พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555 โธ่! ท่านปาทานถามได้ครับก็เวลาขึ้น เจ้ามือก็ยังกำไรมากๆ หลายๆพันล้าน ก็เลยเพลิน แต่ตอนลงนี่เจอตัวเลขขาดทุนไป 2พันกว่าล้านก็ ขอหยุดตั้งสติก่อนครับ หุ หุ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำอย่างไรกับ RMF - LTF ครบอายุ
    http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/26/news_305191.php

    [​IMG]

    เป็นข้อกังวลของหลายท่านที่ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีการลงทุนในหุ้น และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จนครบตามเงื่อนไขแล้ว

    กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ :
    แต่กลับต้องมาเจอภาวะหุ้นตกรุนแรง จนกำไรที่เคยมีหดหายไป หรือบางท่านก็ถึงกับขาดทุน ซึ่งเชื่อว่ายังมีผู้ลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้ติดตามภาวะตลาดหลักทรัพย์ กว่าจะรู้ตัวอีกทีคงจะเป็นตอนได้รับหนังสือรับรองหน่วยลงทุนในช่วงต้นปีหน้า
    สำหรับท่านที่ได้ลงทุนในกองทุน LTF และกองทุน RMF เฉพาะประเภทหุ้น (กรณี RMF ประเภทตราสารหนี้ ขอยกไว้ไม่กล่าวถึงในที่นี้ เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดหลักทรัพย์โดยตรง) จนครบตามเงื่อนไขของ LTF คือ 5 ปีปฏิทิน และ RMF คือ 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก (กรณีลงทุนครั้งแรกในปี 2544 และ 2545 หากลงทุนหลังจากนี้จะต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์)
    และยังคงมีเงินได้ที่สามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนใน LTF และ RMF มาหักลดหย่อนได้อีกในปีภาษีนี้ แต่เกิดความกังวลประสมลังเลใจว่าจะทำอย่างไรดี ระหว่างขายคืนหน่วยลงทุนออกมาก่อน เพราะกลัวหุ้นจะตกต่อไป หรือปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น แต่ไม่ลงทุนเพิ่ม

    ก่อนอื่นคงต้องขอให้นักลงทุนทั้งหลายตั้งสติให้มั่น ว่าการลงทุนในหุ้นนั้นย่อมต้องมีความผันผวนเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าขณะนี้ วิกฤติการเงินทั้งในและต่างประเทศ บรรจบกับภาวะการเมืองภายในประเทศที่รุมเร้า ส่งผลให้มีผู้ที่ต้องการขาย หรือจำเป็นต้องขายหุ้นมากกว่าผู้ที่สามารถซื้อได้ ทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากปรับตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
    โดยหุ้นหลายบริษัทมีราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี หรืออีกนัยหนึ่งคือ นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของบริษัทได้ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าเจ้าของบริษัทนั่นเอง ทั้งที่หลายบริษัทยังคงมีศักยภาพทางธุรกิจที่ดี

    นี่จึงเป็นที่มาของคำพูดของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และแม้แต่ของไทยเองหลายท่านได้ให้ความเห็นว่าขณะนี้ถือเป็น
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไม่พอใจครับ ผู้บริโภคเป็นปลาเล็กให้บรรดาสมาคมต่างๆที่เป็นปลาใหญ่ฮุบกินอยู่โดยตลอดครับ

    ต้องหมั่นเตือนกันดีที่สุดครับ ต้องใส่ปัญญาเพื่อสู้กับปลาใหญ่ต่างๆครับ 55555

     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าไม่รู้..ไม่เสี่ยงลงทุน

    http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/26/news_305197.php

    [​IMG]
    :อนา วงศ์สิงห์

    เพราะมองเห็นศักยภาพการเติบโตของเมืองพัทยา ที่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้แน่นอน
    กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "อนา วงศ์สิงห์" กรรมการผู้จัดการ โครงการพัทยา ดราก้อน จึงไปลงหลักปักฐานลุยธุรกิจแขนงต่างๆ ในพัทยามากว่า 10 ปี ทั้งบริษัทเรือ และธุรกิจนำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเกาะล้าน ร้านอาหาร และคอมเพล็กซ์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์
    "ไม่ว่าจะมีข่าวไม่ดียังไง หรือเศรษฐกิจแย่ แต่นักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขนาดช่วงฟองสบู่แตก พัทยาก็ยังมีคนมาเที่ยวอยู่ ยังไม่ค่อยกระทบเท่าไหร่แต่ละปีน่าจะมีประมาณ 3 ล้านคน พัทยาไม่มีทางตายหรอก เงินหมุนเวียนสะพัดตลอดปี
    จะเห็นว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมขึ้นไม่หยุด ธุรกิจท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์โตแน่ๆ ที่ดินราคาขึ้นทุกปี โตเร็ว เราก็ศึกษาความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เดินทางมาเที่ยว ว่าเขาอยากได้ร้านอาหารดีๆ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ดีๆ จากนั้นก็มองหาช่องทางที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้โหม"
    เมื่อเป้าหมายคือต้องการขยายธุรกิจ เมื่อมีรายได้เข้ามา เราจึงนำเงินไปขยายเพื่อขยายธุรกิจตลอดเวลา เพราะโปรเจคที่ทำค่อนข้างใหญ่ และต้องใช้เงินหมุนเวียนตลอดเวลา
    "แต่นอกจากจัดสรรเงินไปต่อยอดลงทุน เมื่อได้มาก็ต้องกันส่วนหนึ่งออมเงินเอาไว้เพื่อการศึกษาของลูก เพราะลูกเรียนอยู่ต่างประเทศ นอกจากนี้ ก็ทำประกัน ซึ่งก็ทำไว้เยอะ เพราะมองว่า ประกันจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เราไม่สามารถรู้อนาคตได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    แต่การมีประกันสุขภาพทำให้เราอุ่นใจได้ วันนี้เราอาจจะแข็งแรง แต่เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง วันหนึ่งเราอาจจะป่วย เพราะฉะนั้น ทำไว้ดีกว่า เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ให้ความสำคัญกับการทำประกันสุขภาพ แต่ไม่เน้นประกันชีวิต อย่างเรื่องสุขภาพจะไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาด ยิ่งถ้าเป็นคนที่ลงทุนทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ก็ควรทำประกันเอาไว้เยอะๆ"
    แต่ที่ไม่ลงทุนเลยคือในตลาดหุ้น ที่จริงมีคนชวนไปลงทุนเยอะมาก แต่ที่ไม่ลงทุนไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เป็นเพราะไม่มีเวลาไปเรียนรู้หรือไปศึกษา อะไรก็ตามที่เรายังศึกษายังไม่พอ หรือเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ และไม่สามารถจับต้องได้ เราจะไม่เสี่ยง แต่สิ่งที่ลงทุนอยู่ทุกวันนี้ เรารู้จักธรรมชาติของธุรกิจนี้ดี รู้ว่าความเสี่ยงอยู่ตรงไหน รายได้หาจากตรงไหน คือจับต้องได้ว่าเงินอยู่ตรงไหน
    คือจะเป็นคนที่ไม่คาดหวังกับสิ่งที่ไม่ถนัด แต่อะไรที่เราถนัดและทำได้ คาดหวังได้ ก็จะทุ่มเทให้มันโตไปทุกปี เพราะการที่เราลงทุนในสิ่งจับต้องได้ รู้ที่มาที่ไป นั่นเท่าเป็นการปิดจุดอ่อนของการลงทุน
    "สมัยนี้มีคนชวนฝากเงินแถมประกันเยอะ แต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นลงทุนซื้อที่ดิน ลงทุนประกอบธุรกิจการค้า ซื้อที่ดินไว้เพื่อทำโปรเจคในอนาคต แต่ถ้าเราไปลงทุนในหุ้น น้ำมัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีจะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถกำหนดและจัดการทุกอย่างได้"
    อนาบอกว่าอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ คนเรามีความถนัดไม่เหมือนกัน มีวิธีให้เงินออกดอกออกผลไม่เหมือนกัน คนมีเงินมักจะหาวิถีทางของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะลงทุนอะไรหรือต่อยอดเงินทองด้วยวิธีไหน ก็ล้วนแต่ต้องเรียนรู้และศึกษาอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะถ้ารู้อย่างรอบด้านก็สามารถคาดหวังและคาดเดาได้
    "เราจะบอกตัวเองเสมอว่า ถ้าอะไรที่แก้ปัญหาไม่ได้ จัดการไม่ได้ เราจะไม่ลงทุนเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นเราศึกษาและรู้จักดีพอเมื่อลงทุนไปแล้วเราก็เชื่อว่าเราสามารถคาดหวังผลตอบแทนได้ และสามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้"
    อนาบอกว่าคนเราจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ อันดับแรกต้องมีเงินทุนก่อน และมีการจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพ เมื่อมีเงินทุนก็ต้องมาดูว่าจะพัฒนายังไงให้เงินก้อนนี้เกิดประโยชน์ ซึ่งเมื่อเรารู้ช่องทางก็ต้องมาหาทางจัดการทุกอย่างให้ได้
    "เช่นลงทุนแล้วกำหนดว่า 1 ปีต้องคุ้มทุน ถ้าเกิดทำไปแล้วไม่ได้ ก็ต้องมานั่งดูปัญหาว่าทำไมไม่ได้ มองหาทางแก้ปัญหา เราต้องใส่ใจ แก้ไขว่าทำไมถึงไม่เป็นไปตามสิ่งที่เราคิด ขาดอะไรอยู่ ก็ต้องหาทางแก้ให้ได้
    แต่ในโลกของการลงทุน เมื่อลงทุนแล้วก็ต้องเผื่อใจ ว่าอาจจะเกิดปัญหา หรือไม่เป็นไปตามที่เราคิด แต่สไตล์การลงทุนของเรา จะไม่เสี่ยงเลย ประเภทที่ว่าลงทุนไปเถอะ ขาดทุนไม่เป็นไร แบบนั้นไม่ใช่แน่
    ลงทุนทุกครั้งจะกำหนดเลยว่า 1 ปี ต้องได้คืนหรือต้องคุ้มทุน ถ้าไม่ได้ก็ต้องไปนั่งแก้ปัญหาว่าทำไมไม่ได้ ไปวางแผนใหม่ อาจจะเสียเวลา แต่อย่างน้อยเราได้ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา มีบทเรียนเกิดขึ้นในชีวิต เพราะฉะนั้นเมื่อคิดจะลงทุน ก็ต้องรู้จักแก้ปัญหาให้เป็น"
    ในแง่มุมของการจับจ่ายใช้สอยนั้น อนาบอกว่า ทุกคนล้วนมีความอยากได้อยากมี แต่ความแตกต่างคือ ความพร้อมและกำลังในการซื้อของแต่ละคน สำหรับเธอก็จะเลือกซื้อในสิ่งที่ควรซื้อ และดูว่าจำเป็นหรือเปล่า
    "ก่อนซื้อทุกครั้งจะดูว่า สิ่งที่มีอยู่มีและได้มาดียังไง คุ้มค่ามั้ย เช่นเราคิดจะซื้อรถราคาแพง จริงอยู่อาจจะแพง แต่ถ้าช่วยให้เราปลอดภัย แบบนี้ก็ต้องซื้อรถที่ราคาแพงหน่อย ไม่ได้ซื้อ เพราะมีเงิน แต่ดูที่ความจำเป็นและความคุ้มค่า"
    ความที่เป็นคนขยันและมุ่งมั่นทำมาหากิน ทำให้อนาไม่เคยคิดว่าเธอจะเป็นคนที่ไม่มีเงิน สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงคนนี้คิดเสมอคือ เราอย่าเพิ่งบอกว่าเราทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ลงมือทำ และถ้าเรามั่นใจว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แล้วทำไมจะประสบความสำเร็จไม่ได้ล่ะ
    กาญจนา หงษ์ทอง
     
  6. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอถามด้วยความไม่รู้ครับ ถ้าอย่างนี้แสดงว่าจริงๆมีการตุนทองคำเอาไว้แล้วใช่หรือเปล่าครับ จึงได้เกิดการขาดทุนขึ้น
    ตอนแรกผมยังงงว่าทำไมเขาจึงหยุดขาย เพราะเวลาคนไปซื้อเขาก็เก็บราคาเต็มไม่ใช่แค่มัดจำ แล้วพอสั่งทองวันจันทร์ เกิดราคาลงไปอีกก็ยิ่งจะน่ากำไร
    ถ้าอย่างนี้ก็แปลว่าทองไม่ได้หมดสต็อกจริงอย่างเขาบอก และไม่ได้สั่งหลังจากลูกค้าจองใช่หรือเปล่าครับ
     
  7. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แค่เคาะแป้นคีย์บอร์ดก็เสี่ยงถูกล้วงตับแล้ว
    http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/26/news_306347.php


    [​IMG]

    คนมันคิดจะโกงซะอย่าง มันก็หาวิธี และเครื่องมือล้วงข้อมูลลับของคนอื่นจนได้น่า
    กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : เพียงแค่พิมพ์งาน เล่นเน็ต หรือเล่นเกม คุณก็เสี่ยงถูกล้วงความลับเสียแล้ว เมื่อนักวิจัยจากสวิสเซอร์แลนด์ พบว่า อาชญากรออนไลน์เริ่มหาทางขโมยข้อมูลส่วนตัวได้โดยไม่ต้องถอดอะไรให้วุ่นวาย แค่มีเครื่องจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อแป้นคอมพิวเตอร์ถูกเคาะก็ล้วงรหัสลับบัตรเครดิต หรือพาสเวิร์ดได้แล้ว
    มาร์ติน โวน็อกซ์ และซิลเวน ปาซินี่ นักศึกษาปริญญาเอกจากห้องปฏิบัติการรหัสและความปลอดภัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งโลซาน สหพันธรัฐสวิส ทำการทดสอบแป้นพิมพ์ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกัน 11 แบบ รวมถึงแป้นพิมพ์ของโน๊ตบุ๊ก โดยใช้โปรแกรมเจาะระบบข้อมูลที่พัฒนาขึ้นเอง 4 แบบ และพบว่า แป้นพิมพ์ทุกแบบเสี่ยงที่จะถูกเจาะข้อมูล ด้วยโดยโปรแกรมที่เขาคิดขึ้นอย่างน้อย 1 โปรแกรม ซึ่งหนึ่งใน 4 โปรแกรมสามารถล้วงข้อมูลได้ไกลถึง 20 เมตร
    ในการทดสอบ นักวิจัยใช้เสาอากาศรับคลื่นวิทยุจับรังสีคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าแผ่ออกมาเมื่อแป้นพิมพ์ถูกกด
    "ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเจาะระบบที่เราทำขึ้นนั้น สามารถพิสูจน์ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง" นักศึกษาปริญญา เอกกล่าว
    อย่างไรก็ดี รายละเอียดงานวิจัยในครั้งนี้ยังมีให้เห็นน้อย เนื่องจากการทดสอบยังคงทำโดยการเชื่อมต่อแป้นพิมพ์กับโน๊ตบุ๊คที่ใช้พลังงานจาก แบตเตอรี่ และไม่ได้ทดสอบเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์พีซีหรือการต่อเข้ากับจอแอลซีดี ซึ่งอาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการจับคลื่นสัญญาณลดลง
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คนที่ขายของแล้วมีกำไร ต้องมีสินค้าอยู่ในมือใช่หรือไม่
    แล้วถ้าคนที่ขายของแล้วขาดทุนหรือขาดทุน(กำไร) จะนำของมาขายหรือไม่ และถ้าไม่นำของมาขายจะอ้างว่าอย่างไร ข้ออ้างเดียวที่ดูดี ที่สร้างอุปสงค์(ความต้องการซื้อ)ได้ ก็คือ หมดแล้ว

    เดี๋ยวนี้ อุปสงค์และอุปทาน เขาสร้างกันขึ้นมานะครับ ไม่ใช่ปล่อยเป็นไปตามกลไกของตลาดโดยแท้ๆครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทองป่วน-งดขายวันนักขัตฤกษ์ด้วย ตะลึงนำเข้าปีนี้ทะลุ100ตัน

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBd09DMHhNQzB5Tmc9PQ==

    นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนมีความต้องการซื้อขายทองคำแท่งล่วงหน้า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ได้แสดงให้เห็นว่าประชาชนมองว่าการฝากเงินกับสถาบันการเงินอาจประสบปัญหาในอนาคต แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาระบุว่า สภาพคล่องสถาบันการเงินในประเทศยังแข็งแกร่ง แต่นักลงทุน และประชาชน นำเงินฝากของตนเองมาซื้อขายทองคำล่วงหน้าเก็บไว้แทน

    นายจิตติ กล่าวอีกว่า ล่าสุดคณะกรรมการของสมาคมค้าทองคำได้มีมติหยุดการซื้อขายทองคำแท่งในวันหยุด ซึ่งรวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนวันเสาร์ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นวันแรกที่ร้านค้าทองคำหยุดซื้อขายทองคำแท่ง ซึ่งมีประชาชนที่ไม่ทราบข่าวมาซื้อขายทองคำแท่ง แต่ทางสมาคมค้าทองคำได้ออกหนังสือชี้แจงผ่านร้านทองไปแล้ว และนับจากนี้เป็นต้นไปจะปิดการขายในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ต่อเนื่องไปจนกว่าราคาทองคำจะเป็นปกติ เพราะขณะนี้ทั่วโลกไม่เปิดขายในวันเสาร์และอาทิตย์แล้ว ดังนั้นจึงต้องหยุดซื้อขาย เนื่องจากต้องการให้ความเป็นธรรมทั้งการซื้อและขายที่จะได้มีราคาอ้างอิงที่ถูกต้องในวันทำการคือวันจันทร์-วันศุกร์ ด้วยเมื่อทั่วโลกหยุดซื้อขายเสาร์อาทิตย์ หากไทยยังคงซื้อขายทองคำแท่งอยู่ ผู้ที่เสียเปรียบคือลูกค้า

    ทั้งนี้ แม้ขณะนี้ทั่วโลกทองคำขาดตลาด แต่ราคาทองคำยังคงปรับลดลงต่อเนื่องนับเป็นเรื่องที่ผิดปกติซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเก็งกำไรทองในตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ก สำหรับปริมาณการใช้ทองคำของไทยปีนี้มีการนำเข้ากว่า 100 ตัน เพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตที่นำเข้าประมาณ 100 ตันในช่วงเศรษฐกิจบูม แต่ไม่มีการส่งออกอย่างในปัจจุบัน ซึ่งมีการส่งออกและซื้อขายหมุนเวียนค่อนข้างมาก

    ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการซื้อขายทองที่เยาวราช พบว่า ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านมา หลังสมาคมค้าทองคำประกาศหยุดการซื้อขายทองคำแท่งวันเสาร์-อาทิตย์ ขณะที่ลูกค้าส่วนหนึ่งหันไปซื้อทองรูปพรรณแทน
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่า....ต้องแยกเป็น2เรื่องครับ เรื่องแรก ตอบว่ามีครับ ของยังมีปล่อยออกมาหรือเปล่าอีกเรื่องครับ เรื่องที่2เกิดจากเจ้ามือมองตลาดผิดพลาด จึงขอหยุดดูเพราะเท่าที่เก็บมาขาดทุนไปพอสมควรก็เลยตัดสินใจไม่ได้เพราะอ่านทิศทางตลาดไม่ออกไม่ทราบว่าถ้าขายออกไปแล้วขึ้นก็ ขาดทุน หรือถ้าต้องรับซื้อเข้ามาแล้วลงก็ขาดทุนครับ จริงๆแล้วมีคนจำนวนมากยังไม่เข้าใจกับกลไกของเจ้ามือครับ เอาเป็นว่าผมบอกกว้างๆไว้เป็นความรู้ว่า บางครั้งราคาทองคำในประเทศเราบางขณะ ก็มีบ่อยที่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับค่าเงินและราคาที่ นิวยอร์กแล้วครับ หุ หุ แบบที่ผมบอกครับ รายย่อยจะเสียเปรียบเสมอครับ ใครบอกว่ามีความยุติธรรมในโลกนี่ผมเถียงครับ ยกเว้นต้องไปเจอกับท่านเปาบุ้นจี้นครับ หุ หุ อีกทีครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เฮดจ์ฟันแห่ขายทองฉุดราคาแตะ600$คาดราคาในปท.เหลือบาท
    http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?id=2089&catid=1


    ผู้นำเข้าทองรายใหญ่เตือนระมัดระวังลงทุนทองคำหลังเฮดจ์ฟันด์แห่ขายทุบราคาร่วง คาดมีสิทธิแตะ 600เหรียญ/ออนซ์ ฉุดราคาในปท.เหลือบาทละ10,000เศษ!+

    สมาคมค้าทองคำประกาศหยุดขายทองแท่งเสาร์-อาทิตย์ อ้างราคาตลาดผันผวนหนักรับความเสี่ยงไม่ไหว หลังประชาชนแห่เข้าคิวซื้อทองคำบาทละ 12,500 บาท แน่นเยาวราช

    [​IMG]

    แห่ซื้อ-ประชาชนจำนวนมากรอซื้อทองตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดตลอดช่วงสัปดาห์นี้ สถานการณ์ราคาทองในตลาดโลกประสบภาวะผันผวนอย่างหนัก เนื่องจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้เทขายทองคำจำนวนมากเพื่อนำเงินไปซื้อดอลลาร์สหรัฐเพื่อการลงทุน ทำให้ราคาทองในตลาดโลกปรับตัวลดลง จาก 800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 700 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำภายในประเทศปรับตัวลดลง ในวันที่ 24 ตุลาคม ราคาทองคำปรับตัวลงเหลือรับซื้อบาทละ 12,400 บาท ขายออกบาทละ 12,500 บาท

    ปรากฏการณ์ประชาชนจำนวนมากแห่ไปเข้าแถวซื้อทองคำแท่งจากร้านค้าทองในย่านเยาวราชกันอย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวัน ส่งผลทำให้ทองคำแท่งขาดตลาดจนร้านค้าทองต้องออกบัตรเข้าคิวซื้อทอง โดยจำกัดจำนวนซื้อไม่เกินรายละ 10-30 บาท ล่าสุด นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ต้องออกมาประกาศหยุดการขายทองคำในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์ราคาทองคำจะเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาผันผวนของราคาทองคำในช่วงนี้

    นายไชยกิจ ตันติกาญจน์ ผู้จัดการห้างทองตั้งโต๊ะกัง เปิดเผยว่า ความจริงร้านค้าทองในต่างประเทศก็หยุดให้บริการในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์เหมือนกัน ส่วนนโยบายการปิดร้านค้าทองในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ดังกล่าวไม่ใช่มาตรการบังคับ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและความสมัครใจของร้านค้าทองแต่ละรายเป็นหลัก สำหรับห้างทองตั้งโต๊ะกังจะยังคงเปิดให้บริการซื้อขายทองคำตามปกติในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ปัจจุบันลูกค้าหันมาซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น จนทองคำแท่ง 96.5% ผลิตไม่พอขาย ทำให้บริษัทต้องหันมาขายทองคำแท่ง 99.99% เป็นหลัก โดยขายแพงกว่าทอง 96.5% แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน

    แหล่งข่าวจากสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ในช่วงนี้แม้ทองคำมีราคาถูก แต่ร้านทองส่วนใหญ่ไม่สามารถหาทองคำแท่งมาจำหน่ายได้ เพราะร้านทองส่วนใหญ่ต้องคำนวณต้นทุนเฉลี่ยที่สูงขึ้น ในช่วงที่ร้านทองต้องซื้อทองคำกลับคืน ยามที่ทองมีราคาแพง นอกจากนี้ ช่วงที่ผ่านมาตลาดทองคำมีปัญหาราคาผันผวนสูง ผู้นำเข้าทองคำแต่ละรายไม่กล้าเสี่ยงซื้อทองคำแท่งเป็นจำนวนมาก เพราะตลาดโลกมีปริมาณความต้องการทองคำแท่งเพิ่มมากขึ้น บริษัทผู้นำเข้าทองคำของไทย ต้องแบกรับความเสี่ยงสูงในการแข่งขันเสนอราคาเพื่อแย่งซื้อกับผู้ซื้อรายใหม่จำนวนมากในตลาดโลก เมื่อสั่งซื้อสินค้าได้ก็ต้องโอนจ่ายเงินล่วงหน้า ก่อนรอรับสินค้าใน 15 วันต่อมา หากครบวันสัญญาไม่สามารถนำทองคำมาส่งมอบให้ร้านค้าทองได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ก็ต้องแบกความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างหนัก

    นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออสสิริส จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายทองคำเพื่อการลงทุน ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา ร้านค้าทองยึดราคา ขายทองในวันศุกร์ของสมาคมค้าทองคำเป็นเกณฑ์ในการกำหนดซื้อขายทองในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ปรากฏว่า ช่วงนี้ ราคาทองในตลาดโลกผันผวนสูงตลอดเวลา การหยุดขายทองในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์จช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้มากกว่า จึงเป็นทางเลือกที่ร้านทองหลายแห่งนำมาใช้ในขณะนี้ ส่วนออสสิริส ตามปกติในช่วงวันเสาร์มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่มาก แต่ช่วงที่ภาวะทองราคาถูกนี้ หากยังมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่าปกติ ทางบริษัทก็คงต้องจำกัดปริมาณการซื้อและส่งมอบสินค้าภายใน 10-14 วันข้างหน้าแทน

    สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ มีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลดลงแตะที่ระดับ 600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในอนาคต เนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่า ภาวการณ์ชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกในปี 2552 มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มสินค้าเครื่องประดับ ซึ่งใช้ทองคำเป็นวัตถุดิบหลักจะลดปริมาณกำลังการบริโภคลง ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จะเกิดได้น้อยลงกว่าทุกปี จึงขอแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่คิดจะซื้อทองคำราคาถูกเพื่อเก็งกำไรขายในช่วงปลายปีนี้ เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน เพื่อความรอบคอบควรลงทุนเพียง 1 ใน 3 ของเงินทุนเท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงของการขาดทุนในอนาคต
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากราคาทองคำในตลาดโลกลดลงเหลือ600เหรียญ/ออนซ์จะทำให้ราคาขายทองคำในประเทศลดลงมาเหลือราคาประมาณบาทละ 10,000บาทเศษเท่านั้น
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมย้ำให้ครับ

    ผมเพิ่มอีกท่านครับ ท่านพยายมราชเจ้าครับ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กูรูเศรษฐกิจชี้ 6เดือนดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลง
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02fin03231051&day=2008-10-23&sectionid=0206

    "ศุภวุฒิ" คาด ธปท.ไม่เปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยนโยบายในอีก 6 เดือนข้างหน้า เพื่อตั้งรับความผันผวนวิกฤตการเงินโลก ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำแนะกลุ่มประเทศเอเชีย ต้องร่วมมือกันกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค ลดการพึ่งพาส่งออกไปสหรัฐและยุโรป



    นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยว่า ภายใน 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพราะปัจจัยภายนอกผันผวน ทั้งวิกฤตสถาบันการเงินและปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งหากลดดอกเบี้ยอาจเสี่ยงต่อเสถียรภาพเงินทุนเสียไปได้

    อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นอาจต้องติดตามดูว่า เศรษฐกิจที่ ธปท.ประมาณปีหน้าว่าจะโต 3.8-5% จะเป็นไปตามที่คาดหรือไม่ ซึ่ง ธปท.คงจะพิจารณาทิศทางดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงนั้น

    นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้นโยบายการเงินของประเทศต่างๆ พยายามใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อลดลง ดังนั้นถ้ามองในแง่ดอกเบี้ยระยะสั้นของโลกอาจอยู่ในเกณฑ์ไม่สูง แต่ความเป็นจริงความต้องการหาเงิน สินเชื่ออาจทำได้ยากขึ้น ดังนั้นอัตรา ดอกเบี้ยระยะกลางและระยะยาวอาจอยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งในช่วง 1-2 ปีน่าจะเห็นทิศทางดอกเบี้ยในตลาดโลกดังที่กล่าวมา

    สำหรับประเทศไทย นายบัณฑิตระบุว่า อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกและความจำเป็นใช้เงินในประเทศเป็นสำคัญ โดยปัญหาสภาพคล่องในต่างประเทศที่หายากทำให้ต้นทุนการระดมทุนในต่างประเทศสูงขึ้น ดังนั้นนักธุรกิจอาจหันมาระดมทุนในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้สินเชื่อในประเทศอยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หันมาปล่อยสินเชื่อและแข่งขันระดมเงินฝากมากขึ้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้เชื่อว่าจะเห็นได้ชัดในปีหน้า

    นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ถึงแม้ขณะนี้ไทยยังได้รับผลกระทบไม่มาก แต่เชื่อว่าปีหน้าไทยจะโดนหนักในภาคเศรษฐกิจจริง โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีหน้าที่ ธปท. คาดว่าจะขยายตัว 3.8-5% น่าจะเป็นตัวเลขที่ดีเกินไป เพราะตนคิดว่าอาจต่ำกว่า 3.8%

    นายตีรณ พงศ์มฑพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ปัญหาของสหรัฐขณะนี้คงยืดเยื้อออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี และในระหว่างนี้จะมีความวุ่นวายด้านสภาพคล่องจากการปิดตัวของสถาบันการเงิน และกว่าที่เศรษฐกิจโลกและสหรัฐจะฟื้นตัวก็ใช้เวลาอีก 4-5 ปี ดังนั้นเศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญกับผลกระทบเท่ากับปี 2540

    สำหรับทางออกและทางรอดของประเทศไทยจากวิกฤตการเงินโลกครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของไทยที่ร่วมเวทีสัมมนา "สู่ทศวรรษที่ 3 นสพ.กรุงเทพธุรกิจ" ในหัวข้อทิศทางเศรษฐกิจไทย ทั้งนายบัณฑิต นิจถาวร, นายนิพนธ์ พัวพงศกร, นายศุภวุฒิ สายเชื้อ และ นาย ตีรณ พงศ์มฑพัฒน์ เห็นพ้องตรงกันว่า ทุกประเทศในอาเซียนจะต้องร่วมมือกันกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคและในประเทศของ ตัวเอง เพื่อชดเชยการส่งออกที่จะลดลง

    นอกจากนี้ไม่ควรใช้วิธีลดราคาสินค้าผ่านการลดค่าเงินบาทเพื่อช่วยเหลือการส่งออก เพราะแม้จะลดราคาสินค้าถูกลง แต่ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปคงไม่มีความสามารถซื้อสินค้าเพราะไม่มีกำลังซื้อจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    23 ตุลาคม 2551 100 ปี พระบรมรูปทรงม้า และบทบาทพ่อค้าต่างชาติในสยาม
    วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4047

    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02spe01231051&day=2008-10-23&sectionid=0223



    [​IMG]

    วันที่ 23 ตุลาคมของทุกๆ ปี ถูกจดจำในฐานะที่เป็น "วันปิยมหาราช" หรือวันรำลึกถึงพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระพุทธเจ้าหลวงที่ยังคงเป็นที่รัก เคารพ บูชา อยู่ในหัวใจของชาวไทยเป็นจำนวนมาก

    แต่ 23 ตุลาคม 2551 ในปีนี้มีความแตกต่างและพิเศษกว่าที่ผ่านๆ มาอยู่หลายประการ

    ประการหนึ่ง นี่เป็นวาระครบ 100 ปี พระบรมรูปทรงม้า ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบ 100 ปี พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (การจัดกิจกรรมเลื่อนจากเดิม 11-15 ตุลาคม 2551 เป็นการจัดในเดือนพฤศจิกายน)

    ประการหนึ่ง เป็นวาระครบรอบ 100 ปีของการพระราชทานกำเนิดการเก็บสะสมไปรษณียบัตร เมื่อเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พ.ศ.2450

    และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้มีโอกาสสนทนากับนักสืบประวัติศาสตร์คนดังอย่าง ไกรฤกษ์ นานา

    ดังนั้น นอกจากประเด็นการเฉลิมฉลองครบ 100 ปี พระบรมรูปทรงม้า ซึ่งมีการพูดถึงและนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ไปบ้างแล้ว การพูดคุยในประเด็นที่เกี่ยวกับวาระครบรอบ 100 ปีของการพระราชทานกำเนิดการเก็บสะสมไปรษณียบัตร เมื่อเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พ.ศ.2450 ยังเปิดประตูไปสู่ข้อมูลและเรื่องราวใหม่ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

    นั่นคือในวาระที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กลับจากเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เมื่อ 100 ปีมาแล้วนั้น มีหลักฐานที่น่าสนใจว่ามีการจัดงาน

    ถวายการรับเสด็จ จัดซุ้มรับเสด็จอย่างยิ่งใหญ่อลังการ

    โดยนอกจากพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนพสกนิกรชาวไทยทั่วไปแล้ว ยังมีการจัดซุ้มรับเสด็จโดยกลุ่มพ่อค้าเชื้อชาติต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทด้านการค้า เศรษฐกิจ อยู่ในกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย

    และหนึ่งในซุ้มรับเสด็จที่มีทั้งพ่อค้าฝรั่ง พ่อค้าจีน ฯลฯ นั้นก็มีซุ้มรับเสด็จของกลุ่มพ่อค้าแขก ซึ่งรวมเอาบรรดาต้นสายตระกูลใหญ่ๆ ของเมืองไทยเข้าไปร่วมในงานประวัติศาสตร์ครั้งดังกล่าวด้วย

    ดังนั้น มิติที่พูดคุยกับไกรฤกษ์ นานา จึงหลากหลายทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 5 รวมถึงบทบาทของกลุ่มพ่อค้าต่างชาติที่เข้ามาทำกิจกรรมในเมืองไทยอย่างคึกคักนับตั้งแต่หลาย 100 ปีมาแล้วนั่นเอง

    ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถวายรับรัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งที่ 2 นั้น ไกรฤกษ์ นานา ระบุว่าเป็นเรื่องที่มีเอกสาร ข้อมูลให้สืบค้นได้มากพอสมควร ต่างไปจากการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 ซึ่งแทบไม่มีหลักฐานใดๆ เหลือไว้ให้ศึกษา

    "รายละเอียดเรื่องการเสด็จกลับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ.2440 เป็นเรื่องหาอ่านยาก และแทบไม่มีใครเขียนถึง จนกระทั่งไปพบ หลักฐานตอนหนึ่งจากจดหมายเหตุรับเสด็จแลสมโภช ที่เคยพิมพ์ไว้มีเรื่องของบรรพชนในสกุลนานา ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้า แขกเทศ นำบรรดาพ่อค้าชาวอินเดียถวายการต้อนรับพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2440 พร้อมอ่านถวายพระพรต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น เนื้อหาในพระราชดำรัสยังความปลาบปลื้มมายังคนในสกุลนานา จนถึงทุกวันนี้"

    ....

    เหตุใดจึงต้องมีการทำซุ้มรับเสด็จกลับ

    ไกรฤกษ์ นานา อธิบายว่า ในแง่หนึ่ง เป็นการแสดงความจงรักภักดีและร่วมปีติยินดีที่เสด็จกลับมาเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยและผู้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร

    "อย่าลืมว่า รัชกาลที่ 5 เป็นพระองค์แรกที่เสด็จประพาสถึงยุโรป"

    และเมื่อเล่ามาถึงบทบาทของพ่อค้า ชาวต่างชาติที่เข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่องในระบบการค้าตั้งแต่สมัยอยุธยา ก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนของการรวมกลุ่ม รวมตัวเป็นคณะต่างๆ อย่างเป็นทางการมากขึ้นๆ

    "ย้อนกลับไปเมื่อก่อนประเทศไทยยุครัชกาลที่ 5 จะมีพ่อค้าแขกกับพ่อค้าจีนเข้ามาค้าขาย ฝ่ายที่ดูแลก็คือกรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา ซ้ายคือจีน ขวาคือแขก ซึ่งก็เป็นประเพณีตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว คือมีกรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา ซึ่งกรมท่าขวาจะเป็นคนส่วนน้อยกว่ากรมท่าซ้าย เพราะว่าคนจีนเยอะกว่า

    ฉะนั้น เรื่องราวต่างๆ ก็จะมีน้อยมาก จะเด่นที่สุดก็คือสายตระกูล "บุนนาค" เด่นมากเพราะว่า "บุนนาค" มาเปลี่ยนศาสนามีความจงรักภักดีมาก มีเรื่องราวปรากฏตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง

    แล้วก็จะมาเข้มข้นมากขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยามหาเสนาบุนนาค ก็เป็นเพื่อนกับนายสิน ลูกจีน และนายทองด้วง ก็เป็นเกลอกันมาจนกระทั่งรับบทเป็นเสนาบดีที่เลือกพระมหากษัตริย์"

    ขณะที่ต้นสายตระกูล "บุนนาค" มีบทบาทต่อเนื่องจากอยุธยามาจนถึงรัตนโกสินทร์ แต่กลุ่มพ่อค้าแขกในสายของตระกูลนานา ซึ่งเป็นแขกอินเดียแท้กลับเข้ามาเริ่มทำการค้าเอาในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นรอยต่อจากยุคสมัยที่ในรัชกาลที่ 3 นั้นเป็นยุคที่พระเจ้าแผ่นดินไทยมีสัมพันธไมตรีด้านการค้ากับประเทศจีนรุ่งเรืองมากที่สุด

    "ต้นตระกูลของผมเข้ามาในยุคที่แปลกมาก คือ สมัยรัชกาลที่ 3 เราติดต่อกับเมืองจีนสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จไปถึงอินเดีย พม่า ตรงนี้ครับที่เป็นจุดกำเนิดว่าพวกแขกพวกฝรั่ง ตามเข้ามาเปิดร้านตัดเสื้อคนต่างประเทศจะเข้ามายุครัชกาลที่ 5 หลังจากที่ท่านเสด็จประพาสต่างประเทศครั้งแรกประมาณปี 2417

    แต่ครอบครัวผมเข้ามาแปลกครับ คือเข้ามาก่อนหน้ารัชกาลที่ 5 ในประวัติก็มีรุ่นพี่ไปค้นมาจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ว่า เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ.2400 ซึ่งก็ประมาณ 150 ปีแล้ว จะเป็นยุคเดียวกับเซอร์จอห์น บาวริ่ง เข้ามาทำสนธิสัญญาการค้ากับไทยนั่นเอง ก็เลยทราบว่าเป็นยุคที่เข้ามาแปลก คือ ไม่ได้เข้ามาในยุครัชกาลที่ 3 หรือรัชกาลที่ 5 แล้วก็ได้เป็นขุนนางตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4

    หลังจากนั้นทุกๆ สายที่เป็นบุตรของ "พระพิเชษฐ์" ก็เป็นพ่อค้าสืบต่อมา"

    ไกรฤกษ์เล่าว่า เขาเติบโตขึ้นในย่านชุมชนที่ถนนฟากหนึ่งเป็นจีน อีกฟากหนึ่งเป็นแขกนั่นคือ "ถนนมุมเมือง" จะมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะเป็นคนจีน อีกส่วนจะเป็นคนแขก เหตุผลที่ถนนมุมเมืองอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวัง ทำให้คนจีนก็ดี คนแขกก็ดี จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายของหรืออะไรที่เกี่ยวกับในวังตลอด

    "ผมเกิดที่นี่และอยู่ถึงเกือบ 10 ขวบ ก็ได้เห็นข้าวของซึ่งผมระบุว่า ได้มีโอกาสดีที่ได้เกิดในบ้านของคุณปู่ที่ยังมีสัญลักษณ์ของความเป็นพ่อค้า เช่นตัวอย่างสินค้า เช่นถาด ก็จะมีชื่อคุณปู่เขียนไว้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องแก้วเจียระไน หรือเท่าที่จำได้คือแม้กระทั่ง ชักโครก คือคุณปู่จะส่งของ luxury good เพราะสมัยก่อนเราอยู่ใต้ร่มธงอังกฤษ เพราะอินเดียเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ เราก็เลยพูดภาษาอังกฤษเก่ง แล้วในประวัติบรรพบุรุษเขียนไว้ว่า ท่านก็ช่วยแปลภาษา ต่างประเทศจนกระทั่งได้ช่วยงานของกรมท่าขวา นี่ก็คือจุดสำคัญในยุคเริ่มต้น"

    สำหรับลักษณะที่สำคัญของพ่อค้าแขกที่เข้ามาในยุครัตนโกสินทร์ คือ จะเข้ามาในลักษณะเป็นพ่อค้าก่อน จากนั้นก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นคนควบคุมคนจีนหรือคนแขกให้อยู่ในความคุ้มครอง แล้วก็ปกครองกันเอง ความจริงแล้วพ่อค้าอินเดียก็เข้ามาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์อยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็มีหลายกลุ่ม ทั้งฮินดู คริสต์ แต่กลุ่มที่เป็นมุสลิมก็จับกลุ่มกันอยู่

    จากจุดเริ่มต้นที่เติบโตขึ้นมาในท่ามกลางชุมชนพ่อค้าที่มีบทบาท นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต่อมาไกรฤกษ์สนใจประวัติศาสตร์ และเข้ามาทำงานด้านประวัติศาสตร์ในบทบาทของผู้ที่ชื่มชนการสืบค้น สะสม และรวบรวมหลักฐาน เอกสารประวัติศาสตร์โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5

    "กล่าวได้ว่าสายตระกูล "นานา" เป็นพ่อค้าอินเดียที่เข้ามามีบทบาทในการค้าของเมืองไทยช่วงต้นรัตนโกสินทร์ก็เรียกได้ พวกเราจะโตมาจากตรงนั้นเพราะบรรพบุรุษ "พระพิเชษฐ์" อยู่ที่วัดอนงค์ บริเวณนั้นทั้งหมดเลยจะมีย่านชุมชนคนอิสลามอยู่ พอมีลูก ลูกก็เริ่มขยายออกมาแล้วก็ย้ายออกมา ลูกชายคนโตก็ไปอยู่ที่ซอยนานา ก็ไปซื้อจับจองที่ดิน นานาเหนือ นานาใต้ ของคุณปู่ผมก็มาอยู่ที่ถนนมุมเมือง ก็ยังเป็นคนที่ติดต่ออยู่กับในวัง เพราะว่าคุณปู่ก็มีคุณย่าเป็นคนมอญ ผมก็มีเชื้อสายมอญ ดังนั้นผมก็เป็นรุ่นที่ 4

    รุ่นแรกเลยจะเป็นอินเดีย แต่ว่าคุณทวดก็มีภรรยาเป็นชาวอินเดีย 3 คน แต่ว่าเป็นมอญ เป็นทวาย ฉะนั้นผมก็กลายพันธุ์เป็นไทยมากกว่ากลุ่มพวกคุณ "เล็ก นานา"ซึ่งเป็นแขก ส่วนผมจะเป็นแขกไทย แต่พูดง่ายๆ ว่าคุณทวดคนเดียวกัน แล้วคุณปู่มีพี่น้อง 13 คน ก็แตกสายออกมา

    ก็จะโยงมาว่าพ่อค้าอินเดียมีบทบาทมากขึ้น แล้วคุณปู่ก็โตขึ้นเป็นหนุ่ม แต่งงาน แล้วก็สืบทอดธุรกิจการค้าเรื่อยมา ผมจำได้ว่าคุณป้าขายเครื่องเพชรให้เจ้าจอมประดับ เพราะท่านเจ้าจอมมีอายุที่ยืนยาวมาก ฉะนั้นผมก็จะได้ยอนคุณป้า คุณอาผู้หญิง เล่าเรื่องคนในวังตลอดเวลา ผมก็เลยอินเรื่องประวัติศาสตร์ บวกกับอาชีพของเราด้วยที่ต้องหาประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ เล่าให้ลูกค้าฟัง"

    ...

    และจากบทบาทในฐานะพ่อค้าแขกนั้น จึงนำไปสู่โอกาสที่ได้เป็นส่วนหนึ่งรับเสด็จซึ่งจะมีทุกกลุ่ม แม้กระทั่งเจ้านายฝ่ายใน

    "ถึงแม้เจ้านายฝ่ายในจะเป็นพวกเจ้าจอม เจ้าจอมมารดา จะสนิทกับในหลวง แต่ก็ตั้งเป็นซุ้มต่างหาก แล้วก็จะมีพวกพ่อค้าทั้งหลาย แล้วก็เป็นพวกกระทรวง เจ้าหน้าที่กระทรวงก็จะอยู่บริเวณข้างหน้าซุ้ม พอในหลวงผ่านมาท่านก็จะจอด ก็มีการถวายความจงรักภักดี ในหลวงจะตอบหรือไม่ตอบ แล้วแต่ท่าน

    ซุ้มแขกก็เช่นกัน ก็จะมีพูด ซึ่งท่านก็จะตอบ ท่านตอบได้ซาบซึ้งมาก รวมถึงซุ้มจีนและซุ้มฝรั่ง ซึ่งไม่เชิงเป็นประเพณี แต่การบรรยายจะเห็นเลยว่า คนแต่ละกลุ่มจะเริ่มต้นจากการที่รู้สึกซาบซึ้งในการเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร แล้วก็ไม่ได้ถูกรังเกียจรังงอน ในหลวงได้ให้ความเมตตา ให้นับถือศาสนา ตามที่ทุกคนที่ประพฤติปฏิบัติ ไม่มีการแก่งแย่ง ไม่มีการกัดกันชั้นวรรณะ"

    จากคำบอกเล่าเรื่องราวของไกรฤกษ์ นานา พร้อมข้อมูลจากเอกสารที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน นั่นทำให้เราได้รับรู้ข้อมูลและสีสันอีกด้านหนึ่งที่จะทำให้ 23 ตุลาคม 2551 ของปีนี้ พิเศษและแตกต่างไปจากที่ผ่านมา

    นอกจากวาระของการเฉลิมฉลอง 100 ปี พระบรมรูปทรงม้า หรือครบรอบ 100 ปีของการพระราชทานกำเนิดการเก็บสะสมไปรษณียบัตร เมื่อเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พ.ศ.2450 แล้ว

    ยังเปิดมิติใหม่เกี่ยวกับบทบาทพ่อค้าต่างชาติในสยามที่พร้อมใจกันร่วมตั้ง ซุ้มถวายการรับเสด็จกลับจากการเสด็จประพาสยุโรป

    สะท้อนภาพแห่งความสมานฉันท์ และโยงถึงเรื่องราวที่น่าสนใจของกลุ่มพ่อค้าแขกในเมืองไทยได้อย่างครบถ้วน

    แม้นี่จะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวในงาน และการทำหน้าที่นักสืบประวัติศาสตร์ของ ไกรฤกษ์ นานา ก็ตาม
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทลายแก๊งบัตรเครดิตปลอมสูญ100ล.
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01jud01261051&sectionid=0117&day=2008-10-26
    จับหัวโจกชาวมาเลย์-สมุนคนไทย




    [​IMG]
    ทลายบัตรเถื่อน - พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. แถลงจับกุมนายเหล่า เซง ตี้ อายุ 47 ปี ชาวมาเลเซีย และ น.ส.สู่เฟิง แซ่เกา อายุ 29 ปี ชาวไทยใหญ่ พร้อมบัตรเครดิตปลอม เครื่องปั๊มบัตรเครดิต พาสปอร์ตปลอม และอื่นๆ จำนวนมาก มูลค่า 100 ล้านบาท ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม


    เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 ตุลาคม พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. พร้อมนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด แถลง พ.ต.ท.วิษณุ สระทองออย สว.งานสืบสวน กก.1 บก.ทท. และ พ.ต.ต.พฤทธิพงษ์ นุชนารถ สว.ส.ทท.1 กก.1 บก.ทท. พร้อมกำลังจับกุมนายเหล่า เซง ตี้ อายุ 47 ปี สัญชาติมาเลเซีย และ น.ส.สู่เฟิง แซ่เกา อายุ 29 ปี ชาวไทยใหญ่ พร้อมบัตรเครดิตปลอมธนาคารต่างๆ ยังไม่ได้ทำข้อมูล 1,502 ใบ บัตรเครดิตมีข้อมูลในแถบแม่เหล็ก 83 ใบ บัตรเครดิตไม่พบข้อมูลในแถบแม่เหล็ก 27 ใบ เครื่องพิมพ์การ์ดพลาสติค เครื่องเคลือบนูนบนการ์ด หนังสือเดินทางปลอม 23 เล่ม และอื่นๆ รวม 27 รายการ แจ้งข้อหามีไว้ใช้เพื่อบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม ทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม ทำหนังสือเดินทางปลอม มีไว้เพื่อใช้หนังสือเดินทางปลอม และทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตรา รอยตรา โดย น.ส.สู่เฟิงถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน (ออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต)

    พล.ต.ต.ปัญญากล่าวว่า ตำรวจท่องเที่ยวจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ที่ศูนย์การค้าวรจักร ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แล้วคุมตัวไปตรวจค้นห้องพักเลขที่ 64/35 อาคารทองไทยคอนโดมิเนียม 2 ถนนวุฒากาศ ซึ่งการจับกุมครั้งนี้มีมูลค่าความเสียหาย 100 ล้านบาท เป็นแก๊งใหญ่ ซื้อข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตจากประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงทำพาสปอร์ตปลอม เพื่อจ้างชาวต่างชาติมารูดซื้อสินค้า มีทั้งคอมพิวเตอร์ นาฬิกา กล้อง อัญมณี น้ำหอมและอื่นๆ ก่อนจะนำไปขายต่อเพื่อฟอกเป็นเงินสด มีนายเหล่า เซง ตี้ เป็นหัวหน้าแก๊ง และเป็นครั้งแรกที่พบเครื่องทำบัตรเครดิตปลอมในไทย
     
  18. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อืม...อย่างนี้เขาเรียกตลาดเสรีที่คุมโดยปลาใหญ่ ใช่ป่ะครับ
    แล้วถ้าปลาเล็กอยากคุมบ้าง ก็รวมตัวเป็นสมาคม ใช่ป่ะครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 12 คน ) sithiphong, :::เพชร:::+, ake7440+, ภัทรอังคาร, flukeminds, nongnooo+

    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) sithiphong, :::เพชร:::+, ake7440+, hs8xwc, ksriuta, nongnooo+

    มากันเยอะเลยครับ ไม่ไปเที่ยวกันหรือครับ

    อีกสักพัก ผมจะโทร.ถามเรื่องของงานมหากฐินที่ สนส.ผาผึ้งครับ

    .
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผู้ที่ยังไม่ได้แจ้งชื่อที่อยู่เพื่อการจัดส่งพระสมเด็จวังหน้าไปให้ ขอให้แจ้งให้ผมทราบทาง PM ด้วยนะครับ จะได้ดำเนินการในช่วงหลังวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๕๑ ครับ..

    มีงานบุญอยู่งานหนึ่งที่อยากบอกบุญมายังเพื่อนๆคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกท่านที่ปรารถนาจะสร้างกุศลกับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทั้ง ๕ พระองค์ เทพเทวาที่ปกปักรักษาสยามประเทศมาแต่ครั้งการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์...

    งานบุญที่ว่านี้คือ การสร้าง"ไฉไบ๊" เป็นผ้าไหมทอมือจากประเทศจีนที่ติดไว้เหนือเพดานในศาลเทพารักษ์ "ไฉไบ๊"ของเดิมนี้ได้อยู่ประจำศาลนี้มาร่วมร้อยปีแล้ว บัดนี้ด้วยกาลเวลาจึงทำให้ผ้าไหมเก่า และเสียหายขาดชำรุด จึงถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยน"ไฉไบ๊"ผืนใหม่ซึ่งภายในศาลมีจำนวนรวมด้วยกัน ๓ ผืน งบประมาณที่ได้ไปสอบถามร้านค้าแถววัดเล่งเน่ยยี่ที่เป็นการทอมือทั้งผืน ไม่ใช่การปัก และแปะ จะอยู่ที่ ๓๐,๐๐๐ บาท ผมเห็นว่าการสร้างครั้งนี้เป็นการสร้างครั้งที่ ๒ ซึ่งอีกร้อยปีจึงจะสร้างผืนที่ ๓ ได้ ถือเป็นของสูงที่อยู่ภายในศาลเทพารักษ์แห่งนี้ การบอกบุญก็จะใช้เวลาเพียงประมาณ ๒๐ วันเท่านั้น เพื่อให้ทันวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๕๑ ซึ่งตรงวันสวรรคตของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ...

    สามารถร่วมบุญด้วยการโอนปัจจัยที่ผมก็ได้ครับ เพื่อความสะดวก และสามารถดำเนินการจัดซื้อได้ทันตามกำหนดเวลาที่

    บัญชีคุณอภิวัฒน์ ชัฎอนันต์
    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยไชยยศ
    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 040-2-25999-6

    ผมขอมอบพระผงวังหน้า ซึ่งหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าเสก เมื่อท่านได้ร่วมบุญสร้าง"ไฉไบ๊"ประจำศาลวังหน้าทุกๆ ๕๐๐ บาท
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ผ้าผืนนี้นี้ไงครับ
    [​IMG]













    รับทราบ และขอโมทนาบุญสร้าง"ไฉไบ๊"กับคุณสำรวจโลก คุณwood6208 และคุณdrmettaด้วยครับ

    ก่อนหน้านี้มีผู้ร่วมบุญมาบางส่วนเป็นทุนเริ่มต้นก่อนแล้วดังนี้

    -คุณ:::เพชร::: 2,500 บาท(จากการให้บูชาพระสมเด็จปัญจสิริจำนวนหนึ่ง เพื่อตั้งองค์กฐิน วัดถ้ำเอราวัณ จ.ลพบุรี)
    -คุณจาตุรงค์ 2,000 บาท
    -คุณเล็ก 500 บาท
    -คุณจิ๋ม Asia Phone 500 บาท
    -คุณสุพิตรา 1,000 บาท

    1 ) คุณnongnooo 500 บาท
    2 ) คุณake7440 500 บาท
    3 ) คุณhongsanart 1,000 บาท(สร้างบุษบกฯ 1,000 บาท)
    4 ) คุณchannarong_wo 500 บาท
    5 ) คุณgnip 500 บาท(สร้างบุษบกฯ 200 บาท)
    6 ) คุณnewcomer 500 บาท(เพิ่มเติมจาก 200 บาท เป็น 500 บาท)
    7 ) คุณทองอ้วน 500 บาท
    8 ) คุณkaticat 500 บาท
    9 ) คุณkwok 500 บาท
    10) คุณdragonlord 1,000 บาท
    11) คุณพิมพาภรณ์ 300 บาท
    12) คุณksriuta 500 บาท
    13) คุณnarin96 500 บาท
    14) คุณคัง 500 บาท
    15) คุณพรสว่าง_2008 500 บาท
    16) คุณพุทธันดร 1,560 บาท(น้องท่านหนึ่งร่วมด้วย 60 บาท)
    17) คุณshinray01 500 บาท
    18) คุณตั้งจิต 500 บาท
    19) คุณสันติ 500 บาท
    20) คุณสำรวจโลก 1,050 บาท
    21) คุณdrmetta 500 บาท
    22) คุณwood6208 500 บาท
    23) คุณsithiphong 250 บาท
    24) คุณชวภณ ครอบครัว และเพื่อนที่ทำงาน 1,000 บาท

    ยอดรวมในขณะนี้ 21,160 บาท ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...