พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ake7440 [​IMG]
    ผมมารายงานครับพี่หนุ่ม หลังจากที่ได้รับคำสอนจากพี่ใหญ่มาให้ทำ....
    ผมก็ต้องยอมรับว่า ทำบ้างไม่ทำบ้าง เพราะไม่ค่อยมีเวลา แต่ว่าก็พยายามทำ เดิน กิน นั่ง นอน ก็พยายามทำ
    เมื่อคืนนี้ผมลองนั่ง กำหนดลมหายใจพุทโธ เหมือนเก่าดู ความรู้สึกผมต่างไปจากเดิมครับ รู้สึกว่าเราสงบมากขึ้น และไม่แน่นเหมือนก่อน เพราะสมัยก่อนผมจะออกทางเคร่งเครียดครับ จะนั่งด้วยการกำหนดลมหายใจไม่ได้เลยเพราะจะแน่นเหมือนหายใจไม่ออก แต่เมื่อคืนนี้ไม่เป็นครับ
    จะพยายามฝึกต่อไปครับ ขอบพระคุณพี่หนุ่มที่พาไปพบพี่ใหญ่ และขอบพระคุณพี่ใหญ่ที่เมตตาแนะนำครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไม่เป็นไร คุณnongnooo หันหลังมายังเจอผม เหอๆๆๆ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>มาตรการกู้วิฤตฯ แค่ยาหอม "ธนวรรธน์" เชื่อยังมีแบงก์ล้มอีกระลอก
    http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9510000122625
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>15 ตุลาคม 2551 14:48 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ผอ.ศูนย์พยากรณ์ฯ ม.หอการค้า ยอมรับ มาตรการกู้วิกฤตการเงินทั่วโลก ส่งผลดีแค่ในรระยะสั้น แนะจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หวั่นมีธนาคารในต่างประเทศทยอยล้มลงอีกระลอก เผยธนาคารในญี่ปุ่นเสี่ยงสูง ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกชะลอลงทุน เพื่อรอดูตัวเลข Wells Fargo และ JP Morgan ด้านผลสำรวจชาวอเมริกัน ระบุ รัฐบาลบุช หมดความชอบธรรมในการใช้เงินจำนวนมหาศาล

    นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงมาตรการของทั่วโลกเพื่อกู้วิกฤตการเงินของสหรัฐฯ โดยระบุว่า การประเมินในภาพรวมเชื่อว่าจะได้รับผลดี เพราะตลาดหุ้นลดความตระหนกและปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เพราะอาจมีเหตุการณ์เชิงลบในอนาคต โดยอาจมีการล้มของธนาคารในต่างประเทศอีก

    ส่วนปัญหาที่จะเกิดในเอเชีย นายธนวรรธน์ เชื่อว่าวิกฤตสถาบันการเงินจากสหรัฐฯ จะเข้าไปกระทบประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด เพราะมีความเกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ซีดีโอ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา

    นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ประเทศไทยไม่น่าเป็นห่วงและไม่น่ามีปัญหา เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับตราสารซีดีโอน้อย และมีการแก้ปัญหาไปบ้างแล้ว

    ขณะนี้ นักลงทุนทั่วโลก เริ่มชะลอการลงทุน เพื่อติดตามการรายงานผลประกอบการของ Wells Fargo และ JP Morgan Chase & Co, ในคืนนี้ โดยคาดกันว่าจะมีการประกาศผลขาดทุนอย่างหนัก จากปัญหาเก่าที่หมกเอาไว้ นั่นคือการขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยการแก้ปัญหาของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยการทุ่มเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ ถือเป็นการสะสางของเก่า ส่วนมาตรการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน และคงต้องรอให้เป็นหน้าที่รัฐบาลใหม่

    ทั้งนี้ ผลสำรวจล่าสุดในสหรัฐฯ ระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันของสหรัฐฯ หมดความชอบธรรมในการใช้งบประมาณจำนวนมาก เพื่อปูรากฐานคะแนนเสียง เพราะใกล้หมดวาระแล้ว จึงไม่มีหน้าที่ใช้งบประมาณเข้าซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา โดยควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่ นอกจากนี้ผลการสำรวจครั้งหลังสุดบ่งชี้ว่า ชาวอเมริกันขานรับมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเจ้าของบ้านที่เสี่ยงต่อการถูกธนาคารยึดบ้าน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ---------------------------------------------------------------

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หุ้นไทยหมดแรง นลท.เทขายทุกตลาด "มาตรการ" ยังไม่ขลังเพียงพอ
    http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000122585
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>15 ตุลาคม 2551 14:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ตลาดหุ้นไทยหมดแรง พักตัวตามตลาดหุ้นในภูมิภาค มีแรงขายทำกำไรทุกตลาด หลังดีดขึ้นแรง 2 วัน จากอุปสงค์เทียมที่รัฐบาลและธนาคารทุกประเทศพร้อมใจประกาศใช้ปลุกคลามเชื่อมั่นตลาด สำหรับแนวโน้มช่วงบ่ายคาดแกว่งกรอบ 490-510 จุด ความกังวลได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว แต่ความหวังใหม่ของมาตรการ น่าจะทำให้ชะลอการตกลงได้ และมีโอกาสรีบาวน์ ขณะที่ดัชนีล่วงหน้าตลาดหุ้นนิวยอร์ก-ยุโรป ปรับตัวลดลง นักลงทุนไม่มั่นใจแผนฟื้นฟูภาคการเงิน 2 $ล้านล.

    ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ ( 15 ต.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 499.88 จุด ลดลง 0.89 จุด เปลี่ยนแปลง -0.18% มูลค่าการซื้อขาย 8,380 ล้านบาท

    นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นเช้านี้พักตัวทิศทางเดียวกับภูมิภาคหลังจากที่ปรับขึ้นแรงในรอบ 2 วันจากการที่ตอบรับเกี่ยวกับเรื่องการประสานความร่วมมือของกลุ่มประเทศชั้นนำ ซึ่งจากปัจจัยความร่วมมือก็ยังมีความคาดหวังใหม่ๆ น่าจะทำให้ทิศทางของตลาดภูมิภาคและหุ้นไทยหลังจากพักตัวแล้วน่าจะมีแนวโน้มตอบรับทางบวกต่อมาตรการต่างๆ ที่ได้ออกมาก่อนหน้า

    แนวโน้มช่วงบ่ายตลาดน่าจะเคลื่อนไหว 490 จุด แนวรับ แนวต้าน 510 จุด แต่สัปดาห์ข้างหน้ามีแนวโน้มของการรีบาวน์กลับได้ แนวต้านที่ 520 และ 550 จุด

    "ความกังวลต่อวิกฤตได้สะท้อนไปที่ราคาหุ้นบ้างแล้ว แต่ความคาดหวังใหม่ต่อมาตรการต่างๆถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพต่อความเชื่อมั่นให้กลับมาได้เร็วนัก แต่ก็น่าจะทำให้ชะลอการตกได้ และตลาดหุ้นที่ปรับลงมาเยอะ ก็น่าจะมีโอาสรีบาวน์กลับได้"

    **ดัชนีหุ้นล่วงหน้า สหรัฐฯ-ยุโรป ร่วงแล้ว

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปล่วงหน้าร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนมองว่ามาตรการช่วยเหลือธนาคารยุโรปมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ยังไม่มากพอที่จะสกัดกั้นภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงเช่นกัน

    โดยในช่วงบ่ายวันนี้ (ตามเวลาไทย) ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับตัวลง 36 จุด แตะที่ 9,326 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ล่วงหน้าร่วงลง 0.1% ส่วนดัชนี Dow Jones Stoxx 600 Index ซึ่งเป็นดัชนีล่วงหน้าตลาดหุ้นยุโรปดิ่งลง 1.4% และดัชนี MSCI World Index ลดลง 0.3%

    นายคริสเตียน แกตติเคอร์ นักวิเคราะห์จาก Bank Julius Baer & Co. กล่าวยอมรับว่า นักลงทุนไม่มั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจโลก จึงเป็นเหตุให้ตลาดยังคงเคลื่อนไหวในแดนลบ นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาดูผลประกอบการของบริษัทเอกชน

    ทั้งนี้ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้นำยุโรปมีมติให้ใช้มาตรการรับมือกับปัญหาในระบบการเงินและจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องธนาคารในยุโรป ซึ่งครอบคลุมถึงการรับประกันเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ และจะใช้งบประมาณในรูปสกุลเงินยูโรรับมือกับภาวะสินเชื่อตึงตัวในตลาดและยับยั้งความตื่นตระหนกของนักลงทุน

    นอกจากนี้ ผู้นำทั้ง 15 ชาติยุโรป เห็นชอบร่วมกันว่า ยุโรปจะไม่ยอมให้ธนาคารรายใหญ่ล้มละลาย และจะรับประกันเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารจนกว่าจะสิ้นสุดปีพ.ศ.2552 อีกทั้งจะใช้มาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์

    นายนิโคลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าวว่า ผู้นำยุโรปเห็นชอบในกรอบการดำเนินงานดังกล่าว ซึ่งแต่ละประเทศจะอัดฉีดเงินให้กับสถาบันการเงินในประเทศของตัวเอง เนื่องจากวิกฤติที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์มาถึงจุดพลิกผันที่ทุกฝ่ายไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้ ดังนั้น ประเทศยุโรปจึงร่วมมือกันเร่งหาทางแก้ไขวิกฤตการเงินก่อนที่ตลาดหุ้นจะเปิดทำการในวันจันทร์นี้

    สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยภาคบ่าย เปิดตลาดดัชนีปรับตัวลดลงทันที โดยเมื่อเวลา 14.50 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 492.18 จุด ลดลง 8.59 จุด เปลี่ยนแปลง -1.72%

    ล่าสุด 15.08 น. ดัชนีปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 491.68 ลดลง 9.09 จุด มูลค่าการซื้อขาย 12,295.86 ล้านบาท
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ---------------------------------------------------------------

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หุ้นไทยยืนเหนือ 500 จุด โบรกเกอร์เตือนวิกฤตไม่จบดัชนีส่อหลุด 400
    http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000122324
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>15 ตุลาคม 2551 09:21 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ตลาดหุ้นไทยคึกคัก หลังนักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นมาตรการบรรเทาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ – ยุโรป ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 500.77 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 24.44 จุด หรือ 5.13% มูลค่าซื้อขายคึกคักเฉียด 2.3 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์ออกโรงเตือนหุ้นดีดแค่ช่วงสั้นๆ เหตุผลงานไตรมาส 3/51 ยังวิกฤตหนัก มีโอกาสกดดันดัชนีหุ้นไทยหลุด 400 จุด ขณะที่หุ้นเก็งกำไร “LIVE-IEC” ฮอตสุดๆ แต่โบรกเกอร์แนะเลี่ยงให้ไกล

    บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (14 ต.ค.) นักลงทุนได้กลับเข้ามาลงทุนอย่างคึกคัก หลังคลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยุโรป ได้ในระดับหนึ่ง จากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศประกาศเสริมสภาพคล่องและพยุงฐานะของสถาบันการ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า

    ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 508.96 จุด หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30 จุด ต่ำสุดที่ 498.29 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในช่วงท้ายตลาด แต่ยังอยู่เหนือระดับ 500 จุด และปิดการซื้อขายที่ 500.77 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 24.44 จุด หรือคิดเป็น 5.13% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายคึกคักถึง 22,897.44 ล้านบาท

    โดยนักลงทุนต่างประเทศ ได้กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ คือมียอดซื้อสุทธิ 2,261.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 314.58 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,946.68 ล้านบาท

    นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคในระยะสั้นๆ จากการผ่อนคลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรป หลังทางการของประเทศต่างๆ นำเงินเพิ่มทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในยุโรป และจากกที่กลุ่มอียูมีการจับมือกันในการดูแลปัญหาสถาบันการเงิน

    อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศยุโรป สหรัฐฯ จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/51 ซึ่งคาดว่าจะมีผลขาดทุนเพิ่ม ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจากในอดีตวิกฤตการเงินที่ผ่านมาต้องมีการเพิ่มทุนหลายรอบกว่าที่จะปัญหาจะจบลง

    ทั้งนี้ ในช่วงระยะ 2-3 เดือนนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 400 จุด จากปัญหาสถาบันการเงินที่จะกลับมาเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นจากที่จะมีผลขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 4/51 ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์มีการปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 6,000-7,000 จุด

    “การที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นเป็นการการรีบาวน์ทางเทคนิคในระยะสั้นเพียง 1-2 วันเท่านั้นก็จบแล้ว จากที่จะมีการเพิ่มทุนให้กับแบงก์ต่างๆ ในยุโรป และกลุ่มจี 7 มีการจับมือร่วมกันในการดูแลปัญหาปัญหาต่างๆ แต่เมื่อแบงก์ในต่างประเทศมีการประกาศงบไตรมาส 3/51 ออกมา จะทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะมีผลขาดทุนอีกในไตรมาส 4 และจากวิกฤตตั้งแต่ปี 1997-2000 สถาบันการเงินจะต้องมีการเพิ่มทุนหลายรอบ”

    สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเชื่อว่าดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ หากดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเหนือระดับ 500 จุดได้ จะเป็นแรงผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 520 จุด โดยบริษัทแนะนำให้มีการขายทำกำไรออกมา แต่หากดัชนีไม่สามารถปรับตัวอยู่ในระดับ 500 จุด ได้ ดัชนีอาจจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 480 จุด ซึ่งบริษัทแนะนำให้มีการขายทำกำไรออกมาระยะสั้น

    นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บีฟิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากธนาคารกลางต่างประเทศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน รวมถึงการเข้าพยุงฐานะของสถาบันการเงินในประเทศของตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่กำลังขยายวงมากยิ่งขึ้น

    ขณะที่ แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และยุโรป ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีแนวรับที่ 488-490 จุด และแนวต้านที่ 520 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น PTT, PTTEP, KBANK และ BANPU

    นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลาดทั้งวัน จากที่นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวล ภายหลังจากที่ธนาคารกลางต่างประเทศทั่วโลกประกาศร่วมมือแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น แต่ในวันนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย จะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมีแนวรับที่ 485-490 จุด และแนวต้าน 515-517 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี อาทิ KBANK, BBL, SCB เป็นต้น

    นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะยังคงผันผวน ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยให้ติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศว่าจะจบอย่างไร ขณะที่นักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ให้แนวรับที่ 487-495 จุด และแนวต้านที่ 510-523 จุด

    ***เลี่ยงหุ้นเก็งกำไรหลังราคาพุ่งแรง

    ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวราคาหุ้นวานนี้ (14 ต.ค.) ของบริษัท บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ LIVE ปิดที่ระดับ 0.46 บาท เพิ่มขึ้น 0.23 บาท หรือเพิ่มขึ้น 100% มูลค่าการซื้อขาย 1,343.78 ล้านบาท และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3,491.78 ล้านหุ้น

    บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC ราคาหุ้นปิดที่ 1.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 51.28% มูลค่าการซื้อขาย 2,137 ล้านบาท โดยปริมารการซื้อขายสูงสุดอันดับ 2 ,บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)หรือ BLISS ปิดที่ระดับ 0.13 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือเพิ่มขึ้น 44.44% มูลค่าการซื้อขาย 73.63 ล้านบาท ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในอันดับ3

    นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นเก็งกำไรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงระดับ 100% เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด และที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงติด 4-5 ฟลอร์ ซึ่งเป็นการเข้ามาลงทุนเก็งกำไรในระยะสั้นจากภาวะตลาดหุ้นที่มีการปับตัวเพิ่มขึ้น เพราะ การที่ดัชนีตลาดหุ้นไปปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นระยะสั้น

    ทั้งนี้ จากที่ไม่ทราบว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่ออกมานั้นจะแก้ปัญหาได้ระดับไหน แต่บริษัทไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปลงทุน จากที่หุ้นดังกล่าวไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งนักลงทุนจะต้องระมัดระวังในการเข้าไปลงทุน

    นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า การที่หุ้นเก็งกำไรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในเชิงเทคนิคในระยะสั้น จากที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง ซึ่งการที่ IEC มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 100% นั้น จากที่ผ่านมาปรับตัวลดลงมากจาก 5 บาท มาอยู่ที่ระดับที่ไม่ถึง 1 บาท ซึ่งทางบริษัทไม่แนะนำในการเข้าไปลงทุน จากที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องน่ารู้ของ หม้อหุงข้าว

    http://hilight.kapook.com/view/29943


    [​IMG]

    เริ่มมีการทดลองผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อกลางทศวรรษ 1920 ต่อมาปลายทศวรรษ 1940 บริษัทมิตซูบิซิ อิเลคทริก ผลิตหม้อหุงข้าวที่มีหม้อและขดลวดนำความร้อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับหม้อหุงข้าวในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่สะดวกสบายนัก ยังไม่มีระบบอัตโนมัติ ภายหลังบริษัทมัดซูซิตะและโซนี่ผลิตหม้อหุงข้าวออกจำหน่าย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สตรีญี่ปุ่นต้องใช้แรงงานในการสงครามด้วย ความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาในการหุงข้าวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 10 ธันวาคม 1956 บริษัทโตซิบาจึงนำหม้อหุงข้าวอัตโนมัติออกวางจำหน่าย 700 ใบ ประสบความสำเร็จมาก โตซิบาเริ่มผลิตหม้อหุงข้าวอีก 200,000 ใบ จำหน่ายหมดในเวลาเพียง 1 เดือน อีก 4 ปีต่อมา ก็แพร่หลายไปเกือบครึ่งประเทศ หม้อหุงข้าวของโตซิบารุ่นดังกล่าวใช้เวลาในการหุงเพียง 20 นาที มี 2 ชั้น ชั้นนอกสำหรับบรรจุน้ำ ส่วนชั้นในสำหรับบรรจุข้าว โตซิบาใช้รูปแบบดังกล่าวอยู่นานถึง 9 ปี แล้วจึงพัฒนามาเป็นหม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบัน​

    [​IMG]หม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน ต้อง...

    [​IMG]มีความปลอดภัยต่อกระแสไฟฟ้าช็อต โดยมีที่จับสำหรับเปิดปิดได้สะดวก ทำด้วยวัสดุที่มีคุณภาพดี มั่นคงแข็งแรง​

    [​IMG]มีความสามารถในการรักษาอุณหภูมิได้เหมาะสม​

    [​IMG]ฝาหม้อไม่ได้ทำด้วย Celluloid หรือ Nitrocellulose ซึ่งเป็นสารที่ติดร่างกาย​

    [​IMG]ข้อแนะนำในการซื้อและการใช้

    [​IMG]อย่ากดสวิตซ์ เปิด-ปิด ขณะที่ไม่มีหม้อชั้นใน​

    [​IMG]อย่าใช้วัตถุมีคมถู หรือขัดหม้อชั้นใน เพราะจะทำให้สารที่เคลือบหม้อหลุดไปได้​

    [​IMG]อย่าเสียบปลั๊กหรือสวิตซ์ หรือจับหม้อชั้นนอกขณะที่มือเปียก เพราะอาจเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่ว​

    [​IMG]ถอดปลั๊กทุกครั้งหลังจากการใช้งาน​

    [​IMG]ก่อนการใช้งานเช็ดหม้อชั้นใน และแผ่นความร้อนให้แห้งสะอาดเสียก่อน​

    [​IMG]เมื่อกดสวิตซ์หุง ถ้ากดไม่ติด ห้ามใช้วัสดุใดค้ำ หรือกดคาไว้​

    [​IMG]การใช้หม้อหุงข้าวครั้งต่อไป ควรรอสักประมาณ 10 นาที เพื่อให้หม้อหุงข้าวมีอุณหภูมิ


    การใช้หม้อหุงข้าวครั้งต่อไป ควรรอสักประมาณ 10 นาที เพื่อให้หม้อหุงข้าวมีอุณหภูมิ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก frist
    [​IMG]
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก mea.or.th

    *****************************************​

    กลัวไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทำไงดี?

    http://hilight.kapook.com/view/29925

    [​IMG]


    สำหรับคนทำงานแล้ว เรื่องที่ทุกคนกังวลที่สุดคือ กลัวไม่ก้าวหน้า กลัวไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อนึกถึง 3 ทางเลือกที่จะจัดการกับปัญหาความกลัว คุณจะเลือกวิธีไหนล่ะ หลีกหนีหรือ? ไม่ใช่แน่นอน เว้นเสียแต่คุณจะลาออกจากองค์กรเก่าแล้วไปหางานใหม่

    การยอมรับความกลัวและหาทางต่อสู้เพื่อเอาชนะน่าจะดีกว่า ควรเปลี่ยนความกลัวให้เป็นพลัง และนี่คือคำแนะนำง่ายๆ ที่คุณควรทำ

    [​IMG]1. อย่าถอดใจเมื่อไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง

    ให้คิดเสียว่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว และเรายังต้องมีชีวิตอีกยาวนาน โอกาสยังรอเราอยู่ ​

    [​IMG]2. วิเคราะห์หาจุดอ่อนของตัวเอง

    หรือพูดง่ายๆ ประเมินตัวเองทั้งจากมุมมองคุณและจากหัวหน้าว่ามีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร ​

    [​IMG]3. พัฒนาความสามารถของตัวเอง

    อะไรที่ไม่ชำนาญ ขาดทักษะ ต้องกล้าฝึกกล้าทำ หลายคนไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งได้ เพราะไม่กล้าจับไมค์ พูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก อย่างนี้ฝึกได้ ขอเพียงมีความกล้า ​

    [​IMG]4. สร้างผลงานน่าประทับใจ

    ทำให้เกินความคาดหวังไว้มากๆ เพราะจะช่วยสร้างภาพบวก ขับจุดเด่นคุณออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม และเหนือจากความคาดหมาย ซึ่งหมายถึงความสามารถที่น่าทึ่งจริงๆ ​

    [​IMG]5. มีจิตอาสา

    ถ้ามีโครงการใหญ่ๆ โครงการสำคัญ หรือโครงการใหม่ๆ ที่ต้องการอาสาสมัคร ยกมืออาสาโดยไม่รีรอ ใช้เป็นโอกาสสร้างผลงาน ​

    [​IMG]6. บริหารมนุษยสัมพันธ์

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อคิดจะเลื่อนตำแหน่ง มีลูกน้องบริวาร อย่าลืมสร้างฐานอำนาจไว้ด้วย นั่นคือต้องบริหารความสัมพันธ์กับลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน และเจ้านาย เพราะบุคคลทั้ง 3 กลุ่มนี้จะช่วยผลักดันและสนับสนุนการทำงานของเราในอนาคตให้ราบรื่น ​



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก first
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ​
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น้ำแข็งแก้ปวดได้

    http://hilight.kapook.com/view/29936

    [​IMG]

    คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำแข็งก็คือ ความเย็นที่ช่วยลดความปวดบวมอักเสบได้ ซึ่งหัวใจหลักของการบำบัดแบบนี้คือ การประคบบริเวณที่ปวดบวมหรือบาดเจ็บทันที เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการลดการทำลายของเนื้อเยื่อก่อนที่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้น โดยนำผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบตรงบริเวณที่มีอาการต่างๆ ดังนี้

    [​IMG]ปวดหลัง

    อาการนี้เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของผู้หญิงจากการทำงานบ้านหรือทำสวน ความเย็นช่วยลดความปวดได้ โดยให้ประคบน้ำแข็งทันทีหลังจากทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ หรือยกของหนักๆ มา ​

    [​IMG]ปวดไมเกรน

    คุณผู้หญิงเกือบทุกคนมักจะประสบกับการปวดหัวตุบๆ โดยเฉพาะช่วงมีรอบเดือน ซึ่งผู้ที่เคยใช้วิธีนี้รับรองว่าสามารถลดอาการปวดได้จริง โดยนอนราบบนพื้นประมาณ 5-10 นาที และประคบผ้าห่อน้ำแข็งบริเวณด้านหลังลำคอ หน้าผาก หรือขมับ ความเย็นจะช่วยลดอาการบวมและอาการมึนลงได้ ทั้งยังลดผลข้างเคียงอื่นๆ จากไมเกรนโดยที่ไม่ต้องกินยาอีกด้วย ​

    [​IMG]ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ด ตึง

    นักกรีฑาจำนวนไม่น้อยเลือกใช้น้ำแข็งป้องกันอาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้หลังจากออกกำลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า น้ำแข็งทำให้รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงเครียด เพราะช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือด ​



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    โดย : พี่ทิพ ​
     
  5. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ร่วมบุญด้วย 500 บาท ขอโอนเงินช่วงปลายเดือนนะครับคุณเพชร
     
  6. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309

    ทำไมปลูกถั่วเขียวเป็นถั่วงอกอ่ะครับ อิอิ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ก็อย่างท่านปาทาน ว่าไว้อ่ะครับ ปลูกต้นมะม่วงไว้จะให้ออกลูกมาเป็นแอบเปิ้ลคงไม่ได้ครับ จะได้ก็ต่อเมื่อ ต้องไปซื้อเอาครับ หุ หุ ผมเชื่อครับ เพราะเจอกับตัวเองมามาก ต้องยอมรับกันนะครับว่า ผลในปัจจุบันย่อมมาจากอดีต และผลของอนาคตย่อมมาจากวันนี้ครับ แน่นอนที่สุด ทำวันนี้ให้ดีที่สุดครับ......
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ถ้าถั่วงอกมีโอกาสโตขึ้น ก็จะเป็นถั่วเขียวเหมือนเดิม หุหุ

    .
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่ะแซวเหรอน้องถ้าปีหน้าเข้ามาจะจับตะโกนร้องเพลงเชียร์ให้เข็ดเลยครับ หุ หุ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมนำเสนอเรื่องกรรม ให้ได้อ่านกัน เพื่อให้สังวร และสำนึกไว้ว่า สิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ยังมีอีกมาก รู้เพียงแค่เปลือก แต่ทำตัวอวดเก่งว่า ข้าแน่ ข้าเก่ง ข้านี่แหละเซียน ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ดีอะไรซักอย่าง

    อีกประการจะบอกกับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ว่า หากกระทู้พระวังหน้าฯ ต้องมีอันเป็นไป ขอให้ไปพบกันที่ บอร์ดอกาลิโก > ธรรมในจิต > 108 โทรโข่ง กระทู้ "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."http://board.agalico.com/showthread.php?t=8477

    แต่ ณ วันนี้ ที่ PaLungJit.com > พลังจิต > พระเครื่อง - วัตถุมงคล กระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... ยังคงบอกบุญ เชิญทุกๆท่านให้มาร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ในบางช่วงก็บอกบุญในเรื่องอื่นๆ เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา , สภากาชาดไทย , มูลนิธิพระดาบส หรือบุญที่คุณเพชรกำลังเชิญชวนทุกๆท่านอยู่นี้ ถ้าคนบางกลุ่ม บางพวก พวกบัวใต้น้ำ เก่งจริงๆ ก็สามารถลบกระทู้นี้ได้ทันที ผมขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านอย่าได้โกรธ อย่าได้รู้จัก อย่าได้มีความขุ่นข้องหมองใจ เราจักได้ไม่ต้องไปเป็นพยานต่อหน้าองค์พยามัจจุราชเจ้า และไม่ต้องไปเยี่ยมในนรกครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445&page=1099

    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=8477&page=106
    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรรม

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    บทความนี้เกี่ยวกับคำศัพท์พุทธศาสนา สำหรับหลักไวยากรณ์ ดูที่ กรรมวาจก


    กรรม (ภาษาสันสกฤต : กรฺม, ภาษาบาลี : กมฺม) แปลว่า "การกระทำ" ได้แก่ กระทำทางกาย เรียก กายกรรม ทางวาจา เรียก วจีกรรม และทางใจ เรียก มโนกรรม
    • กรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
    1. กรรมดี เรียกว่า กุศลกรรม หรือ บุญกรรม
    2. กรรมชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม หรือ บาปกรรม
    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>

    การจำแนกประเภทของกรรม


    กรรมดี หรือ กรรมชั่วก็ตาม กระทำทางกาย วาจา หรือทางใจก็ตาม สามารถจำแนกอีก เป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายแบบ ดังนี้
    • กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) 4 อย่าง
    • กรรมจำแนกตามหน้าที่ของกรรม (กิจจตุกะ) 4 อย่าง
    • กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) 4 อย่าง
    • กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) 4 อย่าง
    จำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม


    การกระทำทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่เป็นฝ่ายดีหรือไม่ดีก็ตาม ย่อมตอบสนองแก่ผู้กระทำ ไม่เร็วก็ช้า เวลาใดเวลาหนึ่ง กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) แสดงกำหนดเวลา แห่งการให้ผลของกรรม มี 4 อย่าง คือ
    1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน คือในภพนี้
    2. อุปปัชชเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า
    3. อปราปริเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพต่อๆไป
    4. อโหสิกรรม หมายถึง กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก
    จำแนกตามหน้าที่ของกรรม


    กรรมจำแนกตามหน้าที่การงานของกรรม (กิจจตุกะ) กรรมมีหน้าที่ ที่จะต้องกระทำสี่อย่าง คือ
    1. ชนกกรรม หมายถึง กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด กรรมแต่งให้เกิด
    2. อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมสนับสนุน กรรมที่ช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติม ต่อจากชนกกรรม
    3. อุปปีฬิกกรรม หมายถึง กรรมบีบคั้น กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน
    4. อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมตัดรอน กรรมที่แรงฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมทั้งสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว
    จำแนกลำดับการให้ผลของกรรม


    กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม(ปากทานปริยายจตุกะ) จำแนกตามความยักเยื้อง หรือ ลำดับความแรงในการให้ผล 4 อย่าง
    1. ครุกกรรม <SMALL>(หนังสือพุทธธรรมสะกดครุกกรรม หนังสือกรรมทีปนีสะกดครุกรรม)</SMALL> หมายถึง กรรมหนัก ให้ผลก่อน เช่น ฌานสมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม
    2. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถึง กรรมที่ทำมาก หรือ ทำจนเคยชิน ให้ผลรองจากครุกรรม
    3. อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย คือกรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มีสองข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น
    4. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม หมายถึง กรรมสักแต่ว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอื่นให้ผลแล้ว กรรมนี้จึงจะให้ผล
    จำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม


    กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม(ปากฐานจตุกะ) แสดงที่ตั้งแห่งผลของกรรมสี่อย่าง เป็นการแสดงกรรมโดยอภิธรรมนัย(ข้ออื่นๆข้างต้นเป็นการแสดงกรรมโดยสุตตันตนัย)
    1. อกุศลกรรม
    2. กามาวจรกุศลกรรม
    3. รูปาวจรกุศลกรรม
    4. อรูปาวจรกุศลกรรม
    กรรมดำ กรรมขาว


    นอกจากเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วแล้ว ยังมีการอธิบายกรรมอีกนัยหนึ่ง โดยอธิบายถึงกรรมดำกรรมขาว จำแนกเป็นกรรม 4 ประการ คือ
    1. กรรมดำมีวิบากดำ ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้น ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา
    2. กรรมขาวมีวิบากขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็งอยากได้ มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ
    3. กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทั้งทุกข์ระคนกัน
    4. กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ได้แก่ เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำ เจตนาใดเพื่อละกรรมขาวอันมีวิบากขาว และเจตนาใดเพื่อละกรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เช่น ผู้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด โพชฌงค์เจ็ด
    กฏแห่งกรรม


    กฎแห่งกรรม คือ กฎธรรมชาติ ข้อหนึ่ง ที่ว่าด้วยการกระทำ และผลแห่งการกระทำ ซึ่ง การกระทำและ ผลแห่งการกระทำนั้น ย่อมสมเหตุ สมผลกัน เช่น ทำดี ย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว เป็นต้น
    • กรรมใดใครก่อ ตนเองเท่านั้นที่จะได้รับผลของสิ่งที่กระทำ
    • กรรมในปัจจุบันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต และกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบันเป็นเหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยังอนาคต
    • กรรมดี-กรรมชั่ว ลบล้างซึ่งกันและกันไม่ได้
    • ถึงแม้ว่าการทำกรรมดีจะลบล้างกรรมชั่วเก่าที่มีอยู่เดิมไม่ได้ แต่มีส่วนช่วยให้ผลจากกรรมชั่วที่มีอยู่เดิมผ่อนลง คือ การผ่อนหนักให้เป็นเบา(ข้อนี้ อุปมาได้กับ การที่เรามีน้ำขุ่นข้นอยู่แก้วหนึ่ง หากเติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปแล้ว มิสามารถทำให้น้ำขุ่นกลับบริสุทธิ์ได้ แต่ทำให้น้ำขุ่นข้นนั้นกลับเจือจางลงและใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม)
    สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ <SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> <SMALL>พุทธพจน์ จากพระไตรปิฎก</SMALL>

    อ้างอิง

    1. ^ (จูฬกัมมวิภังคสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔)
    แหล่งข้อมูลอื่น


    อ้างอิง


    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 114/1000000Post-expand include size: 6421/2048000 bytesTemplate argument size: 773/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:13761-0!1!0!!th!2 and timestamp 20081009002311 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1".
    หมวดหมู่: บทความที่รอการตรวจสอบรูปแบบ | กรรม | อภิธานศัพท์พุทธศาสนา
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    คนธรรมะ


    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ความนำ
    พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระองค์ ในพระชาติต่าง ๆ ๑๔ ชาติ ทรงเริ่มพระชาติแรกที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และได้ถวายท่อนผ้าเก่าผืนหนึ่งแก่พระผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
    ผลแห่งทานนี้ได้เกิดแก่พระองค์ การที่ทรงเล่าบุพกรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่พวกเรา ดังที่ตรัสไว้ตอนหนึ่งในพุทธาปทาน มีใจความว่า
    เมื่อเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความปลอดภัย ก็จงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    อนึ่ง เรื่องบุพกรรมเล่มนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกรรมและผลของกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ ในเรื่องบุญและบาป ที่มักพูดกันว่า ด้วยอำนาจบาปที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบาปส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป

    ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบุญส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
    ผลกรรมที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนดีที่นิยมเรียกว่าบุญ หรือส่วนชั่วที่นิยมเรียกกันว่าบาป ย่อมทำหน้าที่ในการตามให้ผลอย่างเที่ยงตรงและต่อเนื่อง โดยไม่มีอำนาจอื่นใดจะมาเบี่ยงเบนให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ส่วนจะตามให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ หรือตามให้ผลในชาติต่อๆไปนั่น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ค่านิยมในสังคมปัจจุบันนี้ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก บุคคลส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษกันเท่าไรนัก จนบางครั้งถึงกับมีการพูดว่า ถ้ามัวแต่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรกันหรอก มีหวังอดตายกันหมด หรือเรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ประกอบกับคนทำความชั่วบางคนสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ และได้รับการยกย่องนานัปการว่าเป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ทำคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพียงแค่การบริจาคเงินให้แก่องค์กรสาธารณกุศลเพียงเล็กน้อย เป็นต้นตัวอย่างที่เห็นกันอยู่นี้เองทำให้คนอีกเป็นจำนวนมากเกิดความรู้สึกสับสน หรือให้ความสำคัญเรื่องบาปบุญคุณโทษน้อยไปได้

    ความจริง เรื่องบาปบุญคุณโทษมิใช่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพียงแต่ว่าคนที่ทำความดีและความชั่วยังมิได้ประสบผลของมันโดยตรง จึงทำให้บุคคลอีกส่วนหนึ่งเกิดความเข้าใจสับสนไป แต่เมื่อใดที่ผลของความดีและความชั่วให้ผลโดยตรงแล้วนั่นแหละ บุคคลนั้น ๆ จึงจะยอมรับว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง และให้ผลตามที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ทุกประการ ดังตัวอย่าง เรื่อง บุพกรรมของพระพุทธองค์

    ท่านพระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วยบุพกรรมเก่า จึงกล่าวว่า

    ณ พื้นศิลาที่น่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาตโชติช่วงด้วยรัตนะต่าง ๆ ในละแวกป่า มีดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม ประทับนั่งที่ศิลาอาสน์นั้น ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงฟังบุพกรรมของเรา ดังต่อไปนี้

    ๑. เรื่อง ถวายผ้าไว้ในอดีต จึงได้รับผลบุญ
    คราวหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร จึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง ในกาลนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาการตรัสรู้ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าให้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า

    เรื่องนี้ มีกล่าวอธิบายขยายความไว้ว่า หลังจากที่พระสิทธัตถโพธิสัตว์ได้เจริญในศากยสกุล มีถิ่นกำเนิดชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุ์ พระบิดามีพระนามว่า
    สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามว่า มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาท ๓ หลัง มีชื่อว่า สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่า ราหุล ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ กลางคืนได้เสด็จทรงม้ากัณฐกะ พร้อมกับนายฉันนะ แล้วเสด็จถึงแม่น้ำอโนมานที รับสั่งให้นายฉันนะนำม้าและเครื่องทรงกลับ แล้วพระองค์ก็ตัดพระโมลีแล้ว ตั้งสัจจะอธิษฐานโยนไปในอากาศว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้ว ก็ดำริอีกว่า ผ้าของชาวกาสีอย่างดีเหล่านี้ ไม่สมควรแก่ความเป็นสมณะของเรา ในทันใดนั้นเอง สหายเก่าเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งไปเกิดเป็นพรหมชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม ช่วงระยะพุทธันดรหนึ่ง ไม่ถึงความพินาศเลย (คือดำรงอยู่ในชั้นพรหมโลกตลอด) เพราะเคยเป็นเพื่อนกัน จึงคิดว่า วันนี้ สหายเก่าของเราจะบวช เราจะถือสมณบริขาร ๘ อย่างกล่าวคือ ไตรจีวร บาตร มีดน้อย เข็ม ประคดเอว และผ้ากรองน้ำไป เพื่อสหายเก่าของเรานั้นดีกว่า ครั้นแล้ว ก็นำสมณบริขารทั้ง ๘ อย่างนั้น มาถวายด้วยตนเอง พระโพธิสัตว์ก็รับแล้วครองผ้าที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์อธิษฐานเพศนักบวชผู้อุดม

    ๒. เรื่อง ห้ามผู้อื่นดื่มน้ำ ทำให้ต้องอดน้ำ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ชาติปางก่อน เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง ได้เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมันไว้ไม่ให้ดื่ม ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
    มีเรื่องกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานหลังจากเสวยพระกระยาหารที่นายจุนทกัมมารบุตรจัดถวายแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต(ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด) ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส(กระหายน้ำอย่างมาก) แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาไว้ ตรัสชวนท่านพระอานนท์ ออกเดินทางต่อไปยังกรุงกุสินารา ระหว่างทางทรงหยุดพักและรับสั่งให้พระเถระนำน้ำดื่มมาถวาย แต่พระอานนท์กราบทูลว่า น้ำในแม่น้ำตรงนั้น มีน้ำน้อยและถูกกองเกวียน ๕๐๐ เล่มเหยียบย่ำไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ไม่ไปตักมาถวาย จนพระองค์ต้องรับสั่งในครั้งที่ ๓ พระอานนท์จึงไปตักน้ำนำมาถวายให้พระองค์ได้ทรงดื่ม และน้ำที่พระอานนท์ไปตักนั้น กลับเป็นน้ำใสสะอาด น่าอัศจรรย์ใจมาก

    ๓. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ต้องตกนรก
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาด ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้อธิบายไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายอับเฉาสิ้นลาภสักการะไปตาม ๆ กัน ไม่ผิดอะไรกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ปรึกษากันหาทางจะทำลายลาภสักการะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะทำให้ตนได้ลาภสักการะ ดังที่เคยเป็น จึงขอแรงนางสุนทรีปริพาชิกาผู้มีรูปงามให้ไปทำลายพระพุทธเจ้า โดยให้ไปใส่ความว่าประพฤติร่วมประเพณีกับพระพุทธเจ้า
    นางสุนทรีทำเช่นนั้นอยู่ ๒-๓ วัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างพวกนักเลงให้ไปฆ่านางสุนทรี แล้ว หมกไว้ที่ระหว่างกองขยะดอกไม้ใกล้พระคันธกุฎี พวกนักเลงได้ทำตามสั่งทุกประการ เอาละคราวนี้ พวกเดียรถีย์ก็แกล้งโจษจันหานางสุนทรี กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา พระราชารับสั่งให้ค้นหาจนทั่ว จึงได้ไปพบศพนางที่กองขณะดอกไม้ พวกเดียรถีย์จึงยกศพนางขึ้นเตียงแล้วหามเข้าไปยังพระนคร ทูลแด่พระราชาว่า สาวกของพระพุทธเจ้าฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้ด้วยคิดว่า เราจักปกปิดกรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าได้ทำไว้
    พระราชาได้ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร พวกเดียรถีย์ได้เที่ยวป่าวร้องด่าพวกภิกษุในภายในและภายนอกพระนคร แม้กระทั่งในป่า ภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงกลับโจทมนุษย์เหล่านั้นอย่างนี้ แล้วตรัสคาถาเหล่านี้ว่า คนที่ชอบพูดเท็จ หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ต่างก็ตกนรก คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว มีกรรมเลวทราม ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า
    พระราชาได้ส่งตำรวจไปสืบสวนเรื่องนั้น บังเอิญว่า วันนั้น พวกนักเลงผู้ฆ่านางสุนทรี กำลังเมาสุราทะเลาะกันอยู่ในร้านสุราแห่งหนึ่ง พูดพาดพิงไปถึงนางสุนทรีว่าตนเองเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีเอง พวกตำรวจจึงจับกุมตัวไปถวายพระราชา พระราชาได้ตรัสถาม ทราบความจริงว่า เดียรถีย์จ้างให้ฆ่านางสุนทรี จึงรับสั่งให้เรียกพวกเดียรถีย์มาแล้วทรงบังคับให้ไปเที่ยวป่าวร้องบอกแก่ชาวพระนครว่า นางสุนทรีนี้พวกข้าพเจ้าประสงค์จะสาดโคลนใส่พระพุทธเจ้าให้ฆ่านางแล้ว โทษของพระสาวกของพระพุทธเจ้าไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว พวกเดียรถีย์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว คลายความสงสัยของมหาชนผู้โง่เขลาเสียได้ ต่อมา เดียรถีย์เหล่านั้น พร้อมด้วยพวกนักเลง ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตั้งแต่นั้นมา ลาภสักการะของพระพุทธเจ้าก็เจริญรุ่งเรืองตามเดิม

    ๔. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ตกนรกถึงแสนปี
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน
    มีเรื่องกล่าวไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพวกเดียรถีย์ลดน้อยลง ราวกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พวกเดียรถีย์จึงประชุมตกลงกัน ออกอุบายให้นางจิญจมาณวิกาปริพพาชิกา ผู้มีรูปงามคนหนึ่งทำลายพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาได้ทำทีเป็นเดินเข้า-ออกในเวลาเช้าตรู่และเวลาเย็น ทำให้พวกอุบาสกผู้ไปฟังธรรมสงสัย นางบอกว่า ได้อยู่ร่วมในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ยิ่งทำให้คนพวกนั้นสงสัยขึ้นอีก
    ต่อมา นางได้เอาผ้าพันท้อง ทำเป็นคล้ายคนมีท้องได้ ๘-๙ เดือนจวนจะคลอด เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประทับนั่งแสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์นั่นเองได้ไปสู่ธรรมสภา ทูลพระองค์ว่า มหาสมณะ พระองค์ดีแต่พูดเท่านั้น เสียงพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อมฉันอาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระองค์ไม่ทรงทราบที่คลอดของหม่อมฉัน ไม่ทรงทราบเครื่องบริหารครรภ์แก่หม่อมฉัน เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง แล้วด่าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานาในท่ามกลางบริษัท
    ฝ่ายท้าวสักกะ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงสั่งให้เทพบุตร ๒ องค์โดยให้แปลงเป็นหนู และแปลงเป็นลม มาทำลายพิธีของนาง กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ และลมพัดเลิกผ้าห่มขึ้น ไม้กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนาง ปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก มนุษย์ทั้งหลายก็พูดว่า นางกาฬกัณณี เจ้าด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ ขับออกจากวิหาร นางวิ่งเตลิดเปิดเปิงไป พอล่วงคลองพระจักษุของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็ถูกแผ่นดินสูบตกไปเกิดในอเวจีมหานรก ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์เสื่อมลงอีก แต่ของพระทศพลยิ่งเจริญขึ้น

    ๕. เรื่อง กล่าวว่าร้ายผู้ทรงศีล จึงทำให้ถูกใส่ร้าย
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๕ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ
    มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง
    ท่านพระอานนท์สดับคำนั้นแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกชาวเมืองได้ด่าบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปที่อื่นจากเมืองนี้เถิด พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จะไปที่ไหน เมื่อถูกด่าที่นั่นอีก จะทำอย่างไร พระอานนท์กราบทูลว่า จะไปเมืองอื่นอีก เมื่อถูกด่าที่นั่นอีกก็หนีไปเรื่อย ๆ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำอย่างนั้น ไม่สมควร เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ต้องสงบในที่นั้นเสียก่อน จึงสมควรไปที่อื่น แล้วตรัสถามต่อไปว่า พวกไหนเล่าด่าพวกเรา
    อานนท์กราบทูลว่า คนทั้งหมดกระทั่งทาสและกรรมกรก็พากันด่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ เราเป็นเหมือนกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อคำพูดของคนไม่มีศีล มีจำนวนมากเป็นภาระของเรา เช่นเดียวกันกับการอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจกทิศ เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม

    ๖. เรื่อง ทรัพย์เป็นเหตุ ทำให้พี่ฆ่าน้อง
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๖ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงซอกภูเขาแล้วโยนหินทับไว้ ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ดหินกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี พระเทวทัตถูกความมักใหญ่ครอบงำจิต ชักจูงให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสในฤทธิ์ของตน คิดจะขอพระพุทธเจ้าปกครองภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์ พร้อมกับความคิดนั้น ต่อมา ถูกสงฆ์ทำปกาสนียกรรม จึงไปยุยงให้อชาตศัตรูกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นชนก ส่วนตนเองได้ส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค แต่คนเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระองค์ ได้ฟังอนุปุพพีกถาสำเร็จโสดาปัตติผลทุกคน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่ร่มเงาภูเขาคิชฌกูฏ ทีนั้น พระเทวทัตขึ้นภูเขาคิชฌกูฏกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ ด้วยหมายใจว่า เราจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคด้วยก้อนศิลา ยอดภูเขา ๒ ข้างมาบรรจบกันรับศิลาก้อนนั้นไว้ สะเก็ดศิลากระเด็นจากก้อนศิลานั้นไปกระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคจนพระโลหิตห้อขึ้น ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนพระพักตร์ ได้ตรัสว่า โมฆบุรุษ เธอสั่งสมสิ่งที่มิใช่บุญไว้มากที่มีจิตคิดร้าย คิดฆ่าทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวทัตทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว
    ๗. เรื่อง เคยแกล้งพระไว้ จึงได้รับการแกล้งตอบ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์

    เรื่องที่ ๗ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินทางมา ณ ทางนั้น จึงได้หว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ พระเทวทัต จึงชักชวนนักแม่นธนู ผู้เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่าเรา
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ณ กรุงราชคฤห์ หลังจากพระเทวทัตไปถวายพระพรให้พระเจ้าอชาตศัตรูกุมารส่งราชบุรุษไปปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าแล้ว ต่อมา พระเทวทัตก็สั่งบุรุษคนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่โน้น ท่านจงไปปลงพระชนม์พระองค์แล้วกลับมาทางนี้ แล้วซุ่มบุรุษไว้ริมทาง ๒ คนด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนที่เดินมาทางนี้ เพียงลำพังแล้วมาทางนี้ ซุ่มบุรุษไว้ริมทางอีก ๔, ๘, ๑๖ คน ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนพวกนี้ ที่เดินมาทางนี้ ๆ ต่อมา บุรุษคนหนึ่งนั้น ถือดาบและโล่ห์สะพายธนูเข้าหาประชิดตัวพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วก็ยืนกลัวจนตัวแข็งทื่อไม่ห่างจากพระผู้มีพระภาค
    พระองค์จึงตรัสว่า อย่ากลัวเลย พอบุรุษนั้นได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว ได้วางดาบและโล่ห์ ปลดธนูวางไว้ แล้วซบศีรษะแทบพระยุคลบาทกราบทูลว่า กระผมทำความผิดเพราะความโง่เขลา ที่มีจิตคิดประทุษร้ายคิดจะปลงพระชนม์จึงเข้ามาที่นี้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยโทษแก่กระผม เพื่อความสำรวมต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร การที่บุคคลเห็นความผิดเป็นความผิดแล้ว แก้ไขให้ถูกต้อง นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย แล้วตรัสอนุปุพพีกถาให้บุรุษนั้นฟัง จนบุรุษได้บรรลุเป็นโสดาบัน แล้วตรัสกับบุรุษนั้นว่า ท่านอย่าไปทางนั้น จงไปทางนี้ แล้วส่งเขาไปทางอื่น
    ต่อมาบุรุษอีก ๒ คนปรึกษากันว่า ทำไม บุรุษคนนั้น จึงมาชักช้านักแล้วเดินสวนทางไป ได้พบพระผู้มีพระภาค ณ ควงไม้แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปสนทนาด้วย พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมให้ฟังจนบุรุษทั้ง๒ ได้บรรลุเป็นโสดาบัน แม้บุรุษ ๔, ๘ และ ๑๖ ก็มีนัยเดียวกันแล ต่อมา บุรุษคนแรกนั้น ได้ไปหาพระเทวทัตแล้วพูดว่า กระผมไม่สามารถปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคได้ พระองค์มีฤทธิ์มาก พอพระเทวทัตได้ฟังเช่นนั้นพูดตัดบทว่า ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ฆ่าเลย เราจะลงมือปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเอง

    ๘. เรื่อง ควาญช้างไสช้างไล่พระ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๘ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างไล่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมุนีสูงสุด ที่กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยผลกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรีเชือกดุร้าย จึงวิ่งไล่เราในกรุงราชคฤห์อันประเสริฐ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า หลังจากที่พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จเลย ก็หาได้หยุดการกระทำเช่นนั้นไม่ สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีช้างชื่อนาฬาคีรีดุร้าย ชอบฆ่าคน ต่อมาพระเทวทัตได้ไปที่โรงช้าง แล้วอ้างเหตุผลกับนายควาญช้างว่า พวกเราเป็นพระญาติของพระราชา สามารถจะแต่งตั้งผู้อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูง และเพิ่มเงินเดือนให้ได้ ทำอย่างนี้ เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางตรอกนี้ พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคีรีนี้เข้าไป
    เมื่อพระผู้พระภาคเสด็จดำเนินถึงตรอกนั้น พวกนายควาญช้างจึงได้ปล่อยนาฬาคีรีไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ช้างนาฬาคีรีได้ชูงวงหูชัน หางชี้ วิ่งตรงไปที่พระผู้มีพระภาค เวลานั้นคนทั้งหลายหนีขึ้นไปบนปราสาทนั้นบ้าง เรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง พวกที่ไม่ศรัทธาพูดว่า พระสมณโคดมจะถูกช้างฆ่า ส่วนผู้มีศรัทธาก็พูดว่า ประเดี๋ยวจะคอยดูสงครามระหว่างพระพุทธเจ้ากับช้าง ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปที่ช้างนาฬาคีรี ช้างนาฬาคีรีได้สัมผัสกระแสเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาค จึงหมดพยศยืนอยู่ตรงพระพักตร์ แล้วพระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคีรี

    ๙. เรื่อง เคยเป็นทหารรับจ้าง จึงได้รับความทรมาน
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๙ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นทหารรับจ้าง ได้ใช้หอกฆ่าคนจำนวนมาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไหม้อย่างร้อนแรงในนรก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ เพราะกรรมยังไม่สิ้นไป ในบัดนี้ ไฟ (ความร้อน) นั้นยังตามมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทุกแห่ง
    เรื่องนี้ มีกล่าวขยายความไว้ในชาดกว่า เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นคนรักษาป่า มีบริวาร ๕๐๐ คน ได้รับจ้างคุ้มครองพวกพ่อค้าเกวียน ให้ข้ามดงที่มีโจรผู้ร้ายซุ่มอยู่ด้วยความกล้าหาญตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ บุตรชายพ่อค้าเห็นความกล้าหาญของโพธิสัตว์จึงถามว่า
    เมื่อความตายปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูที่แหลมคมเข้ามาด้วยความว่องไว และยังถือดาบอันคมกริบวิ่งเข้ามาอีก เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่สะดุ้งกลัว พระโพธิสัตว์บอกว่า เวลาที่เห็นโจรร้ายวิ่งเข้ามา ข้าพเจ้ากลับมีความยินดีที่จะได้ย่ำยีศัตรู เพราะก่อนที่จะมาทำหน้าที่นี้
    ได้ยอมสละชีวิตไว้แล้ว จึงไม่มีความอาลัยในชีวิต สามารถทำกิจของตนได้อย่างกล้าหาญทุกเวลา
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระเทวทัตทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อแล้ว แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จไปชีวกัมพวันให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วกราบทูลว่า กระผมมีธุระในเมือง ขอให้ยานี้อยู่จนกว่ากระผมจะกลับมา แล้วหมอชีวกก็เข้าเมืองไป แต่กลับมาไม่ทันประตูเมืองเพราะประตูปิดก่อน แล้วก็นึกตกใจว่า ถึงเวลาที่จะเอายาออกแล้ว ถ้าไม่เอายาออกล่ะก็ พระผู้มีพระภาคก็จะเกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอดทั้งคืนเป็นแน่ ต่อมา พระผู้มีพระภาค ได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง

    ๑๐. เรื่อง เด็กเล็กเห็นปลาถูกฆ่า แล้ว แต่ดีใจ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๐ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏฏคาม เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมนั้น จึงทำให้ไปเสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ด้วยเศษแห่งผลบาปกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อพวกเจ้าศากยะถูกที่พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าตายเป็นจำนวนมาก

    ๑๑. เรื่อง ด่า แช่งผู้อื่นไว้อย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเมื่อครั้งเกิดเป็นคนสามัญ ได้ด่า แช่งเหล่าสาวกในศาสนาของพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงขบเคี้ยว จงฉันแต่ข้าวเหนียว อย่าได้ฉันข้าวสาลีเลย ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์รับคำของเวรัญชพราหมณ์ว่าจะอยู่จำพรรษาแล้ว สมัยนั้นเมืองเวรัญชาเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ต่อมา พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ มีม้าอยู่ประมาณ ๕๐๐ ตัว เข้าพักแรมช่วงฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาตระเตรียมข้าวนึ่ง (ข้าวสารเหนียวที่เอาแกลบออกแล้วนึ่งเก็บไว้ จะเรียกว่าข้าวตาก ก็ได้ พวกพ่อค้านิยมนำติดตัวไป ในเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพื่อเป็นอาหารม้าในถิ่นที่อาหารม้าหายาก) เพื่อถวายพระภิกษุรูปละประมาณ ๑ ทะนานไว้ที่คอกม้า รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา บิณฑบาตไม่ได้เลย จึงไปที่คอกม้า รับข้าวนึ่งรูปละประมาณ ๑ ทะนาน นำไปตำให้ละเอียดแล้วฉัน ส่วนพระอานนท์บดข้าวนึ่งประมาณ ๑ ทะนานบนหินบดแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระองค์เสวยข้าวนั้น

    ๑๒. เรื่อง เคยเป็นนักมวยปล้ำ หักหลังผู้อื่นไว้
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนักมวย ได้ทำการชกกับนักมวยผู้อื่น ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ที่สันหลัง (ปวดหลัง)
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า คราวหนึ่งพระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลคหบดี มีกำลังมากมหาศาล แต่ตัวเตี้ย ต่อมามีนักมวยปล้ำต่างถิ่นมาท้าต่อสู้ และทำให้บุรุษหลายคนในหมู่บ้าน ถูกทำร้ายบาดเจ็บและพ่ายแพ้ และเมื่อพระโพธิสัตว์พบเหตุการณ์นั้น จึงขออาสาต่อสู้ด้วย พอได้ฟังคำพูดเช่นนี้ นักมวยปล้ำผู้นั้นได้พูดดูถูกต่าง ๆ นานา และเมื่อทั้งสองได้ต่อสู้กัน พระโพธิสัตว์แม้ถึงจะตัวเตี้ย แต่ก็ได้จับนักปล้ำผู้นั้นขึ้นแล้วหมุนไปในอากาศ แล้วทุ่มลงภาคพื้น แล้วจับดัดหลัง จนนักปล้ำผู้นั้น กระดูกหักเจ็บปวดอย่างมาก และยอมแพ้ในที่สุด แล้วพระโพธิสัตว์สั่งสอนว่า อย่ามาทำอย่างนี้อีกในหมู่บ้านนี้ ด้วยกรรมนั้น เราได้เสวยผลกรรมมีโรคประจำเช่นปวดหลังเป็นต้น แม้ในชาตินี้ ถึงเราจะทรงพลังอย่างนับไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นโรคปวดหลังอยู่

    ๑๓. เรื่อง หมอรักษาโรค แต่ประมาท
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐี (ถึงแก่ความตาย) ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดี ได้เป็นหมอรักษาคนไข้ คราวหนึ่ง ได้รักษาลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ตรวจโรคแล้ว จัดยารักษาโรคชนิดนั้น แต่เพราะความประมาท ตอนจ่ายยานั้น ได้จ่ายยารักษาโรคต่างชนิดกันให้ไป ทำให้ลูกเสรษฐีนั้นรับประทานยาไปแล้วถ่ายอย่างรุนแรง
    ตรงนี้ มีกล่าวขยายความไว้ว่า ในชาตินี้ ในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน หลังจากพระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ชื่อว่าสุกรมัททวะ ของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนเจียนจะปรินิพพาน แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาเหล่านั้นอย่างไม่พรั่นพรึง

    ๑๔. เรื่อง สบประมาทผู้อื่น จึงต้องประสบทุกข์
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเมื่อครั้งเกิดเป็นมาณพ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวประสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าว่า การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุด ด้วยทางนี้ ต่อมา จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ที่ตำบลอุรุเวลา เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณผิดทาง เราสิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนทุกอย่าง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง ทรงพยากรณ์บุพกรรมเช่นนี้ มุ่งหวังประโยชน์สำหรับหมู่ภิกษุ ณ สระอโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล
    ตรงนี้ มีเนื้อความกล่าวไว้ว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ทำความสังเวชให้เกิดขึ้น ขึ้นม้ากัณฐกะพร้อมกับนายฉันนะออกไป ทรงรับสมณบริขารที่มหาพรหมถวาย แล้วผนวชที่ริ่มฝั่งแม่น้ำอโนมานทีบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอย่างหนักอยู่ ๖ ปี อาทิเช่น กดฟันด้วยฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานไว้แน่น ใช้จิตข่มคั้นจิต ทำจิตให้เร้าร้อน เมื่อทำเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้ง ๒ ข้าง กลั้นลมหายใจเข้า-ออกทั้งทางปาก-จมูก ทำให้ลมออกทางหูทั้ง ๒ ข้าง มีเสียงดังอู้ ๆ และเกิดลมแรงกล้าเสียดแทงศีรษะ ทำให้เกิดทุกขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดลมอันแรงกล้าบาดในช่องท้อง
    เมื่อพระองค์ประพฤติตนเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดความกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดกายกระสับกระส่ายไม่สงบ ต่อมาก็ลดอาหารที่ละน้อย จนฉันอาหารประมาณเท่าเมล็ดถั่วพูและเมล็ดบัว จึงทำให้ร่างกายซูบผอมมาก เดินไปไหนก็ซวนเซล้มลง ณ ที่นั้น จนชนทั้งหลายเห็นแล้ว พากันทักต่าง ๆ นานา ทำให้ได้คิด จึงเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเสียใหม่ กลับมาฉันอาหารตามเดิม แล้วปฏิบัติฌาน ๔ และวิชชา ๓ จึงตรัสรู้พระพุทธเจ้า (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ) ภายใต้ต้นโพธิ
    เรื่องบุพกรรมของพระพุทธองค์ดังที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่าเป็นผู้มีพระคุณมากมายปานใด เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระคุณน้อยนิดเช่น เด็กน้อยเดียงสาแกล้งผู้อื่นก็ตาม ผู้ที่ได้กระทำบุญหรือบาปไว้ ย่อมจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อย่างแน่นอน ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส หรือแม้แต่สิ้นอาสวะกิเลส ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับเนื้อความกล่าวรับรองไว้ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใด เป็นบุญหรือเป็นบาปก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น
    ท้ายนี้ ฝากคติธรรมว่า เวรกรรมที่แต่ละคนได้กระทำไว้นั้น อย่าคิดประมาทว่าเป็นกรรมเล็กน้อยและจักไม่ให้ผล กรรมที่กระทำไว้นั้นรอวันให้ผลทั้งนั้น แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นหนักหรือเบานั่นเอง สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านจงโชคดีและมีความสุขทุกเมื่อเทอญ.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา : คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

    <TABLE width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right>suchaya [​IMG] [DT06925] [ วันจันทร์ ที่ 21 กรกฎาคม 2551 เวลา 09:08 น. ]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ---------------------------------------------

    กรรมที่ปรากฏเมื่อใกล้จะตาย

    โดย พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ) วัดโสมนัสวิหาร



    ท่านที่เป็นแฟน ๆ คอลัมธรรมะไทยครับ…วันนี้กระผมได้นำเอาเรื่องกฎแห่งกรรมที่ให้ผลใกล้จะตายของท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิกวี ป.ธ.9, M A, แห่งวัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร มาฝากเป็นข้อคิดสะกิดใจ เรียกว่าเบาบ้าง หนักบ้าง คละเคล้ากันไป ก็อย่าว่ากันนะครับ……ขอเริ่มเรื่องเลย นะ


    กรรมที่ปรากฏเมื่อจวนเจียนจะตาย

    คนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย จะตายช้าตายเร็วก็ต้องตายแน่ แต่เมื่อใกล้จะตายนั้นจะมีกรรมมาปรากฏในช่วงนั้น ถ้าเราทำกรรมดี และกรรมชั่วไว้ กรรมดี และกรรมนั้น ๆ ก็จะมาปรากฏให้เห็นในช่วงสุดท้ายในชาตินี้ และจะสิ้นสุดเมื่อเข้าไปสู่ชาติใหม่ หรือภพใหม่ ลักษณะของจิตที่จักกรรมเอาในขณะนั้น ในคัมภีร์พระอภิธรรมท่านเรียกว่า “ มรณาสันนวิถี ” หมายถึง วิถี(ทาง) ที่จิตใกล้จะตายไปยึดถือ ในขณะนั้นจิตจะเข้าสู่วิถีของมันที่จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภพใหม่ คือจุติ(การตาย) จิตจะปรากฏ …..เมื่อจุติจิตปรากฏแล้วปฏิสนธิจิต (การเกิด) ก็จะปรากฏต่อจากจุติจิต

    ปกติแล้ว จิตในขณะนั้นจะอยู่ในภวังค์เหมือนอย่างคนนอนหลับ แต่เมื่อมันจะเคลื่อนไหวไปเป็นจุติจิตมันจะรับอารมณ์ของกรรมก่อน คือ นำกรรมที่สั่งสมเอาไว้เข้าไปสู่โลก(ภพ)หน้า การที่นำกรรมที่สั่งสมไว้เข้าไปสู่ภพหน้า จิตนั้นจะต้องรับอารมณ์

    คำว่า “อารมณ์” ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่จิตเข้าไปยึดไว้ ไม่ได้หมายถึง อารมณ์ดี,อารมณ์ร้ายอย่างที่ชาวโลกเขาใช้กันไม่ …อารมณ์ในที่นี้ คือ สิ่งที่จิตเข้าไปยึดถือไว้ ท่านเรียกว่า “อารมณ์”

    อารมณ์จะมาปรากฏแก่จิตของผู้ใกล้จะตาย 3 อารมณ์ คือ
    1. กรรม ถ้าเรียกให้ชัดตามคัมภีร์พระอภิธรรมก็เรียกว่า “กรรมอารมณ์ ๆ คือ กรรม”
    2. กรรมนิมิต หรือ กรรมนิมิตอารมณ์ ๆ คือ กรรมนิมิต
    3. คตินิมิต หรือ คตินิมิตอารมณ์ ๆ คือ คตินิมิต

    โดยทั้ง 3 กรรมนี้ จะมาปรากฏทางใจเมื่อใกล้จะตาย

    กรรม นั้นหมายถึง การกระทำของเราเองซึ่งเราอาจจะทำทั้งกรรมดี และกรรมาชั่ว กรรมดีเรียกว่า “กุศลกรรม” กรรมชั่ว เรียกว่า “อกุศลกรรม” และทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว มันจะมาปรากฏให้เราเห็นเมื่อเราใกล้จะตาย

    กรรมนิมิต นั้นหมายถึง เครื่องหมายของการทำกรรม เช่นถ้าเราใช้อุปกรณ์อะไร อย่างไรทำ เมื่อจวนจะตาย อุปกรณ์ในการทำกรรมนั้น ๆจะเข้ามาปรากฏเป็นเครื่องหมายให้เราทราบ (นิมิต หมายถึงเครื่องหมาย) ส่วนคำว่า “คตินิมิต” นั้นหมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ให้เรารู้ว่าแดนที่เราจะไปเกิดที่ไหน /ภพไหน/ชาติไหน มันมีเครื่องหมายบ่งบอกให้เรารู้ว่า ผู้นั้นจะไปดี หรือไปชั่วให้ดูที่คตินิมิต

    เมื่อใกล้จะตายกรรมมาปราฏอย่างไร คือถ้าคนเรามีกรรมดีมาปรากฏเช่น เคยทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นคนกตัญญูรู้คุณ เลี้ยงดูพ่อแม่อย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวนบุญกิริยาวัตถุ10 ข้อ
    ทำไว้มาก เมื่อใกล้จะตาย กรรมนั้นจะเข้ามาเป็นอาสันนกรรม คือ ทำให้คนนั้นรู้สึกแช่มชื่นเบิกบานใจ
    ไม่กระวนกระวาย แม้เมื่อตอนป่วยหนักผู้นั้นจะกระวนกระวายเป็นบ้างก็ตาม…..แต่เมื่อใกล้จะขาดใจนั้นเขาไปอย่างสงบ เช่นบางคนจุดธูปเทียน บูชาพระ บางคนภาวนาว่าพุทโธ ๆ จากไป บางคนภาวนาว่า อรหังๆ จากไป คือไปด้วยจิตเบิกบาน และแม้จะเจ็บป่วยขนาดไหนก็ตาม…..แต่เมื่อใกล้จะตายวินาทีสุดท้ายของเขานั้น เขาไปอย่างดี ไปอย่างสงบ ไม่ทุรนทุราย แม้ทุรนทุรายทางร่างกาย แต่ทางจิตใจนั้นเขาสงบ……..ลักษณะเช่นนี้จะปรากฏกับผู้ที่ทำความดีไว้มาก และนี่คือลักษณะกรรมดีที่มาปรากฏเมื่อใกล้จวนเจียนจะตาย

    แม้ในขณะนั้น บางคนมีกรรมนิมิตมาปรากฏ กรรมนิมิตที่ปรากฏนั้นคือ อย่างไร คือ ถ้าเขาผู้นั้นเคยทำดีเอาไว้ เมื่อเขาจวนจะตาย กรรมดีนั้นย่อมเข้ามาปรากฏในทางมโนทวาร เช่น คนที่เคยใส่บาตรเมื่อใกล้จะตายย่อมมีภาพทัพพี ขันข้าว หรือภาพพระสงฆ์ที่กำลังรับบาตรมาปรากฏเป็นมโนภาพ(เหมือนภาพในความฝัน) เมื่อเขาจะตาย เช่น เห็นภาพตัวเองกำลังถวายจีวร พระภิกษุสามเณร เห็นภาพตัวเองกำลังนั่งสมาธิ หรือทำความดีต่างๆ เห็นอุปกรณ์ที่ตนเองใช้ในการทำความดี เช่น เห็นหม้อข้าว ทัพพี เห็นเครื่องบวชนาค เป็นต้น มันเห็นชัดเจนเป็นภาพ ๆ ไปเลย ภาพเหล่านี้จะมาปรากฏแก่บุคคลที่ทำความดีเอาไว้ ท่านเรียกว่า “กรรมนิมิตฝ่ายดี”

    ส่วนคนที่ทำกรรมชั่วไว้ เวลาใกล้จะตาย กรรมชั่วนั้นจะมาปราฏเป็นภาพในทางใจ (มโนภาพ)
    ทำให้วุ่นวายใจหรือกระวนกระวาย กระสับกระส่ายเดือดร้อนไม่สงบ เช่น บางคนที่เคยชนไก่เป็นประจำ เมื่อเขาใกล้จะตายก็ร้องทำเสียงเหมือนกับไก่ชน กันเช่น ทำเสียงว่า “ปั๊บๆ ,เอาเข้าไปๆๆ และบางคนเอามือตัวเองชนกัน บางคนร้องเหมือนหมู เพราะเคยฆ่าหมู บางคนร้องเหมือนวัว หรือควาย เพราะเคยฆ่าไว้ ซึ่งพวกนี้เมื่อใกล้ตายจะกระสับกระส่ายดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน ทำอะไรแปลกๆ เช่น มีเรื่องตัวอย่างชายคนหนึ่ง ตายด้วยการกรอกน้ำร้อนที่กำลังเดือดจัดเข้าในปากตัวเอง ซึ่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส กทม. ได้เล่าไว้ ว่า

    "คนขโมยของที่ถูกไฟไหม้"

    กล่าวกันว่า ได้เกิดไฟไหม้บ้านเรือนหลังหนึ่งขึ้น ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ นี้เอง เมื่อหลายปีแล้ว คนในบ้านใกล้เคียงตกใจขนของหนีไฟเป็นการใหญ่ ในขณะนั้นก็มีเรือลำหนึ่งเข้ามาเทียบเข้าไปแล้ว เจ้าของเรือก็ตะโกนบอกให้ขนของมาลงเรือ และใส่เต็มเรือแล้ว ชายเจ้าของเรือก็แจวเรือออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นการโกงซึ่ง ๆ หน้า ในขณะที่คนอื่นเขาเดือดร้อนไปรู้จะไปเรียกร้องเอาอะไรจากใครเขาก็นำของที่โกง หรือขโมยมานั้นไปเป็นของตัวเองอย่างสบายใจโดยไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่น

    ต่อมาชายที่โกงเขาไปนั้นเกิดอาการเจ็บป่วยไม่สบายขึ้น อาการที่ปรากฏคือ ต้องการดื่มน้ำร้อนจัด ๆ ยิ่งร้อนเท่าไรก็ยิ่งชอบใจ ในที่สุดก็ไม่พอใจที่ลูก ๆ หาว่าเอาน้ำเย็นมาให้ดื่ม ทั้ง ๆ ที่เป็นน้ำร้อนเดือดจัดแท้ ๆ ….ในที่สุดแกเอาเตาถ่านและกาน้ำมาต้มที่ใกล้กับที่ที่แกนอนเจ็บอยู่ พอน้ำเดือดพล่าน มีควันพุ่งออกมาเต็มที่ แกก็จะลุกขึ้นยกกาน้ำร้อนเทใส่ปากดื่มทางพวยกา พอแกดื่มเสร็จก็ร้องเฮ้อ…คล้ายกับว่าชื่นใจเหลือเกิน แล้วก็ตายไป เรื่องนี้มีผู้เห็นมากมาย……นี้เป็นเพราะกรรมบันดาลหรือให้ผล แท้ ๆ

    เรื่องนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงกรรมารมณ์ คือ อารมณ์ของกรรม ถือว่าเป็นภาพที่ชัดเจนมาก เช่นบอกว่า “อย่ามาฆ่าฉันๆ คือเขาเห็นเป็นคนถือหอก ถือดาบมาทำท่าจะฆ่าตน เขาจึงร้องออกมาว่าอย่าฆ่าฉัน ๆ อย่าเข้ามา ๆ ร้องทั้ง ๆ ที่ญาติ พี่น้อง ลูกหลานไม่ได้เห็นอะไรเลย แต่คนๆ นี้มองเห็นคนถือดาบ ถือหอก หรือสัตว์ที่ตัวเคยฆ่าจะเข้ามาทำร้าย หรือกัดตัวเองเข้า โดยร้องออกไปอย่างนั้น

    ในสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มีเรื่องทำนองนี้อยู่เยอะแยะไปหมด ตัวอย่างเช่น เรื่องของนายโคฆาตก์ คือ ผู้มีอาชีพฆ่าโค เป็นต้น….แต่ในวันนี้กระผมเห็นว่า เรียกน้ำย่อยแบบเบาะ ๆ ในเบื้องต้นไว้เท่านี้ก่อนดีกว่า ….ส่วนในวันหน้ากระผมขอเชิญท่านผู้มีเกียรติที่เคารพโปรดติดตามเรื่องดี ๆ ต่อนะครับ

    <TABLE width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right>webmaster [DT0003] [ วันพุธ ที่ 30 สิงหาคม 2549 เวลา 14:30 น. ]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุญ,กุศล,กรรมดี,ธรรม,บารมี

    โดย อปากฏนาม [ 16 ส.ค. 2545 / 10:41:21 น. ]

    [ IP Address : 203.113.34.239 ]

    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/006067.htm
    ศัพท์เหล่านี้ใช้แทนกันได้(อย่างเดียวกัน)คือ
    ๑. บุญ
    ๒. กุศล
    ๓. กรรมดี
    ๔. ธรรม (ธรรมฝ่ายขาว)
    ๕. สุกต
    ๖. สุกฺก
    ๗. สุจริต
    ทุกศัพท์ที่กล่าวมานี้ใช้แทนกันได้ เพราะศัพท์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นศัพท์ที่มีความหมายกว้างครอบคลุม และเป็นศัพท์ที่มีความหมายไปในทางดี บุญกับกุศลนั้นเคยอธิบายไปแล้วว่าต่างกันอย่างไร ไม่อยากอธิบายอีกเดี๋ยวจะซ้ำซาก แต่จะขออนุญาตนำคำตอบที่ดีตรงประเด็นของเพื่อนลานธรรมท่านหนึ่งมาทวบทวนเรื่องบุญกุศลอีกครั้งว่า
    : (praves)
    บุญ ทำให้มีความสุข (มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ)
    กุศล ทำให้เกิด สัมมาทิฏฐิ (กุสลจิตนำสู่วิมุตติ)
    วาสนา (นิสัย) คือ ลักษณะทำให้สั่งสมในจิต คือ สันดานในใจ เช่น กิริยา สุภาพ หรือกระด้าง ชอบคบปราชญ์ หรือ คบอบายมุข
    บารมี คือ อุปกรณ์ให้เกิดความสำเร็จในสิ่งที่ใจปรารถนา เช่น
    - (ทางที่ถูก) พระโพธิสัตว์บางท่าน เจริญบารมี 30 ทัศ (10 บารมี ๆ 3 ระดับ) มี ทาน วิริยะ เนกขัมมะ ฯลฯ สี่อสงไขยแสนมหากัปป์ เพื่อช่วยพาสัตว์ดลกออกจากองทุกข์ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    - (ทางที่ผิด) เจ้าพ่อนักเลงใช้ "บารมี !?!" ทางโลก (เงิน อำนาจ ความกลัว ความรุนแรง) ในทางทำลายผู้อื่น นักการเมืองสร้างปัญหาให้บ้านเมืองเพื่อเรียก "บารมี !?! "
    จะให้เกิดวาสนาบารมีในทางธรรมะ ต้องเจริญไตรสิกขา (กระบวนการเรียนรู้ทางจิต) ทาน ศีล ภาวนา (ทาน ศีล ภาวนา คือ ปัจจัยแห่งความพ้นทุกข์ มิใช่เส้นชัย)
    จากคุณ : praves [ 15 ส.ค. 2545 / 23:04:04 น. ]
    ได้ความหมายของคำว่า "วาสนา"และ ความหมายของคำว่า "บารมี" แถมไปด้วยครับ
    ********************
    บารมี

    ส่วนความว่า "บารมี"นั้นก็กว้างเช่นกัน อาจจะเรียกได้ว่าครอบคลุมอีกที สิ่งใดที่เราทำให้ยิ่ง ทำให้เต็ม ทำให้สมบูรณ์ ทำให้พรั่งพร้อม ความยิ่ง ความเต็ม ความสมบูรณ์ ความพรั่งพร้อม นั่นแหละ เรียกว่า บารมี
    บารมีนั้น มีการอธิบายกันได้หลายนัยมาก ขอให้ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ "ทศบารมีในพระพุทธศาสนาเถรวาท" นะครับ ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะอธิบายบารมีไว้อย่างละเอียดพิสดารมาก
    หนังสือเล่มนี้เขียนโดยสมเด็จพระเทพฯ พระองค์นับว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพระองค์หนึ่ง พระองได้รวบรวมบารมีที่ปรากฏในพระพุทธศาสนามารวมไว้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน นับว่าเป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบมาก หาซื้อมาอ่านเพิ่มเติมนะครับ

    สำหรับคำถามที่มีคนถามว่า"แล้วความต่อเนื่องของบุญกุศลกับวาสนาบารมีคืออะไร เป็นอย่างไร" นั้น พออ่านกระทู้ผมเสร็จแล้ว ก็คงจะพอมองภาพออกแล้วนะครับ หรือคงจะพอได้คำตอบแล้ว อย่างไรอย่าลืมส่งข่าวด้วยนะครับ
    เมื่อได้อธิบายมาแล้วก็อยากจะลอง ๆ โยงกันดูระหว่างบุญ,กุศล,วาสนา,บารมีว่ามีความเกี่ยวเนื่องหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ผิดถูกก็ช่วย ๆ กันบ้างก็แล้วกันนะครับ
    อันดับแรกกุศลกับบุญนั้นอย่างเดียวกัน แล้วแต่จะปรารถนาหรือตั้งใจอย่างไร ถ้าทำความดีแล้วตั้งใจจะเกิดอีกอย่างรวย ก็แสดงว่าสร้างสังขารตัวตนอีก อย่างนี้ก็เป็นแค่บุญ แต่กุศลนั้นคือพอเราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วปรารถนาจะทำลายขันธ์ คือปรารถนาจะละโลบโกรธหลงไป หรือปรารถนาบรรลุพระนิพพาน ถ้าอย่างนี้เรียกว่าเราได้ทำกุศล นี่คือความแตกต่าง ของ"บุญกุศล"

    กิริยาที่เราทำบุญกุศลจนเคยชินเป็นกิริยา เป็นนิสัย หรืออนุสัยติดตัว (ทานานุสัย อุปนิสัยชอบทำทาน สีลานุสัย อุปนิสัยชอบรักษาศีล ภาวนานุสัย อุปนิสัยขอบเจริญภาวนา) อย่างนี้น่าจะ(ใช้คำว่าน่าจะ)เรียกว่า "วาสนา"

    สิ่งใดที่เราทำให้ยิ่ง ทำให้เต็ม ทำให้สมบูรณ์ ทำให้พรั่งพร้อม ความยิ่ง ความเต็ม ความสมบูรณ์ ความพรั่งพร้อม นั่นแหละ เรียกว่า "บารมี"

    เมื่อนำความหมายของคำว่าของทั้งหมดมาต่อกันก็คงจะได้ประมาณว่า "บุญกุศสลที่บำเพ็ญจนเป็นนิสัยอย่างพรั่งพร้อม อย่างยิ่ง อย่างสมบูรณ์ที่สุด" นี่คือความหมายที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวเนื่องกันได้ ถ้าเป็นศัพท์ก็คงจะได้ประมาณว่า "ปารมีวาสนปุญญกุสลํ" (ปาระมีวาสนะปุญญะกุสะลัง) ทั้งนี้ต้องมีภพชาติมารองรับอีก ในกรณีที่เป็นได้แค่บุญ ส่วนกุศลนั้นตัดภพชาติ ตัดสังขาร ตัดกิเลสตัณหาทั้งหมด หยุดการสร้างภพชาติอีก
    *****วาสนาบารมีใช้ได้กับบุญและกุสลครับ ความตั้งใจที่จะไปต่างกัน สถานที่ไปจึงต่างกัน
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    หาก กระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... ที่ PaLungJit.com > พลังจิต > พระเครื่อง - วัตถุมงคล ถูกปิดลงไป นั่นหมายความว่า สั่งให้ผมลบกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ด้วยเช่นกัน



     
  14. ทองอ้วน

    ทองอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +135
    ผมได้รับพระแล้วครับ คุณ Sithiphong กำลังแกะออกจากกล่องเลยครับ ขอบคุณมากครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาบุญครับ

    ลองดูนะครับ ห้อยเดี่ยวๆ องค์เดียว

    ผมพึ่งแพ็คพระให้กับน้องอีกท่านนึง พี่งแพ็คเสร็จ ภรรยาบ่นมาแล้วครับว่า ให้ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาดูเว็บอีกครั้ง

    ไปทำอาบน้ำก่อนครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, พรหมประกาศิต </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับน้า ผมไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้งานเยอะ มีลุ้นด้วยครับ

    แต่ที่คอน้า สวยเหมือนกันนะเนี่ย
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo </TD></TR></TBODY></TABLE>
    55555ผมมาคนเดียวครับ หุ หุ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 10 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, channarong_wo, nongnooo+, ลูกวัดท่าซุง, พรสว่าง_2008+ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ------------------------------------------

    ตอนนี้ ไม่ได้มาคนเดียวแล้วนะครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอเก็บโพสสุดท้ายในหน้าที่ 1099 ไว้ก่อนครับ

    -----------------------------------------------------

    การกดอนุโมทนา ในกระทู้พระวังหน้า หน้าที่ 1099 โพสที่ #21961 ถึงโพสที่ #21980
    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445&page=1099


    โพสที่ #21961
    สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ nongnooo ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), sithiphong (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), ตั้งจิต (เมื่อวานนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21962
    สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), ตั้งจิต (เมื่อวานนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21963
    สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), ตั้งจิต (เมื่อวานนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21964
    สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), ตั้งจิต (เมื่อวานนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21965
    สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), ตั้งจิต (เมื่อวานนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21966
    สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตั้งจิต ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), channarong_wo (วันนี้), สร้างบารมี (เมื่อวานนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), sithiphong (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรหมประกาศิต (เมื่อวานนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21967
    สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ Shinray01 ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), sithiphong (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้)



    โพสที่ #21968
    สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21969
    สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ nongnooo ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), sithiphong (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้)



    โพสที่ #21970
    สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), MOUNTAIN (วันนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21971
    สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21972
    สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), channarong_wo (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21973
    สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), channarong_wo (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21974
    สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), channarong_wo (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (เมื่อวานนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้)



    โพสที่ #21975
    สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทองอ้วน ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), channarong_wo (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (วันนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), sithiphong (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21976
    สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), channarong_wo (วันนี้), kwok (วันนี้), nongnooo (วันนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), ทองอ้วน (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21977
    สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), channarong_wo (วันนี้), kwok (วันนี้), littlelucky (เมื่อวานนี้), nongnooo (วันนี้), Shinray01 (เมื่อวานนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21978
    สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ nongnooo ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), MOUNTAIN (วันนี้), Shinray01 (วันนี้), sithiphong (วันนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้), พรสว่าง_2008 (วันนี้)



    โพสที่ #21979
    สมาชิก 4 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), nongnooo (วันนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้)



    โพสที่ #21980
    สมาชิก 4 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ sithiphong ในข้อความที่เขียนด้านบน
    ake7440 (วันนี้), kwok (วันนี้), nongnooo (วันนี้), ชวภณ ศ. (วันนี้)



    ผู้ที่กดอนุโมทนา ในหน้าที่ 1099 (โพสที่ #21961 ถึงโพสที่ #21980 ) สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่


    • ake7440 กดอนุโมทนา 20 ครั้ง
    • ชวภณ ศ. กดอนุโมทนา 20 ครั้ง
    • kwok กดอนุโมทนา 19 ครั้ง


    สำหรับผู้ที่กดอนุโมทนาสูงสุดในสามอันดับแรก ผมมอบพระซุ้มไทรย้อย คนละ 1 องค์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2008
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...