พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผลิตภัณฑ์ในบ้านไร้สารพิษ

    http://www.lisathailand.com/content/ผลิตภัณฑ์ในบ้านไร้สารพิษ-0

    Submitted by webmaster on Tue, 10/07/2008 - 17:25
    สารพิษในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านสามารถปนเปื้อนในแหล่งน้ำได้ พยายามใช้ผลิตภัณฑ์เพียงแค่พอที่จะทำงานได้สำเร็จ อย่าทิ้งผลิตภัณฑ์ที่มีสารพิษลงในท่อ โถส้วม หรือใกล้แหล่งน้ำ และอย่าทิ้งลงบนพื้นดิน พยายามใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติและมีสารพิษน้อยกว่าเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ลองดูตารางต่อไปนี้



    [​IMG]
    <TABLE borderColor=#ff6600 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="98%" border=1><TBODY><TR><TD>ผลิตภัณฑ์ </TD><TD>แทนที่ด้วย</TD></TR><TR><TD vAlign=top>น้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์</TD><TD>น้ำอุ่นครึ่งลิตร ผสมกับสบู่เหลว 1 ช้อนชา บอแร็กซ์ 1 ช้อนชา และน้ำส้มสายชู &frac14; ถ้วย</TD></TR><TR><TD vAlign=top>น้ำยาทำความสะอาดพรม</TD><TD>เพื่อกำจัดกลิ่นจากพรม โรยพรมให้ทั่วด้วยบอแร็กซ์ 1 ถ้วย และแป้งข้าวโพด 2 ถ้วย หรือเบกกิ้งโซดา ปล่อยทิ้งไว้หนึ่งชั่วโมงแล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ฆ่าเชื้อ</TD><TD>แอมโมเนีย</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง</TD><TD>เทเบกกิ้งโซดาหนึ่งฝ่ามือและน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยลงในท่อ ปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที และเทน้ำร้อนตามลงไป</TD></TR><TR><TD vAlign=top>น้ำยาทำความสะอาดพื้น</TD><TD>เช็ดพื้นด้วยสบู่อ่อนๆ หรือน้ำผสมน้ำส้มสายชูหนึ่งถ้วย พื้นพรมน้ำมันจะเป็นเงาถ้าเช็ดด้วยนมแบบพร่องไขมัน (รับรองว่าไม่มีกลิ่น)</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ขัดเงาเฟอร์นิเจอร์</TD><TD>สำหรับผิวที่ไม่ได้เคลือบเงา ใช้น้ำมันธรรมชาติอย่างเช่นน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันอัลมอนด์ ส่วนผิวที่เคลือบเงา เช็ดด้วยผ้าชื้นๆ และเช็ดตามด้วยผ้าแห้ง</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ทำความสะอาดกระจก</TD><TD>น้ำส้มสายชูสองช้อนโต๊ะผสมกับน้ำหนึ่งลิตร</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ทำความสะอาดเตาอบ </TD><TD>เทเกลือลงบนรอยเปื้อนใหม่ๆ ในเตาอบ และแคะคราบออกหลังจากเตาเย็นลง สามารถใช้แอมโมเนียกับคราบที่ติดแน่นได้</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ทำความสะอาดพื้นผิว</TD><TD>น้ำส้มสายชูผสมเกลือ</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ทำความสะอาดกระเบื้อง</TD><TD>เบกกิ้งโซดา</TD></TR><TR><TD vAlign=top>ทำความสะอาดโถส้วม</TD><TD>เบกกิ้งโซดาหรือบอแร็กซ์</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอเสริมหน่อยครับ

    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านนอกจากเป็นพระมหาอุปราชวังหน้าแล้ว พระองค์ท่านยังดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์อีกด้วยครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เวลาต้องจัดการกับความสวย
    http://www.lisathailand.com/content/แก้ปัญหาเฉพาะหน้า-เวลาต้องจัดการกับความสวย


    Submitted by webmaster on Tue, 09/09/2008 - 15:09

    ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรที่ทำให้คุณสวยน้อย เรามีวิธีแก้แบบทันใจมาฝาก



    ถ้าเครื่องเพชรของคุณดูหมองคล้ำ แต่ไม่มีเวลาขัดทำความสะอาด ลองเอามันแช่ในวอดก้าสักพัก ใช้แปรงขัดเบาๆ มันจะกลับเป็นประกายแวววาวขึ้นมาในทันทีทันใด

    ถ้าชุดที่อยากใส่เกิดรอยยับเนื่องจากแขวนเบียดกันเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า ลองใช้คีมรีดผมไฟฟ้ารีดตามชายกระโปรงหรือปกเสื้อ เพื่อให้ดูเสื้อผ้าดูเนี้ยบขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลารีดทั้งตัว

    กระเป๋าหนังแก้วที่รอยขีดข่วนอย่างงั้นหรือ? ลองเช็ดรอยด้วยนมสด แล้วขัดเบาๆ รอยจะจางหายไปและกลับมาเงางามอีกครั้ง แถมนมยังอ่อนโยนไม่ทำลายหนังอีกด้วย

    ถ้าซิปของชุดสวยเกิดติด ถูไส้ดินสอลงบนซี่ซิป กราไฟต์ในไส้ดินสอ เป็นเหมือนสารหล่อลื่นโลหะ ช่วยให้รูดซิปได้คล่องขึ้นอีกครั้ง

    เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องประดับโลหะเปลี่ยนสีผิวที่สัมผัสกับมันให้กลายเป็นสีเขียว ลองทาพื้นผิวด้านในของเครื่องประดับโลหะด้วยยาทาเล็บแบบใส
     
  4. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เดี๋ยวนี้ที่บ้านใช้น้ำชีวภาพ ประหยัดค่าน้ำยาต่างๆไปเยอะเลยค่ะ แถมต้นไม้รอบบ้านสวยงามออกดอก ออกผลกันเต็มที่ เศษอาหารทั้งหมดก็ใช้หมักได้ ตอนนี้ที่บ้านก็เลยมีแต่ขยะแห้งเท่านั้น ตอนแรกที่จะทำไม่คอ่ยมีคนเชื่อ พอต้นไม้โตสวยงามแฟนยังทึ่งว่าทำกับเค้าได้ด้วยแฮะ เด็กที่บ้านยังจำเอาไปสอนที่บ้านต่างจังหวัดด้วยเลยค่ะ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ร่วมด้วยช่วยกันสองงานะนครับ

    ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=68899

    และ

    ขอเชิญร่วมบุญสร้างวิหารบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันต์ธาตุ ณ วัดเขาพระครับ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=154418

    เรียน พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน วันที่นัดพบกัน ผมมีงานบุญมาบอกอีกงาน ก็คืองานผ้าป่า เพื่อร่วมสร้างศาลาปฎิบัติธรรม ที่จังหวัดเชียงใหม่ ของพระอาจารย์ผม จะนำกองผ้าป่าไปถวายในวันที่ 5 ธันวาคม 2551 นี้ อย่าลืมไปร่วมทำบุญกันครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, มูริญโญ่, channarong_wo, kwok+, nongnooo+, Wibool </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเช้าครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ถอดรหัสความงามแม่หญิงจีน / อู่วัฒนธรรม
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000130986
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 พฤศจิกายน 2551 18:17 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในประวัติศาสตร์ของจีนมีการกล่าวขวัญหญิงสาวหลายนางที่มีความงามเป็นเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ไซซี หวังเจาจวิน หยางกุ้ยเฟย เฉินหยวนหยวน หรือไช่เหวินจี แล้วมาตรฐานสาวงามตามแบบจีนดั้งเดิมนั้นเป็นอย่างไร...

    ใบหน้า

    แต่ไหนแต่ไรมา ชาวจีนมองว่าใบหน้ารูปไข่เป็นรูปหน้าที่ได้สัดส่วนที่สุด เมื่อแบ่งตามขวางแล้วจะได้ 3 ส่วน : จากไรผมถึงคิ้ว จากคิ้วถึงปลายจมูก จากปลายจมูกถึงคาง เมื่อมีรูปหน้าที่สวยงามแล้วรายละเอียดบนใบหน้าก็ต้องเหมาะเจาะ ระยะห่างระหว่างตา 2 ข้างจะต้องเท่ากับความยาวของดวงตา ยิ่งถ้าใครมีลักยิ้มบนแก้ม ก็จะถูกมองว่าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์คนหนึ่ง

    คิ้ว

    ชาวจีนเชื่อกันว่า คิ้วและดวงตาของผู้หญิงสามารถสะท้อนถึงจิตใจของพวกเธอได้ ส่วนคิ้วรูปแบบไหนจึงจะเรียกว่าสวยนั้น ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับยุคสมัย อย่างในสมัยราชวงศ์ฉิน (221-207 ปีก่อนคริสตศักราช) แม่นางทั้งหลายนิยมคิ้วดก ยาว และโค้ง ขณะที่สาวสมัยฮั่นนิยมคิ้วรูปสามเหลี่ยมคล้าย “八” เรื่อยมาจนถึงสมัยถังหญิงสาวนิยมกันคิ้วให้เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวหรือใบหลิว กระทั่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 คิ้วโก่ง บางก็กลายเป็นรูปทรงยอดนิยม

    ดวงตา

    ในบทกลอนของจีนมักเปรียบเทียบความงามของหญิงสาวว่างามดุจดอกท้อแย้มบานในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาเรียวยาว หางตาตวัดโค้งขึ้น ลูกนัยน์ตาดำสนิท

    ริมฝีปาก

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=276 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=276>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ริมฝีปากเล็ก สีชมพู เป็นมันเงา มุมปากโค้งขึ้น หรือที่เรียกว่า “ปากเล็กเหมือนผลเชอร์รี่” เป็นปากที่ชาวจีนสมัยก่อนมองว่างามที่สุด

    รูปร่าง

    ทฤษฏีความงามแบบดั้งเดิมของจีนกล่าวไว้ว่า เอวที่คอดกิ่วเป็นความงามอย่างหนึ่งของผู้หญิง ส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงามได้สัดส่วนสะท้อนถึงความอ่อนช้อยและอ่อนโยนของผู้หญิง จีนในยุคโบราณมองว่าหญิงสาวที่มีเอวและสะโพกเป็นรูปนาฬิกาทรายนับเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงามสมบูรณ์แบบ

    ในตำนานและบทกลอนเก่าแก่ก็เคยพาดพิงถึงเสน่ห์อันเย้ายวนใจของเอวที่คอดกิ่ว และที่โด่งดังเรื่องหนึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องราวเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อนของฉู่หลิงอ๋อง ผู้ครองรัฐฉู่ ผู้ชื่นชอบหญิงสาวที่มีเอวเล็ก บรรดาพระสนมชายาต้องการเป็นที่โปรดปรานก็พากันอดอาหารมัดเอวจนสุขภาพย่ำแย่ แม้แต่ขุนนางก็พยายามจะผอมเพื่อเอาใจฉู่หลิงอ๋อง วันๆ หนึ่งทานอาหารแค่มื้อเดียว ไม่นานก็ร่างกายทรุดโทรมยืนแทบไม่อยู่ ไฉนเลยจะมีเรี่ยวแรงสนใจงานการ

    เซ็กซี่อย่างจีน

    ความเซ็กซี่ของสาวจีนสมัยก่อนเป็นอย่างไร? สะโพกยกกระชับ หน้าอกภูเขาไฟหาใช่คำตอบสุดท้าย

    สมัยก่อนชาวจีนมองว่าคิ้วคือสิ่งที่เซ็กซี่ที่สุดของผู้หญิง โดยคิ้วนั้นสามารถสะท้อนอารมณ์ของหญิงสาวได้ ดังนั้นจึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “สายรุ้งแห่งอารมณ์” (七情之虹) ส่วนอวัยวะที่ถูกมองว่าเซ็กซี่รองลงมาได้แก่ ไหปลาร้าและคออันงามระหง

    งามที่ใจใช่ใบหน้า

    แม้จะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงไร แต่สิ่งที่สำคัญและได้รับการยกย่องเสียยิ่งกว่าความงามภายนอกก็คือหญิงสาวผู้ทรงไว้ซึ่ง 3 เชื่อฟัง 4 คุณธรรม...3 เชื่อฟังก็ได้แก่ ก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย ถือเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงในสมัยก่อน ทั้งชีวิตทำเพื่อคนอื่นและอยู่เพื่อคนอื่น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=276 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=276>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วน 4 คุณธรรมนั้นก็ได้แก่ รูปร่างหน้าตาจะต้องสะอาดสะอ้าน อีกทั้งกริยามารยาทเพียบพร้อม กล่าวมธุรสวาจา อีกทั้งการบ้านการเรือนไม่ขาดตกบกพร่องนั่นเอง

    ความรู้ของหญิงสาว

    ดนตรี - ดนตรีในที่นี้หมายถึงพิณ 7 สาย ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี

    หมากรุก - หมายถึงหมากล้อม หญิงสมัยก่อนไม่มีโอกาสได้ทำงานเหมือนกับผู้ชาย ดังนั้นจึงได้รวมตัวกันเล่นหมากล้อมเพื่อผ่อนคลาย

    เขียนพู่กัน – การเขียนอักษรหรือคำกลอนไม่ใช่เรื่องสำหรับผู้ชายเฉพาะ ผู้หญิงเรียนรู้ว่าจะเขียน อ่าน และเขียนพู่กันจีนอย่างไร ไม่ว่าจะมีภูมิหลังทางครอบครัวอย่างไร พวกเธออ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง เขียนบทกลอนเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกและเรื่องราวชีวิตของตัวเอง และเขียนพู่กันจีนเพื่อความบันเทิง

    วาดภาพ - ในสมัยก่อนมีผู้หญิงหลายคนที่มีพรสวรรค์ในการวาดรูป แม้ว่าทักษะของพวกเธอมักถูกมองข้ามโดยสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ก็ตาม หัวข้อที่พวกเธอชอบวาดส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับดอกไม้ สัตว์เลี้ยง และหญิงงาม

    งานเย็บปัก - งานเย็บปักถักร้อยนั้นก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของหญิงสาวที่ขยันขันแข็ง และสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และความฉลาดของผู้หญิงด้วย ทั้งยังเป็นมาตรฐานของศรีภรรยาที่ดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะซื้อยาสามัญประจำบ้าน ไปถวายพระอาจารย์นิล เพือที่ให้ท่านนำขึ้นไปที่ สนส.ผาผึ้ง หรือที่อื่นตามที่พระอาจารย์นิล เห็นสมควร หากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ท่านใดมีความสนใจที่จะร่วมกันซื้อยาสามัญประจำบ้าน แจ้งผมให้ทราบด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?p=1638651#post1638651

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 12 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, kwok+, nongnooo+, Wibool </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=120053#post120053

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=9 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=2>Currently Active Users Viewing This Thread: 3 (2 members and 1 guests) </TD></TR><TR><TD class=alt1 colSpan=2>sithiphong, nongnooo+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ----------------------------------------------

    จ๊ะเอ๋ คุณnongnooo เจอกันทั้งสองที่เลยนะครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <CENTER>ศัพท์ทานุกรมโหร

    </CENTER>http://www.oknation.net/blog/print.php?id=220887




    1. วันทักทิน วันไม่ดี วันที่ถูกติเตียนทักท้วง วันที่ท่านห้ามทำการมงคล วันที่ไม่เป็นคุณในการทำกิจการมงคล
    2.
    วันทรทึก วันที่ถูกกล่าวหาลบหลู่ เป็นวันที่ไม่สมควรทำการมงคลด้วยเช่นกัน
    3.
    วันยมขันธ์ เป็นวันที่ให้ความเดือดร้อน ร้อนอกร้อนใจ เสมือนอยู่ท่ามกลางขุมไฟนรก ให้ความความเดือดร้อนไปทุกเรื่อง หาความเจริญมิได้4. วันอัคนิโรจน์ เป็นวันที่ได้รับการขัดขวางด้วยไฟ ไฟหมายถึงของร้อน เผาผลาญ
    5.
    วันทินกาล เป็นวันแห่งความตาย วันแห่งความสูญเสีย
    6.
    วันศูร วันที่เกิดการต่อสู้ รบราฆ่าฟันกัน วันต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย (ทินศูร)
    7.
    วันกาฬโชค, วันกาลโชค วันอับปางล้มเหลว วันที่โชคดับ

    8.
    วันกาลทัณฑ์ วันที่ถูกลงโทษ
    9.
    วันวินาสน์, วันวินาศ เป็นวันอันตรธาน วันถูกสังหาร วันล้มละลาย
    10.
    วันพิลา วันแตกหักเสียหาย วันที่ไม่ควรทำการมงค]
    11.
    วันมฤตยู วันของพระยายมมาจับชีวิตมนุษย์ หมายถึงความตาย วันสิ้นชีวิต

    12.
    วันกาลทิน วันที่ประกอบด้วยความทุกข์ วันที่หาความสุขมิได้ วันที่ห้ามทำมงคล
    13.
    วันอำมฤตโชค วันดี วันไม่ตาย เป็นวันทิพย์
    14.
    วันสิทธิโชค วันให้ความสำเร็จ เป็นวันโชคดี วันให้ลาภผล
    15.
    วันมหาสิทธิโชค วันให้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
    16.
    วันชัยโชค วันแห่งชัยชนะ วันทำให้เกิดความภูมิใจ วันได้รับความสำเร็จจากการต่อสู้
    17.
    วันราชาโชค เป็นวันได้รับชัยชนะด้วยบารมี เป็นที่เหมาะแก่การประกอบกิจมงคล
    18.
    วันมหาสงกรานต์ วันที่ดวงตะวันจรดก้าวเข้าสู่ขอบราศีเมษธาตุไฟ ดวงอาทิตย์เข้าสู่ต้นปี หรือต้นทวาร
    19.
    วันเนา วันที่ดวงอาทิตย์อยู่ท่ามกลางเส้นแบ่งราศีมีน และราศีเมษบนท้องฟ้า
    20.
    วันเถลิงศก วันที่สามของดวงอาทิตย์ที่โคจรพ้นขอบราศีมีน ก้าวเข้าสู่ราศีเมษเต็มดวง เป็นวันขึ้นศักราชใหม่
    21.
    วันพระยาวัน วันที่พ้นจากอันตราย ขึ้นรอบศักราชใหม่ได้เต็มที่ ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีมูลธาตุ เป็นวันเริ่มทำการมงคล
    22.
    วันดาวอาทิตย์ย้ายราศี วันที่ดาวอาทิตย์โคจรอยู่คาบเส้นในระหว่างที่ข้ามราศี คือ โคจรจากราศีหนึ่งก้าวเข้าสู่ราศีหนึ่ง
    23.
    วันดับ วันที่ดาวจันทร์เข้าสู่จุดดับ วันแรม 14 ค่ำบ้าง วันแรม 15 ค่ำบ้าง หรือวันอมาวสี
    24.
    วันปูรณมี วันที่ดาวจันทร์เข้าสู่จุดเพ็ญ วันขึ้น 15 ค่ำ วันที่พระจันทร์เต็มดวง
    25.
    วันกาฬปักษ์ วันที่จันทร์อยู่ข้างแรมตั้งแต่แรม 1 ค่ำถึงวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำ
    26.
    วันชุนหปักษ์ วันที่ดาวจันทร์สว่างอยู่บนท้องฟ้า เป็นดวงจันทร์ข้างขึ้น ตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 15 ค่ำ
    27.
    วันคราส วันที่มีสุริยะคราส หรือจันทร์คราส เป็นวันที่ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ และโลก อยู่ในเส้นตรงของแสงอาทิตย์ที่พุ่งตรงสู่โลก
    28.
    วันอวมานโอน วันสุดท้ายของการโคจรของดวงจันทร์ ซึ่งจะต้องเพิ่มอีกจากอัตรา 692 ตามวิถีทางการคำนวณทางสุริยาตร จึงมีคำว่า
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เริ่มปั่นกระทู้แต่เช้าเลยครับ ...

    วันนี้ขอหนักๆซักเรื่อง...
    ขอยืมภาพพระพิมพ์ต้นแบบพระประจำวันล้อม กรุพระแก้ววังหน้าจากกระทู้คุณกวงมาเปรียบเทียบกับพระพิมพ์นี้ของหลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว จ.ชลบุรี
    <!-- / message -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]






    </FIELDSET><LEGEND></LEGEND>[​IMG]



    เมื่อคืนผมลองดูพระพิมพ์ไปเรื่อยๆ จนพบพระพิมพ์หนึ่งซึ่งเก็บไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ของวัดแห่งหนึ่งย่านบางขุนพรหมก็ได้สร้างพระพิมพ์ในลักษณะของการนำพระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ของสมด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑ ใน ๘ พิมพ์พิเศษมาเป็นองค์ต้นแบบ

    ผมเข้าใจว่า หากเราพบ ๑ ที่... ๒ ที่ ที่นำองค์ต้นแบบจากกรุพระแก้ววังหน้ามาในการจัดสร้างพระพิมพ์ขึ้นนั้น สามารถตั้งข้อสมมุติฐานได้หลายสาเหตุคือ

    - เป็นการจัดสร้างหลังปีพ.ศ. ๒๕๒๕

    - การสร้างพระจากองค์ต้นแบบของหลายๆวัดนี้ ต้องมีผู้ที่ได้รับพระจากกรุพระแก้ววังหน้าไปเป็นองค์ต้นแบบอย่างแน่นอน

    - พระพิมพ์ของกรุวังหน้านี้น่าจะกระจายไปในวงกว้าง เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล่าวขานกันมากนัก อาจจะเนื่องจากติดปัญหาด้านการเผยแพร่ในช่วงเวลานั้น (อายุความ ๒๐ ปี ซึ่งหมดอายุความปี พ.ศ. ๒๕๔๕) การจัดสร้างในระหว่างนี้จึงไม่สามารถจะเปิดเผยที่มาที่ไปของการจัดสร้างได้ว่า นำแบบมาจากไหน หรือเป็นการรู้กันเฉพาะวงในมากกว่า

    เพื่อนๆลองวิเคราะห์ดูความเป็นได้ของการนำองค์ต้นแบบจากกรุพระแก้ววังหน้าพิมพ์ต่างๆกันนะครับ ไม่แน่ว่านานๆไปเราจะพบพระพิมพ์นั้นพิมพ์นี้ของวัดต่างๆไปซ้ำกับของกรุพระแก้ววังหน้ามากกว่าวัด ๒ แห่งนี้ ผมคิดว่าประเด็นนี้มีเบื้องหลังของการจัดสร้างอย่างแน่นอน อย่าบอกนะครับว่า คิดขึ้นมาเอง เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่จะเหมือนกันรายละเอียดขนาดนั้น ทั้งขนาด และพิมพ์ทรง ช่วงเวลาห่างกันอย่างน้อยก็ ๑๐๐ ปี (หากนับที่ปีพ.ศ. ๒๔๕๑) อย่างน้อยก็เป็นร่องรอยทางประวัติสาสตร์การสร้างพระ ไม่แน่นะครับว่า องค์ท้าวจตุคามรามเทพพิมพ์ที่สร้างกันปีพ.ศ. ๒๕๓๐ อาจจะนำมาจากองค์ต้นแบบจากกรุพระแก้ววังหน้าก็เป็นได้ นี่คือการมองปัจจุบัน แล้วย้อนทบทวนอดีตที่ผ่านมา...

    รอชมกันครับว่าวัดไหนที่นำพระพิมพ์ฝีพระหัถต์ ๒๔๐๘ ของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑ ใน ๘ พิมพ์นี้ไปสร้างเป็นพระพิมพ์..

    ลองทายกันเล่นๆก็ได้ครับว่า องค์ต้นแบบ ๑ ใน ๘ พิมพ์พิเศษนี้ที่นำไปจัดสร้างพระพิมพ์นั้นคือพิมพ์ใด? และวัดนั้นคือวัดอะไร?
    นับจากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง
    ๑ ๒ ๓
    ๔ ๕ ๖
    ๗ ๘




    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    <LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    <TABLE cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG][​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG][​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG][​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle></TD><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>พิมพ์แซยิด แขนกลม</TD><TD vAlign=top align=middle>พิมพ์แซยิด แขนหักศอก</TD><TD vAlign=top align=middle>พิมพ์ 7 ชั้น หูติ่ง</TD><TD vAlign=top align=middle></TD><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG][​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle></TD><TD vAlign=bottom align=middle>[​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#400000>พระเครื่องเอกของวัดอินทรวิหาร</TD></TR><TR><TD>หลักการดูพระหลวงปู่ภู</TD></TR><TR><TD>
    1. เป็นพระเครื่องของหลวงปู่ภู ท่านเจ้าอาวาส วัด อินทรวิหาร ปี พ.ศ. 2435
    2. เป็นพระเนื้อผงขาวผสมปูน พระเครื่องรุ่นแรกๆ ของท่านเนื้อค่อนข้างหยาบเล็กน้อย ด้วยมีส่วนผสมผงวิเศษมากมีความแน่นและแห้งจัด สีจะออกเหลืองหม่นๆ กับมีความนุ่มคล้ายพระสมเด็จบางขุนพรหม กรุเก่า
      พระหลวงปู่ภู รุ่นหลัง เนื้อมักจะละเอียดแน่นและแก่ปูน ส่วนผสมผงวิเศษน้อย สีค่อนข้างขาว
    3. พระเครื่องหลวงปู่ภู สร้างไว้จำนวนมาก และมากหลากพิมพ์ มีทั้งพิมพ์สมเด็จแบบต่างๆ แบบสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม และ ปิดตา (ภควัม)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.thaiamulet.com/amulet/phuphoo/phuphoo_t.htm

    สิ่งที่ผมได้พบคือ หากพระเครื่องหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร มีการสร้างพิมพ์นี้ขึ้น และมีความคล้ายกันพิมพ์แซยิด หลวงปู่ภู ทั้งพิมพ์แขนกลม และพิมพ์แขนหักศอก ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า ที่ในช่วงสมัยปี พ.ศ. ๒๔๓๐ เศษๆ (อาจจะก่อน หรือใกล้เคียงกับช่วงปีพ.ศ ๒๔๐๘-๒๔๓๕) จะต้องมีผู้ที่เคยได้รับพระพิมพ์นี้มาก่อน และนำพระพิมพ์สกุลวังหน้าซึ่งเป็นพระพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑ ใน ๘ พิมพ์พิเศษนี้ไปดำเนินการจัดสร้างพระพิมพ์หลวงปู่ภูขึ้น(หากตามประวัติการสร้างพระของวัดอินทรวิหารไม่เคยจัดสร้างพระพิมพ์นี้มาก่อนตั้งแต่สมัยหลวงปู่โต พรหมรังสี) ซึ่งวัดอินทรวิหารนี้ก็มีความสัมพันธ์กันกับหลวงปู่โต พรหมรังสี อย่างมากมาย และลึกซึ้งด้วย ผมมีความรู้สึกว่าพระพิมพ์ชุดพิเศษ ๘ พิมพ์ของวังหน้านี้หลวงปู่โต พรหมรังสีท่านเสกให้ด้วยซ้ำไป

    <TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: #ffff99 2px solid; BORDER-TOP: #ffff99 2px solid; BORDER-LEFT: #ffff99 2px solid; BORDER-BOTTOM: #ffff99 2px solid" vAlign=top width="100%" bgColor=#ff9900>
    พระหลวงปู่ภู วัดอินทร์
    </TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 10pt; MARGIN-LEFT: 10px; COLOR: #000080; MARGIN-RIGHT: 10px" vAlign=top width="100%">
    [​IMG] [​IMG]
    ผู้สร้าง หลวงปู่ภู หรือ พระครูธรรมานุกูล แห่งวัดอินทรวิหาร ตำบลบางขุนพรหม กรุงเทพฯ
    ศิลปสกุลช่าง ช่างราษฎร์ ยุครัตนโกสินทร์ยุคหลัง
    อายุการสร้าง หลวงปู่ภู ท่านสร้างพระมาตลอด หากจะนับช่วงอายุที่แน่ชัด
    ในวงการพระจะนับจากรุ่นแซยิด ตอนท่านอายุครบ 100 ปี
    เมื่อ พ.ศ. 2470 ซึ่งมีอายุการสร้างพระโดยประมาณ 65 ปี ขึ้นไป
    องค์ประกอบพระ หลวงปู่ภู ท่านได้สร้างพระไว้หลายรุ่น โดยใช้หลักการเดียวกับพระสมเด็จพระพุฒาจารย์
    (โต พรหมรังสี) คือใช้ผงปูนผสม กับผงพุทธคุณ จากการสังเกตจะเห็นว่า พระช่วงแรก ๆ
    จะมีเนื้อค่อนข้างหยาบ (อาจจะมีส่วนผสมของผงพุทธคุณมากกว่า)
    ลักษณะวรรณะพระ ลักษณะโดยทั่วไปจะมีความแน่นและแห้งจัด สีจะออกเหลืองหม่น ๆ
    ลักษณะเนื้อพระจะคล้ายพระสมเด็จบางขุนพรหมกรุเก่า
    มากในบางองค์จะออกเป็นสีขาวนวล ๆ หรือสีออกเทา ก็มี
    พุทธลักษณะ พระหลวงปู่ภู เป็นพระที่สร้างไว้ จำนวนพิมพ์มากที่สุดประเภทหนึ่ง
    มีทั้งพิมพ์สมเด็จแบบต่าง ๆ พิมพ์ห้าเหลี่ยม พิมพ์สามเหลี่ยม
    แบบกลีบบัว แบบพระปิดทวาร แบบพระปิดตา แบบเล็บมือ รวมทั้งที่สร้างขึ้นแล้ว
    มีขนาดเล็ก ๆ อีกมากมายหลายพิมพ์ จนเรียกได้ว่าพระหลวงปู่ภู มีพุทธลักษณะ
    ทุกอิริยาบถทั้ง นั่ง ยืน นอน
    จำแนกพิมพ์ จากการที่พระหลวงปู่ภู เป็นพระที่มีการสร้างหลายแบบ ดังที่กล่าวมาแล้ว
    จึงทำให้ยากต่อการกำหนดพิมพ์ที่สร้างขึ้นมาให้แน่
    นอนลงตัวได้ คงจะพอจำแนกพิมพ์ที่เป็นที่นิยมเล่นหากันจริง ๆ เท่านั้น
    เพื่อเป็นสังเขปต่อการศึกษา จดจำ
    1. พระพิมพ์แซยิด แขนหักศอก
    2. พระพิมพ์แซยิด แขนกลม
    3. พระพิมพ์เจ็ดชั้นหูติ่ง แขนกลม
    4. พระพิมพ์แปดชั้น แขนหักศอก
    5. พระพิมพ์แปดชั้น แขนกลม
    6. พระพิมพ์สามชั้น ก้างปลา หูบายศรี
    7. พระพิมพ์สามชั้น ทรงเจดีย์
    8. พระพิมพ์ฐานคู่แขนกว้าง
    9. พระพิมพ์ฐานคู่ พิมพ์เล็ก
    10. พระพิมพ์ยืนอุ้มบาตรใหญ่
    11. พระพิมพ์ยืนอุ้มบาตรเล็ก
    12. พระพิมพ์ใสยาสน์
    13. พระพิมพ์ยืนลีลา
    14. พระพิมพ์สังกัจจายน์ห้าเหลี่ยม
    15. พระพิมพ์ปิดตาสองหน้า
    16. พระพิมพ์สมาธิห้าเหลี่ยม
    17. พระพิมพ์เจดีย์ซุ้มเรือนแก้ว
    18. พระพิมพ์จิ๋วต่าง ๆ เป็นต้น​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.banphra.com/reviews/reviews01_007.htm<!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ความสัมพันธ์ หลวงปู่ภู กับท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต)
    กล่าวว่าหลวงปู่ภู ในคราวที่ออกธุดงค์ ส่วนมากจะร่วมเดินธุดงค์รุกขมูลกับเจ้าประคุณสมเด็จโต และหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายเสมอ ถึงแม้ว่าท่านอยู่ที่วัดอินทรฯ พอมีเวลาว่างท่านก็จะข้ามไปหาประสมเด็จฯ เสมอจนเป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จโตตลอดมา เมื่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จได้มาสร้างพระศรีอริยเมตตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ที่วัดอินทร์ฯ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จก็ได้มอบหมายให้หลวงปู่ดำเนินแทน มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนที่ก่อสร้างพระเจดีย์ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ(โต) ท่านไปตรวจดูขณะที่เดินนำหน้าหลวงปู่ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่พระเจดีย์ซึ่งโบกปูนเสร็จใหม่ๆ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่ฐานล่างของพระเจดีย์ พร้อมกับพูดว่า
    "คุณภู จัดการเสีย"

    หลวงปู่รับคำพร้อมกับเดินไปตามช่าง ให้มาเอาปูนออก พอช่างเอาปูนออกภายในเป็นโพรงเล็กๆ มีคางคกอาศัยอยู่ในนั้นสิบกว่าตัวถ้าปล่อยทิ้งไว้ มีหวังคางคกตายหมด

    มีบางครั้งที่หลวงปู่ภู จะข้ามไปลงโบสถ์ทำวัตร ที่วัดระฆัง กับสมเด็จ(โต) เสมอ วันหนึ่งขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ทำวัตรเสร็จได้เดินออกมาจากพระอุโบสถ โดยมีหลวงปู่ภูเดินตามหลัง พอเดินมาถึงตรงเจดีย์หน้าโบสถ์ซึ่งสร้างใหม่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้หยุดตรงหน้าเจดีย์ พร้อมกับหันไปมองหน้าหลวงปู่ภู และหัวเราะ "ฮึๆ " ในลำคอ ด้วยญาณสมาบัติถึงกันหลวงปู่ตอบว่า
    "ครับ พระคุณท่าน อ้ายคางคกสองผัวเมีย มันกำลังจะหมดลม ใกล้จะสิ้นใจแล้วครับ"
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงพูดว่า
    "นั่นซิ"
    แล้วสั่งให้พระเณรนำจอบเสียมและชะแลง มาขุดเจาะช่องพระเจดีย์ ปรากฏว่าภายในช่องมีคางคกคู่หนึ่งจริงๆ นับว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และหลวงปู่ภูมีญาณวิเศษ คือการบำเพ็ญสมาธิ จนได้เกิดทิพย์จักษุญาณ "ตาทิพย์" สมกับคำพังเพยได้กล่าวไว้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ฉันใด อาจารย์ดี ลูกศิษย์ย่อมจะดี

    กำหนดวันมรณภาพ
    โดยปกติทุกวันหลวงปู่จะถ่ายปัสสาวะลงในกระโถนเคลือบเล็กๆ แล้วส่งให้ลูกศิษย์ไปเทลงในกระโถนใหญ่ วันหนึ่งท่านได้ปฏิบัติดังนี้อีก พอลูกศิษย์นำไปเทแล้ว ท่านได้ถามว่า
    "มีฟองไหม"
    ศิษย์ก็ตอบว่า
    "ไม่มีฟอง"
    ท่านจึงพูดต่อไปว่า
    "นั่นแหละมึงจำเอาไว้ คนแก่เมื่อเยี่ยวหมดฟอง แล้วละก็ ไม่ช้าดอกมึง มรณสัญญาณมันมาแล้ว จะต้องลามึงไป"

    หลังจากที่ท่านได้พูดกับลูกศิษย์อยู่ไม่นาน ก่อนที่ท่านจะอาพาธหนักจนถึงมรณภาพ ซึ่งลูกศิษย์ได้บันทึกไว้ว่าในเดือน ๓ เป็นฤดูหนาว ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านได้นั่งอยู่บนเตียงนับนิ้ว ๓ นิ้วแล้วพูดพึมพำ คล้ายกับพูดอยู่กับตัวเองว่า
    "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ ทุ่มล่วงแล้ว"
    ท่านได้พูดอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายหนจนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้สอบถามเป็นเชิงล้อเลียนท่านว่า
    "หลวงปู่จะทำอะไร จะทำบุญอายุครบ ๑๐๐ ปี อีกหนหนึ่งหรือครับ กระผมจะได้ไปเรียนขุนนางที่เขาเป็นศิษย์ให้ทราบ"
    พอพูดจบท่านก็ตอบสวนทันควันว่า
    "ไอ้โง่ ไอ้โง่"
    แล้วท่านก็นั่งนับนิ้วต่อไป พร้อมกับพูดซ้ำๆซากๆ อยู่อย่างนี้หลายครั้ง ศิษย์ที่นั่งอยู่ก็พูดล้อเลียนอีก ท่านก็ตอบอีกว่า
    "ไอ้โง่ ไอ้โง่ มรณสัญญาณ ของข้าฯ มาแล้ว จะต้องลามึงไป มึงอย่าเสียใจนะ"
    ไม่มีผู้ใดคาดหมายมาก่อนเลยว่าหลวงปู่จะมรณภาพ ถึงแม้ท่านจะไม่ค่อยแข็งแรง คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน แต่ท่านก็มิได้มีอาการเจ็บป่วย อะไรมาก่อน

    จนถึงเดือน ๕ เวลาเช้า ในขณะที่ท่านกำลังฉันจังหันเช้าอยู่ ขณะที่หยิบช้อนขึ้นตักแกงพอยกขึ้นซดช้อนก็หลุดจากมือท่าน พร้อมกับนั้นท่านก็หงายหลังพิงหมอนอิง ปากท่านเบี้ยว นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มเจ็บป่วยโดยโรคอัมพาต หลังจากท่านล้มป่วยมาจนถึงเดือน ๖ ตรงกับวันเสาร์ข้างขึ้น พระจันทร์เต็มดวง เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ๑๐ นาที ท่านก็มีอาการหอบและหูตึง ในขณะนั้นมีศิษย์ซึ่งเฝ้าพยาบาลอยู่หลายคน ต่างวิตกกันไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นทุกคนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบนหลังคาสังกะสีของกุฏิที่ท่านนอนอยู่ดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับลูกระเบิดจนกุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง จากนั้นอีกประมาณ ๕ นาที หลวงปู่ก็สิ้นลมด้วยอาการอันสงบ มิได้มีเวทนาอันเป็นวิบากกรรมให้ปรากฏ
    นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่วันมรณภาพของท่านตรงกับคำพูดของท่านได้บอกไว้ล่วงหน้าคือ "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ นาฬิกาล่วงแล้ว" ซึ่งตรงกับจันทร์คติ เมื่อปีระกา วันเสาร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ เวลา ๑ นาฬิกา ๑๕ นาที ตรงกับ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๖ นับทางสุริยคติรวมอายุได้ ๑๐๓ ปีเศษ หรือ ๑๐๔ ปีซึ่งตรงกับที่ท่านได้พูดไว้คราวที่นิมิตเห็นผู้มาถวายตราแผ่นดิน ๓ อัน ท่านบอกว่า จะมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีเศษ

    การสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลต่างๆ
    ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้จัดสร้างพระเครื่อง เนื้อผง ขึ้นหลายแบบพิมพ์ด้วยกัน ส่วนเหรียญก็มีเฉพาะแจกวันเกิด ส่วนตะกรุดผ้ายันต์อีกทั้งไม้เท้าพ่อครูก็ได้สร้างขึ้นแต่มีจำนวนไม่มากนัก กล่าวกันว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องตอนมาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร ในระยะหลังเท่านั้น ตอนสมัยหลวงปู่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ใครมาขอของขลังท่านจะไล่ให้ไปขอกับหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพระพี่ชายของท่าน ส่วนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ใหญ่ได้สร้างไว้ เป็นแบบใดไม่ปรากฏหลักฐาน เข้าใจว่าคงมีไม่มากนัก
    จากหลักฐานการสร้างพระเครื่อง ของหลวงปู่ภู ได้จัดสร้างขึ้นหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง และหลวงปู่ใหญ่ได้มรณภาพลงไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เนื่องจากท่านมีความสำนึกในจิตใจ จะไม่ทำอะไรแข่งกับผู้ที่ท่านเคารพนับถือ คือไม่แข่งกับครูบาอาจารย์นั่นเอง

    มูลเหตุที่ท่านสร้างพระเครื่อง เกี่ยวเนื่องจากท่านต้องรับภาระต่อจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ดำเนินงานก่อสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้สร้างพระผงขึ้นเพื่อแจกให้กับผู้มีจิตศรัทธา สละเงินช่วยก่อสร้างพระโต โดยท่านมิได้กำหนดราคาค่างวดใดๆ ทั้งสิ้นสุดแท้แต่จะศรัทธาของสาธุชนที่มาทำบุญด้วย ท่านได้ปรารภกับศิษย์
    "กูไม่มีทางอื่นจะเลือก"
    เมื่อหลวงปู่สร้างพระออกแจกจ่ายเพื่อการกุศล ต่อมาได้มีพระภิกษุบางรูปที่อยู่ในวัด ได้สร้างพระเครื่องซึ่งให้ช่างแกะแม่พิมพ์ที่มีความละม้ายคล้ายกันกับหลวงปู่ นำออกแจกจ่ายบ้าง เมื่อท่านได้ทราบเรื่องนี้เข้า ท่านก็ได้ระงับการแจกพระของท่านเสีย โดยท่านนำพระทั้งหมดมาบรรจุใส่ในกระถางมังกร ท่านได้นำมาวางไว้ที่เหนือศีรษะที่ท่านจำวัตร พอเวลาสวดมนต์ตอนกลางคืนท่านก็เอามือจับปากกระถางมังกรปลุกเสกอยู่ทุกคืน ตอนที่มีพระภิกษุทำพระล้อแบบพิมพ์ของท่านออกแจกหาเงินเข้ากระเป๋า ท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า
    "กูต้องเลิกทำละ ไม่ได้การ มันจะตกนรกกันเปล่าๆ ของไม่ได้เสก ไม่ได้ประสิทธิ์ กูไม่เล่นด้วย"
    นับแต่นั้นมาท่านก็ไม่ยอมสร้างอีกเลย มีอยู่วันหนึ่งลูกศิษย์ได้สอบถามท่านถึงเรื่องพระเครื่องที่เหลืออยู่ในกระถางมังกร ทำไมถึงไม่ยอมนำออกไปช่วยการกุศล จะเก็บไว้ทำไมท่านก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูเอาไว้หาเงินทำศพกูเอง ไอ้โง่"
    ตอนที่ลูกศิษย์สอบถามท่านขณะนั้นหลวงปู่อายุประมาณ ๑๐๒ ปีแล้ว

    .........................................................................

    ลองเทียบปีพ.ศ.กันนะครับ

    ปีที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตคือ ๗ มกราคม ปีฉลู ๒๔๐๘
    "ข้อสำคัญอันหนึ่งในเรื่องประวัติสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อตอนก่อนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คือที่ท่านคิดอ่านยกกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญขึ้นเป็นพระมหาอุปราช ดังปรากฏอยู่ในเรื่องจดหมายเหตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต(ซึ่งพิมพ์ในงานสตมวารของสมเด็จกรมหลวงสงขลาฯ) นั้น มีหลักฐานปรากฏว่าท่านได้ตกลงใจมาแล้วหลายปี เห็นจะเป็นตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อปีฉลู พ.ศ. 2408 และได้กราบบังคมทูลความคิดนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบด้วย

    เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ามีพระราชดำรัสเล่าว่าวันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับ ณ พระทวารหน้ามุขพระที่นั่งอนันตสมาคมอันเป็นที่รโหฐาน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เข้าเฝ้าฯส่วนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับคอยรับใช้อยู่เบื้องพระขนองของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้ทรงสดับตรัสประภาษกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ด้วยเรื่องต่างๆมาจนถึงเรื่องวังหน้า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะได้กราบทูลอธิบายว่ากระไรหาทรงได้ยินถนัดไม่ได้ยินแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสตอบว่า

    "ถ้าเช่นนั้นกั้นกำแพงแบ่งกันเสียที่ท้องสนามหลวงก็แล้วกัน"

    เข้าพระทัยว่าเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์คงกราบทูลอธิบายว่าเห็นจำเป็นจะต้องให้กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเป็นพระมหาอุปราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นชอบด้วย แต่จะทรงโต้แย้งขัดขวางก็เห็นไม่เป็นประโยชน์ จึงมีพระราชดำรัสอย่างนั้น

    เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเล่านี้ ก็สมกับการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องกรมหมื่นบวรวิชัยชาญในเวลาต่อมาเช่นโปรดฯให้ไปเยี่ยมตอบราชทูตฝรั่งเศส (ที่ปรากฏในหนังสือเรื่องพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อก่อนเสวยราชย์) และเล่ากันว่าเมื่อเสด็จออกรับเจ้าเมืองสิงคโปร์ที่พลับพลาหว้ากอ โปรดฯให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ หมอบเฝ้าฯ ข้างที่ประทับฝ่ายหนึ่ง คู่กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"


    ปีที่สมเด็จโต พรหมรังสี มรณภาพคือ เดือนมิถุนายน ๒๔๑๕

    "ต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ สมเด็จโตท่านไปดูการก่อสร้างหลวงพ่อโต ที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม แล้วเกิดอาพาธด้วยโรคชรา และถึงแก่มรณภาพ ณ เวลา ๒ ยาม วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ (ต้น)ปีวอก จ.ศ.๑๒๓๔ ตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๑๕"

    ปีที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสวรรคต คือ เดือนสิงหาคม ๒๔๒๘
    ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไว้วางใจพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้ามาก โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 ทั้งสิ่งใดที่มีในพระบรมมหาราชวัง ก็โปรดเกล้าฯให้พระบวรราชวังมีด้วย

    อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อสมเด็จพระปิ่นเกล้าเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามลดบทบาทของวังหน้าลง ด้วยเกรงว่าเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจมากจะชิงราชสมบัติ แต่เมื่อองค์รัชกาลที่ 4 สิ้นพระชนม์ เจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ก็ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการ และตั้งกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หวังให้วังหน้ามีอำนาจกีดขวางวังหลวงฮ

    ในช่วงเวลานี้ วังหน้าและวังหลวงจึงขัดแย้งกันอีกครั้ง ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ในวัยเยาว์ เพียง 15 พรรษา เทียบกับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีชนมายุถึง 31 พรรษา ทั้งมีฐานสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร

    ต่อมารัฐบาลอังกฤษเดินแผนยุให้วังหน้าและวังหลังแตกแยกกันยิ่งขึ้น เพื่อจะเข้าปกครองโดยง่าย ความขัดแย้งจึงบานปลายเป็นวิกฤตทางการเมืองในปลายปี 2417-2418 ถึงขั้นจะดึงอังกฤษเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงชี้แจงว่าเป็นเรื่องขัดแย้งในตระกูล ทำให้อังกฤษต้องถอยฉาก

    ในที่สุดเมื่อองค์รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงทรงกำหนดขอบเขตอำนาจและทหารในสังกัดของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสียใหม่ ไม่ให้เกิน 200 นาย

    เมื่อกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคตในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศยกเลิกตำแหน่งวังหน้าโดยเด็ดขาด และทรงตั้งตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาทครองราชสมบัติขึ้นแทน


    ปีที่หลวงปู่ภูมรณภาพคือ เดือนพฤษภาคม ๒๔๗๖
    จนถึงเดือน ๕ เวลาเช้า ในขณะที่ท่านกำลังฉันจังหันเช้าอยู่ ขณะที่หยิบช้อนขึ้นตักแกงพอยกขึ้นซดช้อนก็หลุดจากมือท่าน พร้อมกับนั้นท่านก็หงายหลังพิงหมอนอิง ปากท่านเบี้ยว นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มเจ็บป่วยโดยโรคอัมพาต หลังจากท่านล้มป่วยมาจนถึงเดือน ๖ ตรงกับวันเสาร์ข้างขึ้น พระจันทร์เต็มดวง เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ๑๐ นาที ท่านก็มีอาการหอบและหูตึง ในขณะนั้นมีศิษย์ซึ่งเฝ้าพยาบาลอยู่หลายคน ต่างวิตกกันไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นทุกคนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบนหลังคาสังกะสีของกุฏิที่ท่านนอนอยู่ดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับลูกระเบิดจนกุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง จากนั้นอีกประมาณ ๕ นาที หลวงปู่ก็สิ้นลมด้วยอาการอันสงบ มิได้มีเวทนาอันเป็นวิบากกรรมให้ปรากฏ
    นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่วันมรณภาพของท่านตรงกับคำพูดของท่านได้บอกไว้ล่วงหน้าคือ "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ นาฬิกาล่วงแล้ว" ซึ่งตรงกับจันทร์คติ เมื่อปีระกา วันเสาร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ เวลา ๑ นาฬิกา ๑๕ นาที ตรงกับ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๖ นับทางสุริยคติรวมอายุได้ ๑๐๓ ปีเศษ หรือ ๑๐๔ ปีซึ่งตรงกับที่ท่านได้พูดไว้คราวที่นิมิตเห็นผู้มาถวายตราแผ่นดิน ๓ อัน ท่านบอกว่า จะมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีเศษ"

    ณ ปีที่สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต คือ ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์น่าที่จะสร้างไว้ก่อนปีพ.ศ. ๒๔๐๘ เล็กน้อย การจารึกปีพ.ศ. ๒๔๐๘ ไว้ใต้ฐานพระพิมพ์จึงเป็นการระบุถึงการระลึกถึงปีที่พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต (แนวคิดการสร้างพระเครื่องของปัจจุบันจึงต่างจากสมัยโบราณมากคือปัจจุบันสร้างปีไหนก็ระบุปีนั้น จุดนี้หากคนรุ่นหลังไม่เข้าใจ จะเชื่อตามที่เห็น พระเครื่องสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ติดพลอยมากมาย ระบุปีพ.ศ. ๒๔๑๑ แต่พระพักตร์พระองค์ท่านมีพระมัสสุ (หนวด) ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่พระองค์ท่านมีพระชนม์พรรษาได้ ๑๕ พรรษาเท่านั้น แท้จริงคือการสร้างเพื่อเฉลิมฉลองระลึกถึงปีที่พระองค์ท่านเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ ๔๐ ปีนั่นเอง) ซึ่งเวลานั้น
    หลวงปู่โตมีอายุ ๗๗ ปี
    หลวงปู่ภู มีอายุ ๓๖ ปี
    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระชนมายุ ๒๘ พรรษา

    พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ จึงน่าจะทันสมเด็จโตเสก อย่างน้อย ๒ พระราชพิธีหลวงใหญ่ๆ คือ ๒๔๐๘ และ ๒๔๑๑ ด้วยซ้ำไป

    ณ ปีที่สมเด็จโตมรณภาพคือ ปีพ.ศ. ๒๔๑๕ ซึ่งเวลานั้น
    หลวงปู่ภู มีอายุ ๔๓ ปี
    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา

    ตั้งแต่หลังจากปีที่สมเด็จโตท่านมรณภาพคือ ปีพ.ศ. ๒๔๑๕ นั้น สมเด็จโตได้มอบหมายการสร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ที่วัดอินทรวิหารให้ท่านดำเนินการต่อ ซึ่งจุดเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ท่านเริ่มสร้างพระเครื่องตามบันทึกนี้ครับ..

    การสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลต่างๆของหลวงปู่ภู
    ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้จัดสร้างพระเครื่อง เนื้อผง ขึ้นหลายแบบพิมพ์ด้วยกัน ส่วนเหรียญก็มีเฉพาะแจกวันเกิด ส่วนตะกรุดผ้ายันต์อีกทั้งไม้เท้าพ่อครูก็ได้สร้างขึ้นแต่มีจำนวนไม่มากนัก
    กล่าวกันว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องตอนมาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร ในระยะหลังเท่านั้น ตอนสมัยหลวงปู่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ใครมาขอของขลังท่านจะไล่ให้ไปขอกับหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพระพี่ชายของท่าน ส่วนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ใหญ่ได้สร้างไว้ เป็นแบบใดไม่ปรากฏหลักฐาน เข้าใจว่าคงมีไม่มากนัก
    จากหลักฐานการสร้างพระเครื่อง ของหลวงปู่ภู ได้จัดสร้างขึ้นหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง และหลวงปู่ใหญ่ได้มรณภาพลงไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เนื่องจากท่านมีความสำนึกในจิตใจ จะไม่ทำอะไรแข่งกับผู้ที่ท่านเคารพนับถือ คือไม่แข่งกับครูบาอาจารย์นั่นเอง
    มูลเหตุที่ท่านสร้างพระเครื่อง เกี่ยวเนื่องจากท่านต้องรับภาระต่อจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ดำเนินงานก่อสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้สร้างพระผงขึ้นเพื่อแจกให้กับผู้มีจิตศรัทธา สละเงินช่วยก่อสร้างพระโต โดยท่านมิได้กำหนดราคาค่างวดใดๆ ทั้งสิ้นสุดแท้แต่จะศรัทธาของสาธุชนที่มาทำบุญด้วย ท่านได้ปรารภกับศิษย์ "กูไม่มีทางอื่นจะเลือก"
    เมื่อหลวงปู่สร้างพระออกแจกจ่ายเพื่อการกุศล ต่อมาได้มีพระภิกษุบางรูปที่อยู่ในวัด ได้สร้างพระเครื่องซึ่งให้ช่างแกะแม่พิมพ์ที่มีความละม้ายคล้ายกันกับหลวงปู่ นำออกแจกจ่ายบ้าง เมื่อท่านได้ทราบเรื่องนี้เข้า ท่านก็ได้ระงับการแจกพระของท่านเสีย โดยท่านนำพระทั้งหมดมาบรรจุใส่ในกระถางมังกร ท่านได้นำมาวางไว้ที่เหนือศีรษะที่ท่านจำวัตร พอเวลาสวดมนต์ตอนกลางคืนท่านก็เอามือจับปากกระถางมังกรปลุกเสกอยู่ทุกคืน ตอนที่มีพระภิกษุทำพระล้อแบบพิมพ์ของท่านออกแจกหาเงินเข้ากระเป๋าท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "กูต้องเลิกทำละ ไม่ได้การ มันจะตกนรกกันเปล่าๆ ของไม่ได้เสก ไม่ได้ประสิทธิ์ กูไม่เล่นด้วย" นับแต่นั้นมาท่านก็ไม่ยอมสร้างอีกเลย
    มีอยู่วันหนึ่งลูกศิษย์ได้สอบถามท่านถึงเรื่องพระเครื่องที่เหลืออยู่ในกระถางมังกร ทำไมถึงไม่ยอมนำออกไปช่วยการกุศล จะเก็บไว้ทำไมท่านก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูเอาไว้หาเงินทำศพกูเอง ไอ้โง่" ตอนที่ลูกศิษย์สอบถามท่านขณะนั้นหลวงปู่อายุประมาณ ๑๐๒ ปีแล้ว
    ซึ่งเวลานั้น...
    หลวงปู่ภู มีอายุระหว่าง ๔๓-๑๐๔ ปี เท่ากับว่าพระเครื่องที่หลวงปู่ภูท่านสร้างเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา ๖๑ ปี คือระหว่างปีพ.ศ. ๒๔๑๕(หลังสมเด็จโตมรณภาพ)จนถึงปีพ.ศ. ๒๔๗๖

    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระชนมายุระหว่าง ๓๕-๔๘ พรรษา


    .......................................................................

    พระเครื่องรุ่นแซยิดครบ ๑๐๐ ปีของหลวงปู่ภู จึงสร้างในปีพ.ศ. ๒๔๗๖ ครับ ผมอยากให้ข้อสังเกตว่าการสร้างพระเครื่องในปีครบรอบนั้น ผู้สร้างมักจะให้ความสำคัญ เช่นครบ ๕ รอบคือปีที่หลวงปู่ภู อายุ ๒๔๓๒ ฯลฯ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กล่าวได้ว่า หากศึกษาค้นคว้าอย่างจริงๆจังๆ แล้วจะพบว่า พระพิมพ์หลายๆพิมพ์ในปัจจุบัน และในอดีตที่ย้อนไปประมาณร้อยปี หรือเกือบๆร้อยปี พระต้นแบบที่นำมาเป็นแบบพิมพ์นั้น มาจากวังหน้าและวังหลวงทั้งนั้น

    หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ได้พบ ได้เห็น เป็นสิ่งที่บอกได้ว่า พลิกโฉมวงการพระเครื่องของเมืองไทยได้เลย เพียงแต่การยอมรับหรือไม่ยอมรับนั้น เป็นอีกประเด็น

    อย่างพิมพ์จอบเล็กหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ผมเองมีพิมพ์จอบเล็กหลวงพ่อเงิน แต่สร้างขึ้นที่วังหน้า เป็นเนื้อเงินทั้งองค์ และได้ตรวจสอบพลังอิทธิคุณแล้วจึงทราบว่า หลวงพ่อเงิน ท่านอธิษฐานจิตเอง

    หรืออย่างพิมพ์เจ้าสัว พิมพ์นี้เป็นพิมพ์ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า มีหลายเนื้อ หลายพิมพ์ มีทั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอธิษฐานจิตเดี่ยว มีทั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า อธิษฐานจิต มีทั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) อธิษฐานจิต มีทั้งหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 3 พระองค์(หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ,หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ,หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า) อธิษฐานจิต ,มีทั้งหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ,หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ,หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น) และที่พิเศษก็มีอีก 3 แบบ คือ พิเศษแบบที่ 1 และ 2 หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 5 พระองค์ และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต ,พิเศษแบบที่ 3 หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 3 พระองค์(หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ,หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า และหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า) อธิษฐานจิต

    ยังมีพิมพ์ที่หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก นำพิมพ์ไปใช้ในการสร้างพิมพ์พระอีก

    ส่วนพิมพ์อื่นๆ ผมไม่กล้าลงบอกครับ

    .
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หวาดดีครับ ไปพบกันที่ อโคจร นะเนี่ย หุ หุ
     
  15. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ไม่เปนไร เดี๋ยวผมบอกเอง ...แต่รอให้ว่างก่อนนะ ขุขุrabbit_sleepy
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2008
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ลงแค่นี้เขาก็มึนงงกันแล้วครับ "เสี้ยน"จะเอาไปกล่าวปรามาสกันอีก เป็นการช่วยเติมกรรมให้เขาหรือเปล่า.. เขามักบอกว่า "กรุหน้าวัง"เอาของหลวงพ่อจากวัดดังๆไปย้อมแมวจัดสร้างย้อนยุคยัดเป็นกรุหน้าวังไปซะนั่น เข้าใจไปคนละทิศเลยหนาท่าน ก็พิจารณาเอา..บอกได้ว่า งานนี้ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีผลกรรมให้ปัญญาทึบติดไปอีกหลายภพหลายชาติฐานที่เผยแพร่ความรู้ผิดๆอย่างแน่นอน
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เป็นไงครับ คุณน้องนู๋ตลาดหุ้นไทย ใครว่าเล่นยาก ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ถนนใหญ่(Dow Jones)ติดไฟแดง ถนนซอย(หั่งเส็ง-นิเคอิ-สเตทไทม์ฯลฯ)ก็ติด พี่ไทยเลยเดาเอาว่ารถออกจากถนนหมู่บ้าน(SET)ก็น่าจะติดไฟแดง ก็เป็นไปตามคาด 555555

    ลองดูพี่ใหญ่(ดาวโจร)เราสิครับ
    Dow Jones
    New York Stock Exchange
    NASDAQ
    S&P
    Other US
    Treasury
    Commodities
    Futures
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><THEAD><TR><TH class=first>Symbol</TH><TH class=second>Name</TH><TH>Last Trade</TH><TH>Change</TH><TH class=last>Related Info</TH></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=first>^DJA</TD><TD class="second name">Dow Jones Composite Average</TD><TD>3,224.58 <NOBR>4:06pm ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 182.75 (5.36%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^DJI</TD><TD class="second name">Dow Jones Industrial Average</TD><TD>9,139.27 <NOBR>4:03pm ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 486.01 (5.05%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^DJT</TD><TD class="second name">Dow Jones Transportation Averag</TD><TD>3,800.62 <NOBR>4:04pm ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 271.19 (6.66%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^DJU</TD><TD class="second name">Dow Jones Utility Average</TD><TD>374.19 <NOBR>4:06pm ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 15.73 (4.03%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แล้วเหลือบตามองดูเพื่อนบ้านเราเทียบกันสิครับ..

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><THEAD><TR><TH class=first>Symbol</TH><TH class=second>Name</TH><TH>Last Trade</TH><TH>Change</TH><TH class=last>Related Info</TH></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=first>^AORD</TD><TD class="second name">All Ordinaries</TD><TD>4,131.80 <NOBR>10:14PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 155.50 (3.63%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^SSEC</TD><TD class="second name">Shanghai Composite</TD><TD>1,709.76 <NOBR>2:00AM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 50.85 (2.89%)</TD><TD class=last>Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^HSI</TD><TD class="second name">Hang Seng</TD><TD>13,911.95 <NOBR>10:00PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 928.21 (6.25%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^BSESN</TD><TD class="second name">BSE 30</TD><TD>10,120.01 <NOBR>5:28AM ET</NOBR></TD><TD>0.00 (0.00%)</TD><TD class=last>Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^JKSE</TD><TD class="second name">Jakarta Composite</TD><TD>1,309.00 <NOBR>10:14PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 57.28 (4.19%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^KLSE</TD><TD class="second name">KLSE Composite</TD><TD>915.24 <NOBR>4:02AM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 9.66 (1.07%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^N225</TD><TD class="second name">Nikkei 225</TD><TD>8,980.18 <NOBR>8:15PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 541.06 (5.68%)</TD><TD class=last>Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^NZ50</TD><TD class="second name">NZSE 50</TD><TD>2,853.82 <NOBR>9:55PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 32.29 (1.12%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^STI</TD><TD class="second name">Straits Times</TD><TD>1,789.02 <NOBR>10:14PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 79.80 (4.27%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^KS11</TD><TD class="second name">Seoul Composite</TD><TD>1,096.31 <NOBR>10:15PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 85.19 (7.21%)</TD><TD class=last>Components, Chart, More</TD></TR><TR><TD class=first>^TWII</TD><TD class="second name">Taiwan Weighted</TD><TD>4,706.54 <NOBR>10:15PM ET</NOBR></TD><TD>[​IMG] 271.72 (5.46%)</TD><TD class=last>Chart, More</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ของเราลงลึกสุดไปแล้ว 12 จุดกว่า
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กาลามสูตร

    http://th.wikipedia.org/wiki/กาลามสูตร

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ
    1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    <DL><DD>เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล <DD>ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ <DD>ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข <DD>เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ </DD></DL>ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว [1]



    อ้างอิง

     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมลงกาลามสูตรให้ดู
    ต้องไปพิสูจน์เอง ด้วยตัวเองเท่านั้นครับ

    .
     
  20. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เคยอ่านกันหรือยังคะ โดนสุดๆเลย

    <TABLE width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD width="100%">กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
    เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก

    พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆมากมาย
    พระองค์เริ่มต้นด้วยการ สร้างมหาสมุทร ทั้ง 7
    โดยหลักของการวางของวิเศษ พระองค์จะต้องวางทั้ง
    ของดีและของไม่ดี คู่กันไป

    เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ

    ทรง เอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา
    แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย

    เอาป่าอเมซอน วางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย

    เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้แคนาดา แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้

    เอาเทือกเขาหิมาลัย ให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก
    แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้

    ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด
    ..... จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน

    คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศ รูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน
    ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป
    แต่ด้วยความที่เขาสูงชันมาก
    เทือกเขาได้เกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด

    ข้าวของที่ดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ
    เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์
    ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก
    ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่
    --- ประเทศไทยหมด ---

    ว้า !! แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิดว่า ประเทศนี้
    ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมดแน่นอน

    พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว
    พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
    ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ
    จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่า พระองค์ไม่ยุติธรรม


    จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่า
    ประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้
    เพื่อเป็นการป้องกัน ประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้
    ไม่ให้เจริญล้ำไปกว่า ที่อื่นๆ

    พระองค์ก็เลยสร้าง
    ....... นักการเมืองไทยขึ้นมา

    ถ้ามีนักการเมืองไทยอยู่ล่ะก็ ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหน ไทยก็ไม่มีวันเจริญ......
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...