พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    น้องเก่งนะคะ สนใจธรรมะตั้งแต่ยังเด็ก อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ ตอนพี่เรียนมหาวิทยาลัยยังวิ่งเล่นอยู่เลย

    พระอาจารย์ก็เคยสอนแบบนี้แหละค่ะ คนอื่นด่าเราครั้งเดียวแต่เราเก็บมาคิดซ้ำซากด่าแล้วด่าอีกไม่รู้กี่รอบ

    ก่อนแผ่เมตตาให้ใคร ให้น้องขอขมาลาโทษเขาก่อนนะคะ เ(อย่าเถียงในใจนะคะว่าเราไม่ได้ทำอะไรเค้า ชาตินี้ไม่ได้ทำ ชาติก่อนนู้นอาจจะทำก็ได้ )พราะความอ่อนน้อมถ่อมตนจะเป็นที่รักทั้งมนุษย์และเทวดาค่ะ ในสถานที่บางแห่งถ้าเราเริ่มจากแผ่เมตตาเลยท่านจะไม่ยอมรับค่ะ ต้องให้ขอขมาก่อน อีกทั้งการขอขมาเป็นบทเริ่มต้นที่ดีของการละ"ตัวตน"ของเรานั่นเอง
     
  2. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    เห็นช่วงนี้ท่านปาทานไม่ได้พูดเรื่องนี้ จึงนำมาเพื่อเตือนน้อง shinray ที่เข้ามาใหม่สำหรับการชำระหนี้สงฆ์เมื่อท่านได้รับพระวังหน้าไปครับ

    โดยขออนุญาตนำบทความที่คุณเพชรเคยนำมาลงมาให้ได้อ่านกันครับ

    ชำระหนี้สงฆ์
    โดย หลวงพ่อฤาษีฯ

    ต่อไปนี้ก็จะขอนำเรื่องการชำระหนี้สงฆ์พร้อมทั้งตัวอย่าง ซึ่งจัดว่าเป็นเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเองมาเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเอง และผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่างๆที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการหรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาทดแทนให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย
    ในสมัยนี้ จะหาบุคคลที่เล่าเกี่ยวกับการชำระหนี้สงฆ์นี่ยากเต็มที พระขนาดไหนก็ตามไม่ค่อยจะมีใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ได้ฟังอยู่สำนักเดียวคือสำนักของหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปานนี่ท่านพูดถึงการชำระหนี้สงฆ์ทุกปี พอขึ้นปีใหม่หรือเข้าพรรษาใหม่ๆท่านก็ประกาศขอซื้อของสงฆ์ คำว่าซื้อของสงฆ์นี่ ท่านซื้อไม้ไผ่ ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัดทั้งหมด ปีละ ๑๐๐ บาท ในสมัยนั้นค่าของเงินสูงมาก ท่านขอซื้อไว้ทั้งหมด
    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการก่อสร้าง หรือบำรุงสงฆ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านจะชวนพระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้สงฆ์เหมือนกัน
    คราวนี้มาว่ากันถึงการซื้อของสงฆ์หรือชำระหนี้สงฆ์ก่อน ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า ของต่างๆที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่างๆก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมดถ้าหากเรารื้อหรือนำเอาไปใช้แล้วเกิดชำรุดเสียหาย ทำไมเราจะต้องสร้างแทนของเดิม ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่างๆที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่นะ ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิว่าเป็นของฉัน จะมาชี้ว่า สมบัตินี่เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้นจะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก
    หลวงพ่อปานซื้อของสงฆ์เพราะของเหล่านี้มันอยู่ในวัด ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงถ้าเราจะคิดกันอย่างเราๆก็คิดว่าท่านควรมีสิทธิ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้อย่างไรก็ได้ แต่ทว่าพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ ของในวัดถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าหากเขายังบวชอยู่ เขามีอำนาจให้ใครก็ได้ กินเองก็ได้ ถ้าหากว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาทกินเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติว่าเราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่าพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัดก็เถอะไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ในวัด จะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้ จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้ หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามากินมาใช้ส่วนตัวโดยที่สงฆ์ไม่ลงมติอนุมัติ อย่างนี้มีโทษไปอเวจีมหานรกแน่
    วิธีการของหลวงพ่อปานท่านซื้อของสงฆ์ ท่านซื้อแบบไหน ท่านบอกว่าต้นไม้ก็ดี ต้นเล็กๆไม่ใช่โค่นต้นใหญ่นะ ไม้ลำหรือไม้หน่อบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม ถ้าใครจะเด็ดเอาไปดมเอาไปบูชา ท่านบอกว่าส่วนเล็กน้อยประเภทนี้ ฉันขอซื้อของสงฆ์ด้วยจำนวนเงิน ๑๐๐ บาท เพื่อป้องกันโทษของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ
    เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง ผลไม้ที่มีอยู่ในวัดมีอยู่เยอะ ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจเพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว พอท่านซื้อท่านก็ให้สิทธิ์อนุญาต อย่างนี้เอาไปกิน เอาไปใช้ได้
    เรื่องชำระหนี้สงฆ์ พอถึงวันเข้าพรรษาคนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศแก่คนทุกคนว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหนเรียกว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อย่างวัดร้างที่ปรากฏเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็ดี หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงก็ตาม หรือที่มีพระก็ตาม เราจะไปนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่า ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ ซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขุมที่ ๗ มาแล้ว
    ท่านก็บอกว่า คนเราทั้งหมดนี่นะจะรู้ได้อย่างไร ไม้ลอยน้ำมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมันมาจากวัดก็ถือว่าเป็นไม้ของวัด เป็นของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นไม้หญ้า ต้นฟาง ที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่อย่างนั้น อาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในวัดนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็เป็นบาปแล้ว โทษของสงฆ์นี่หนักมาก
    แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้บ้างด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ว่า
    “ถ้าบังเอิญข้าพเจ้าได้เอาของสงฆ์มาจากวัดไหนก็ตาม วัดที่มีพระสงฆ์ก็ดี วัดร้างที่ไม่มีพระสงฆ์อยู่ก็ดี หรือสถานที่เป็นธรณีสงฆ์โดยไม่ปรากฏเป็นวัดก็ดี บังเอิญนำมาก็ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินจำนวนเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นพร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นไม่สมควรก็ขอให้นิ่งอยู่”
    ถ้าพระทั้งหมด “สาธุ” พร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อยๆทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก เพราะว่าเป็นของสงฆ์นะ ลำบากมาก
    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ “อาจารย์ทิม” สำหรับอาจารย์ทิมนี่รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณ เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมาก ระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุดกำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี มีปฏิปทาเหมือนๆกัน คำว่าเงินส่วนตัวไม่มี ได้มาก็จ่ายไป
    ทีนี้แกก็ป่วย ไอ้ป่วยนี่สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่าจะต้องต้มยาหม้อนี้และซื้อยาหม้อนี้ในราคา ๖๐ บาท ท่านก็เลยบอกพระ ถ้าอย่างนั้นขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อนนะ ฉันหายแล้วเวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้ให้ ๖๐ บาทเท่านั้นนะ สร้างโบสถ์หลังหนึ่งต่างกับตัวเยอะ ใครถวายสตางค์มาท่านเอาไปก่อสร้างหมด ไม่เคยเก็บ พอปี ๒๕๐๘ ดันตายเสียได้
    “ไอ้เงิน ๖๐ บาทดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อที่สำนักพญายม”
    เวลาทุ่มเศษๆ กำลังนอนสบายๆเห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ
    ถามว่า “มาทำไม”
    เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ”
    ก็เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า ฉันตามไป”
    ตามไปหน่อยเดียว แกบอกว่า “เดี๋ยวผมต้องไปตามอีก ๒ องค์” แกก็ไปตามอีก ๒ องค์ เราก็ตรงไป
    พอถึง ก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพญายม จึงถามว่า
    “ไง…มานั่งอยู่ที่นี่เล่า…”
    แกก็บอกว่า “เป็นหนี้สงฆ์อยู่ ๖๐ บาท”
    ถามว่า “คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ”
    แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้จะตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริงๆนี่ เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วนนี้เขาไปซื้อยา”
    จึงเข้าไปถามลุง (พญายม) ถามลุงว่า “ยังไงนี่…”
    ลุงบอกว่า “ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อนยังไม่สอบสวน”
    ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมมีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวมันปิดปากเลย เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย
    พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า
    “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้ ๖๐ บาทใช่ไหม”
    ท่านตอบว่า “ใช่”
    “ไปใช้เพื่ออะไร…”
    บอกว่า “มันป่วย หมอเขาสั่งยามา”
    “จิตคิดอย่างไร…”
    “จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์”
    “แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม…”
    แกตอบว่า “ใช่”
    แล้วท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร”
    บอกว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า”
    ลุงพุฒิ ท่านก็หันมาถามพวกเราว่า “ท่าน ๓ องค์จะว่าอย่างไร”
    บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่”
    “ว่ายังไงล่ะ…”
    “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมาบัติด้วย ควรจะไปเป็นพรหม”
    ท่านก็เลยบอกว่า “เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌาน”
    บอกว่า “นี่เขาได้สมาบัติ ๘ แต่อีตอนนั้นทำไมเข้า ฌาน ๒ พอจะตายจริงๆไม่ได้ตั้งอยู่ในฌาน ฌานยังตั้งไม่ได้”
    เลยถามว่า “ไอ้เรื่องนี้พอจะให้อภัยกันได้ไหม…”
    ท่านก็เลยบอกว่า “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์”
    ก็บอกว่า “ตกลง ฉันช่วยชำระ ๖๐ บาทเรื่องเล็ก”
    ท่านบอกว่า “ไม่ได้ ชำระด้วยเงินไม่ได้”
    ถามว่า “แล้วจะเอาอะไร”
    ท่านบอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูป ๑ องค์ หน้าตัก ๑๒ นิ้ว”
    เราเลยบอกว่า “เรื่องเล็ก เอาสัก ๑๐ องค์ก็ยังได้”
    ท่านบอกว่า “องค์เดียวพอ แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็น ๓ องค์”
    เราบอกว่า “อย่างนี้ ฮ้อ…ตกลง”
    ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี”
    ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า “อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน”
    ถามลุงว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม…”
    ท่านบอกว่า “ได้”
    เราก็เลยบอกท่านทิมว่า “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม…”
    เขาถามว่า “อะไรล่ะ…”
    ก็เลยบอกว่า “เอกัคคตากับอุเบกขาน่ะ”
    บอก “จำได้”
    “จำได้ขอให้ไปตามนั้น”
    นั่นมันฌาน ๔ ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒิแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอีก ๒ องค์ อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา หนุ่มเลยล่ะองค์นั้น ตอนนั้นฉันอายุซัก ๔๐ กว่าๆ องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์ ๓๐ เศษๆ แต่ว่าไม่รู้ว่าวัดไหน รูปร่างสูงๆดำๆ อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดีไม่รู้ว่าอยู่วัดไหน เวลาไปตามก็มี ๓ องค์ เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูป ๓ องค์เรื่องเล็ก พระ ๑๒ นิ้ว กับคนที่จะไปเป็นพรหมราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม… เราสร้างพระ ๑๒ นิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
    คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ทำไม ท่านถึงเจาะจงมาเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ล่ะก้อ จะต้องเป็นเครือเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน เดินทางแนวเดียวกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานานตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ๆ ส่วนอีก ๒ องค์ไม่รู้ว่า เขารู้จักกันมาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั้นต้องเป็นเชื้อสายเดียวกัน และปฏิปทาการปฏิบัติก็ต้องเหมือนกัน และแถม ๒ องค์นั่น บ้าๆบวมๆ เหมือนๆกัน เงินส่วนตัวไม่มี
    ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดีๆ บอกว่าอยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทา เขาก็บอกว่า ผมกับท่านบ้าๆบวมๆเหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้
    ทีนี้วิธีกระตุ้นๆนิดเดียว ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เอกัคคตากับอุเบกขา บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้ก็เป็นฌาน ๔ จิตก็ตั้งอยู่พอดี พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌาน ๔ พอตั้งอยู่ฌาน ๔ สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหม แจ๋ว เลยบอก ไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย
    ที่เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย เรี่ยไรมา ๑๐ บาท เอาของเขาใช้ไป ๙ บาท ๑๐ สตางค์ อีก ๑๐ สตางค์เอาเข้ากระเป๋า อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก ของสงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตกๆก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้วเห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้เอวัง….ตกดังตูม…อเวจี.
     
  3. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ่า...ถูกต้องอีกแล้วครับ อันนี้คงต้องย้ำอีกทีว่า ตัวผมเองไม่เคยพูดเรื่องอาหารเสริมสักนิดเดียวครับ
    เพราะหากเรากินอาหารครบ 5 หมู่ทุกมื้อ หรือจะขาดบ้างบางมื้อก็อย่าไปซีเรียสครับ
    แค่นั้นเพียงพอและมีประโยชน์มากแล้วครับ จริงๆแล้วอาหารเสริมนั้นแบ่งออกเป็น 2 ความเชื่อครับ อเมริกา เขาจะกินสารสังเคราะห์กัน ส่วนทางยุโรป จะเลือกกินอาหารจริงๆครับ บังเอิญบ้านเราชอบเดินตามก้นอเมริกากัน
    ก็เลยไปเห่อกินกับเขา หลายๆตัวผมเห็นโฆษณาแล้วก็สลดใจ
    สังเกตกันดีๆนะครับ เวลาเขาโฆษณาเขาจะบอกว่าสารนี้เป็นส่วนประกอบของอะไรในร่างกาย ใช้ทำอะไร ดียังไง พอพูดเสร็จปุ๊บก็บอกว่า ของเขาก็มีสารตัวนี้อยู่
    แต่ขอโทษครับ เขาไม่ได้บอกนะครับว่าของที่เขาขายเนี่ย กินแล้วมันมีประโยชน์ กินแล้วมันเอาไปใช้ได้จริง
    สารเคมมีหลายอย่าง ต้องอยู่ในรูปที่เหมาะสมเท่านั้นร่างกายจึงจะนำไปใช้ได้ ไม่อย่างนั้น สารสังเคราะห์นั้นก็ไม่ต่างไปจากสารแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกายเพื่อขับออกมาครับ
     
  4. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    จริงๆแล้วแม้แต่สารบางอย่างที่เขาบอกว่าเป็นสารชนิดเดียวกันนั้น เมื่อมองเข้าไปในระดับโมเลกุลจะพบว่า สูตรที่เขาสังเคราะห์ขึ้นมาได้นั้น บางครั้งมันไม่เหมือนกับที่มีอยู่ในร่างกายไปทั้งหมดครับ แต่เหมือนเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุหลักๆที่เขาไม่สามารถทำได้เพราะว่ามันไม่เสถียรครับ หรือบางทีสังเคราะห์ได้เหมือนเปี๊ยบ แต่เมื่อโดยน้ำย่อยเข้า สารนั้นก็แปรสภาพครับ
    คิดเอาเองครับงานนี้ เงินเหลือกินได้เพื่อความสบายใจ แต่ไม่ใช่อาหารหลักครับ ที่สำคัญกินมากไปอย่างที่ผมบอกครับ ก็เหมือนสะสมสารเคมีเข้าไปในร่างกายครับ
     
  5. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ขอบคุณน้องหมอที่เอามาลงให้ได้อ่านกันอีก อาจารย์พี่สอนอยู่เสมอว่าเวลาได้พระหรือวัตถุมงคลมาให้ไปชำระหนี้สงฆ์อย่างน้อย 2 เท่าของมูลค่าที่เราชำระไป เวลาไปไหนกันเราจะมีซอง"ชำระหนี้สงฆ์"เอาไว้เลย ใครบูชาพระ 1000 บาท ต้องใส่ซองอีก 2000 บาททุกครั้งไป
     
  6. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ่า...ผมคงไม่โดนอุ้มนะครับ เอามาโพสในที่สาธารณะอย่างนี้ เหอๆ
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เหตุผลของการคิดค้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ แต่..ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากเหตุผลทางการตลาด ผ่านธุรกิจ MLM เร่งยอด เร่ง commission เลยเร่งสรรพคุณไงครับคุณหมอ
     
  8. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เหมือนที่เค้าฮิตกินคลอโรฟิลกัน เห็นแล้วขำกลิ้ง แล้วคนนี่สังเคราะห์แสงได้ด้วยเหรอ จนเห็นรายการของสาธารณสุขออกมาเตือนว่าเป็นอันตราย น่าจะเลิกไปแล้ว
     
  9. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    คุณเพชรมองโลกแง่ดี แต่อยากจะบอกความจริงที่โหดร้ายให้ฟังค่ะ พอดีเคยทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ขายนมเด็กและยา แปลกไหมคะที่ทำไมบริษัทนมจึงขายยา ลองดูตรรกะนี้นะคะ

    เด็กทุกคนที่เป็นภูมิแพ้กินนมวัว แต่เด็กที่กินนมวัวไม่ใช่ทุกคนที่เป็นภูมิแพ้

    บริษัทยาทุกแห่งจะโฆษณาชวนเชื่อเรื่องการดื่มนมวัวเพื่อจะได้ขายยาต่อไงค่ะ
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การวิจัยพบว่า คลอโรฟิลล์มีสูตรโครงสร้างของโมเลกุลใกล้เคียงกับเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก

    อยู่ที่ว่าเขาไปเอาคลอโรฟิลล์จากพืชชนิดไหน ที่จะได้สิ่งที่ร่างกายต้องการ แต่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ต้องทานเข้าไปอย่างเดียว อย่างกรดอะมิโน ๘ ตัวที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่จำเป็น ก็ต้องไปทานจากเนื้อสัตว์ หรือถั่วเหลือง แต่ปัญหาคือสารเร่งในสัตว์ และยาฆ่าแมลงในพืช หรือการตัดต่อ GMO

    การบริโภคข่าวสารก็ต้องชั่งน้ำหนักเหมือนกัน ครับว่าจุดไหนที่ตรงกับเรา หรืออะไรเกินจำเป็น..
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คล้ายทานยาพิษแล้ว เราก็มียาถอนพิษบริการ ยาพิษเราไม่คิดตังค์ แต่..เราขอคิดเฉพาะยาถอนพิษ 555555 รวยๆๆๆๆๆๆ
     
  12. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ตรรกะคุณkaticat คอมพิเคทมากครับ อุปนัยก็ไม่ใช่ นิรนัยก็ไม่เชิง
     
  13. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    เหมือนอยู่ในวงสนธนาของนักปราชญ์เลยครับ ความรู้ต่างๆเยอะมาก อ่านแล้วมันส์ดีครับ

    ขอบคุณทุกๆท่านและขออนุโมทนาบุญที่เสียสละเวลาพิมพ์ความรู้ดีให้อ่านครับ
     
  14. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    กระแสคลอโรฟิลล์ฟีเวอร์กำลังมาแรง ไปไหนก็เห็นคนดื่ม บริษัทผู้ผลิต ให้ข้อมูลว่า สารคลอโรฟิลล์จากอัลฟัลฟา ช่วยในการขับล้างพิษ ต่อต้าน อนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณสดใส และป้องกันไม่ให้อ่อนเพลีย ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับสารคลอโรฟิลล์


    คลอโรฟิลล์ เป็นกลุ่มของรงควัตถุที่มีสีเขียวที่พบในพืชทั่วไป มีหน้าที่จับพลังงานแสง (primary light-accepting pigments) เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งเกิดขึ้นใน chloroplasts คลอโรฟิลล์ แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ


    1. คลอโรฟิลล์ a มีสีเขียวแกมน้ำเงิน พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้ ​
    2. คลอโรฟิลล์ b มีสีเขียวแกมเหลือง พบในพืชชั้นสูง ทุกชนิดและสาหร่ายสีเขียว (green algae)​
    3. คลอโรฟิลล์ c พบในสาหร่ายสีน้ำตาล (brown algae) และสาหร่ายสีทอง (golend algae) แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง​
    4. คลอโรฟิลล์ d พบในสาหร่ายสีแดง (red algae) แต่ไม่พบในพืชชั้นสูงโดยทั่วไปจะพบทั้ง คลอโรฟิลล์ a และ คลอโรฟิลล์ b อยู่ด้วยกันในพืชชั้นสูง และมีสัดส่วนประมาณ 2.5-3.5 ต่อ 1​
    [​IMG]

    ภาพที่ 1​


    โมเลกุลของ คลอโรฟิลล์ ประกอบด้วยส่วนหัวของ porphyrin ring ซึ่งมี Mg อยู่ตรงกลาง และ ส่วนหางซึ่งเป็น long chain hydrocarbon เรียกว่า phytol ส่วน คลอโรฟิลล์ b แตกต่างจาก คลอโรฟิลล์ a ที่ aldehyde group (-CHO) ซึ่งจะแทนที่ methyl group (CH3) ที่ตำแหน่งที่ 3 เท่านั้น (ภาพที่ 1) คลอโรฟิลล์
    Chlorophyllin
    natural chlorophyll สามารถยับยั้ง heme-induced colonic cytotoxicity and epithelial
    cell turnover แต่ water-soluble chlorophyllins ไม่สามารถยับยั้งได้​
    โมเลกุลของ คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll )มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) จึงไม่ละลายในน้ำ คลอโรฟิลล์เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในตัวทำละลายที่เป็นสารอินทรีย์ คลอโรฟีลล์เป็นสารสีเขียวที่พบในพืชทั่วไป ปริมาณคลอโรฟิลล์ที่พบในสาหร่ายโดยทั่วไปปกติมีประมาณ 0.5-1.5% ของน้ำหนักแห้ง และสามารถเพิ่มสูงได้ถึง 6% ในสาหร่ายที่เลี้ยงไว้ในที่มีแสงอ่อน ๆ คลอโรฟิลล์มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง จากสูตรโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ เอ คำนวณได้ว่าคลอโรฟิลล์ เอ มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณ 8.22% ของน้ำหนักโมเลกุล ในขณะที่โปรทีนมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบในปริมาณ 15.5-18%คลอโรฟิลล์ที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวางขายกันทั่วไปในตอนนี้ ความจริงก็เป็นสีผสมอาหารชนิดหนึ่งที่ให้สีเขียวนั่นเอง มีชื่อว่า โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลลิน (Sodium Copper Chlorophyllin) เป็นการดัดแปลงโครงสร้าง คลอโรฟิลล์ตามธรรมชาติ ทำให้ได้สารคลอโรฟิลล์ที่ยังคงมีสีเขียวอยู่ แต่มีความคงตัวและสามารถละลายน้ำได้ดี จึงนำมาใช้เป็นสีผสมอาหารสำหรับผสม ในเครื่องดื่ม ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) รับรอง ความปลอดภัยเฉพาะคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายน้ำเท่านั้นเป็นสารต้านทานปฏิกิริยา oxidation ที่มีประสิทธิภาพดีพอ ๆ กับ retinol b-carotene, วิตามินซีและวิตามินอี (g-tocopherol)Chlorophyllin มีฤทธิ์ต้านทานสารก่อกลายพันธุ์ประเภท chromium, chlordane, รังสีเอกซ์ ethidium bromide styrene oxide กลไกต้านทานการกลายพันธุ์ของ Chlorophyllin ยังไม่กระจ่างชัด อาจเป็นผลมาจาก Chlorophyllin เป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระ ทำปฏิกิริยากับ active group ของสารก่อกลายพันธุ์หรือป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสารก่อกลายพันธุ์เพื่อไปอยู่ในรูปที่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาโดยทางอ้อม
    ในอเมริกากำหนดความปลอดภัยของสารคลอโรฟิลลิน (Chlorophyllin) ในผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารหรือใช้เป็นสีผสมอาหารได้ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป สามารถรับประทานคลอโรฟิลลินได้ในขนาด 90 มิลลิกรัมต่อวัน
    รายงานเรื่องการเกิดพิษจากการได้รับสารคลอโรฟิลลินมากเกินกำหนด พบว่าอาจทำให้สีของปัสสาวะหรืออุจจาระเปลี่ยนเป็นสีเขียว และอาจทำให้เกิดท้องเสียได้ นอกจากนี้ ยังพบรายงานการเกิดอาการแพ้สารคลอโรฟิลลิน​

    ในความเป็นจริง คลอโรฟิลล์เป็นสารสีเขียวที่พบในพืชทั่วไป เวลาที่เรา รับประทานผัก ผลไม้ที่มีสีเขียว ร่างกายของเราก็จะได้รับคลอโรฟิลล์ไปด้วย สารคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปธรรมชาตินี้ จะอยู่ในรูปคลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมัน ตัวอย่างเช่น ในผักชีฝรั่ง 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์สูงถึง 38 มิลลิกรัม ผักขม 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์ 23.7 มิลลิกรัม ดังนั้น ถ้าเรารับประทานผัก ผลไม้สดเป็นประจำ ร่างกายก็จะได้รับคลอโรฟิลล์อยู่แล้ว


    แนวความคิดเรื่องการใช้ คลอโรฟิลล์ เริ่มจากการที่หมอคนหนึ่ง ได้ออกมาบอกว่า คลอโรฟิลล์ สามารถช่วยรักษาอาการต่างๆได้มากมาย เช่น แผลไหม้ แผลที่เท้า ฮ่องกงฟุต แผลในปาก ทอนซิลอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร ความดันสูง มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งจากการศึกษาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์แล้ว จะพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระมากเพราะมีความจริงทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ต่างจากการโฆษณาของเขา เช่น ปัจจุบัน (เดือน เมย 2549) ยังไม่มีการสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือได้แบบ meta-analysis เกี่ยวกับการใช้ คลอโรฟิลล์ ในทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยจำนวนหนึ่ง ที่ทำกับสารอนุพันธ์ของ คลอโรฟิลล์ ได้แก่ chlorophyllin (ซึ่งเป็น derivative ของ คลอโรฟิลล์) ซึ่งถือเป็นระยะเริ่มต้นมาก ชื่อคล้ายกัน แต่ก็เป็นสารคนละชนิดกัน ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว งานวิจัยที่มีอยู่ เน้นไปที่การใช้เพื่อระงับกลิ่น มีชิ้นหนึ่งทำตั้งแต่ปี 1968 แต่ไม่มีข้อมูลประกอบ ไม่มีบทคัดย่อ และอีกชิ้นหนึ่ง ทำปี 1989 ทดสอบว่าใช้ระงับกลิ่นอุจจาระได้ไหม ปรากฏว่า ไม่ได้ (มีการเทียบผลกับการใช้สารหลอก)
    โดยอาจพบผื่นแพ้ขึ้นตามตัว เวียนศีรษะ เหงื่ออกมากและความดันโลหิตตกอย่างรวดเร็วได้็นหมากฝรั่งผสม คลอโรฟิลล์ที่อ้างว่าช่วยลดกลิ่นปากและทำให้ลมปากหอมสดชื่น
    ในปัจจุบัน เราอาจเห็นผง คลอโรฟิลล์ ชนิดชงน้ำดื่มที่อ้างว่าช่วยในการล้างสารพิษ และรักสุขภาพ

      1. คลอโรฟิลล์ ไม่ได้เป็น catalyst (สารช่วยเร่งปฏิกริยา) และ คลอโรฟิลล์ ก็ไม่ได้ผลิต ออกซิเจน จาก คาร์บอนไดออกไซด์​
      2. มีคนเปรียบ คลอโรฟิลล์ ว่าเป็น "เลือดของต้นไม้" แต่ในความจริงแล้ว เลือดของคนเราและ คลอโรฟิลล์ มีหน้าที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง​
      3. คลอโรฟิลล์ ที่ชอบอ้างว่าเป็นสาร"ธรรมชาติ"นั้น แท้จริงแล้ว ในกระบวนการผลิต มันต้องถูก สกัดและทำปฏิกริยาเคมีกับสารอื่นๆ (เช่น acetone, hexane, copper) จนได้สารใหม่ ​
      4. พวกที่อ้างว่า คลอโรฟิลล์ สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้นั้น ข้อนี้เป็นจริงครับ แต่ประสิทธิภาพ น้อยมากๆ ยิ่งเทียบกับยาฆ่าเชื้อที่อ่อนที่สุด คลอโรฟิลล์ ยังเทียบชั้นไม่ติดเลย นอกจากนี้ยังพบอีกว่าถึงมันจะยับยั้งเชื้อได้จริง แต่ได้เพียงบางชนิดเท่านั้น และมันก็กลับทำให้เชื้ออื่นๆเติบโตขึ้นมาแทน​
      5. ฤทธิ์ในการลดกลิ่นปากนั้น มีน้อยมากๆถ้าจะให้ได้ผลจริงจะต้องใช้ในความเข้มข้นมากกว่าที่ ขายในปัจจุบันมาก ในสินค้าหลายๆสูตรตำรับที่มีการใช้คลอโรฟิลล์ จะเป็นการใช้เพื่อ"แต่งสี" ให้มีสีน่าทานเท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อให้มันลดกลิ่นปากจริงๆ​
      6. คลอโรฟิลล์มีโมเลกุลใหญ่ ไม่สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ (ว่ากันว่า ถ้ามันถูกดูดซึมได้ คนเราคงมีสีเขียว) ดังนั้นพวกที่อ้างว่าสมารถออกฤทธิ์โดยการกินนั้น เป็นเรื่องหลอกลวง เมื่อไม่นานมานี้ มีคนพยายามพิสูจน์ว่ามันสามารถดูดซึมได้ และก็สรุปว่ามันสามารถดูดซึมได้จริง แต่การทดลองดังกล่าวนั้น ไม่ได้ทำในลำไส้มนุษย์และตัว คลอโรฟิลล์ ที่นำมาใช้ก็เตรียมให้อยู่ในรูปพิเศษ ที่สามารถถูกดูดซึมได้ (ประมาณว่ายัดเยียดให้มันดูดซึมให้ได้)​
      7. คลอโรฟิลล์เอง ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นใย ไม่สามารถทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระให้มากขึ้นแต่อย่างใด (หลายคนชอบเรียกว่า detox) และถึงแม้มันจะทำให้ถ่ายได้มากขึ้น ก็ไม่ได้ช่วยขับสารพิษอะไรออกจากร่างกายแต่อย่างใด ​

    สรุปแล้ว ในปัจจุบันยังไม่พบว่า การกิน คลอโรฟิลล์ จะมีประโยชน์ต่อมนุษย์แต่อย่างใด โดยเฉพาะสาเหตุหลักที่ว่า มันไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายนั่นเองครับ การรับประทานผัก ผลไม้ที่มีสีเขียว ร่างกายของเราก็จะได้รับคลอโรฟีลล์ไปด้วย
    แต่เป็น by product จากการสลายโมเลกุลของน้ำต่างหากได้แก่chlorophyllin (ซึ่งเป็น derivative ของ chlorophyll)ที่ไม่ใช่คลอโรฟิลล์ ตามธรรมชาติ
     
  15. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เด็กที่เป็นภูมิแพ้เป็น subset ของเด็กที่กินนมวัวไงคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2008
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การคิดค้นทางการแพทย์มุ่งเน้นการรักษา และอนุบาลให้ทุกชีวิตมีอายุที่ยืนยาว ผลิตภัณฑ์ทางอาหารที่ออกมาก็คงแนวทางนี้ สถิติของผู้สูงอายุที่อายุยืนยาวเกิน ๑๐๐ ปีมีประมาณ ๔,๐๐๐ คน

    เคยได้ดูรายการทีวีช่องหนึ่ง ได้ถ่ายทำเรื่องราวของแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่ฝ่ายแม่มีอายุ ๑๑๔ ปี ลูกสาวอายุ ๗๓ ปี ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ทำไมคุณแม่ถึงอายุยืน ลูกสาวที่อายุ ๗๓ ปีก็ตอบว่า ตั้งแต่เธอเกิดมาจนอายุปูนนี้ก็ไม่เคยเห็นคุณแม่โกรธ หรือดุด่าผู้ใด ใครจะทำอะไรก็ตามสบาย ไม่ไปต่อว่าผู้ใด อารมณ์ดี ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่โมโห ไม่เครียด ลูกหลานก็รักใคร่มาก อาหารที่ทานก็เพียงน้ำพริกปลาทูเท่านั้น (ตรงนี้ตรงกับประสบการณ์ของผม เมื่อคราวไป take course โหราศาสตร์ที่ต่างจังหวัด ๙ วัน ๙ คืน Home Stay นั้น มีอาหารบริการเช้า-กลางวัน-เย็น ล้วนเป็นน้ำพริก+ผักพื้นบ้านทุกมื้อ ทำให้การขับถ่ายสารพิษดีมาก..) อากาศ อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย อึ(การขับถ่าย)..หมอจีนโบราณแนะนำว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ๒ อย่าง กินแล้วไม่ออก กับกินแล้วออกมาก ล้วนผิดปกติ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2008
  17. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เคยดู The constant gardener มั้ยคะ สร้างจากเรื่องจริงของบริษัทยาในอังกฤษ ที่ทดลองยาวัณโรคกับคนในแอฟริกา หนังดีมากขอแนะนำให้หามาดู แล้วจะทราบว่าบริษัทยาโหดร้ายแค่ไหน สามารถฆ่าคนได้จำนวนมากเท่าไหร่เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ถ้าจำไม่ผิดหนังได้รางวัลออสการ์สาขาอะไรซักอย่างในปี2005ค่ะ
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    กวง พี่ก็เริ่มมึนเหมือนกัน เริ่มจากพระวังหน้า มาถึงเรื่องสมาธิ ตามด้วยเรื่องเศรษฐกิจ หุ้น ต่อด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ระบบร่างกาย ต่อไปจะไปเรื่องไหนกันต่อเนี่ย เดี๋ยวก่อน ๓ ทุ่ม ขออาบน้ำ ทำจิตให้สบายๆ เพื่อสวดมนต์ไหว้พระก่อนครับ..
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หนังรางวัล แต่ยอดขายไม่ดี ผมดูแล้ว หนังดีนะครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2008
  20. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    ตอนนี้ผมก้อเริ่มอ่าน เหมือนดูปิงปองแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...