พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

๔ ขวบอัจฉริยะ.! นำสวดมนต์ได้ทุกบท จนพระตะลึง.!!!

​

ครูประจำชั้นสุดทึ่งหนูน้อยอัจฉริยะวัย 4 ขวบ ฉลาดสุดเท่าที่เคยสอนมา นำเพื่อนสวดมนต์ได้ทุกบท จนพระตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ขณะที่แม่เผยพูดจาฉะฉาน-หลักแหลมกว่าเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ที่สำคัญชอบศึกษาธรรมะ การ์ตูน-ละครไม่สนใจ แต่ถ้าสารคดีธรรมมะไม่เคยพลาด นุ่งห่มขาว-นั่งสมาธิ สามารถท่องบทสวดมนต์ได้อย่างคล่องแคล่ว แถมพระเครื่องต่าง ๆ รู้จักหมด
จากกรณีที่มีการร่ำลือไปทั่วตลาด อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ว่ามีเด็กชายวัย 4 ขวบคนหนึ่ง มีความเฉลียวฉลาดดุจเด็กอัจฉริยะเหนือเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 14 ต.ค. ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปพิสูจน์ความจริง ที่บ้านเลขที่ 99/66 หมู่ 1 หมู่บ้านมิตรภาพ ต.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว ซึ่งเป็นบ้านของ นายอนิรุทธ์ เลิศจันทึก อายุ 52 ปี ทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.สาขา อ.ปากช่อง และเป็นบิดาของ ด.ช.ศศิศ หรือ

 

ที่อยู่ก็มี อาทิตย์นี้จะส่งไปให้นู๋น้อยลองทายดู ได้ผลยังไงจะนำมาบอกผลกันให้ทราบ..

 

จริงๆแล้วทางwebmasterเค้ามีเจตนาดีนะคะ คือพยายามแยกกลุ่มที่มาค้าขายออกจากการทำบุญน่ะค่ะ กระทู้ดีๆแบบกระทู้นี้ก็จะได้อยู่ในที่เห็นชัดไม่ปะปนกับการขายพระ (ตามความเข้าใจของหนูคนเดียวรึป่าวเนี่ย?)

 

บริจาคเป็นประจำทุก 3 เดือนค่ะตั้งแต่วิกฤติ 3 จังหวัดภาคใต้ เมื่อก่อนกลัวเข็มมาก เดี๋ยวนี้กลัวน้อยลงเยอะ รู้สึกดีใจที่มีส่วนได้ช่วยต่อชีวิตคนอื่น แม้จะน้อยนิดก็ตาม พอดีเลือดกรุ๊ปAB ไม่ค่อยมีคนอยากได้น่ะค่ะ แล้วก็เลยลงชื่อบริจาคstem cell ไว้ด้วย ส่วนดวงตากับอวัยวะบริจาคไว้นานหลายปีแล้วค่ะ

 

ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อะไรจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน
การจัดการสิ่งๆต่างๆนั้น ก็ขึ้นกับความเห็นพ้องและความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่มีสิทธิในการกระทำเป็นหลักอยู่แล้ว
เพียงแต่ในความรู้สึกของผมนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถระบุ หรือที่สมัยใหม่ชอบเรียกว่า ฟันธง ลงไปได้ชัดเจนก็เท่านั้นเองครับ
สมัยก่อนผมสนใจแต่พระธรรม กับการปฏิบัติ เมื่อปีกว่าๆนี้เองครับ ที่ได้รับความรู้เกี่ยวกับวงการพระเครื่อง ก็พบว่าไม่ได้สวยหรูอย่างที่เซียนพระเขาชอบพูดกัน ว่ากลุ่มที่สนใจพระเครื่องเป็นพวกชอบทำบุญ
คำนี้จริงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งก็คงเป็นปกติของทุกวงการที่มีขาวและดำ (และเทา) เซียนใหญ่หลายคน ก็มีประวัติสร้างพระปลอม เพียงแต่เขาไม่เอามาป่าวประกาศเลยยังรักษาชื่อเสียงได้อยู่ทุกวันนี้ เขาเลี้ยงคนไว้เยอะ เจอหน้าไม่ต้องมีพระมาให้ก็ให้ค่าเหล้า 3-4 พัน อันนี้จริงหรือเปล่าผมก็ฟังเขามานะครับ
แต่มาคิดในหลักการและเหตุผล ปัจจุบันเราเอาอะไรที่มาวัดกันว่าเป็นหลักการสากลนิยม หลักการสากลนิยมที่เขาว่าก็คือการดูจุด ดูพิมพ์ ดูตำหนิ ดูความเก่า
แล้วผมถามสักนิดว่าใครเป็นคนตั้งหลักการนี้ คนสร้างพระ เวลาจะสร้างเขาใส่พิมพ์เขียวไว้เหมือนแปลนตึกไหมครับ ว่าพระนี้สร้างออกมาต้องมีตำหนิอย่างนี้ๆ
คนเขียนตำราไม่มีใครเกิดทันสักคน แล้วเอาอะไรมาบอกว่าพระนั้นดี พระนี้ไม่ชอบ
ผมก็พิสูจน์กับตนเองมาหลายราย เซียนคนนี้บอกพระนี้แท้ เซียนคนนี้ว่าดูใหม่ ทั้งสองคนก็มีคนนับถือว่าเป็นเซียน แต่ก็มีความเห็นต่าง แล้วผมจะเชื่อใคร แล้วใครที่เก่งกว่ากัน ต่างคนก็บอกว่าอีกคนไม่เก่งเท่าตน
นี่ยังไม่นับเรื่องการสวดนะครับ วงการนี้มีที่เรียกว่าการสวดพระของฝั่งตรงข้ามด้วย หรือแม้แต่ในงานประกวดสมัยก่อนก็มีข่าวเป็นประจำ
เขาสวดทำไม บางทีก็เป็นพระของฝ่ายที่ไม่ถูกกัน บางทีก็เป็นพระของคนไม่รู้จัก เขาสวดเพื่อให้ท้อ พอท้อแล้วก็ส่งคนไปตามเก็บพระในราคาไม่แพง เพื่อนำมาปล่อยให้ได้กำไรมากๆ
ถ้าเขาซื้อมาแพง ปล่อยแพง เขาจะเอากำไรที่ไหนมานั่งร้านห้องแอร์ ขี่รถเบนซ์กันครับ

 

โมทนาบุญด้วยครับ เยี่ยมจริงๆ การบริจาคเลือดเป็นการบริจาคทานขั้นที่ 2

ผมเองหยุดไป น่าจะ 6 เดือนแล้ว เจอพยาบาลแทงเจ็บมากๆ ว่าจะไปเดือนหน้าอยู่เหมือนกันครับ

.
-----------------------------------------------------
กริ่งปวเรศ รุ่นแรก

http://www.be2hand.com/scripts/shop.php?user=jaturamitmongkol&do=view&id=330008
กริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศ เริ่มสร้างครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๐๔ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) แห่งราชวงศ์จักรี

การสร้างครั้งที่ ๑ - ในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ทรงสร้างเพื่อทดแทนพระกริ่งปวเรศทองคำที่หายไป เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๓ ในพระราชพิธีมุรธาภิเษกและพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ (ร ๔) และขณะรัชกาลที่ ๕ พระชนมายุ ๙ พระชันษา เพื่อใช้ในพระราชพิธีเจริญน้ำพระพุทธมนต์ พิธีรับพระสุพรรณบัฎ (พระราชนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หน้า ๕๐-๕๑) จำนวนการสร้าง ๓ องค์

การสร้างครั้งที่ ๒ - ในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ เพื่อถวายรัชกาลที่ ๔ ในพระราชพิธี ที่รัชกาลที่ ๕ ทรงผนวชเป็นสามเณร เป็นที่ระลึกถวายรัชกาลที่ ๔ และ รัชกาลที่ ๕ จำนวนการสร้าง ๙ องค์ ในปีนั้นกำลังของปีตกเลข ๙ พอดี (ตำนานวัดบวรนิเวศ หน้า ๑๔๗ )

การสร้างครั้งที่ ๓ - ในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายรัชกาลที่ ๕ พระชนมายุ ๑๕ พระชันษา ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยมีผู้สำเร็จราชการเจ้าพระยาสีสุริย วงศ์ (ช่วง บุญนาค) กริ่งรุ่นนี้ไม่มีเส้นพระศก และไม่มีส่วนผสมของเนื้อพระพุทธชินสีห์แบบครั้งที่ ๑ และ ๒ เป็นเนื้อสัมฤทธิ์ มี ๓ ชนิด เนื้อสัมฤทธิ์เดช ออกสีแดงแก่ อ่อน, เนื้อสัมฤทธิ์โชติ ออกสีขาว หรือขาวจัด, เนื้อสัมฤทธิ์เดช ออกสีเหลือง (พระราชนิพนธ์พงศาวดาร ร ๕ หน้า ๓๐-๓๔, หน้า ๔๗ , และพระราชพิธีโสกันต์ หน้า ๕๔-๕๕) จำนวนการสร้างไม่ได้กล่าวไว้

การสร้างครั้งที่ ๔ - ในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ รัชกาลที่ ๕ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และบรมราชาภิเษกครองราชย์เป็นครั้งที่ ๒ กริ่งรุ่นนี้ไม่มีการบรรจุลูกกริ่งไว้ กรมพระยาปวเรศฯ ทรงออกแบบเป็น ๒ แบบ หล่อในคราวเดียวกัน เพื่อทรงถวายในพระราชพิธีทรงผนวช และบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติ สันนิษฐานว่าเป็นกริ่งในเก๋งจีนอยู่ที่วัดบวรนิเวศ (จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๑๑ – พ.ศ. ๒๔๑๖ คณะกรรมการเผยแพร่เอกสารประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรีจัดพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. ๒๕๑๖ หน้า ๑๒๑-๑๒๙) จำนวนการสร้างไม่ได้กล่าวไว้

การสร้างครั้งที่ ๕ - ในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ เรียกกริ่งปราบฮ่อ ร ๕ กรมพระยาปวเรศไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ ช่างสิบหมู่และโหรหลวงเป็นผู้ออกแบบ (สงครามปราบฮ่อสมัย ร๕ มรว แสงโสม เกษมศรี ประวัติศาสตร์ไทย ปี ๒๕๐๓) ลักษณะ “ปราบฮ่อ” อยู่บนฐานชั้น๒ ติดกับพระโสณี (ตะโพก) ด้านหลัง “ร๕” ตัว “ร” หล่อติดระหว่างกลางฐาน ๑ และ ๒ ด้านซ้ายของกลีบบัวหลัง เลข “๕” หล่อติดแนวเดียวกันทางด้านขวาของกลีบบัวหลัง จำนวนการสร้างไม่ได้กล่าวไว้
การสร้างครั้งที่ ๖ - ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ (บรรณานุกรมหอสมุดแห่งชาติ มหามกุฎราชวิทยาลัย หน้า ๕ วรรค ๒) กรมพระยาปวเรศฯ ไม่ได้ออกแบบ จัดสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ทรงได้รับมหาสมณุตมาภิเษก ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ออกแบบโดยช่างสิบหมู่ บรมวงศานุวงศ์ และไวยาวัชกรวัดบวรนิเวศ สมัยนั้น จึงมีหลายแบบพิมพ์ทรง บางแบบใช้แม่พิมพ์เก่าก็มี โลหะก็ไม่เหมือนกัน บางองค์ก็แบบพิมพ์ใหม่ รวมทั้งที่อยู่ในขันน้ำมนต์ และยอดไม้เท้าของพระองค์ท่าน จำนวนการสร้างไม่ได้กล่าวไว้ (กริ่งรุ่นนี้วัดสุทัศน์ได้จัดสร้างขึ้นในปี ๒๔๔๓ เรียก “พระกริ่งคู่แฝด” จะต่างกันตรงอุดกริ่ง)

หมายเหตุ ! - พระกริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศ นั้น ที่สร้างในยุคสมัยของกรมพระยาปวเรศฯ ตามประวัติมีการจัดสร้าง ๖ ครั้ง ระบุจำนวนให้ทราบ เพียง ๒ ครั้ง รวมแล้วได้ ๑๒ องค์ แต่ก็สร้างเพื่อพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์เท่านั้น มีเพียงครั้งที่ ๖ เท่านั้นที่สร้างฉลองสมณศักดิ์สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ที่อาจสร้างแจกเป็นที่ระลึกให้ข้าราชบริพาน พระสกนิกร ในสมัยนั้นแต่ก็ไม่ระบุจำนวนการสร้าง และก็มีหลายแบบพิมพ์ทรง ผู้เขียนเองก็ไม่สามารถที่จะสรุปได้ว่า ที่เคยทราบมา มีประมาณ ๑๑ องค์ หรือเท่าไรไม่แน่ใจ ที่มีมูลค่าสูง เป็นกริ่งปวเรศ รุ่นไหน และยุคไหน เพียงแต่สรุปได้ว่ามีเกิน ๑๐ องค์แน่นอน

พุทธลักษณะองค์พุทธปฏิมากร – รูปหล่อลอยองค์ ประทับนั่งสมาธิเพชร (วัชรสานะ) เหนืออาสนะบัลลังค์ บัวคว่ำ บัวหงาย ๒ ชั้น ชั้นละ ๗ กลีบ ฐานด้านหลัง ยื่นเล็กน้อย บัวคว่ำ บัวหงาย ชั้นละ ๑ กลีบ พระเกศแบบตุ้มหรือบัวตูม ฐานพระเมาลี ด้านหน้า ปรากฏรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว พระศกแบบตอก “รอยตุ๊ดตู่” ปราศจากไรพระศก ใต้ฐานไม่ปะก้น หรือรอยเจาะก้นสำหรับบรรจุลูกกริ่งเหมือนทั่วๆ ไป แต่กว้านก้นลึก และกว้าง (กว้าง ๑ ซ.ม. ยาว ๑.๖ ซ.ม.)
ลักษณะการตอกเมล็ดงา – ในสมัยก่อนเป็นการบ่งบอก ให้ทราบว่ามีช่างที่สร้าง และตกแต่ง พระจำนวนกี่คน เช่น ตอกเมล็ดงา ๑ เมล็ด แสดงว่าพระกริ่งองค์นั้นมีช่าง ๒ คน ช่วยกันสร้างและตกแต่ง ๓ เมล็ด แสดงว่าพระกริ่งองค์นั้นมี ช่าง ๔ คน ช่วยกันสร้างและตกแต่ง ถ้าไม่มีการตอกเมล็ดงา แลดงว่า มีช่างเพียงคนเดียว ที่เป็นผู้สร้างและตกแต่งตรวจเองทั้งหมด การตอกเมล็ดงาจะตอกตรง เฉียง หรือ อยู่ส่วนใดขององค์พระก็แล้วแต่ช่างผู้นั้นจะตอก

ผมไม่มีพระนะครับลงรายละเอียดให้ได้ทราบความเป็นมาเท่านั้นครับ

 

ขอความเห็น แนวทางของ กฏใหม่และการตั้งกระทู้ให้บูชาพระได้เฉพาะ Premium member
http://palungjit.org/showthread.php?t=153492&page=8

18-10-2008, 01:49 PM #143 WebSnow
เว็บมาสเตอร์ (วีระชัย)



วันที่สมัคร: Apr 2003
สถานที่: London, England
อายุ: 33
ข้อความ: 6,486
ได้ให้อนุโมทนา: 1,604
ได้รับอนุโมทนา 48,306 ครั้ง ใน 4,316 โพส
พลังการให้คะแนน: 50000


เรื่องให้ไปโพสได้ที่ห้องประชาสัมพันธ์
-----------------------------------

มีสมาชิกบางท่านให้ความเห็นว่า ห้องนั้นคนน้อยกว่าห้องพระเครื่อง เลยทำให้เขาได้ทุนไปช่วยงานบุญได้ไม่เต็มที่

-----------------------------------

ขอเสียงจากสมาชิกหน่อยว่า คิดอย่างไร

ถ้าเราจะเปิด ห้องย่อย ในห้องประชาสัมพันธ์
เป็นห้องสำหรับ ให้บูชาพระเครื่อง เพื่อการกุศลต่างๆ
สมาชิกทั่วไปสามารถตั้งกระทู้ให้เช่าพระได้

แล้วทำลิงค์จากห้องย่อยพระเครื่องนี้ไปหาห้องพระเครืองการกุศลใหม่

ใครจะมาหลอกหรือไม่ได้ทำการกุศล กฏแห่งกรรมก็จะลงโทษเขาเอง

แบบนี้ Ok ไหมครับ



-------------------------------------

ก็คงตามนี้ครับ

หรือ ไปที่ PaLungJit.com > พลังจิต > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ

ไว้ใกล้ๆผมจะมาแจ้งให้ทุกๆท่านทราบอีกครั้ง

(เท่าที่รับฟังความเห็นมา ก็ไปที่ ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ ครับ)

--------------------------------------------
จากกระทู้ เว็บสโนว บอกหน่อยครับ rep power คืออะไร
เว็บสโนว บอกหน่อยครับ rep power คืออะไร<!-- google_ad_section_end -->





http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-1683#post2423258

หน้าที่ 1683

 

ไปที่สภากาชาดสิคะ พยาบาลชำนาญมาก ไม่เคยเส้นแตกเลย เร็วด้วย เคยไปนอกสถานที่ครั้งนึงปรากฎว่าเส้นแตกเขียวเป็นอาทิตย์ คนถามว่าไปทำอะไรมาได้แต่หัวเราะ เพราะกล้วว่าคนอื่นจะไม่กล้าไปบริจาคค่ะ เวลาไปจะรวมกลุ่มพร้อมเพื่อนประมาณเกือบสิบคน พอบริจาคเสร็จก็ไปกินกลางวันฉลองการทำความดีกันค่ะ สนุกดี เรามีนัดกันทุก 3 เดือนค่ะ

 

ผมก็ไปสภากาชาดไทยครับ

เจ็บมากจริงๆวันนั้น สงสัยพยาบาลกำลังเหนื่อยมั้งครับ แต่เดือนหน้าตั้งใจจะไปอีก และว่าจะพา ผบทบ(ผู้บัญชาการที่บ้าน) ไปบริจาคเลือดด้วย ตอนนี้กำลังบำรุงเลือดให้ ผบทบ อยู่ หาตับหมูให้กินบ่อยๆครับ

 

ไม่เคยสนใจพระเครื่องเลยค่ะ แต่ถ้าทำบุญแล้วได้มาก็ดีใจ จะอยากได้ก็เฉพาะบางองค์ที่เรารู้สึกรักและนับถือ เช่น หลวงปูเทพโลกอุดร หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
แต่ไม่เคยสนใจว่ารุ่นไหน ราคาเท่าไหร่ นิยมเล่นกันมั้ย แค่เอาไว้เป็นสังฆานุสติ
คิดว่าถ้าเรานับถือท่านจริง พระนั้นก็แท้สำหรับเราค่ะ

ส่วนตัวไม่เชื่อเหมือนกันว่าทุกคนที่สนใจพระเครื่องจะชอบทำบุญ ส่วนมากเป็นงานอดิเรกมากกว่ามังคะ เหมือนสะสมสแตมป์มังคะ

 

หากเราโกรธใครซักคน เราควรทำอย่างไร

สิ่งที่ควรทำคือนั่งลงทับปัญหานั้นซะทับไปจนกว่าจิตใจจะสงบลง แล้วปัญหานั้นก็จะคลี่คลายไปจากเราเอง ลองดูนะคะ และด้านล่างมีภาพตัวอย่างให้ดูด้วย หวังว่าจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนนะคะ


ปล. ไม่ใช้แสตนอิน ไม่ใช้เอฟเฟค ไม่ใช้สลิง จริงทุกประการ

 

ขอความช่วยเหลือให้เด็กกำพร้าที่อยุธยา
มีเด็กประมาณ 90 กว่าคน มีทั้งเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชาย อายุตั้งแต่ 4
ขวบเป็นต้นไป โดยเด็กทั้งหมดอยู่ในความดูแลของ พระครูปลัดแฉล้ม ฐานวโร เจ้าอาวาสวัดบางเพลิง อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ความเป็นอยู่ของเด็ก ๆ ลำบากมาก ทั้งอาหาร เสื้อผ้า หรือสิ่งของจำเป็นที่ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน บางมื้อต้องนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาฉีกใส่กะละมังใบใหญ่ (ขนาดเท่าที่เราใช้ซักผ้า) ไม่ว่าจะเป็น
ยี่ห้ออะไร รสอะไร โดนผสมอยู่ใบกะละมังใบเดียวกันหมด ฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงไปแล้วต้มในน้ำร้อน แล้วเด็กทุกคนไม่ว่า เด็กเล็ก เด็กโตก็ต้องกินบะหมี่ในกะละมังใบนี้ทุกคน เพราะไม่มีอะไรให้กิน

บางครั้งมีพ่อค้าใจดีนำผักมาบริจาคให้ แต่ก็แทบไม่มีเครื่องปรุงจะมาทำอาหารให้เด็กกิน

จึงขอความช่วยเหลือ เพื่อเด็กที่น่าสงสารเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า
ข้าวสาร อาหารแห้ง ขนม เครื่องครัว เช่น น้ำมัน น้ำปลา น้ำตาล เป็นต้น
(สิ่งที่จำเป็นที่สุดตอนนี้คือข้าวสาร อาหารแห้ง)

ร่วมบริจาคได้ที่วัดบางเพลิง เลขที่ 20 หมู่ 3 อ.บางปะหัน
จ.พระนครศรีอยุธยา โทร. 081-8527934 , 035-710443

(ท่านพระครูปลัดแฉล้ม ฐานวโร ได้ฝึกหัดเด็ก ๆ เหล่านี้ให้เล่นดนตรีไทย
ปี่พาทย์มอญวงใหญ่ และอังกะลุง
เพื่อหารายได้ช่วยพี่น้องที่อาศัยอยู่ที่วัดบางเพลิง
สนใจติดต่อได้ที่ที่อยู่ด้านบนนะคะ)

 

ทำไมเราถึงจาม?

จาม (Sneeze) คือ การหายใจออกอย่างรุนแรงฉับพลันและมีเสียงผ่านทางปากและจมูก ซึ่งมักจะเป็นกิริยาสนองฉับพลัน

จมูกเป็นเส้นทางหลักของอากาศที่เราสูดเข้าและออก เนื่องจากตำแหน่งของมัน จมูกจึงมีหน้าที่หลายอย่าง ช่องทางที่มีลักษณะแคบทำให้ลมที่หายใจไหลมีความปั่นป่วนมากขึ้น ความปั่นป่วนนี้จะเพิ่มปฏิกิริยาระหว่างกระแสลมและเมือกในจมูก ทำให้ความร้อนและความชื้นเกิดการแลกเปลี่ยนขึ้น และอณุภาคก็จะถูกกำจัดออกไปด้วย

การจามเป็นการตอบสนองทางสรีรศาสตร์ต่อการระเคืองของเนื้อเยื่อบุทางเดินหายใจที่อยู่ในจมูก กระบวนดังกล่าวจะเริ่มจากการปล่อยสารเคมีเช่น ฮิสตามีน (histamine) หรือลิวโคไทรอีน (leukotrienes) สารเคมีเหล่านี้สร้างขึ้นมาจากเซลล์ที่ระคายเคือง) เช่น อีโอไซโนฟิล (eosinophils) และเซลล์มาสต์ (mast cells) ซึ่งมักจะพบภายในเมือกบุโพรงจมูก การปล่อยสารออกมานั้นเป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ อณุภาคที่กรองไว้ สารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ (allergens) หรือการระคายเคืองทางกายภาพเช่น ควันบุหรี่ มลพิษ น้ำหอม และอากาศเย็น การเกิดภูมิแพ้กับเมือกบุโพรงจมูกต้องใช้แอนติบอดี IgE (immunoglobulin E มีความเจาะจงกับสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้) จึงทำให้ของเหลวออกมาจากเส้นเลือดภายในจมูกทำให้เกิดอาการคัดจมูก (congestion) และน้ำมูกไหล (nasal drip) ด้วยเหตุนี้เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นทำให้เกิดอาการระคายเคือง

ในที่สุด การกระตุ้นจากเส้นประสาททำให้เกิดการตอบสนองภายในสมอง สัญญาณประสาทจะเดินทางไปที่เส้นประสาทรับความรู้สึกและควบคุมกล้ามเนื้อที่หัวและคอ

ทำให้เกิดการขับลมออกมาฉับพลัน ความเร็วของลมที่ปล่อยออกมาเกิดมาจากการสร้างความดันภายในหน้าอกโดยเส้นเสียง (vocal chords) จะถูกปิด เมื่อเส้นเสียงเปิออกอย่างรวดเร็วจะทำให้ลมที่ความดันไหลกลับไปที่ทางเดินหายใจเพื่อไล่สารที่ทำให้ระคายเคืองออกไป กระบวนการดังกล่าวช่วยกำจัดอณุภาคที่ระคายเคืองภายในจมูก อย่างไรก็ตาม ในคนที่ติดเชื้อ การจามจะเป็นการแพร่โรคหวัด โดยเชื่อไวรัสจะอยู่ในหยดเมือกที่ออกมา

การรักษาหลายๆ แบบจะช่วยควบคุมปฏิกิริยานี้ ยา antihistamine ทำงานโดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของฮิสตามีนที่หน่วยรับความรู้สึกที่อยู่บริเวณเส้นเลือดในจมูก ยาลดน้ำมูก ( Decongestant) จะกระตุ้นหน่วยรับความรู้สึกที่อยู่บนเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดหดตัว เพื่อลดอาการคัดจมูก ยาสเตียรอยด์บางตัวจะใช้กับคนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้เพื่อลดจำนวนเซลล์ที่ระคายเคืองทำให้ยับยั้งการปล่อยฮิสตามีนออก

 

ลับสมองด้วยวิธีที่แสนจะเบสิค


เค้าว่ากันว่าสมองที่มีรอยหยักมาก ๆ นั้นแสดงว่าเป็นคนที่ฉลาด และการอยู่เฉย ๆ ไม่ใช้ความคิดเลยนั้นเท่ากับเป็นการลบรอยหยักแห่งปัญญาออกไป

อยากลับสมองลองเคี้ยวหมากฝรั่งสิ เพราะขณะที่เราเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่นั้นสมองส่วนที่เรียกว่า ฮิพโพแคมปัสจะทำงานได้ดีขึ้น

การทานอาหารเช้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะลับสมองได้ เพราะในขณะที่เราหลับนั้นสมองก็พักผ่อนด้วย เพื่อกระตุ้นให้สมองตื่นขึ้นพร้อม ๆ กับเราก็สมควรที่จะทานอาหารเช้ากัน เมื่อสมองตื่น เราจะได้คิดอะไรออกมาได้ง่ายขึ้น

วาดรูป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจวาดรูปวิวทิวทัศน์ ภาพสิ่งรอบ ๆ ตัว หรือวาดรูปประกอบสิ่งที่เราเขียนลงไปในกระดาษต่างก็สามารถช่วยฝึกสมองของเราได้ทั้งนั้น

นอกจากนี้การพูดคุยคนอื่น ๆ ก็ถือเป็นการฝึกสมองเช่นกัน เพราะเมื่อเราได้พูดคุยในเรื่องแปลก ๆ ใหม่เราก็มักจะจินตนาการตามไปด้วย แถมยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างไกลด้วยนะ

อ่านจบแล้วก็มาลับคมสมองให้แหลมคมอยู่เสมอกันดีกว่ามั้ย

 

~~~อาหารชนิดใด ใช้เวลาย่อยนานที่สุด?~~~


แต่ละมื้อที่เรากินไปบางคนอาจจะไม่รู้ว่ากว่าอาหารจะย่อยเนี่ยต้องใช้เวลากี่นาที หรือเป็นชั่วโมง วันนี้เรามาดูกันว่า ของโปรดเราที่กินกันทุกวันเนี่ยเป็นอาหารที่ย่อยยากรึเปล่า !!

• 30 นาที น้ำ กาแฟ และแกงจืด
  
  
• 1 ชั่วโมง ขนมปังขาว โยเกิร์ต นม ผลิตภัณฑ์นม และผลไม้ที่ให้สุกด้วยการหุงต้ม
  
  
• 2 ชั่วโมง ผลไม้ ผัก มันผรั่งบด ปลาไขมันต่ำ
  
  
• 3 ชั่วโมง ครัวซองต์ ขนมปังโฮสวีต
  
  
• 4-7 ชั่วโมง เนื้อหมู ของทอด เห็ด ผลไม้เปลือกแข็ง
  
  
• 8-9 ชั่วโมง ขาหมู ผักกะหล่ำ
  

...อาหารที่ย่อยง่ายก็ช่วยให้ระบบการขับถ่ายของเราดีขึ้นอีกด้วย.​

 

การกินเพื่อสุขภาพดี




ทราบหรือไม่ว่า กินอย่างไรให้สุขภาพดี

- กินอาหารเช้า จะทำให้กินอาหารในมื้ออื่น ๆ น้อยลง

- ดื่มน้ำให้มากขึ้น ควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย จะทำให้สดชื่นตลอดวัน

- เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว

- กินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง

- ควรดื่มน้ำชา เพราะในชามีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ

- ธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

- กินให้ครบทุกอย่างที่ธรรมชาติมี พยายามรับประทานผักผลไม้ต่าง ๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบร็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพดี ก็อย่าลืมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กันนะ.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

555 ผมเองก็คิดอย่างนั้นครับ และก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรถ้าเวปนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไป เพราะของมันไม่เที่ยงครับ
พระที่ได้จากการทำบุญผมก็มองว่าท่านคือสิ่งที่ทำให้เราได้ระลึกถึงการทำบุญครั้งนั้นครับ
ดังนั้นผมจึงได้เคยโพสว่าถ้าเราคิดเช่นนี้แล้ว ประกอบกับเราหามาตรฐานที่ชัดเจนในการวัดว่าพระใดแท้ (แท้จริงๆ ไม่ใช่แท้ตามมาตรฐานสากลที่ผมกล่าวข้างต้นว่าก็เขียนตำรากันเอง) อย่างนั้นเราจะเอากฏเกณฑ์อะไรมาตำหนิผู้ที่นำพระมาแจกในงานบุญครับ
แล้วถามว่าเป็นผมผมกล้าไหม ผมไม่กล้าครับ เพราะถ้าท่านเป็นพระแท้ขึ้นมาผมก็กลายเป็นผู้ปรามาส งานนี้ใครจะมาช่วยผมครับ ส่วนท่านอื่นคิดอย่างไรอันนี้ก็ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม
ผมเคยลองถามว่า ถ้าผู้ที่นำมาแจกด้วยเจตนาบริสุทธิ์ มั่นใจว่าพระที่นำมาแจกเป็นพระแท้ แต่มีคนบอกว่านี่เป็นพระปลอม ถามว่าคนนั้นผิดไหมครับ แล้วพระนั้นจะเป็นพระปลอมจริงๆไหมครับ
พระที่รูปพิมพ์แท้ แต่ไม่ได้ปลุกเสกเรียกพระแท้ พระที่รูปพิมพ์ไม่แท้แต่ปลุกเสกเรียกพระปลอมไหมครับ

ยืนยันอีกครั้ง ต้องการแสดงความเห็นและแบ่งปันประสบการณ์ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้โกรธอะไร
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดมันเป็นธรรมชาติครับ

 

นำมาให้ชมกันอีก(หลาย)รอบครับ



......................

เกี่ยวกับสโมสร

ชื่อเต็ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟุตบอล คลับ
ชื่อเดิม นิวตัน ฮีธ แอล แอนด์ วายอาร์
ฉายา เรด เดวิลส์
ก่อตั้ง 1878
สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด (1910 - ปัจจุบัน)
ความจุ 76,212 คน
สนามเดิม นอร์ธ โร้ด (1880-1893), แบงค์ สตรีท (1893-1910), เมน โร้ด (1941-1945)
เจ้าของ มัลคอล์ม เกลเซอร์
ประธานสโมสรกิตติมศักดิ์ มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส
ประธานสโมสรร่วม โจเอล เกลเซอร์, อัฟราม เกลเซอร์
ผู้บริหารสูงสุด เดวิด กิลล์
ทูตสโมสร ไบรอัน ร็อบสัน
ผู้จัดการทีม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (1986 - ปัจจุบัน)
ผู้จัดการทีมในอดีต เออร์เนสต์ มังนัลล์ (1903-1912), จอห์น เบนท์ลี่ย์ (1912-1914), จอห์น ร็อบสัน (1914-1921), จอห์น แชปแมน (1921-1926), คลาเรนซ์ ฮิลดิทช์ (1926-1927), เฮอร์เบิร์ต แบมเลตต์ (1927-1931), วอลเตอร์ คริคเมอร์ (1931-1932), สกอตต์ ดันแคน (1932-1937), วอลเตอร์ คริคเมอร์ (1937-1945), แมตต์ บัสบี้ (1945-1969), วิล์ฟ แม็คกินเนสส์ (1969-1970), เซอร์ แมตต์ บัสบี้ (1970-1971), แฟรงค์ โอฟาร์เรลล์ (1971-1972), ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ (1972-1977), เดฟ เซ็กซ์ตัน (1977-1981), รอน แอตกินสัน (1981-1986)

ประวัติสโมสร

รายชื่อประจำตำแหน่งในสโมสร
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่แปด ฤดูกาล 2002-2003
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่เจ็ด ฤดูกาล 2000-2001
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่หก ฤดูกาล 1999-2000
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ห้า ฤดูกาล 1998-1999
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่สี่ ฤดูกาล 1996-1997
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่สาม ฤดูกาล 1995-1996
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่สอง ฤดูกาล 1993-1994
ย้อนรอย - แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยแรก ฤดูกาล 1992-1993
มิวนิค 15.03 นาฬิกา
ประวัติศาสตร์ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ย้อนรอยอดีต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="766"><tbody><tr valign="top"><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="766"><tbody><tr valign="top"><td bgcolor="#000000" width="766"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="766"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar2.png" height="25" width="766">ทำเนียบแชมป์ </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td height="2">
</td></tr><tr><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="766"><tbody><tr valign="top"><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">ดิวิชั่น 1 - พรีเมียร์ ลีก </td></tr><tr><td>

ดิวิชั่น 1 : 1908, 1911, 1952, 1956, 1957, 1965, 1967 พรีเมียร์ ลีก : 1993, 1994, 1996, 1997, 1999, 2000, 2001, 2003, 2007, 2008, 2009

</td></tr></tbody></table></td><td width="2">
</td><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">เอฟเอ คัพ </td></tr><tr><td>

1909, 1948, 1963, 1977, 1983, 1985, 1990, 1994, 1996, 1999, 2004

</td></tr></tbody></table></td><td width="2">
</td><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">ลีก คัพ </td></tr><tr><td>

1992, 2006, 2009, 2010

</td></tr></tbody></table></td><td width="2">
</td><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">แชร์ริตี้ ชิลด์ - คอมมิวนิตี้ ชิลด์ </td></tr><tr><td>

1908, 1911, 1952, 1956, 1957, 1965, 1967, 1977, 1983, 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010

</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td height="2">
</td></tr><tr><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="766"><tbody><tr valign="top"><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">ยูโรเปี้ยน คัพ - แชมเปี้ยนส์ ลีก </td></tr><tr><td>

ยูโรเปี้ยน คัพ : 1968 แชมเปี้ยนส์ ลีก : 1999, 2008

</td></tr></tbody></table></td><td width="2">
</td><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ </td></tr><tr><td>

2008

</td></tr></tbody></table></td><td width="2">
</td><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ </td></tr><tr><td>

1991

</td></tr></tbody></table></td><td width="2">
</td><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ </td></tr><tr><td>

1991

</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td height="2">
</td></tr><tr><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="766"><tbody><tr valign="top"><td bgcolor="#000000" width="190"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="190"><tbody><tr><td align="middle" background="images/history_bar.png" height="25" width="190">อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ </td></tr><tr><td>

1999

</td></tr></tbody></table></td><td width="2">
</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

 

ยั่วกันเหลือเกิน นะคร๊าบ หุ หุ

 

คุ้นๆกันหรือเปล่าครับ



.


.