กลไกสมองของ Leonardo Da Vinci‏

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 17 ตุลาคม 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]


    หากเอ่ยถึงชื่อ Leonardo Da Vinci น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ท่านเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะบุคคล ท่านเป็นผู้สรรค์สร้างภาพ Mona Lisa และThe Last Supper อันเลื่องชื่อ นอกจากนี้ท่านยังเป็นสถาปนิก นักปั้น นักพฤกษศาสตร์ นักประดิษฐ์กลไก อีกทั้งยังคิดค้นอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นคนแรกของโลก และเป็นผู้ที่ให้ความสนใจทางด้านสรีระของมนุษย์อย่างแท้จริง เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า นักปราชญ์ในสมัยก่อนสามารถรอบรู้ในทุก ๆ ด้าน ทุก ๆ สาขา ซึ่งแตกต่างจากนักปราชญ์ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่จะเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชาของตัวเอง

    [​IMG]

    สิ่งที่นำมาเสนอในครั้งนี้มาจากหนังสือ How to Think Like Leonardo Da Vince ประพันธ์โดย Michael Gelb หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องราวของนักปราชญ์ผู้หนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย และสมบูรณ์แบบ แต่ท่านมีแนวความคิดอย่างไร ทำอย่างไร จึงสามารถก้าวขึ้นมาเป็น นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีผู้ใดสามารถลอกเลียนแบบได้


    โดยหนังสือเล่มนี้มีแนวคิดที่ว่า ความฉลาดของมนุษย์นั้นไม่จำเป็นต้องสืบทอดมาจากพันธุกรรม หรือไม่ได้เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาเสมอไป แต่หากเกิดมาจากการเรียนรู้ และเลียนแบบแนวความคิดจากเหล่านักปราชญ์ทั้งหลาย และหนึ่งในนั้นคือ Leonardo Da Vinci

    โดยได้เสนอหลัก 7 ประการในการนำไปสู่ความเป็นปราชญ์ ดังนี้


    1) มีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไขว่คว้าหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อน จนเข้าใจในสิ่ง ๆ นั้นอย่างถ่องแท้ เห็นได้ชัดจากการที่ Leonardo Da Vinci ทุ่มเทพลังชีวิตทั้งหมดให้กับการแสวงหาความจริงและความงาม โดยท่านเป็นคนช่างสังเกต และชอบตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา เช่น ท่านมักจะถามว่าในหนึ่งชีวิตของคนเรานั้นจะทำสิ่งใดได้บ้างก่อนจากโลกนี้ไป และในการสังเกตทุก ๆ ครั้ง จะต้องมีการจดบันทึกไว้เสมอ

    ประโยชน์ของการจดบันทึก

    - เก็บข้อมูลต่าง ๆ จากการสังเกต และแนวคิดใหม่ ๆ ที่ได้รับ
    - ทำให้แนวคิดใหม่ ๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมองไม่สูญเปล่า
    - เมื่อเกิดปัญหา ให้เขียนปัญหาลงในสมุดบันทึก หาเหตุผล ปัจจัยต่าง ๆ ข้อแก้ไข ซึ่งจะทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน สามารถมองเห็นปัญหา และหนทางแก้ไขได้ในทุกแง่ทุกมุม
    - ทำให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในด้านต่าง ๆ มากขึ้น
    - ทำให้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง


    นอกเหนือไปกว่านั้น Leonardo da Vinci ยังเชื่อว่า เหล็กจะขึ้นสนิม หากไม่ถูกใช้ น้ำจะเน่าเสีย เมื่อไม่มีการหมุนเวียน ความเย็นที่ไม่เคลื่อนตัว จะกลายเป็นน้ำแข็ง เปรียบได้กับสมองของมนุษย์ หากไม่ถูกใช้ ไม่รู้จักขบคิด จะทำให้สมองทื่อ และหมดประโยชน์ไปในที่สุด การฝึกใช้สมองนั้นเริ่มได้จากการสังเกตบุคคล และสิ่งรอบข้าง อย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่น อากัปกิริยา การพูดการจา อารมณ์ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูล นอกจากการสังเกตแล้ว การเป็นผู้ฟังที่ดียังเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูลได้เป็นอย่างดี


    2) ทดสอบและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับเข้ามา ว่าเป็นจริง และน่าเชื่อถือหรือไม่ Leonardo da Vinci เป็นผู้ที่มีโลกทัศน์กว้าง และเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และไม่เคยเชื่อสิ่งใด ๆ ที่ผ่านเข้ามาโดยที่เขาไม่ได้ประสบเอง เพราะเขาเชื่อว่าศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์ คือ การเชื่อในสิ่งต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ดังนั้น เมื่อได้รับข้อมูลใด ๆ ก็ตามให้เก็บข้อมูลไว้อย่างเป็นกลางก่อน ไม่ควรด่วนตัดสินใจว่าผิดหรือถูก ให้รู้จักเมตตาต่อผู้อื่น แล้วจึงค่อยนำข้อมูลมาทบทวนพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ให้ได้ข้อเท็จจริง แต่ที่สำคัญข้อเท็จจริงที่ได้ในครั้งนี้เป็นเพียง เสี้ยวหนึ่งของความเป็นจริงในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง ที่ได้นี้อาจจะไม่ใช่อีกต่อไป การเปิดใจกว้างเช่นนี้จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และสามารถ รับเอาความรู้ ประสบการณ์ และทักษะต่าง ๆ จากผู้อื่น มาเป็นข้อมูลประกอบในการดำรงชีวิตของเราได้อีกด้วย


    โดยปกติธรรมดาของมนุษย์ มักนำแต่สิ่งที่ดี ๆ ของผู้อื่นมาปฏิบัติตาม แต่ Leonardo da Vinci กลับไม่คิดเช่นนั้น Leonardo da Vinci กล่าวว่าเราควรศึกษาข้อบกพร่อง และความผิดพลาดด้วย เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงไม่นำสิ่งนั้นมาเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต


    3) ฝึกขัดเกลาประสาทสัมผัส ทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้มีความฉับไว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสาทสัมผัสทางตา ควรให้ความสำคัญก่อนเพราะเชื่อว่า ตาเป็นส่วนที่เปิดรับข้อมูลต่าง ๆ ได้มากที่สุดเป็นอันดับแรก การฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 หมายความว่า เวลามองสิ่งใดให้ตั้งใจมอง เวลาได้ยินสิ่งใดต้องตั้งใจฟัง เวลาได้รับกลิ่นใดต้องสนใจและรับรู้ได้ เวลาลิ้มรสสิ่งใดต้องแยกแยะได้ และเมื่อสัมผัสสิ่งใด หรือเคลื่อนไหวต้องมีความระมัดระวัง และมีสติอยู่ตลอดเวลา

    สุดท้าย เมื่อพูดสิ่งใด ต้องคิดตามอยู่เสมอ มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะ

    มองแต่ไม่เห็น ( Look without seeing )

    ฟังแต่ไม่ได้ยิน ( Listen without hearing )

    สัมผัสแต่ไม่รู้สึก ( Touch without feeling )

    ทานแต่ไม่รู้รส ( Eat without tasting )

    เคลื่อนไหวโดยไม่มีสัมปชัญญะ ( Move without physical awareness )

    สูดหายใจแต่ไม่รับรู้กลิ่น ( Inhale without awareness of odor of fragrance )

    พูดโดยไม่คิด ( Talk without thinking )


    4) คนที่จะฉลาดได้ ต้องมีแนวคิดดังต่อไปนี้


    1. ยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จีรังยั่งยืนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ เพราะปกติแล้วมนุษย์มักปริวิตก และตื่นตระหนกมากจนเกินไปกับสิ่งที่แปรเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการสติแตก ทำให้มองสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังประสบอยู่นั้นไม่ตรงตามความเป็นจริง คือคิดฟุ้งซ่าน ดังนั้น จึงไม่ควรยึดในสิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันว่า มันจะยั่งยืน ให้คิดเสียว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ให้ทำใจเตรียมพร้อมรับอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ประมาท


    2. ให้มองจุดเปลี่ยนของอารมณ์ จากอารมณ์ปกติ เป็นอารมณ์อื่น ๆ เช่น อารมณ์โกรธ ให้มองว่า มีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้อารมณ์เปลี่ยน และให้พิจารณาแก้ไขตรงสาเหตุนั้น ๆ แต่หากเป็นอารมณ์ดีใจ ให้พิจารณาว่า เป็นเพียงอารมณ์หนึ่งที่ผ่านเข้ามา ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน โดยปกติคนเรามักจะรับรู้ไม่ทัน กับจุดที่มีการเปลี่ยนอารมณ์ ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิต จึงเจ็บปวดและรับไม่ได้ และโทษว่าผู้อื่น เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม

    ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมีเพียง 3 ประการหลัก ๆ คือ

    สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน บุคคลที่เปลี่ยน หรือใจเราเองที่เปลี่ยน

    ซึ่งเราต้องมองให้ออก และเห็นจุดเปลี่ยนให้ได้ จึงจะไม่มีคำว่า ทำใจไม่ได้ในชีวิต


    3. เมื่อเกิดปัญหา ให้แก้ไขทีละเปราะ และต้องกล้ามองไปถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในปัญหานี้ แล้วลองมองย้อนขึ้นมา เพื่อหาทางแก้ไข หากถึงทางตันแก้ไขไม่ได้ จิตจะรับรู้เอง และถ้าเหตุการณ์นั้นต้องเกิดขึ้นจริง ๆ จิตจะไม่กระเพื่อมและยอมรับได้ นอกจากนี้ การคิดในลักษณะเช่นนี้จะทำให้จิตใจเข้มแข็ง และทำให้เกิดปัญญาเห็นหนทางใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหาอีกด้วย


    4. เมื่อเกิดปัญหา ห้ามกลบเกลื่อน และหนีปัญหาโดยเด็ดขาด ต้องกล้าน้อมรับ ค่อย ๆ คิดหาทางแก้ มองปัญหาให้ชัด ๆ ไม่ควรหันไปพึ่งสุรา ยาเสพติด เพื่อให้ลืมปัญหา หาที่สงบ ๆ ทบทวนและพิจารณา หากเกินกำลังให้เข้าหาผู้รู้เพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป การฝึกแก้ปัญหาในแต่ละครั้งจะทำให้เราเกิดทักษะ และสามารถเพิ่มขอบเขตความรู้ของตนเองให้มากขึ้นได้อีกด้วยและที่สำคัญที่สุดของประเด็นนี้ คือต้องรู้จักเลือกกรณีว่า สิ่งใดเป็นปัญหาจริง ๆ อย่าคิดฟุ้งซ่าน สิ่งใดที่ไม่เป็นปัญหาก็ไม่ต้องทำให้มันเป็นปัญหา ต้องพิจารณาให้ถูกต้อง


    5) สร้างสมดุลในการมองโลกทั้งในด้านศาสตร์และศิลป์นอกจากเราจะศึกษาหาความรู้ทางด้านวิชาการต่าง ๆ ซึ่งถูกควบคุมโดยสมองด้านซ้ายแล้วนั้น ควรให้ความสนใจทางด้านสุนทรียศาสตร์ด้วย เช่น ทางดนตรีและศิลปะ เพราะเป็นการพัฒนาสมองข้างขวา นอกจากนี้ เราควรหัดสร้างมโนภาพกับปัญหาและสถานการณ์ต่าง ๆ และลองใส่วิธีแก้โดยนึกเป็นภาพลงไปในนั้นว่าเป็นอย่างไร จะเป็นการหัดมองปัญหานอกกรอบ ซึ่งอาจทำให้ค้นพบความคิดใหม่ ๆ ได้


    6) ดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอในสรีระร่างกายของมนุษย์ สามารถส่งเสริมความฉลาดได้ ดังนี้
    - ความสามารถที่จะใช้ได้ทั้งมือขวาและมือซ้าย เพราะ จะทำให้สมองเจริญเติบโตได้ทั้งสองข้าง ซึ่งจะส่งเสริม ความสามารถของเรา ทั้งในด้านศาสตร์และศิลป์
    - อากัปกิริยาทั้งหลายต้องสมบูรณ์และสง่างาม อธิบายได้โดยทฤษฎีที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต คือ หากจิตใจเรากำลังห่อเหี่ยว แล้วเรายังทำร่างกายให้ห่อเหี่ยวตาม จะยิ่งทำให้จิตหดหู่มากขึ้น ไม่เกิดปัญญาในการ แก้ไข ดังนั้น ต้องทำร่างกายให้สดชื่น ทั้งการยืน เดิน นั่ง การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องประคับ ประคองจิต ให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

    7) ต้องหัดสังเกตสหสัมพันธ์ต่างๆของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราและกับชีวิตของเราต้องสังเกตให้เห็นถึงสิ่งที่เชื่อมระหว่างเหตุการณ์เหล่านั้นให้ได้ เช่น ที่เราต้องมาทำงาน ณ ที่นี้ เพราะเหตุใด เราเป็นผู้เลือกเองหรือไม่ มองให้เห็นถึงปัจจัยต่าง ๆ ให้ชัดเจน เมื่อเกิดปัญหาจะไม่มีการปริวิตก และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้น เมื่อมองเห็นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง จะทำให้เรารู้จักการวางตัว และระมัดระวังกิริยาอาการของตนเองได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข


    ที่มา : FW mail
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ลีโอนาโด ดาวินชี่ คะ ไม่ช่ายยยย....ดิเเคะปริโอ -*-
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้าว !!

    อ๋อ รู้ละ


    [​IMG]....[​IMG]...[​IMG]
     
  5. ช่ายม่านกวั๋อ

    ช่ายม่านกวั๋อ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +33
    ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ;aa20 ผมชอบ ลีโอนาโด้ ดาวินชี่เหมือนกัน ครับ ท่านเปนละเอียดมาก และรู้แจ้งเหนจริง

    ผมชอบรูป ชายยืนกางแขนขาอะ
     
  7. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ทำภาคต่อจากคุณครูจอย นะครับ

    เรื่อง: 10 สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ของ"ลีโอนาโด ดาวินชี่".... [​IMG]
    กระแสอื้อฉาวหมิ่นเหม่ต่อความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่ปรากฎในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด "รหัสลับ ดาวินชี"
    ส่งผลให้เรื่องราวของอัจฉริยะแห่งยุคเรอเนซองก์ "เลโอนาร์โด ดาวินชี" ซึ่งถูกผูกโยงเข้ากับเนื้อเรื่อง
    ตกอยู่ในความสนใจคนทั่วโลก

    ดาวินชี เกิดที่เมืองวินชีของอิตาลี เมื่อ 15 เมษายน พ.ศ.1995 (ค.ศ.1452) หรือเมื่อ 554 ปีก่อน เขาเป็นทั้ง
    จิตรกร นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักสังเกตธรรมชาติ มีผลงานสร้างความ
    ตื่นตะลึงให้กับคนยุคแล้วยุคเล่า อันที่ จริงแล้ว ดาวินชี่ มีผลงานสิ่งประดิษฐ์มากกว่า 100 ผลงาน

    นี่คือผลงานที่เด่นที่สุด รองจากผลงานทางศิลป์



    อันดับ 10 เทคนิคการเขียนกลับทาง (Mirror Writing)
    [​IMG]
    เทคนิคการเขียนตัวอักษรย้อนกลับทิศทางจากตัวหลังไปตัวหน้าของดาวินชี สร้างข้อถกเถียงให้กับนักวิชาการจนถึงวันนี้ ว่า เป็นวิธีการเข้ารหัส
    แบบโบราณที่เขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นๆ ลอบอ่านและขโมยข้อมูลในบันทึกส่วนตัว หรือจริงๆแล้วเป็นเพียงเพราะดาวินชี 'ถนัดซ้าย'
    จึงคิดวิธีเขียนกลับหลังแบบนี้เพื่อไม่ให้น้ำหมึกเปื้อนมือกันแน่


    อันดับ 9 ชุดดำน้ำ (Scuba Gear)
    [​IMG]
    ผลพวงจากการที่ดาวินชีหลงใหลในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นที่มาของการออกแบบอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการดำน้ำขึ้นมา
    หลายชนิดในจำนวนนี้ รวมถึงเรือดำน้ำ และชุดประดาน้ำที่ตัวชุดทำจากหนังและเชื่อมต่อกับท่อและโลหะทรงกลมซึ่งทำ หน้าที่เป็นเหมือนสนอร์เกิ้ล
    หรือหน้ากากดำน้ำยุคปัจจุบัน นอกจากนั้น ชุดดำน้ำชุดนี้ยังมีถุงเก็บปัสสาวะด้วย แสดงให้เห็นถึงความรอบคอมในการออกแบบ


    อันดับ 8 สะพานชักรอก (The Revolving Bridge)
    [​IMG]
    ดาวินชีออกแบบสะพานสำหรับใช้ในการเคลื่อนพลผ่านพื้นที่ในสมรภูมิทุรกันดาร ต่างๆ เช่น การยกพลข้ามแม่น้ำ ตัวสะพานดังกล่าวมีระบบ
    ชักรอกและสายพาน ทำให้ทหารกางออกมาใช้งานและชักรอกเก็บได้อย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งในเครื่องจักรทุ่นแรงอีกหลายชนิดจากการคิดค้น
    ของดาวินชี


    อันดับ 7 เครื่องร่อน (The Winged Gilder)
    [​IMG]
    ภายในคลังจินตนาการอันไม่มีที่สิ้นสุดของดาวินชีนั้น มี 'เครื่องกลบินได้' รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก รวมถึง 'เครื่องร่อน' ซึ่งตรงบริเวณปีกมีแผ่น
    บังคับเปิด-ปิดควบคุมทิศทางได้หรือที่ปัจจุบันเรียก ว่า 'แฟลบ' และในตัวเครื่องร่อนยังมีเกียร์ควบคุมความเร็วที่นั่งติดอยู่ด้วย


    อันดับ 6 ปืนใหญ่ 3 ลำกล้อง (The Triple-Barreled Cannon)
    [​IMG]
    แม้ประวัติของดาวินชีจะเกลียดสงคราม มีลักษณะเป็น 'นักคิด'มากกว่า 'นักรบ' แต่ในใจของเขาก็ยังฝันถึงการคิดค้นงานด้านวิศวกรรม หนทางเดียว
    ที่จะทำเช่นนั้นได้ คือ การออกแบบอาวุธสงครามเพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจมากที่สุด หนึ่งในผลงานการออกแบบอาวุธ ได้แก่
    ปืนใหญ่ที่มีอานุภาพที่มีลำกล้องติดกันถึง 3 กระบอก เหมือนกับที่เห็นในภาพ


    อันดับ 5 สกรูบิน (The Aerial Screw)
    [​IMG]
    ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะลงความเห็นตรงกันว่ามันไม่มีทางที่เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะบินขึ้นจากพื้นได้ แต่ 'เฮลิคอปเตอร์' ใน แบบของดาวินชี
    ก็ยังคงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขา เครื่องกลที่ชวนให้สงสัยนี้ดูเหมือนว่าจะถูกออกแบบให้ทำงานโดยใช้คนสี่คนมาหมุน
    มันพร้อมกัน รวมทั้งน่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากกังหันลมซึ่งเป็นของเล่นที่นิยมกันใน สมัยนั้นด้วย


    อันดับ 4 เมืองในอุดมคติ (The Ideal City)
    [​IMG]
    ยุคสมัยหนึ่ง ดาวินชีอาศัยอยู่ในนครมิลานท่ามกลางสภาพการแพร่ระบาดของโรคร้าย เขาจึงคิดออกแบบผังเมืองใหม่ให้มีความสะอาด เป็นระเบียบ
    ถูกสุขอนามัย อาทิ เขียนแบบให้เมืองในอุดมคติเมื่อหลายร้อยปีก่อนแห่งนี้มี 'ระบบระบายอากาศ' เพื่อดึงอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ตัวเมือง และมีระบบ
    ระบายน้ำเสีย


    อันดับ 3 รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (The Self-Propelled Car)
    [​IMG]
    แน่นอนว่ารถที่ดาวินชีพยายามสร้างไม่สามารถวิ่งเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อ ชั่วโมงเหมือนรถเฟอร์รารี่ แต่ถ้าคิดว่าเป็นรถที่อยู่ในสมัยนั้นก็ต้องจัด
    ว่าไฮเทคล้ำยุคสุดๆ เพราะรถที่มีตัวถังทำจากไม้คันนี้ สามารถแล่นขับเคลื่อนด้วยตัวมันเองด้วยแรงส่งและการทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ระหว่างสปริง
    และเกียร์ที่ล้อ เมื่อปี 2547 นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์ในเมืองฟลอเรนซ์ทดลองสร้างแบบจำลองรถรุ่นนี้ ตามแบบที่ดาวินชีร่างเอาไว้และ
    พบว่าวิ่งได้จริง


    อันดับ 2 แนวคิดเกี่ยวกับธรณีวิทยา (Geologic Time)
    [​IMG]
    นักคิดส่วนมากในสมัยของดาวินชีนั้นมีความเห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่ว่าซาก ฟอสซิลของพวกหอย ปู ปลาหมึกต่างๆที่พบบนยอดเขานั้นเป็นสิ่งที่
    หลงเหลือจากการเกิดน้ำท่วมครั้ง ใหญ่ แต่ดาวินชีกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาตั้งข้อสงสัยไว้ (ซึ่งก็ถูกเสียด้วย) ว่าภูเขาเหล่านั้นจะต้องเคยเป็นชายฝั่ง
    มาก่อน ก่อนที่จะค่อยๆยกตัวสูงขึ้นๆในเวลาต่อมา (wow!!)


    อันดับ 1 วิทรูเวียนแมน (The Vitruvian Man)
    [​IMG]
    เชื่อว่าชาวโลกน้อยคนนักที่จะไม่เคยผ่านตากับภาพวาดของบุรุษผู้นี้ นั่นก็คือภาพ 'วิทรูเวียน แมน' ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ดาวินชีศึกษาสัดส่วนกาย
    วิภาคมนุษย์อย่างละเอียด จนพิสูจน์ทฤษฎีบทของ 'วิทรูเวียน' ผู้เป็นสถาปนิกยุคจักรวรรดิโรมันได้สำเร็จว่า 'ร่างคนยืนกางแขนขาจะตกเป็นรูปทรง
    เรขาคณิตที่สมบูรณ์เสมอ' และนับเป็นการเปิดประตูสู่ศาสตร์กายวิภาคครั้งสำคัญ





    ที่มา www.artsmen.net
     
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]


    เข้าใจภาพ นี้ไหม?

    ว่าทำไมถึง มี ร่างสอง?

    เขาต้องการสื่ออะไร เกี่ยวกับ มนุษย์

     
  9. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ตอบครูคุณครู หมายถึงรูปที่เป็นเลขาคณิตจากร่างกายมนุษย์เปล่า ครับ
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ดู ให้ ดีๆ ปริศนาธรรมในภาพ มัน มี อีกคน ถูกซ้อน ทับอยู่ต่างหาก

    นั้นคือ คน ที่อยู่ในร่าง เรา อีกคน นะเอย นะเอย
     
  11. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    อ๊า คุณครูจอย ลึกลับซับซ็อนมากเลยอะ;aa20
     
  12. หล่อลากดิน

    หล่อลากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,201
    ค่าพลัง:
    +235
    ผมไม่ชอบพวกเกย์ แต่เกย์มีศิลป์ ที่แยบยล
    หนึ่งมือไขว่ หนึ่งมือคว้า สองมือหนึ่งสมอง
    สองแขน สองขา... หล่อล่ำบึ่ก แต่เป็นเกย์

    แจ่ม
     
  13. sasoket

    sasoket สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    อ่อหมายถึง สรรีระของมุนษย์ของ เพศชายและเพศหญิง รึป่าวคับ
     
  14. karain

    karain เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +707
    อัฉริยะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...