครับ โมทนาสาธุครับ
     
  9. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ต้องขอโทษลืมไปครับนับวันล่าช้าตอนมีอยูช่วงหนึ่งเข้าเน็ตยากเลยลืมข้ามไปเลยขอสรุปใหม่นะครับ
    วันที่ 1
    1.สวดมนต์ไหล้พระ
    2.รักษาศีล 5
    3.แบ่งเบาภาระพ่อแม่โดยการช่วยแบกของจัดของ
    4.นั่งสมาธิ
    5.อนุโมทนาบุญยินดีในบุญของคนอื่น
    6.ศึกษาธรรมะต่างๆๆเช่นคำสอนหลวงพ่อฤาษีหลวงปู่สรวง
    วันที่ 2
    1.สวดมนต์ไหว้พระ
    2.รักษาศีล 5
    3.นั่งสมาธิ
    4.โมทนาบุญของคนอื่นยินดีในบุญของคนอื่น
    5.ศึกษากฏแห่งกรรมธรรมประวัติครูบาอาจารย์สายป่าและหลวงปู่ขาว
    6.แบ่งเบาภาระพ่อแม่โดยการขายของเฝ้าร้าน
    7.ได้ทำบุญสร้างหนังสือธรรมะแจกครับ
    ส่วนวันที่ 3 ของผม
    1.สวดมนต์ไหว้พระ
    2.ภาวนาทำสมาธิศึกษาธรรมะต่างๆ
    3.รักษาศีลสมาทานศีล
    4.แบ่งเบาภาระช่วยแม่จ่ายตลาด
    5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง
    6.ระงับความโกรธต่างๆๆและไม่ตอบโต้กลับเวลามีคนให้เอาเดือดร้อน
    7.ยินดีในบุญของผู้อื่น
    8.นำสาระความรู้ต่างๆมาเผยแพร่เพื่อนๆๆพี่ๆๆ
    9.ศึกษาธรรมะต่างๆ
    วันที่ 4
    1.สวดมนต์ไหว้พระ
    2.ภาวนาทำสมาธิศึกษาธรรมะต่างๆ
    3.รักษาศีลสมาทานศีล
    4.เสีนสละที่นั่งให้สตรีแล้วคนชราเวลานั่งรถ
    5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง
    6.ยินดีในบุญของผู้อื่น
    7.นำสาระความรู้ต่างๆมาเผยแพร่เพื่อนๆพี่ๆ
    8.ศึกษาธรรมะต่างๆ
    9.เพียรที่จะละความชั่วต่างๆมิให้เกิด
    10.เพียรที่จะสร้างความดี
    วันที่ 5
    1.สวดมนต์ไหว้พระ
    2.ภาวนาทำสมาธิ
    3.รักษาศีลสมาทานศีล
    4.เสียสละที่นั่งให้สตรีแล้วคนชราเวลานั่งรถ
    5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง
    6.ยินดีในบุญของผู้อื่น
    7.นำสาระความรู้ต่างๆมาเผยแพร่เพื่อนๆพี่ๆ
    8.ศึกษาธรรมะต่างๆ
    9.เพียรที่ปิดกั้นระวังความชั่วต่างๆมิให้เกิด
    10.เพียรที่กำจัดบาปและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
    11.เพียรที่จะสร้างความดี
    12.เพียรรักษาความดี รักษาความดีอย่างตั้งมั่น
    13.แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    14.ได้ร่วมบุญอธิษฐานของที่ตักบาตรกับแม่ตอนเช้า
    วันที่ 6
    1.สวดมนต์ไหว้พระ
    2.ภาวนาทำสมาธิ
    3.รักษาศีลสมาทานศีล
    4.แนะนำบอกบุญแม่เรื่องกฐิน วันที่ 8-9
    5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง
    6.ยินดีในบุญของผู้อื่น
    7.นำสาระความรู้ต่างๆมาเผยแพร่เพื่อนๆพี่ๆ
    8.ศึกษาธรรมะต่างๆ
    9.เพียรที่ปิดกั้นระวังความชั่วต่างๆมิให้เกิด
    10.เพียรที่กำจัดบาปและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
    11.เพียรที่จะสร้างความดี
    12.เพียรรักษาความดี รักษาความดีอย่างตั้งมั่น
    13.แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    14.ได้ร่วมบุญอธิษฐานของที่ตักบาตรกับแม่ตอนเช้า
    วันที่ 7
    1.สวดมนต์ไหว้พระ
    2.ภาวนาทำสมาธิ
    3.รักษาศีลสมาทานศีล
    4.แนะบทสวดมนต์ให้แม่แนะว่าการสวดมนต์แบบไหมทำอย่างไรแนะนำคาถาบทใหม่ให้แม่สวด
    5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง
    6.ยินดีในบุญของผู้อื่น
    7.นำสาระความรู้ต่างๆมาเผยแพร่เพื่อนๆพี่ๆ
    8.ศึกษาธรรมะต่างๆ
    9.เพียรที่ปิดกั้นระวังความชั่วต่างๆมิให้เกิด
    10.เพียรที่กำจัดบาปและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
    11.เพียรที่จะสร้างความดี
    12.เพียรรักษาความดี รักษาความดีอย่างตั้งมั่น
    13.แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    14.ได้ร่วมบุญอธิษฐานของที่ตักบาตรกับแม่ตอนเช้า
    15.ได่ร่วมทำบุญฏฐิน สร้างพระธาตุที่วัดป่า
    16.รับงับความโกรธกับความโลภอันเป็นกิเลส
     
  10. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ไม่ทราบว่าพี่ katicat ชอบแมวหรอครับผมก็ชอบแต่ก่อนเลี้ยงเป็นสิบตัวโดนขโมยโดนอุบัติเหตุ ติดสัตว์แล้วหายไปเลย แบ่งไปให้คนอื่นแล้วอีก ตอนนี้เหลือ 1 ตัวเองครับ
     
  11. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>4 ภัยร้าย ผลพวงลดอ้วนผิดวิธี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>หากสาวๆ ทั้งหลายที่กำลังจะลดความอ้วนอย่างเอาเป็นเอาตาย อยู่ตอนนี้ จนลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง การจะมีหุ่นสวยควรมา ควบคู่กับการมีสุขภาพที่ดีด้วย

    เพื่อไม่ให้ผลร้ายต่างๆ ต้องตามมา ภายหลัง เพราะฉะนั้นคุณควรเริ่มทบทวนและทำความเข้าใจเสีย ใหม่เกี่ยวกับการลดอย่างถูกวิธี นั่นคือ ไขมันจะต้องถูกกำจัดออก ไปไม่ใช่กล้ามเนื้อ หากคุณลดแบบผิดๆ เช่นเดิม ร่างกายของคุณ จะฟ้องออกมาในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้

    [​IMG] 1. ใบหน้าซูบซีด โทรมสุดขีด ผิวหนังแห้งเหี่ยวไม่มีน้ำมีนวล เพราะดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้ร่างกายขาดน้ำเพราะโดยปกติแล้ว ใน 1 วัน ร่างกายจะต้องการน้ำจากการดื่มน้ำ 1,500–2,000 C.C. (6-8 แก้ว) และได้รับน้ำที่มากับอาหาร 1,000–2,000 C.C.

    เมื่อร่างกายเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไปก็จะได้รับน้ำเพิ่มอีก 300 –500 C.C. เห็นมั้ยคะว่า น้ำที่ใช้ในร่างกายส่วนใหญ่จะมาจากอา หารที่กินเข้าไป ยิ่งคุณลดปริมาณอาหารมากเท่าไร ร่างกายก็จะยิ่ง ขาดน้ำมากเท่านั้น ยิ่งลดน้ำหนักควรดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 10–12 แก้ว และถ้าร่างกายขาดวิตามิน และเกลือแร่บางชนิดแล้วจะทำให้...

    วิตามิน A จะทำให้ผิวแห้ง อักเสบง่าย ไม่เรียบเนียน เยื่อบุอวัยวะต่างๆ แห้ง อักเสบ
    วิตามิน B1, B2, B3, B5 ทำให้ผิวแห้ง เหี่ยวย่น เป็นกระง่าย รวมถึงสีผิวไม่เรียบเนียนด้วย
    วิตามิน C ผิวหนังไม่สดใส ไม่เต่งตึง แถมเหี่ยวย่นง่ายอีกต่างหาก
    ธาตุสังกะสี ทำให้ขาดโปรตีนเคราติน ทำให้การสร้างผิวหนังใหม่เกิดไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ผิวไม่เรียบ เนียนและสีผิวไม่สม่ำเสมอค่ะ

    [​IMG] 2. เส้นผมแห้งกรอบ ขาดความเงามัน และไม่นุ่มสลวยอย่างเคย อาจเกิดจากการขาดน้ำหรือขาด กรดไขมันที่จำเป็นบางชนิด ทำให้ต่อมไขมันบริเวณโคนเส้นผมผลิตไขมันออกมาน้อย ทำให้เส้นผมแห้ง มาก ทางแก้คือควรกินกรดไขมันที่จำเป็นบางชนิดเข้าไป อย่างเช่น กรดไขมัน LA ที่พบในน้ำมันถั่ว เหลืองและน้ำมันงา หรือกรด DHA ที่พบในน้ำมันปลา และควรกินให้ได้วันละ 3-6 กรัมนะคะ และอีกสา เหตุหนึ่งที่ทำให้ผมคุณดูแย่ก็คือ การขาดแร่ธาตุบางอย่าง เช่น ธาตุกำมะถันที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ อยู่ในโปรตีนของเส้นผม ผิวหนัง กรดอะมิโนเมธิโอนีน ซีสติน วิตามิน B1 และไบโอติน ถ้าขาดธาตุ กำมะถันจะทำให้การสร้างเส้นผมและผิวหนังผิดปกติ วิธีแก้ก็คือ ควรกินอาหารที่มีธาตุกำมะถันอยู่มาก อย่าง ไข่และผลไม้ เป็นต้น

    [​IMG] 3. กล้ามเนื้อไม่มีความแข็งแรง มือไม้อ่อนแรง อาจเกิดจากการกินอาหารจำพวกโปรตีนน้อยเกินไป ทำให้กระบวนการสร้างกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ใน 1 วัน คุณควรกินโปรตีนให้ได้ประมาณ 0.75 กรัมต่อน้ำหนักตัวที่เหมาะสม 1 กิโลกรัม และจะต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงค่ะ

    [​IMG] 4. อาการท้องผูกเรื้อรัง ขับถ่ายไม่ปกติ คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปและกินอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้กาก อาหารในลำไส้ลดน้อยลงตามไปด้วย อีกอย่างการไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็มีผลทำให้ระบบการย่อย อาหารทำงานได้ไม่ดี ลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อย เกิดอาการท้องผูกขึ้นได้ค่ะ และเรื่องเครียดก็มีส่วนนะ ลองหากิจกรรมทำยามว่างหรือออกกำลังกาย จะช่วยทำให้ความเครียดลดน้อย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>สุกี้ยากี้มีประโยชน์ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ใครที่ชอบกินสุกี้ยากี้ มีประโยชน์ในการกินสุกี้ยากี้มาบอก...


    สุกี้ยากี้
    นอกจากจะมีประโยชน์ ทั้งผักและเนื้อสัตว์แต่ละชนิดแล้ว อาหารอย่างอื่นที่อยู่ในสุกี้ยากี้ 4 อย่าง ก็คือ เต้าหู้, กระเทียม, ข้าวโพดอ่อน และขึ้นฉ่าย ก็มีประโยชน์เหมือนกัน


    - เต้าหู้
    ทำมาจากถั่วเหลือง มีทั้งแบบนิ่ม แข็งและเป็นหลอด สำหรับในอาหารประเภทสุกี้ยากี้ มักจะใช้เต้าหู้ชนิดแข็ง เป็นอาหารบำรุงที่สารอาหารต่าง ๆ สมบูรณ์ที่สุด ทั้ง โปรตีน ไขมัน น้ำตาล แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามิน ไม่มีคลอเรสเตอรอล เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับ คนอ้วน ผู้ป่วยโรคความดัน


    เต้าหู้ยังป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด รักษาอาการท้องร่วงเรื้อรัง เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ลดอาการผื่นแดงตามตัวเนื่องจากพิษแอลกอฮอล์ รักษาวัณโรคปอด ไอมีเลือด รักษาโรคกระเพาะ ลำไส้เป็นแผลมีเลือดออกเล็กน้อย ไม่มีกำลังอ่อนเพลีย และสำหรับสาว ๆ ยังช่วยรักษาอาการ ประจำเดือนไม่ปกติอีกด้วย



    - กระเทียม
    เป็นเครื่องเทศ มีกลิ่นฉุน กระเทียมที่ใช้รับประทานในสุกี้ยากี้ มักจะสับละเอียด ผสมในน้ำจิ้มพร้อมด้วยพริก และมะนาวเพิ่มรสชาติ ให้เข้มข้นขึ้น

    ประโยชน์ของกระเทียม คือ ใช้ในการฆ่าพยาธิ ลดอาการอักเสบบวมแดง บำรุงกระเพาะอาหาร และขับลม นอกจากนี้ ยังแก้อาการท้องร่วง รักษาอาการไอกรนในเด็ก รักษาแผลเป็นหนอง กระเทียม ยังช่วยแก้อาการปวดฟัน ขี้กลากขึ้นที่หัว หรือ อาการติดเชื้อ ไตรโคมอเนสที่ช่องคลอด (อาการติดเชื้อในลำไส้ และในช่องคลอด)


    - ข้าวโพดอ่อน
    รสหวาน มีคุณค่าทางอาหารสูง ในเมล็ดข้าวโพด มีสารอาหารประเภท แป้ง น้ำมัน อัลคาลอยด์ และวิตามิน บี1, บี2 และ บี6 ในข้าวโพด 100 กรัม ให้พลังงานความร้อน ประมาณ 362 แคลลอรี่


    ถ้ารับประทานเป็นประจำ จะสามารถลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการบวมน้ำ รักษาโรคไตอักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง และจมูกอักเสบเรื้อรัง



    - ขึ้นฉ่าย
    เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ใบคล้ายผักชีแต่โตกว่า กลิ่นฉุน นิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร ใบขึ้นฉ่าย เป็นสารจำพวก น้ำมันหอมระเหยกรดอินทรีย์ วิตามินซีและเกลือแร่


    มีสรรพคุณในการปรับประจำเดือนให้เป็นปกติ แก้อักเสบ ลดความดันเลือด ทำให้สงบ ดับร้อน แก้ไอ บำรุงกระเพาะ และขับปัสสาวะ เพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและฟันของเด็ก นอกจากนี้ทานเป็นประจำ ยังช่วยบำรุงสมองอีกด้วย



    สุขภาพดี เริ่มต้นได้ด้วย การกินผัก-ผลไม้...รู้ไว้!


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ทำไมผมเห็นพี่เพชรคุยเรื่องหุ้นบ่อยจังครับพี่เป็นนักเล่นหุ้นหรอครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอบคุณครับ ทั้งคุณหนุ่ม และพี่ตุ่น..

    ดูกันว่า "มือผี"หรือเปล่า อิ..อิ...
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พี่ก็มองว่าเป็นงานๆหนึ่ง เหมือนการเปิดร้านขายของทั่วไป..มีซื้อมาขายไป ต่างกันตรงที่เราไม่ต้องไปจัดระบบบัญชี หรือดูแลมากมาย เพราะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้วทุกไตรมาส เพียงขอให้เราดูงบการเงินเป็น แปลงบการเงินให้เป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ ก็จะสะดวกกว่าการไปลงทุนเปิดร้านขายของอย่างที่ตาเห็น มือสัมผัสได้ แถมมีเวลาพักในแบบของ Life Style ที่ต่างจากชาวบ้านเขา แบบใช้สมองทำงาน แทนที่จะออกแรงกายมากเกินความจำเป็น

    การลงทุนให้เกิดความมั่งคั่งในอดีตมี ๓ ประเภท และมาจวบจนปัจจุบันก็มี ๔ ประเภทเพิ่มอันที่ ๔ เข้ามา

    ๑) ที่ดิน
    ๒) ทองคำ
    ๓) หุ้น
    ๔) เครือข่าย

    แต่ละแบบล้วนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่เรารักจะเลือกแบบไหน และเครื่องมือควบคุมความเสี่ยงของเราคืออะไร และบริหารเวลา อัตราผตอบแทนควบคู่กันไป เป้าหมายคือการเกษียณอายุอย่างมีความสุข การไปถึงเป้าหมายก็เหมือนการเลือกสถานที่จะไป แต่การไปถึงเป้าหมายมีพาหนะให้เราเลือกได้หลายอย่างบางคนเลือกโดยสารรถประจำทาง บางคนก็มอเตอรฺไซด์ บางคนก็เรือ บางคนรถไฟ เช่นกัน ก็ไปเลือกว่าจะเอาที่ดิน หรือทองคำ หรือหุ้น หรือเครือข่าย หรืองานลูกจ้างประจำ อยู่ที่เราจะเลือกโดยชั่งน้ำหนักจากเวลาที่เราเหลืออยู่ อัตราผลตอบแทนที่เราต้องการ อีกมากมาย...

    เอาไว้ให้เราอยู่ในโลกของความจริงที่ต้องดำรงชีวิตด้วยตนเอง หรือหากจะมีชีวิตคู่ หรือจะห้อยภาระอีกหน่อ ๒ หน่อ ก็จะเข้าใจโลกความจริงนะครับ เวลานี้ ยังไม่ต้องไปเข้าใจอะไรมากหรอก เก็บเกี่ยวชีวิตนักเรียน นักศึกษาไว้ให้มากๆ เพื่อเป็นพื้นฐานการเผชิญโลกความจริง...
     
  18. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เมื่อก่อนเฉยๆค่ะ ไม่เคยเลี้ยง ทีนี้มีวันนึงมีลูกแมวโดนหมาไล่มาแถวบ้านเลยเก็บมาไว้ก่อน ใส่ตะกร้าแขวนไว้ในครัวเพราะที่บ้านมีหมา กะว่าถ้าโตแล้วก็จะปล่อยไป(นิสัยไม่ดีนะคะ เลี้ยงแล้วห้ามปล่อยเด็ดขาด)เพราะไม่เคยเลี้ยง อยู่มาวันนึงกลับบ้านมาเห็นมันลงมาวิ่งเล่นอยูกับหมา แถมดูดนมหมาด้วย ที่ตลกคือหมาเป็นผู้ชายค่ะไม่มีนม มันก็ดูดพุง ก็เลยเลี้ยงไว้ ตัวนี้เป็นตัวแรก พี่ก็เลี้ยงแบบปล่อย จนอายุได้ 9ขวบ ออกไปเที่ยวไม่กลับ ใจคอไม่ดี แล้วเค้าก็โดนหมาข้างนอกกัดตายจนได้ ด้วยความที่นึกว่าหมาอื่นเหมือนที่บ้าน ก็นึกโทษตัวเอง ร้องไห้จนเค้ารู้กันทั้งหมู่บ้าน

    พอครบ7วันก็ฝันเห็นเค้าพาเพื่อนมา3ตัว ตื่เช้ามาเล่าให้แม่บ้านฟังยังไม่ทันจบ เพื่อนบ้านก็มาเรียกบอกว่า แมวเราที่โดนกัดตายออกลูกไว้ พี่ก็งงซี เพราะแมวพี่ก็ผู้ชายจะมีลูกได้ไง ก็ตามไปดูที่บ้านหลังนึงที่ไม่มีคนอยู่ แอบปีนรั้วเข้าไป มีลูกแมวเล็กๆซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำแต่ไม่ยอมออกมา พี่ก็เอาอาหารมาล่อแล้วนั่งเฝ้า กว่าจะได้ตัวมายุงกัด(คน)ซะลายพร้อย สีดำและสีขาว ตั้งชื่อว่าเฉาก๊วยและกะทิค่ะ ต่อมาก็มีลูกแมวหลงมาอีก1 ตัว ตกลงเจ้าเหมียวตัวแรกได้พาเพื่อนมาให้จนครบ เค้าคงเห็นว่าพี่โศกเศร้าเสียใจแหกปากร้องไห้อยู่ได้ทุกวัน มีเรื่องตลกตอนได้ลูกแมวมาใหม่ๆ ไว้จะเล่าให้ฟัง
     
  19. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
     
  20. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    รู้สึกพาหนะช่วงนี้จะเสียระหว่างทาง อาจจะต้องเดินเท้าหรือขี่ลานะเจ้าคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...