พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เดี๋ยวพี่ไปหาเองได้ จะได้พาน้องหมอสองคนไปวัดพลับ อยู่ใกล้ศิริราชนิดเดียว เอาไปฝากให้หลวงพ่อซะหน่อย เผื่อกลางคืนว่างๆไปนั่งสมาธิในที่ศักดิ์สิทธิ์ บารมีคุ้มครองค่ะ
     
  2. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอบพระคุณครับ
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การผจญภัยของคุร katicat นี่ไม่เบาเลยนะครับ เพื่อนๆ ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย..
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มาตรการนี้เป็นยังไงเหรอครับ คุณน้องนู๋อยากรู้ๆๆ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำไม่พนักงานชอบเกี่ยงงาน ???

    http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=14272

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>รายงานโดย :เรื่อง : รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย:

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]


    ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนว่างเว้นจากการเข้าพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงกลุ่มซี้ เนื่องจากมีภาระงานมาก ทั้งนี้ ล่าสุดเพื่อนสาวถึงกับโทร.มาขู่ว่า
     
  7. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    วันที่ 3
    1.สวดมนต์ไหว้พระ
    2.ภาวนาทำสมาธิศึกษาธรรมะต่างๆ
    3.รักษาศีลสมาทานศีล
    4.เสีนสละที่นั่งให้สตรีแล้วคนชราเวลานั่งรถ
    5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง
    6.ยินดีในบุญของผู้อื่น
    7.นำสาระความรู้ต่างๆมาเผยแพร่เพื่อนๆพี่ๆ
    8.ศึกษาธรรมะต่างๆ
    9.เพียรที่จะละความชั่วต่างๆมิให้เกิด
    10.เพียรที่จะสร้างความดี
    ผมอยากจะถามพี่ๆๆครับไม่ทราบว่าผมบุญชำระหนี้สงฆ์เป็นอย่างไรครับแบบว่าทำบุญแบบไหนแก้ได้แตกต่างจากการทำบุญธรรมดาอย่างไร ประมาณว่าพระติดหนี้เราชำระหนี้ให้ท่าน
    หรือว่าอย่างไรหรือว่าช่วยวัดสร้างพระธาตุถือว่าชำระหนี้สงฆ์ไหมครับ<!-- / message --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2008
  8. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    พี่ครับผมได้รับพระจากการทำบุญ แล้วครับไม่ทราบว่าเป็นสมเด็จอะไรหรอครับอยากรู้
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    เมื่อวานผมเจอเด็กช่าง นั่งบนรถของแถวผมเจอแล้วอึ้งครับรู้ไหมครับว่าคนแก่ขึ้นรถมาเขาเกี่ยงกันใหญ่เลยว่าให้เพื่อนลุกแต่ไม่มีใครลุกสรุปผมลุกเอง ซึ้งผมก็มักลุกะรรมดาอยู่แล้วตอนเช้าก็ลุกเพิ่งมาเจอเหตุการณ์นั้นตอนเย็นสังคมเราไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลยอีกทั้งเขาพวกนั้นอายุเยอะกว่าผมตัวใหญ่กว่าผมอีกครับแต่พอยืนไปยืนมารู้ไหมครับผมเห็นอะไรเขาเอามีดดาบใส่กางเกงเหน็บไว้ตรงขา คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเอาไปผ่ามะพร้าวหรอกมักเขายาวขนาดนั้น
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่างคร่าวๆก่อนนะครับ

    การที่เราไปทำบุญที่วัด โดยการถวายสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นอะไร เช่น ชาม ,ช้อน ,ทราย ,ดิน ฯลฯ ถวายคณะสงฆ์(พระสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป มารับการถวาย หรือคณะสงฆ์แต่งตั้งให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง มาเป็นตัวแทน) สิ่งของที่ถวายนั้น ถือว่าเป็นสมบัติของสงฆ์


    หากเราไปวัด เราเข้าไปใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า หรืออาจจะเป็นการเหยียบพื้นดิน พื้นทรายทีวัด แล้วเศษดิน เศษทราย ติดรองเท้าเราออกมา นั่นหมายความว่า เราได้นำสิ่งของๆสงฆ์ ออกมา ดังนั้น เราจึงเป็นหนี้สงฆ์

    การทำบุญชำระหนี้สงฆ์ สามารถทำได้หลายๆวิธีเช่น ตามตู้บริจาคที่เขียนระบุไว้ว่า ให้ทำบุญชำระหนี้สงฆ์ หรือการสร้างพระพุทธรูป ไปถวายวัด เพื่อชำระหนี้สงฆ์ก็ได้

    รายละเอียด คุณเพชรเคยนำมาลงในกระทู้นี้แล้วนะครับ และคุณหมอเอก ก็ได้นำมาลงเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง ลองกลับเข้าไปอ่านดูนะครับ เป็นคำสอนของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงครับ

    ส่วนการทำบุญในลักษณะอื่นๆ ก็แล้วแต่ว่า เจตนาของเราทำบุญอะไรครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2008
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธรรมดา เมื่อสมัยก่อน ก็เห็นเป็นประจำ บางครั้งเห็นไล่ตีกัน เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังต้องการความเด่นดัง

    สมัยก่อน นานมากแล้ว เคยนั่งรถเมล์กลับบ้าน ก่อนที่จะถึงบ้านสักเกือบๆ 2 ป้าย เห็นเด็กพาณิชย์(เป็นกลุ่ม ประมาณ 7-8 คน) วิ่งถือดาบฟันตรงช่องหน้าต่างที่พี่นั่ง พี่นั่งด้านนอก ด้านในมีเด็กพาณิชย์นั่งอยู่ 1 คน ปรากฎว่า ฟันไม่โดน พี่เองก็รีบลุกขึ้น เด็กพาณิชย์ที่นั่งด้านนอกก็รีบลุกขึ้น คนขับรถเมล์ก็รีบปิดประตู และขับไปโดยไม่จอด พี่เองโมโห ตะโกนด่าไปว่า เก่งจริงก็ไปสมัครทหารพรานแล้วไปที่ตาพระยา หรือ ด้านแม่สอดสิ อย่างนี้ไม่เก่งจริงหรอก

    ในสมัยก่อน ก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ลักษณะนี้ ในโรงเรียนเคยมี 2 กลุ่ม (ตอนนั้นเรียนอยู่ ป.7) ปรากฎว่า ห้องพี่(เป็นห้อง 3) กับห้อง 5 ไม่ถูกกัน หัวโจกของห้องพี่(ห้อง 3) และหัวโจกห้อง 5 นัดต่อยกัน ตัวต่อตัว นัดกันไปหลังวัด ในห้อง 3 และห้อง 5 ไปกันทั้งห้อง ไปยืนกันเป็นวงกลม โดยให้หัวโจกทั้งสองห้อง ยืนตรงกลาง ให้ต่อยกัน ปรากฎว่า ต่อยกันจนหมดแรง หมดแรงแล้วทำอย่างไรรู้หรือเปล่า ทั้งสองคนก็ค่อยๆเขยิบก้น เข้ามาหากัน จับมือกัน หลังจากนั้น ก็ไม่เคยมีการวิวาทกันอีกเลย

    เพื่อนพี่คนนึง ตอนที่เรียน ม.ศ.3 คนนี้ซ่ามาก จะต่อยครูด้วยซ้ำ พอจบม.ศ.3 แทนที่จะเรียนต่อ ด้วยความซ่ามาก ไปสมัครเป็นทหารพราน แต่เป็นได้ไม่กี่ปี ต้องถูกส่งตัวกลับ ไม่ใช่เพราะเก แต่เนื่องจากเป็นโรคมาลาเรียขึ้นสมอง นี่เป็นตัวอย่างของความซ่าที่เข้าที่เข้าทาง เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมือง

    วัยรุ่นเดี๋ยวนี้ เก่งไม่จริงทั้งนั้น หลีกได้หลีกให้ห่างๆ ที่เล่าให้ฟังว่า พี่ด่าบนรถเมล์ พี่บอกด้วยว่า ให้ทั้งปีน M 16 กระสุนกี่ลังก็ขนไป ระเบิดกี่ลูกก็ขนไป แต่ไปไม่เกิน 7 วัน เป็นเป้าเคลื่อนที่ให้ทหารเขมร หรือทหารพม่า หรือทหารกะเหรี่ยง ยิงเอา

    เล่าสู่กันฟังเล็กๆน้อยๆ สงสัยว่า จะแก่แน่เลย พวกเล่าเรื่องความหลังเนี่ย
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนที่ดีที่สุดท่านหนึ่งครับ ผมจำผิดเป็นวันพรุ่งนี้ ยังไงก็ตามช้าไปหน่อยแต่ขออวยพรให้เพื่อนท่านนั้น ที่เข้ามาอ่านบ่อยๆ มีความสุขสมหวังทุกประการ เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน สุขภาพแข็งแรงและเป็นกัลยาณมิตรที่ดีตลอดไปครับ หุ หุ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา Fwd mail ครับ

    กองทุนเกาหลีใต้สบายใจ หายห่วง!
    คอลัมน์ : พบกองทุน: กองทุนเกาหลีใต้สบายใจ หายห่วง!
    Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
    Friday, October 24, 2008 07:35

    เมื่อเดือนก่อนนักลงทุนที่มีเงินอยู่ในกองทุนรวมตราสารหนี้เกาหลีใต้ก็ใจหวิวๆ ไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อมีความกังวลกันว่า เงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ในเกาหลีใต้จะแห่กันถอนตัวกลับประเทศ จนทำให้ค่าเงินวอนระส่ำระสายอ่อนค่าลงไปถึง 20% เมื่อเทียบกับต้นปี ร้อนถึงรัฐบาลเกาหลีใต้ต้องออกมาแทรกแซงค่าเงินวอน

    เหตุการณ์ครั้งนั้นก็สงบลงท่ามกลางความกังวลต่อ “ความแข็งแกร่ง” เงินทุนสำรองระหว่างประเทศและภาระหนี้ต่างประเทศของเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในระดับสูง

    นักลงทุนกองทุนเกาหลีใต้ นอนหลับสบายไปได้ไม่กี่คืน ก็ต้องหวั่นไหวกันอีกครั้ง เมื่อบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ออกมาขู่ว่าจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของเกาหลีใต้

    “ถ้าเกาหลีใต้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลี อายุมากกว่า 1 ปี จะมีปัญหา เพราะอาจจะต่ำกว่าระดับที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดไว้” ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าว

    นักวิเคราะห์หลายสำนักแสดงความกังวลไปในทางเดียวกัน คือ ถ้าวิกฤตการเงินที่มีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกาจะลุกลามเข้าในเอเชียก็คงจะไปเริ่มต้นที่ประเทศเกาหลี เพราะนอกจากจะเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมากแล้ว เกาหลีใต้พึ่งพาเงินกู้จากต่างประเทศในระดับที่สูงมาก

    ดังนั้น ในช่วงเวลาที่สถาบันการเงินทั่วโลกเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างในปัจจุบัน ที่สภาพคล่องทั่วโลกตึงตัว จึงมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารของเกาหลีใต้อาจจะไม่สามารถระดมเงิน เพื่อไปชำระหนี้ต่างประเทศที่ครบกำหนดชำระได้

    "ถ้าประเทศเกาหลีใต้จะมีปัญหาก็จะ เริ่มที่ธนาคารเอกชนก่อน เพราะฉะนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารเอกชนเกาหลีใต้จึงมีความเสี่ยงสูง เพราะ แม้ประเทศจะแข็งแกร่ง แต่ธนาคารเอกชนมีปัญหาขาดสภาพคล่องได้” ชัชชัย กล่าว

    รัฐบาลเกาหลีใต้จึงต้องระดมสรรพกำลังให้ความช่วยเหลือภาคธนาคาร โดยจัดสรรเงิน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อค้ำประกันเงินกู้สกุลเงินต่างประเทศเป็นเวลา 3 ปี สำหรับการกู้ยืมระหว่างวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. ปีหน้า รวมทั้งการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวน 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ให้อีกด้วย

    ขณะเดียวกันรัฐบาลเกาหลีใต้ยังดาหน้าออกมายืนยันอย่างหนักแน่นว่า เงินสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.5 เท่าของหนี้ระยะสั้นในปัจจุบันนั้นมากเพียงพอที่จะรับมือปัญหาการขาดสภาพคล่องได้

    แม้ว่าจะคาดกันว่า ปีนี้เกาหลีใต้จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี และเงินไหลออกจากตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง

    “ก่อนหน้านี้คนที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารเอกชนของเกาหลีใต้อาจจะมีความไม่สบายใจ แต่เมื่อรัฐบาลประกาศค้ำประกันหนี้ ทำให้มีความเสี่ยงลดลง เพราะตราบใดที่ธนาคารเหล่านี้ยังสามารถกู้เงินใหม่ได้ ก็จะไม่มีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้” สมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าว

    ไม่เฉพาะนักลงทุนเท่านั้นที่สบายใจ เพราะหลังจากรัฐบาลเกาหลีใต้คลอดมาตรการชุดนี้ออกมา บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างประกาศ “คงอันดับความน่าเชื่อถือ” ไว้ที่ระดับเดิม เพราะถ้าเป็นรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่เคยประวัติผิดนัดชำระหนี้

    “ในปี 2540 ที่เกาหลีใต้ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนกับประเทศไทย ซึ่งในตอนนั้นฐานะการเงินของรัฐบาลเกาหลีแย่กว่าตอนนี้มาก โดยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เขาก็ไม่เคยปิดประเทศ ไม่เคยหยุดพักชำระหนี้” สมชัย กล่าว

    ก.ล.ต. ระบุว่า ณ เดือน ส.ค. 2551 มีกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้เกาหลีใต้ ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 70% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมที่ไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาครัฐ

    บลจ.ที่นิยมออกกองทุนประเภทนี้ มักจะเป็น บลจ. ที่มีแม่เป็นธนาคารพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็น บลจ.กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ บัวหลวง ทหารไทย และกรุงไทย

    บลจ.กสิกรไทย ระบุว่า มีกองทุนที่ลงทุนเฉพาะพันธบัตรเกาหลี 26 กองทุน มูลค่า 5.68 หมื่นล้านบาท

    บลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนที่ลงทุนในเกาหลี 24 กองทุน มูลค่ารวม 5.57 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งชาติเกาหลีทั้งหมด

    บลจ.บัวหลวง มีกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีมูลค่ารวม 4.05 หมื่นล้านบาท และ บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) มีประมาณ 2 หมื่นล้านบาท

    ขณะที่ บลจ.กรุงไทย มีเงินลงทุนรวม 2.33 หมื่นล้านบาท โดยลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐในเกาหลีใต้ 1.39 หมื่นล้านบาท และตราสารหนี้ของสถาบันการเงินต่างประเทศ (Euro Commercial Paper: ECP) จำนวน 6,431 ล้านบาท

    “แม้ว่าจะเป็นการลงทุนใน ECP แต่มีความเสี่ยงเท่ากับการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในประเทศ เพราะเป็นการลงทุนตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาเกาหลี และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งเกาหลี รวมทั้งพันธบัตรธนาคารแห่งชาติเกาหลี ที่ออกในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ” สมชัย กล่าว

    นอกจากนี้ กองทุนส่วนใหญ่ยังปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่า ในระหว่างนี้ค่าเงินวอนจะผันผวนไปอย่างไรก็จะไม่มีผลต่อกองทุน

    เพราะฉะนั้นความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ คือ ความเสี่ยงของคู่สัญญาอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ที่แต่ละกองทุนไปทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนว่า จะแข็งแกร่งขนาดไหน--จบ--
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อย่าว่าอย่างงั้นอย่างนี้ครับ ในสมัยมัธยมพวกห้องผมก็เป็นตัวลุยเหมือนกันครับ ไม่ชอบใครที่ไหน ห้องใคร ใดๆพวกเราจะยกพวกไปลุยกัน แบบที่เรียกว่าหมาหมู่ครับ เวลาอยู่เดี่ยวจะ จ๋อย แต่รวมกันเมื่อไหร่ก็สุดๆครับ ถูกตัดคะแนนความประพฤติจนเป็นเรื่องปกติครับ แต่สุดท้ายก็ยังเอ็นทรานซ์กันได้ นึกในมุมกลับถ้าเป็นพ่อแม่เองก็คงกลุ้มแย่นะครับ ผมเล่าให้เป็นบทเรียนกับน้องๆครับ การชนะด้วยกำลังโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่นและอดีตที่ได้ทำมานี่เป็นสิ่งที่โง่ที่สุดเลยครับในชีวิต หุ หุ
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ย้อนรอยวิกฤตในอดีต ประเมินวิกฤตหุ้นในปัจจุบัน
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02edi01031151&day=2008-11-03&sectionid=0212


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นับวันวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐและในยุโรปก็ยิ่งรุนแรง แม้ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศจะเข้าอัดฉีดสภาพคล่องกันไม่หยุดหย่อน ขนาดรัฐบาลสหรัฐ เข็นมาตรการกอบกู้ 7 แสนล้านดอลลาร์ ก็ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ให้สงบลงได้ ทุกๆ คนในโลกนี้กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะความมั่นคงของสถาบันการเงินของสหรัฐและในยุโรป ในขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอาจถึงขั้นเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง (depression) ทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมก็คงชะลอลดลงมามากพอสมควร

    ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกกันระนาวตามสหรัฐ ที่หากวัดจากดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรม 30 ตัวนั้นได้ทรุดลงมาแล้ว 35% คือจาก 14,198 จุด เมื่อ ต.ค. 2008 (พ.ศ. 2551) ลงมาเหลือ 9,180 จุดขณะที่หุ้นไทยเองก็ไหลลงมาแล้วเฉลี่ย 55% คือจาก 924 จุด ลงมาเหลือ 418 จุด ณ 12.00 น. 31 ต.ค. 2551

    หลายๆ คนอยากรู้ว่า ตลาดหุ้นมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ไหน และอีกนานไหมกว่าจะขึ้น ขณะที่การคาดการณ์เดิมๆ ของนักวิเคราะห์คงต้องปรับใหม่หมด เพราะวิกฤตของโลกรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างที่เห็น ขณะที่หุ้นไทยยังมีปัจจัยส่วนตัวอีก คือการเมืองที่วิกฤตขึ้นถึงขั้น มีผู้บาดเจ็บมากมายและมีผู้เสียชีวิตบ้างแล้ว

    นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้ศึกษาและเปรียบเทียบวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตกับระยะเวลาของการเยียวยาและฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมา ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในเวลานี้ยังเป็นรองจากวิกฤตสหรัฐปี 1929 จึงนำข้อสังเกตบางอย่างมาปรับคาดการณ์วิกฤตปัจจุบันได้

    วิกฤตปี 1929 ใช้เวลา 35 เดือนฟื้น

    โดยในช่วงก่อนเกิดวิกฤตปี 1929 (พ.ศ. 2472) เศรษฐกิจสหรัฐที่เติบโตมาหลายปีนั้นเกิดมีฟองสบู่เกิดขึ้นหลายส่วน ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมาก ตลาดหุ้นทะยานพุ่งขึ้นสูง (ดูกราฟดัชนีดาวโจนส์ประกอบ) ภาคอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูมาก เรียกว่าเป็น ยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู พอมาปี 1929 เกิดปัญหาฟองสบู่แตกขึ้นมา ตลาดหุ้นไปก่อนเพื่อน โดยดัชนี DJIA ร่วงหนัก 90% จาก 386 จุด ไปต่ำสุดที่ 40 จุด เป็นระยะเวลา 35 เดือน หรือเกือบ 3 ปี ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ติดลบถึง 3 ปี ราคาสินค้าต่างๆ ตกดำดิ่ง ตัวเลขดัชนีผู้บริโภคถึงขั้นติดลบ จีดีพีที่ติดลบ 3 ปี ทำให้มูลค่าจีดีพีลดหายไปประมาณ 25%

    ด้านเศรษฐกิจยุโรปในช่วงนั้นอลหม่าน เกิดอาการเช่นเดียวกันขึ้น สถาบันการเงินล้มระเนระนาดคล้ายยุคปัจจุบัน แต่ยุคปี 1929 ปัญหารุนแรงกว่าเพราะเกิดฟองสบู่แตกเป็นครั้งแรก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้นยังไม่เกิด เพราะก่อตั้งปี 2518

    และอีกวิกฤตใหญ่ปี 2000 (พ.ศ. 2543) ที่สหรัฐประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจากฟองสบู่ดอตคอม ต่อด้วยเหตุการณ์ 11 ก.ย. 2001 (พ.ศ. 2544) และคดีเอนรอน ในปี 2002 (พ.ศ. 2545) ช่วงนั้นดัชนีดาวโจนส์ตกต่ำลงเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง โดยลดจากระดับสูงสุด 11,750 จุด ในกลางมกราคม 2000 มีฟื้นตัว (รีบาวนด์) ขึ้นเป็นช่วงๆ กระทั่งต่ำสุดที่ 7,200 จุด ในช่วงกลาง ต.ค. 2002 ดัชนีลดลงทั้งสิ้น 38%

    สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2000 คือธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรตจากจุดสูงสุด 6.5% เริ่มปรับลดตั้งแต่ ม.ค. 2001 มาต่ำสุดที่ 1% เมื่อ มิ.ย. 2003 เป็นเวลา 2 ปีครึ่ง อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปี ในปีนั้นเคยสูงสุด 6.80% ลดต่ำสุดที่ 1.07% ใน มิ.ย. 2003

    และวิกฤตสหรัฐที่เกิดเมื่อปี 2007 (พ.ศ. 2550) คือช่วงซับไพรม ดัชนีดาวโจนส์ลดลงจาก 14,198 จุด กลาง ต.ค. มาถึงล่าสุด 9,180 จุด ณ ต.ค. (ดูตาราง) ลดลง 35% ในเวลา 12 เดือน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรตก็ลดลงจากจุดสูงสุด 5.25% เมื่อ ก.ย. 2007 มาถึงตอนนี้เหลือเพียง 1% (เมื่อคืนวันที่ 30 ต.ค. 2551)

    วิกฤตต้มยำกุ้งหุ้นตก 86% นาน 30 เดือน

    จากข้อมูลวิกฤตที่เกิดขึ้นของสหรัฐ นายสมบัตินำมาเทียบกับวิกฤตของไทยในปี 2540 โดยชี้ว่า วิกฤตสหรัฐที่เกิดขึ้นในปี 1929 90% ตัวเลขคล้ายคลึงกับช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งของไทยปี 1997 (พ.ศ. 2540) ที่ตลาดหุ้นเริ่มตกจากที่สูงสุด 1,419 จุด เมื่อ 6 ก.พ. 1996 (พ.ศ. 2539) ลงมาต่ำสุดที่ 204 จุด เมื่อ ส.ค. 1998 (พ.ศ. 2541) ลดลงถึง 86% ใช้เวลา 30 เดือน ขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก ลูกโป่งตลาดหุ้นแตก หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ท่วมเมือง จนถึงการลอยตัวค่าเงินบาท สถาบันการเงินมีปัญหาเกือบทุกแห่ง ที่สุดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจติดลบหลายไตรมาสในช่วงปี 1998 (พ.ศ. 2541)

    สาเหตุที่หยิบเหตุการณ์นี้มาเทียบเพราะต้องการชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะบอกเรื่องของระยะเวลาของผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจนถึงการฟื้นตัว ทุกคนเชื่อว่าผลกระทบ รอบนี้ไม่น่าจะหนักกว่ารอบ 80 ปีก่อน ประกอบกับไทยเองไม่ได้เผชิญกับปัญหาวิกฤตสหรัฐโดยตรง ดังนั้นไทยคงไม่เกิดปัญหาหนักเหมือนปี 1997 (พ.ศ. 2540) แน่นอน

    นอกจากนี้ยังได้นำวิกฤตอื่นๆ ที่กระทบตลาดหุ้นไทยมานำเสนอด้วย ได้แก่ วิกฤตปี 1990 (พ.ศ. 2533) สงครามสหรัฐถล่มอิรักครั้งแรก ช่วงนั้นหุ้นไทยตก 52% จาก 1,143 จุด ลงมาเหลือ 544 จุด โชคดีเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังแข็งแกร่งโตปีละ 11-12%

    ส่วนเหตุการณ์ Black Monday ปี 1997 (พ.ศ. 2530) หุ้นไทยไหลตามหุ้นโลกตกต่ำรวม 49% จาก 472 จุด เหลือ 243 จุด โชคดีที่เศรษฐกิจไทยกำลังแข็งแกร่ง 9.5% และหุ้นตกเพียง 2 เดือน

    มาที่เหตุการณ์ รสช.ทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลชาติชาย ปี 1991 (พ.ศ. 2534) หุ้นตกทั้งสิ้น 32% จากจุดสูงสุด 908 จุด เหลือ 614 จุด เศรษฐกิจไทยชะลอแต่ยังโต 8.1%

    สำหรับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 1992 (พ.ศ. 2535) พล.ต.จำลอง (เจ้าเก่า) นำทีมขับไล่รัฐบาลบิ๊กสุในปีนั้น หุ้นตกจาก 832 จุด เหลือ 667 จุด ลดลง 20% เป็นปีที่เศรษฐกิจยังแข็งแรง โต 8.1% เช่นกัน และที่สุดเหตุการณ์สงบได้เลือกตั้งปลายปี

    "จากข้อมูลอดีตผมมั่นใจว่าสถานการณ์ปัจจุบันธุรกิจไทยยัง แข็งแรงมาก และไม่ได้เผชิญปัญหาโดยตรงเหมือนที่สหรัฐและยุโรป ดังนั้นหุ้นไทยคงไม่ไหลลึกเหมือนปี พ.ศ. 2539-2541 ทางสหรัฐคงต้องมาดูสถิตินี้ของไทยไปนั่งคิดดู" นายสมบัติระบุ

    เงินต่างชาติไหลกลับไม่เท่าเก่า

    จากการย้อนรอยอดีตวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นเทียบกับวิกฤตสหรัฐในครั้งนี้ นายสมบัติจึงมองว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่กินเวลานานเกิน 30 เดือน และคงไม่น่าถึง 35 เดือน เท่าวิกฤตปี 1929 เพราะ ช่วงที่ผ่านมาสหรัฐมีการแก้ปัญหาต่างๆ และมาตรการออกมารวดเร็วมาก รวมทั้งธนาคารกลางร่วมมือกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่แย่หนักเท่าอดีตที่ต้องใช้เวลาเยียวยาและฟื้นฟูขึ้นมาใหม่

    "ถ้านับจากวิกฤตซับไพรมที่เกิดมาแล้ว 1 ปี คิดว่าอาจต้องใช้เวลาอีก 1 ปีกว่าจะผ่านวิกฤตและแก้ไขได้ ตอนนี้โลกยังไม่ bottom ส่วนของไทยเองก็ต้องระมัดระวังอย่างสูงมาก เพราะเศรษฐกิจโลกกระทบไทยแน่ จากระบบการค้าและการเงินของโลกที่ต่อท่อถึงกันอย่างแนบแน่น ผลกระทบจะชัดเจนและรุนแรง มากขึ้น"

    สำหรับตลาดหุ้นไทยจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหนจากนี้ นายสมบัติกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยคงเล็กลง หลังจากที่เงินต่างชาติไหลออกไปจำนวนมาก และคงต้องใช้เวลาอีกยาว เพราะวิกฤตโลกครั้งนี้กว่าเศรษฐกิจจะกลับมาต้องกินเวลาอย่างน้อย 3-4 ปี (อีก 2 ปีข้างหน้า) หรืออย่างเร็วก็น่าจะประมาณปลายปีหน้า แต่ประเด็นคือ ตลาดหุ้นไทยมีตัวแปรทางการเมืองอีกตัว ตลาดหุ้นไทยจะกลับตัวยากกว่าเพื่อนบ้าน

    "ตลาดหุ้นไทยต้องมองข้ามชอตไปอีก 2-3 ปีเลย แต่ถ้าพูดถึงพื้นฐานเศรษฐกิจรอบนี้เราแข็งแรงมาก มีทุนสำรองสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1 เท่า เป็นตัวหนุนที่ดีมาก บวกกับปีที่ผ่านมาเป็นโชคในเคราะห์ ที่เศรษฐกิจไทยโตไม่มาก ผู้ประกอบการไม่ขยายงานเกินตัว แบงก์ไม่ได้ปล่อยสินเชื่อสะเปะสะปะ ทำให้มีจุดเสี่ยงต่ำ จึงน่าจะผ่านวิกฤตในรอบนี้"

    ขณะที่ราคาหุ้นเกือบทั้งตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางธุรกิจเป็นอย่างมาก แม้ปกติราคาตลาดกับมูลค่าหุ้นจะอยู่กันคนละที่อยู่แล้ว คือช่วงที่สถานการณ์ดี ราคาตลาดก็วิ่งขึ้นจนเกินเลยมูลค่าทางธุรกิจได้มากมายและยาวนาน ในทางตรงกันข้าม ช่วงสถานการณ์น่าวิตก ราคาก็ตกและต่ำกว่ามูลค่าทางธุรกิจได้มากมายและยาวนานด้วย

    อย่างไรก็ตามการจะลงทุนในตลาดหุ้นคงต้องระมัดระวังในการเลือกหุ้น และต้องประเมินอนาคตของหุ้นด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจ ในปีหน้า ซึ่งคงต้องยอมรับว่าปีหน้าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจึงยากที่จะเห็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน โดยบางกลุ่มอุตสาหกรรมอาจมีกำไรต่ำลงจนถึงบางกลุ่มที่มีขาดทุนปรากฏให้เห็น ทั้งนี้ก็ขึ้นกับฝีมือผู้บริหารบริษัทด้วย ว่าจะวางแผนตั้งรับได้อย่างไร

    "ส่วนตลาดหุ้นไทยจะมีขนาดเล็กกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเดียวกันหรือไม่ ก็คิดว่าคงเล็กไล่เลี่ยกัน เพราะหุ้นไทยตก 55% อยู่ในเกณฑ์ที่หุ้นทั่วโลกตก 40-70% โดยจีนตกสูงสุด"

    ส่วนคำถามที่ว่า หลังวิกฤตครั้งนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสฟื้นตัวจากที่ราคาหุ้นถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคนี้หรือไม่ นายสมบัติมีความเห็นว่า ขึ้นกับปัญหาการเมืองไทย หากปีหน้าการเมืองไทยยังไม่เข้มแข็ง เงินลงทุนต่างชาติก็จะไปตลาดหุ้นอื่นก่อน แม้ตอนนี้จะมองว่าปีหน้ามีโอกาสเลือกตั้งเกิดขึ้นก็อาจเป็นโอกาสที่ตลาดหุ้น ฟื้นตัวบ้าง แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะเข้มแข็งหรือไม่ ซึ่งถ้ามีปัญหาอีก การบริหารเศรษฐกิจประเทศให้ฟื้นตัวก็ยิ่งยาก นักลงทุนต่างชาติก็ไม่สนใจเข้ามาลงทุนแน่นอน ตลาดหุ้นไทยก็ไม่ไปไหนก็ต้องมองข้ามชอตไปปี 2010 (พ.ศ. 2553)

    "ยังไงตลาดหุ้นไทยคงยังไม่เห็นเงินต่างชาติไหลกลับมาเท่าเก่า ส่วนเงินต่างชาติจะไหลเข้ามากหรือน้อยก็ขึ้นกับความมั่นคงการเมือง การเมืองเป็นคำตอบสำคัญ ถ้าบรรยากาศขัดแย้งสูง ขณะที่รัฐบาลที่จะมาจากเลือกตั้งไม่มีบุคลากรมานั่งตำแหน่งที่น่าเชื่อถือได้ การบริหารเศรษฐกิจก็ไปไม่ได้ เงินก็กลับมายาก" นายสมบัติระบุ
     
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555ง่ายมากครับเป็นที่ทราบว่าวันนี้ช่วงเช้าหมู่ภมรจะเข้าจู่โจมอย่างสุดชีวิต เราก็ใจดีมอบให้ในช่วงเช้า และคาดเดาได้ว่าท้ายตลาดต้องปิดต่ำ(ห้ามถามว่าทราบได้ยังไงนะครับ สงวนสิทธิ์ครับ) เราก็มารอบางตัวที่ยังเล่นไม่จบ รับศพพวกเหล่าภมร ที่ตอนเช้าซื้อกลับมาขายที้งไงครับ หุ หุ
     
  20. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ไม่รู้ว่ากระทู้นี้ไปติดเทอร์โบมา หรือว่าผมแก่แล้ว แค่ตตามอ่าน(แบบ ฟืด ฟืด) กับกดโมทนา ก็หอบ แฮกๆ แล้ว เฮ่อ.rabbit_run_away
     

แชร์หน้านี้

Loading...