พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524

    เข้าใจว่าคุณเพชรหมายถึงว่า ช่วยเคลียร์ไปไว้บ้านคุณเพชรใช่มั้ยคะ
     
  2. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ถาม : คำตอบและคำถามในหนังสือมิลินทปัญหานั้นเป็นพระพุทธพจน์ หรือใครแต่งขึ้นเองในภายหลัง?

    ตอบ : ถามเรื่องนี้ก็ดีแล้ว เพราะมีคนสงสัยอันมากว่าพระยามิลินท์นั้นมีความเป็นมาอย่างไร เสียงก็ไม่เหมือนชาวตะวันออกทั้งหลาย อันพระยามิลินท์นั้น ชั้นเดิมเป็นคนฝรั่งชาติกรีก รู้ตัวว่าเป็นชนที่มีอารยะ ผู้มีเดชอภินิหารและกฤษฎาภินิหาร ผู้ยิ่งใหญ่ในทางตะวันตก เคยได้ยินว่าทางตะวันออกนี้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นเวลานาน

    พระยามิลินท์เองนั้นนัยหนึ่งชื่อตามภาษากรีกหรือภาษาตะวันตกว่า "เมนันเดอร์ที่ ๒" เจ้าแผ่นดินองค์นี้มีความเชี่ยวชาญสามารถในการปราบปรามและรบทัพจับศึกเป็นอันมาก สมัยโน้นพวกเขาทั้งหลายเหล่านี้ ยังไม่มีศาสนาอันแท้จริง ก็ได้แต่นับถือเทวดาและเทพเจ้า พระสรวงสวรรค์ตามความรู้สึกของเขา เมื่อได้ข่าวว่าทางบูรพาประเทศนี้มีสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นเจ้าของศาสนาอันเป็นศาสนาที่คนนับถืออย่างยิ่งทางตะวันออกนั้น พระเจ้าเมนนัเดอร์ที่ ๒ ได้ทราบกิติศัพท์ล่ำลือเช่นนี้ก็นึกในใจว่า พระศาสดาของชาวพุทธทั้งหลายที่อยู่ในตะวันออกนี้จะมีความสามารถ ความเชี่ยวชาญการสั่งสอนผู้คนสักเพียงใดอยากจะรู้ ครั้นจะให้ผู้อื่นมาสืบเรื่องดูก็ไม่ทราบความจริงด้วยอยากจะเห็นประจักษ์แก่ตาตนเอง จึงได้สั่งเสนาอำมาตย์ ผู้ใหญ่ปลอมตัวมาฟังข้อคิดเห็นของประชาชนที่นับถือศาสนา ของพระบรมศาสดาในสมัยนั้น ผู้ที่มาสืบราชการกลับไปกราบทูลแล้ว ก็ให้สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า คำสอนของศาสนาดงค์นั้น เหตุไฉนจึงเป็นคำสอนที่แปลกประหลาดน่าเลื่อมใสเหลือประมาณ ใคร่จะได้สดับคำสอนนั้นด้วยตนเอง แต่ครั้งจะมาด้วยความอ่อนน้อม ก็เป็นการเสียเกียรติแห่งกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในอัสดงคตประเทศ เหตุนี้จึงหาโอกาสกรีฑาทัพมาเพื่อปราบปรามศัตรูให้เสร็จราบคาบไป และเพื่อจะแผ่กฤษฎาศักดาภินิหารให้แผ่ไปทั่วทุกทิศทั้งหลายว่า ตัวเรานี้มีความสามารถ เก่งกล้าในการรบทัพจับศึก สามารถจะตีเอาแผ่นดินได้แม้จะอยู่คนละฟากฟ้า ข้ามน้ำข้ามทะเล ก็หาย่อท้อไม่

    ความคิดของพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นในสมัยนั้นเกิดเป็นความจริงขึ้น เพราะเหตุว่าในบรรดาชาวภาคตะวันออก ซึ่งในประเทศอินเดียในสมัยนั้น ต่างก็มีจิตใจเสื่อมจากคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ประชาชนในสมัยนั้นก็แบ่งออกเป็นหลายหมู่หลายเหล่าเป็นอันมาก เกิดการแตกแยกระส่ำระสายทั้วไปในประเทศอินเดีย หรือที่เรียกกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า "ชมพูทวีป" โน้น

    เมื่อกองทัพของกษัตริย์เมนันเดอร์ แห่งประเทศกรีก ผู้เกียงไกรได้รุกเข้ามาถึงประเทศอินเดียแล้ว ประชาชนชาวอินเดียทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นประเทศน้อย ประเทศใหญ่ ที่แตกแยกออกไปขณะนั้นอ่อนกำลังลงอย่างน่าสงสาร จึงพ่ายแพ้แก่กองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้าแผ่นดินฝรั่ง

    ในที่สุดประเทศอินเดียทั้งประเทศก็ตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้าเมนันเดอร์ พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้มีจิตที่จะศึกษา เพราะความเฉลียวฉลาดเป็นนักปราชญ์ ได้พยายามศึกษาศาสนาของชนชาติต่าง ๆ ที่ได้กรีฑาทัพไปปราบปรามเอาเป็นเมืองขึ้น ได้ชัยชนะเป็นอันมากก็ศึกษาศาสนาของประเทศนั้น ๆ มา ได้ฟังคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งกระนั้นกับผู้ที่ได้ส่งมาสืบราชการไปแล้ว ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาประสาทะอยู่ในดวงจิตเป็นอันมากแล้ว ครั้นได้เป็นใหญ่อยู่ในชมพูทวีปปกครองทั่วประเทศอินเดียนั้น ได้มีความประสงค์ที่จะเสาะหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ในการที่จะสอนพระพุทธศาสนา ให้เข้าถึงซึ่งความรู้อันแท้จริงของศาสนาอันน่าประหลาดมหัศจรรย์นี้
    การสืบหาตัวผู้ที่จะทำการสอนศาสนาในสมัยนั้นย่อมไม่เป็นของยาก เพราะเหตุว่าพระศาสดาทั้งหลาย และเจ้าลัทธิทั้งหลายต่างก็พยายามจะแข่งแย่งที่จะชิงดีกัน เพื่อจะเอาความเด่นให้เป็นที่เคารพบูชาเลื่อมใสนับถือของประชาชนเป็นอันมาก ศาสนาของสมเด็จพระบรมศาดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลานั้นมีสงฆ์ผู้เป็นอริยสงฆ์หลายองค์ด้วยกัน อริยสงฆ์เหล่านั้นบางองค์ก็ได้ถึงขั้นอรหันต์เป็นต้น ผู้มีความเชี่ยวชาญในธรรมะ ทั้งปริยัติธรรม พระอภิธรรมทั้งปวง

    ในสมัยนั้นมีพระสงฆ์องค์หนึ่ง ทรงเป็นอริยสงฆ์ชั้นสูงสุด กล่าวกันว่าป็นผู้สำเร็จอรหัตมรรคอรหัตผลไปแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ อรยิสงฆ์ผู้นั้นได้แก่ "พระนาคเสนมหาเถระ" กิตติศัพท์เลื่องลือไปถึงพระเจ้าเมนันเดอร์ว่า มีพระสงฆ์องค์หนึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางธรรมอย่างสูงสุด ไม่มีผู้ใดจะสามารถเทียมทันได้ในสมัยนั้นแล้ว เจ้าแผ่นดินในประเทศอินเดียในระยะนี้จึงให้คนไปอารธนาพระนาคเสนมหาเถระมาสู่สำนัก แล้วตั้งข้อปุจฉาวิสัชนา ไต่ถามซึ่งศาสนาพระบรมศาสดาสัมสมสัมพุทธเจ้า คำสอนอันยิ่งใหญ่และความจริงที่ไม่มีกาลเวลาลุล่วงไปได้

    เมื่อพระนาคเสนมหาเถระมาถึงในที่พระบรมมหาราชวังแล้ว ถูกตั้งปัญหาถามถึงเรื่องในข้อธรรมะต่าง ๆ ในศาสนาพุทธนี้พระนาคเสนมหาเถระเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่มีปฏิสัมภิทาญาณอย่างสูง พระสัมภิทาญาณ และปฏิสัมภิทาญาณอย่างอื่น สามารถตอบปัญหาและแก้ปัญหาธรรมที่พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นได้ถามมาอย่างแจ่มแจ้งไม่มีเคลือบแฝงสงสัย ทั้งมีเหตุผลอย่างยิ่ง

    การสอบถามครั้งนั้นได้กระทำกัน ๗ วัน ๗ คืน ปัญหาที่เรียกกันในปุถุชน หรืออย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ปัญหาร้อยแปด หมายความว่า นึกถึงเรื่องอันใด ถามอะไรก็ถามมา เป็น ทางศาสนาใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หรือแม้จะเป็นเรื่องชาวบ้านทางโลกีย์ สุขโลกุตตรทั้งปมวล พระนาคเสนมหาเถระก็สามารถแก้ข้อคำถามเหล่านั้นได้หมด นำดวงจิตของพระเจ้าแผ่นดินองค์เข้าสู่ธรรมะอย่างแท้จริง เหตุเพราะพระนาคเสนมหาเถระเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิปัสสนาตุระและคันถธุระอย่างยิ่ง กล่าวกันว่าไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ พระนาคเสนมหาเถระเป็นผู้เฉลียวฉลาดในการแก้ปัญหาธรรมทั้งปวง สามารถจะนำปัญหาที่พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นถามมาแล้ว แม้จะเป็นปัญหาธรรมดาเข้าสู่ธรรมะได้ทุกแง่ทุกมุม

    เหตุนี้พระเจ้าเมนันเดอร์จึงเกิดความเลื่อมใสในศาสนาขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างใหญ่หลวง เกิดความปีติปลาบปลื้มยินดีในดวงจิตอย่างไม่เคยมีเลยในชีวิต ได้กล่าวปวารณาและตั้งสัจจาธิษฐานว่า ต่อแต่นี้ไปในเบื้องต้น ข้าพเจ้าจะนับถือศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะยึดถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึง ไม่มีที่พึ่งอื่นที่ยิ่งกว่าในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะติดตามยึดถือศึกษาศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้แล้วให้ถึงที่สุด ข้าพเจ้าจะพยายามปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้นให้อย่างยิ่ง แม้จะถึงซึ่งชีวิตก็ไม่เสียดาย ข้าพเจ้าจักกระทำการทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจักเป็นการเชิดชูพระบวรพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปในการเบื้องหน้านั้นด้วยพันปี จนกว่าศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ข้าพเจ้าจักทำการสักการะบูชาด้วยประการทั้งปวง แด่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึงไม่ว่างเว้น

    ได้ตั้งสัจจาธิษฐานอย่างนี้แล้วจึงมาจินตนาการว่า การที่เรายังมีชื่ออย่างอื่นเป็นชาวภาษาทางตะวันตกอยู่นั้น จะปกครองประเทศอินเดีย ซึ่งนับถือศาสนาเป็นอันมากนับลัทธิมิถ้วนได้ ให้มีความสมบูรณ์พูนสุขและเจริญได้ต่อไปอย่างไร และเราจักกระทำตนให้ชาวพุทธทั้งหลายมีความเลื่อมใสเคารพนับถือและยำเกรงเรา เชื่อฟังเราได้อย่างไร มีอยู่ทางเดียวคือ เราจำต้องเปลี่ยนชื่อของเราเสียให้เป็นชื่อทางภาษาชาวบูรพาทิศนี้ ด้วยเหตุดังนั้นจึงได้นำข้อความนี้ไปปรึกษากับพระนาคเสนมหาเถระผู้อรหันต์ว่า จักเป็นการบังควรหรือไม่ที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนพระนามเสียใหม่ ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ชาวอัศดงคตประเทศที่ติดตามมา และจักได้เป็นที่เคารพ เลื่อมใสของบรรดาชาวพุทธและชาวบูรพาประเทศในสมัยนั้น ที่จักตรรโลงบำรุงมุ่งให้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปภายภาคหน้า พระนาคเสนมหาเถระนั้นทูลตอบสนองไปว่า เป็นการควรอย่างยิ่ง เป็นอุบายอันฉลาดด้วยสติปัญญาอันรอบคอบ และปราชญ์เปรื่อง พระเจ้าเมนันเดอร์นั้นจึงได้เปลี่ยนนามเป็น "พระเจ้ามิลินทราชานาม" ของชาวบูรพา ในประเทศสมัยนั้น ให้ลบนามของพระเจ้าเมนันเดอร์ ซึ่งมาจากอัศดงคตประเทศเสีย เป็นเหตุให้บรรดาข้าราชการบริวาร ขุนนางทั้งปวงที่ติดตามมาในขบวนทัพและมาปกครองประเทศอินเดียในสมัยนั้น พากันเปลี่ยนชื่อเดิมของตนให้กลายเป็นของชาวบูรพาประเทศไปสิ้น

    แต่นั้นมาพระยามิลินทราชาก็ได้พยายามศึกษาข้อธรรมทั้งปรมัตธรรม และอภิธรรม และการวิปัสนาธุระ และทำคันถธุระทั้งหลายให้เสร็จสิ้นจนเป็นที่ปรากฏเลื่องลือไปทั่วทิศานุทิศ ว่าพระเจ้ามิลิทราชานั้นแท้จริงคือชนชาวบูรพาประเทศนั่นเอง มิใช่ผู้มาจากอื่นไกลเลย ทำให้ประชาชนชาวบูรพาประเทศในสมัยนั้นพากันมีความเลื่อมใสเคารพนับถือ เป็นเหตุให้การปกครองบ้านเมืองในประเทศชมพูทวีปในระยะนั้น ตลอดจนทวีปลังกาซึ่งเป็นเมืองขึ้นของชมพูทวีประยะหนึ่ง ได้รับความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง และเป็นที่ยอมรับกันว่า พระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งใกล้ถูกเหยียบย่ำให้ล่มจมไปแล้วนั้นกลับฟื้นฟูขึ้นอย่างน่าประหลายมหัศจรรย์ กลายเป็นศาสนาที่มีผู้เคารพนับถือเป็นอันมากกว่าศาสนาอื่น ในสมัยนั้น เป็นเช่นนั้นต่อมาอีกกาลนานประมาณสามร้อยกว่าปีเศษ ศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากจิตใจของประชาชนที่มีมิจฉาทิฏฐิ พยายามที่จะอวกแสดงตนว่าเป็นผู้รู้อันยิ่งใหญ่ เป็นครูบาอาจารย์อันประเสริฐ ละทิ้งธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาซึ่งไม่ประกอบด้วยกาลสมัยนั้นเสีย แล้วไปยึดถือเอาศาสนาของตนที่คิดขึ้นเองบ้าง ไปยึดถือศาสนาของผู้อื่นมาเป็นของตนบ้าง แล้วก็ดัดแปลงให้เป็นรูปอื่นต่อไป

    นับตั้งแต่นั้นมา การพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาฯ ซึ่งเผยแพร่อยู่ในชมพูทวีป และลังการทวีปนั้นเริ่มเสื่อมลงไปจากจิตใจของประชาชน เหตุที่เสื่อมนั้นมิใช่คำสอนของพระองค์จักเสื่อมก็หามิได้ เหตุเพราะจิตใจของประชาชนเสื่อมจากคำสอนของพระองค์ไป ด้วยเหตุว่าคำสอนนั้นเป็นสิ่งปฏิบัติได้ยาก

    ครั้นนานต่อมาศาสนาขององค์สมเด็จพระศาสดาฯ จึงข้ามจากชมพูทวีปมาอยู่ในทวีปนี้ ดังที่พวกเจ้าทั้งหลายได้รับรู้กันอยู่ ในขณะนี้เป็นต้น การที่เจ้าถามว่าคำตอบคำถามในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ร้อยกรองขึ้นเอง หรือเป็นคำสอนมาจากคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาฯ โดยแท้จริงนั้น กล่าวได้ว่าอันพระนาคเสนมหาเถระผู้อรหันต์ในขณะนั้น ย่อมสามารถล่วงรู้ และจดจำคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาฯ ไว้ได้อย่างถูกต้องทุกประการ จึงกล่าวได้ว่าการตอบในปัญหาคำถามของประปัฐเวน หรือพระยามิลินท์นั้นเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ หากมิได้ตรัสออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เพราะเหตุใดในระยะนั้นองค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงเข้าสู่ปรินิพพานเป็นกาลเวลาถึง ๕๐๐ ปี

    เหตุนี้เจ้าทั้งหลายพึงรับทราบว่า ของที่เกิดขึ้นในขณะนั้นอันเนื่องมาจากการตอบคำถามของพระยามิลินทราชา เป็นคำสอนที่มาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระบรมศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ แต่ผู้สอนนั้นมิใช่พระองค์สอนโดยพระองค์เองเท่านั้น เข้าใจหรือยัง

    ปัญหาเรื่องนี้มีคนสงสัยกันมานับตั้ง ๑๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดกล่าวถามแก่ผู้ใดเลย อาจจะเป็นด้วยเหตุว่าต่างคนต่างนึกว่าคงจะไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามเหล่านนั้นได้ เมื่อเจ้าถามมาเช่นนี้ดีแล้ว จะพึงจดจำข้อความที่ข้าได้เล่าให้เจ้าฟังวันนี้ไว้ เพื่อเจ้าจักได้แก้ข้อสงสัยแก่ผู้อื่นถ้าจะเกิดขึ้น โดยเขาไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังอย่างพวกเจ้าในที่นี้.


    *** คัดลอกจากหนังสือ "คำสั่งสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) และประสบการณ์ในยมโลก" โดย พลโทสมาน วีระไวทยะ และพระนิกร ปุญญลาโภ.
     
  3. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    หนังสือมิลินทปัญหานี้สนุกมากค่ะ เต็มไปด้วยคำถามคำตอบแบบชิงไหวชิงพริบ ทั้งการอุปมาอุปมัย สนุกมากค่ะ จะมีบุพกรรมของทั้งพระเจ้าเมนันเดอร์และพระนาคเสนเถระด้วย
     
  4. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    วันนี้พอมีเวลา จึงขออาราธนาธรรมง่าย ๆของพระพุทธองค์มาให้ทุกท่านได้พิจารณา


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="85%" align=center><TBODY><TR><TD>สังโยชน์ 10


    สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฎฎะ มี 10 อย่าง
    1. สักกายทิฏฐิ เห็นว่า ร่า่งกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5)
    2. วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย
    3. สีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง
    4. กามฉันทะ มีจิตมั่วสุมหมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์
    5. พยาบาท มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
    6. รูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน
    7. อรูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน คิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้พ้นจากวัฎฎะ
    8. มานะ มีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี
    9. อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล
    10. อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิสเป็นสมบัติที่ทรงสภาพ

    1. นักปฏิบัติที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบจิตกับ สังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติอารมณ์ที่ละนั้นเอง
      สังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครอบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่า ท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล
      สักกายทิฏฐิ ท่านแปลว่า ให้รู้สึกในอารมณ์ของเราว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายนี้ไม่มีในเรา หรือตามศัพท์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันไม่ใช่ของเรา เราไม่่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา อารมณ์ขั้นต้นของพระโสดาบัน กับสกิทาคามี ท่านมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย เราต้องคิดว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่ ร่างกายนี้น่าเกลียดโสโครก ต้องเกลียดจริง ๆ เราไม่ต้องการทั้งร่างกายเรา และร่างกายของคนอื่น หรือวัตถุธาตุใด อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอนาคามี และถ้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอรหันต์
      ถ้าจะปฏิบัติกันตามลำดับแล้ว ต้องใช้อารมณ์ตามลำดับ คือ
      อารมณ์ขั้นต้น ใช้อารมณ์แบบเบา ๆ คือมีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่จะทรงชีวิตได้ตลอดกาล ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด ใช้อารมณ์ให้สั้นเข้า คือมีความรู้สึกไว้เสมอว่า เราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต
      อารมณ์ขั้นกลาง ท่านให้ทำความรู้สึกเป็นปกติว่า ร่างกายของคนและสัตว์ ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด มีทั้ง อุจจาระ ปัสสวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น พยายามทำอารมณ์ให้ทรงจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด
      อารมณ์สูงสุด มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการวางเฉยในร่างกายทุกประเภท เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
      วิจิกิจฉา แปลว่า สงสัย คือสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า สงสัยในความดีของพระธรรมคำสั่งสอน สังสัยในความดีของพระอริยสงฆ์ สงสัยว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ เมื่อสงสัยเข้าก็ไม่เชื่อ ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ ต้องลงอบายภูมิ
      เพราะฉะนั้นจงอย่ามีในใจ ใช้ปัญญาพิจารณานิดเดียว ก็จะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าพูดถูก พูดจริง ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระองค์
      สีลัพพตปรามาส คือ ลูบคลำศีล รักษาศีลไม่จริงจัง อย่างนี้จงอย่ามีในเรา จงปฏิบัติให้ครบถ้วนด้วย 3 ประการ
      1. มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะต้องตาย
      2. ไม่สงสัยในคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมยอมรับปฏิบัติตาม
      3. รักษาศีลครบถ้วนโดยเคร่งครัด
      ทำอย่างนี้ได้ ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี

      กามฉันทะ คือมีความพอใจในกามคุณ คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เราต้องกำจัดในสิ่งเหล่านี้ ให้รู้ว่าสกปรก โสโครก เราไม่ต้องการ และกำจัด
      ปฏิฆะ คือ การกระทบกระทั่งความไม่พอใจออกจากจิต มีความเมตตา กรุณา เข้ามาแทน จิตมีความเบื่อหน่ายในร่างกายเป็นที่สุด ท่านตรัสว่า เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี
      รูปราคะ และ อรูปราคะ เป็นการหลงในรูปฌาน และอรูปฌาน เราต้องไม่หลงติด ไม่มัวเมาใน รูปฌาน และอรูปฌาน แต่จะรักษาไว้เพื่อประโยชน์แก่จิตใจ แล้วใช้่ปัญญาพิจารณาขันธ์ 5 ว่ามีแต่ความทุกข์ มีการสลายตัวไปในที่สุด เมื่อขันธ์ 5 ไม่ทรงตัวแบบนี้แล้ว
      มานะ การถือตัวถือตนว่าเราดีกว่าเขา วางอารมณ์แห่งการถือตัวถือตนเสีย มีเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง
      ตัดอุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่าน
      การถือตัวถือตน เป็นปัจจัยของความทุกข์ เราควรวางใจแต่เพียงว่า ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกะปริเทวะทุกขะ โทมะสัส อุปยาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ทุกข์มาจากไหน ทุกข์มาจากการเกิด แล้วเกิดนี่มาจากไหน การเกิดมาจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม เราควรวางใจเป็นกลาง การถือตัวถือตนเป็นปัจจัยของความทุกข์ จิตใจเราพร้อมในการเมตตาปรานี ไม่ถือตน เขาจะมีฐานะเช่นใดก็ช่าง ถือว่า เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด ถ้ากำหนดอารมณ์อย่างนี้ได้ เราก็สามารถจะกำจัดตัวมานะของตนได้ อวิชชา หมายถึง อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น ไม่รู้ตามความเป็นจริง อุปาทานนี้มีคำจัดกัดอยู่ 2 คำ คือ ฉันทะ และราคะ
      อุปาทาน ได้แก่ ฉันทะ คือความหลงใหลใฝ่ฝันในโลกามิสทั้งหมด มีความพอใจในสมบัติของโลก โดยไม่ได้คิดว่ามันจะต้องสลายไปในที่สุด
      ราคะ มีความยินดีในสมบัติของโลกด้วยอารมณ์ใคร่ในกิเลส
      ฉะนั้นการกำจัด อวิชชา ก็พิจารณาเห็นว่า สมบัติของโลกไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เราไม่มีในสมบัติของโลก ไม่มีในเรา จนมีอารมณ์ไม่ยึดถืออะไร มีอยู่ก็เป็นเสมือนไม่มี จิตไม่ผูกพันเกินพอดี เมื่อมีอันเป็นไปก็ไม่เดือดร้อน มีจิตชุ่มชื่นต่ออารมณ์พระนิพพาน ฉันทะ กับ ราคะ ทั้งสองนี้เป็นอารมณ์ของ อวิชชา ถือว่าเป็นความโง่ ยังไม่เห็นทุกข์ละเอียด ความจริงอารมณ์ตอนนี้ก็เข้มแข็งพอ คนที่เป็นอนาคามีแล้ว เป็นผู้มีจิตสะอาด มีอารมณ์ขุ่นมัวบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อารมณ์ใจยังเนื่องอยู่ในอวิชชา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ยังไม่เข้าถึงสุขที่สุด ที่เรียกว่า เอกันตบรมสุข ก็ควรจะใช้บารมี 10 นำมาประหัตประหารเสีย
      อวิชชานี้ ที่ว่า มีฉันทะ กับราคะ นั้น ท่านก็ตรัสว่า ฉันทะ คือมีความพใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ราคะ เห็นว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกก็ดี ยังเป็นกิเลสเบา ๆ คือไม่สามารถจะพ้นทุกข์
      ฉะนั้น ถ้าจะตัดอวิชชา ให้ตัดฉันทะ กับราคะ ในอารมณ์ใจ คิดว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ทั้ง 3 ภพนี้ ไม่เป็นที่หมายของเรา คือยังเป็นแดนของความทุกข์ เทวโลก พรหมโลกเป็นแดนของความสุขชั่วคราว เราไม่ต้องการ ต้องการจิตเดียวคือ พระนิพพาน ในใจของท่านต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นเอกัคตารมณ์ ในอุปสามานุสสติกรรมฐาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>
    อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง<MARQUEE>ร่างกายนี้ ไม่ช้าก็มีวิญญาณไป ปราศจากวิญญาณแล้ว ร่างกายก็ถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์</MARQUEE>


    ขอขอบคุณ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/sangyot.html
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งานวันนัดพบกัน ผมมีงานบุญอยู่อีก 1 งาน ที่จะนำไปบอกบุญ เป็นผ้าป่าสามัคคี เพื่อสร้างสถานปฎิบัติธรรม "สวนทิพย์โลกอุดร" ณ สถานปฎิบัติธรรม ดอยอ่างขาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (การทอดผ้าป่าสามัคคีในวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2551) นี้ครับ

    .
     
  6. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    โอนเงินร่วมบัญชีไหนคะ พอดีไม่ว่าง(อีกแล้ว)จัดวิปัสสนาที่บ้านค่ะ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมชอบครับ มีปุจฉา วิสัชนา

    ในสังคมเรา ต้องมีความต่าง ต่างกันในแนวคิด ต่างกันในเหตุผล แต่ในความต่าง ก็ยังมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน

    ผมยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด ก็คือ ผบทบ.ผม ผมเองชอบเก็บสะสม และศึกษาพระวังหน้า แต่เขาเองไม่ค่อยชอบ (เขานับถือมากๆ เนื่องจากโดนมาหลายรอบ เทวดาและช่างสิบหมู่ท่านทำให้รู้ว่า ท่านอยู่และมีจริงๆ ) ผมเคยพาไปบ้านท่านอาจารย์ประถม ไปครั้งเดียวแล้วก็เลิกไป เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมคุยเรื่องพระ เขาก็นั่งฟังอย่างเดียว (ก็เลยเบื่อ) คุยกันทั้งวันเรื่องพระ

    อีกเรื่องที่คุณnongnooo เคยบอกผม เรื่องของตลาดหุ้น หากไม่มีความต่างในความคิดเห็น ตลาดย่อมไม่เกิด คุณnongnooo ก็ตกงาน

    แต่ในความต่าง ก็ยังสามารถที่จะรักกันได้ เข้าใจกันได้

    ผมเชื่อว่า คณะพระวังหน้า ยังรักกันอยู่เหมือนเดิม หากอยู่ในสายโลกอุดร แต่หากไม่ได้อยู่ในสายโลกอุดร ก็ต้องจากกันไปสักวัน เป็นสัจจะธรรมครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะ pm ไปแจ้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  9. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ขออนุญาตนำเรื่องทำบุญยามาลงนะคะ พอดีเราทำกันเป็นประจำ พระอาจารย์เป็นคนเขียนให้ค่ะ

    ซื้อยาทำบุญให้วัดป่าสายกรรมฐาน

    รายการยาตัวอย่างสำหรับซื้อใส่กล่องพัสดุเพื่อส่งไปถวายวัดป่าสายกรรมฐานตามที่อยู่ด้านหลัง

    1 โหล ยาหม่องตราลิงขาวตลับขนาด 14 กรัม 135 บาท
    1 กล่อง แอนตาซิล ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร 190 บาท
    1 กล่อง ทิฟฟี่ ยาแก้ไข้ 95 บาท
    1 กล่อง ไดเซนโต ยาแก้ท้องเสีย 200 บาท
    1 กล่อง เท็นโซพลาส พลาสเตอร์ยาปิดแผล 40 บาท
    1 ขวด ยาหยอดตาฮิสต้า อ๊อพ ขนาด 10มล. 40 บาท
    1 ขวด ยาหอมห้าเจดีย์ ขวดใหญ่ 20 บาท
    1 ขวด คลอเฟนนิลามีน ขวด 1000เม็ด ยาแก้แพ้ 50 บาท
    1 ซอง FBC ยาบำรุงเลือดขนาดซอง ซองละ 100เม็ด 40 บาท
    1 หลอด ยาทาแผลเบอร์นอลพลัสหลอดใหญ่ 40 บาท
    1 หลอด ยานวด นีโอติก้า บาล์ม 25 บาท
    1 โหล พาราเซตามอล ขวด 100 เม็ด 180 บาท
    1 กล่อง ยาขมน้ำเต้าทองชนิดต้ม 60 บาท
    1 ตลับ วิควาปอรับ ทาแก้คัดจมูก 25 บาท
    รวมราคา 1140 บาท

    หมายเหตุ รายการยาข้างต้นนี้ใส่กล่องพัสดุของการไปรษณีย์ขนาดกล่อง 22 บาทได้พอดี ราคายาที่เขียนมาตามรายการข้างบนนั้นเป็นราคายาจากร้านประชาเวชภัณฑ์ อ.เมือง สุพรรณบุรี ผู้ซื้อยาทำบุญเมื่อไปซื้อจากร้านยาทั่วไปอาจราคาแตกต่างกันบ้าง สำหรับรายการยาที่จะซือทำบุญนั้นผู้ซื้ออาจสามารถพลิกแพลงได้ตามความพอใจและศรัทธา เมื่อทำบุญด้วยยาอย่าลืมอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาทำให้เราเจ็บป่วยด้วย จะได้สุขภาพแข็งแรงไม่ป่วยไข้ ใครศรัทธาจะส่งยาไปวัดไหนก็เลือกกันเอาเองตามที่อยู่วัดป่าข้างหลัง

    รายการยาและที่อยู่ของวัดป่านี้ควรเอาไปถ่ายเอกสารแจกกันมากๆ ผู้แจกจะได้บุญบารมียิ่งๆขึ้นไป เพราะเป็นการเชิญชวนให้คนทำบุญด้วยยาให้แก่วัดป่าตามต่างจังหวัดซึ่งขาดแคลนกว่าวัดในเมือง ขออนุโมทนากับทุกท่าน สาธุ


    ไม่ได้scanรายชื่อวัดให้เพราะตัวเล็กมากๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2008
  10. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    เมื่อวานตั้งใจจะโทรหา ตรวจคนไข้ไปมา เลยลืมไปเลย ดีจังครับ เดี๋ยวผมโทรหาพี่อีกทีครับ
     
  11. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 16 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ake7440+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุณหมอ พี่ฝากเรื่องนึง พี่มีงบประมาณให้ 1,000 บาท ช่วยซื้อยาสามัญประจำบ้าน เช่น พารา ,ไบโอดีน ,ยาเหลือง ,ยาแก้ท้องเสีย(หลายๆอย่าง) ,ยาแก้อักเสบ ,สำลี ,ผ้ากร๊อส และอื่นๆที่คุณหมอเห็นสมควร ส่วนกล่องใส่ยา พี่จะไปซื้อเอง

    พี่ฝากด้วยนะครับ จะไปถวายพระอาจารย์นิล เพราะว่า บนสนส.ผาผึ้ง ไม่ค่อยมีอะไรเลยครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    งั้นฝากด้วยอีก 1000 บาทค่ะ แล้วให้กันได้ไงล่ะคะ
     
  12. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    post นี่น่ารักอ่ะ สงสัยไม่มีใครอ่าน เอามาให้ดูนะคะ

    20 ท่า ลีลารักสุดเด็ดจ้า
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->แหมๆๆ ... รีบเปิดมาดูกันเชียว รู้นะคิดไรกันอยู่

    ^ ^ คิกๆๆๆ

    [​IMG]
    ขัดๆ ถูๆ ถูๆ ขัดๆ เด๋วเค้าขัดให้น๊า เอาให้เอี่ยมเยย โหะๆ

    [​IMG]
    แง้วววว คิดถึงมากมาย ไม่ไหวแย้ววววว อะ จุ๊บ ๆๆ

    [​IMG]
    ทำตัวดีๆ ไม่งั้นโดน
    [​IMG]
    อาบน้ำหอมๆ สบายจิงจิ้งงง
    [​IMG]
    แกล้งจุ๊บ ให้รู้ว่าร๊ากกกก
    [​IMG]
    ย๊ากกกก นัดแล้วไม่มา ตายยยยยยยยยย
    [​IMG]
    ผิดสัญญา ใจร้ายยยย นิสัยไม่ดี
    [​IMG]
    นี่แหน่ๆๆๆๆ ชอบทำให้คนอื่นร้องไห้ ร้องเองซะมั่งจิ๊
    [​IMG]
    ดีมาก ทำผิดต้องรู้จักรับผิด พัดไป กะลังร้อน
    [​IMG]
    ชิชะ ทำเปงง้อ เรื่องไรยะ
    [​IMG]
    มาให้ทำโทษก่อง โป๊ก โป๊ก เจ็บแต่ตัว ไม่เหมือนเจ็บที่ใจเฟ้ย
    [​IMG]
    ต่อด้วยดึงหู ให้หูยานไปเลย ดื้อๆๆๆๆ
    [​IMG]
    ดึงหางงงงงง จะได้สำนึก
    [​IMG]
    แล้วก็ เกาะ เหมือนเดิม ก๊ากกกก
    [​IMG]
    ว้าย ลื่นๆๆๆ อิอิ
    [​IMG]
    จะรักหรือไม่รัก บอกมาน๊า
    [​IMG]
    ยังอีก บอกมาสิโว้ยยยย
    [​IMG]
    ไม่พูดไม่จา แต่ให้ซ้อนมอไซค์ไปเที่ยว หมายฟามว่าไงฟะ
    [​IMG]
    งะ แบบนี้เรียกว่า ตกหลุมรัก ปะเนียะ เอิ๊กกก
    [​IMG]
    เย้ ไปเที่ยวทะเลกาน อิอิ

    หมายเหตุอ่ะนะ เพราะฉะนั้นรักจึงต้องอดทน เพื่อรักทรหดนี้ยืนนานอ่ะ

    คิกๆๆๆๆ
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  13. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    โอนให้ท่านปาทาน ทีเดียวเลยครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะpm ไปบอกนะครับ
    โมทนาสาธุครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ผมชอบซื้อยาถวายพระอยุ่แล้วครับ

    อีกอย่างที่ชอบซื้อถวายก็คือ หนังสือมนต์พิธี ที่พระต้องใช้(โดยเฉพาะพระบวชใหม่)

    ส่วนสังฆทาน ผมจะซื้อในห้าง แยกซื้อตามที่เราต้องการ แต่ปกติซื้อครั้งนึง ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทครับ

    .
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    55555 นั่นช่วย"ขน" ไม่ไช่ช่วย"เคลียร์"หนา...
     
  17. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เมื่อก่อนนี้ตลกมากเลยค่ะ พอดีแมวตายก็อยากทำสังฆทานให้ ก็มีของปกติทุกอย่าง แล้วก็ใส่อาหารแมวแบบเป็นถุงไปด้วย บอกว่ามาทำให้แมว พระท่านก็ยิ้มๆบอกว่าไม่เป็นไร พอดีที่วัดก็มีแมว ให้แมวกินได้ แต่คนอื่นเค้าก็คงว่าเราเพี้ยน ปกติเวลาทำสังฆทานแทนที่จะใส่ถัง จะใส่กะละมังซักผ้าไปค่ะ เพราะเคยคุยกับที่วัดเค้าบอกว่าถังเยอะมาก เวลาซักจีวรลำบาก เราก็เลยใช้กะละมังแต่เวลาเอาไปทีนึง ตลกมากๆ
     
  18. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ด้วยความที่พวกเราไม่เคยเข้าวัดกัน แถมไม่เคยพูดกับพระ พิธีกรรมต่างๆไม่ต้องพูดถึง ทำได้ดีอย่างเดียว คือไหว้และกราบ(สวยมากๆ ขอบอก) ตอนที่พวกเราคุยกับพระอาจารย์เราก็เรียกท่านว่า พระยังงั้น พระยังงี้ ท่านก็ไม่ว่าอะไร ตอนหลังคนอื่นเค้าถามว่าทำไมพวกเราพูดกับพระกันอย่างนี้เหรอ เพื่อนอีกคนก็เลยบอกว่าเวลาพูดกับท่านต้องเรียกท่านว่า โยม ถึงจะถูก เพราะเป็นสรรพนามบุรุษที่2 แน่ะ
    แต่เราว่าไม่ใช่เพราะเห็นเวลาพูดท่านชอบเรียกอาตมา เราก็ว่าต้องเรียกท่านว่าอาตมา จ๊ากกกก!!!นึกภาพคนอื่น ขำกันกลิ้ง

    เรื่องนี้ยังเป็นjokeประจำกลุ่มจนทุกวันนี้
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีเรื่องสนุกทุกวัน อิ...อิ..
     
  20. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ร่วมทำบุญด้วยค่ะ (โอนเงินแล้ว 1,000.00 บาท เมื่อเวลา 16.59 น.ค่ะ)

    โมทนาบุญกับทุกๆท่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...