เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. cottonn

    cottonn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณพี่นักเขียนมากๆค่ะ หนูคิดว่าจริงอย่างที่พี่นักเขียนอธิบายเรื่องสมาธิค่ะ คือหนูนั่งสมาธิทุกวันเป็นประจำ ตอนตื่นเช้า และก็ก่อนนอนอ่ะค่ะ ระยะเวลาก็ประมาณเกือบครึ่งชม.นะค่ะ ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ก็จาเพิ่มเป็น 1 ชม.ค่ะ เพราะมีเวลาว่างมากกว่า หนูจะจดจำความฝันทุกเรื่องได้เสมอและชัดเจนมานานแล้วค่ะ แต่ไม่เคยแปลความหมายเลยสักครั้ง จนกระทั่งได้มาอ่านเวปนี้นะค่ะ ก็เริ่มฝึกฝันตามที่พี่นักเขียนได้อธิบายไว้ หนูก็พยายามฝึกฝนทุกคืนก็พบเหตุการณ์คล้ายๆกับหลายๆคนที่เคยเป็น เช่น จิตวิญญาณออกจากร่างพิจารณาร่างได้ (คือหนูจะฝันซ้ำๆ และความฝันในแต่ละคืนเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันนะค่ะ จนกระทั่งความฝันเริ่มวนกลับมาเป็นเรื่องราวเดิมๆอีกครึ่งอ่ะค่ะ) แต่ขอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน หนูได้ตั้งจิตขอให้ทราบวันเวลาของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากนั่งสมาธิและล้มตัวลงนอน สักพักก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรในฝันมีแสงสีขาวส่องมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังลอยขึ้น ร่างหนูก็เบาขึ้นมีแอบหันมามองร่างตัวเองแว้บนึงแล้วก็ลอยตามผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปค่ะ ในใจก็ถามเค้าเลยว่าช่วยให้หนูรู้วันเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นั้้นด้วยเถอะนะค่ะ เค้าก็พาหนูไปหน้าจอภาพเล็กๆประมาณครึ่งกระดาษเอ 4 ได้นะคะ สายตาหนูเหลือบมองมาที่ใต้จอภาพ พบ วันที่และเดือน ส่วน พ.ศ. มองไม่เห็นค่ะ เพราะว่าเบลอมองไม่เห็นค่ะ คือวันที่ 17 สิงหาคม และพอเหลือบมองมาใต้ภาพฝั่งขวามือคือวันที่ 10 ตุลาคม ไม่เห็นพ.ศ. เช่นเดียวกันค่ะ

    หลังจากนั้น ก็เริ่มคิดนะค่ะ ว่าตัวเลขที่เห็น เกี่ยวอะไรกันมั้ย

    เริ่มจากหนูชอบเลข 8 มาก ก็คิดว่า 7+1 = 8 เดือนสิงหาคม เป็นเดือน 8 ส่วนพ.ศ. น่าจะเป็น 53 (2553)เพราะบวกกัน ได้ 8

    ก็จะเป็น 8 8 8

    ทีนี้มาวันที่ 10 เดือน ต.ค. นะค่ะ วันที่ 10 เดือน 10 ส่วนพ.ศ. น่าจะเป็น 2010 ก็จะเป็น 10 10 10 ทีนี้ก็เอามาลบกันอ่ะค่ะ

    ระยะห่างก็สองปี เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง


    อันนี้ตีความหมายเองอ่ะค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถูกต้องหรือไม่ เพราะเป็นครั้งแรกที่ตีความหมายจากความฝันค่ะ

    ที่สำคัญหนูมองจอภาพนั้นแค่แป๊บเดียวมัวแต่หาวันเวลาอยู่นี่ซิค่ะ แย่จริงๆเลย

    แล้วตอนนี้กำลังฝึกฝัน ให้เห็นเหตุการณ์ ณ วันนั้นอย่างชัดเจนอยู่นะค่ะ


    แล้วจะมาเล่าสุ่กันฟังต่อนะค่ะ ขอให้ทุกคนทำสมาธิๆๆๆๆๆๆ อย่างสม่ำเสมอนะค่ะ

    อีกนิดนึงค่ะ ตอนนั่งสมาธิ หนูจาไม่คิดถึงสิ่งใดเลย แต่พอคิดเรื่องอื่นเมื่อรู้สึกตัวก็จะเรียกสติกลับมาสมาธิต่ออ่ะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ดีจังเลยครับที่น้อง Cottonn ตั้งใจฝึกสมาธิตั้งแต่อายุยังน้อย (เห็นว่าทานมังสวิรัติด้วย)
    ความฝันและจินตนาการของน้องเค้าสดใสมาก เรื่องเวลาในความฝันอาจเป็นเพียงจินตภาพนะครับ ส่วนกำหนดเวลานั้นอาจเป็นความลับหน่อย การขอรู้วันเวลานั้นก็อาจทำได้ถ้ามีจิตวิญญาณระดับสูงมาบอกกล่าวให้จริงๆ (สงสัยจะเป็นเรื่องนั้น) คราวหน้าเอาแว่นขยายเข้าไปด้วยนะครับจะได้เห็นชัดขึ้น อิอิ
    ยังไงก็มาเล่าความฝันบ่อยๆ และรอพี่นักเขียนมาแนะนำนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  3. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    คุณนักเขียนคะ ตอนนี้จินตวดีไม่ได้นั่งสมาธิแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นการมีสติสัมปชัญญะติดตาม หรือมีสติระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาอันเป็นปัจจุบันแทน ทำอย่างนี้ทำให้จิตเป็นสมาธิเกือบตลอดเวลา โกรธน้อยลง ทุกข์น้อยลง ที่สำคัญจำความฝันได้แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าฝันค่ะ
     
  4. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ข้อความนี้ที่พี่นักเขียนได้โพสไว้นานแล้ว แต่ทุกอย่างเป็นปัจจุบันเสมอ ไม่ว่าจะอ่านซักกี่ทีก็ประทับใจเสมอครับ

    อ่านข้อความนี้ทำให้นึกถึงความฝันเมื่อนานมากแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาอ่านหนังสือของ อ.อนาลัย

    ฝันบางอย่าง ก็ประทับใจ และยากที่จะลืม ถึงแม้จะเป็นแค่ฝันสั้นๆ แต่ทุกอย่างบ่งบอกส่วนลึกของภาวะจิตภายในของเราทั้งหมด

    ผมเคยฝัน และเห็นความหมายที่ลึกซึ้ง ของคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ แม้ว่าเราจะลืมไปแล้วก็ตาม แต่คำมั่นสัญญาจะยังคงอยู่กับเราตลอดไป

    ก่อนที่จะฝันเรื่องนี้ ผมได้ทะเลาะกับเพื่อนหญิง เพราะเค้ารู้สึกว่าเราไม่ค่อยสนใจเค้าเท่าไหร่ ตอนนั้นยอมรับว่ายังสับสนอยู่ เรื่องจุดมุ่งหมายในชีวิต เรื่องการปฎิบัติธรรม กับเรื่องทางโลก

    เราทั้งคู่ต่างเสียใจ เพราะไม่เข้าใจกัน จริงๆต้องบอกว่า ผมไม่เข้าใจเค้ามากกว่า

    คืนนั้นผมได้ฝันไปว่า มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวชุดลำลองของทหาร กำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่ ซักพักก็มีรถสิบล้อวิ่งมาด้วยความเร็วสูง และชนผู้ชายคนนั้น
    และก็มีผู้หญิงคนนึง นั่งอยู่บนรถเข็น ร้องไห้เสียใจ และทำใจไม่ได้กับการจากไปของชายที่วิ่งจ๊อกกิ้ง และผู้หญิงคนนั้นเสียใจมาก และตรอมใจตายตามในที่สุด ผู้ชายที่จากไปคนนั้น ได้ยืนนิ่งๆและมองดูแฟนที่เค้ารัก และผูกพันมาก รู้สึกเสียใจที่เขายังดูแลผู้หญิงคนนี้ได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆที่เขาสามารถทำได้ดีกว่านี้

    ผมได้ตื่นมา และร้องไห้ตลอดเวลา (ปกติไม่ช่ายคนขี้แย นะครับเพื่อนๆ) เพราะผมรู้สึกชัดเจนมากถึงคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะดูแล ผมได้ลืมเลือนมันไปแล้ว และผมได้ถามตนเองว่า ผมยังจะทำพฤติกรรมอย่างนี้ซ้ำๆต่อไปอีกหรือ

    จึงได้เห็นความคิด ความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจน ได้เห็นถึงอัตตาตัวตน ความเห็นแก่ตัว ได้เห็นความโง่เขลาของตนเอง

    อ่านข้อความนี้แล้ว อดโพสไม่ได้ครับ อยากให้เป็นอุทาหรณ์ว่า คำมั่นสัญญานั้นสำคัญขนาดไหน ปัจจุบันเราได้เคยให้สัญญากับตนเอง และผู้อื่นไว้อย่างไร และเราได้ทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่เต็มกำลังแล้วหรือยัง ^-^
     
  5. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้วสมาธิบวกกับธรรมะช่วยให้ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะมากขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าลดความยึกติดในตัวตนภายนอกลงและรู้จักตัวตนภายในมากขึ้น ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่มากระทบทางประสาทสัมผัสภายนอก

    การทำสมาธิของข้าพเจ้าไม่ได้ทำเฉพาะในห้องพระหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้นแต่จะทำในทุกสถานที่แล้วแต่โอกาสจะอำนวย และไม่จำเป็นต้องหลับตาเสมอไป บางครั้งไปทำบุญหรือฟังพระสวดมนต์ก็ถือโอกาสทำสมาธิไปด้วย บางครั้งไปจอดรถรอใครนานๆก็มี (ไม่ใช่ตอนรถติดรอสัญญาณไฟเขียวนะครับ...อันนี้อันตราย) และในระหว่างที่ทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวันก็จะใช้วิธีเจริญสติ คือให้มีสติรู้ในปัจจุบันว่าตอนนี้ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ (แต่ก็ยังมีเผลอบ้างในบ้างขณะ) ตรงนี้มีเรื่องแปลกนิดนึงอยากจะเล่าให้เพื่อนๆฟัง คือมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังทานอาหารข้าพเจ้าก็ใช้วิธีเจริญสติตามรู้ว่ากำลังตักอาหารใส่ปาก กำลังเคี้ยวอาหาร และกลืนอาหาร (คือตามรู้ทุกอิริยาบท) แต่ปรากฎว่าพอกลืนอาหารลงท้อง กลับกลายเป็นรู้สึกว่าอาหารไม่ได้ลงไปในท้องเรา เหมือนกับว่าเรามีตัวตนสองตัวตน คือในกายของเรามีตัวตนภายในซ้อนอยู่ และความรู้สึกตอนกลืนอาหารเราเหมือนเป็นตัวตนภายใน ทำให้ไม่รู้สึกว่าอาหารลงไปในท้องเราเลย พอเกิดความสงสัยขึ้นมาอาการดังกล่าวก็หายไป


    ส่วนรายละเอียดของการทำสมาธิเข้าใจว่าเพื่อนๆคงจะทราบดีกันอยู่แล้วนะครับ
     
  6. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    ระดับความแตกต่างของการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ 12 ระดับ

    พี่นักเขียนได้เล่าถึงบุคคล 3 กลุ่มในแง่ของการฝึกทำสมาธิ
    ทำให้นึกถึงข้อเขียนของคุณ avatar_boy ที่ได้ทิ้งเอาไว้ก่อนไป[ฌาน] เกี่ยวกับระดับความแตกต่างของการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ 12 ระดับ เลยอยากอยากแบ่งปันเพื่อพิจารณากันครับ
    นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่แต่ละจิตวิญญาณ/จิตสำนึกพร้อมกับกายเนื้อนี้ ได้สูญเสียและหลงลืมญาณ และพลังอำนาจที่แตกต่างกันหลายระดับชั้นอย่างมากมายบนโลกนี้ความเป็นตัวตนแห่งตัวเอง (ความไม่รู้) จึงทำให้เกิดความแตกต่างแห่งจิตวิญญาณ ปัญญา การหลงลืมตัวตนและสูญเสียตัวตนของจิตวิญญาณ/จิตสำนึกในแต่ละดวงนี้ มันคล้ายคลึงกับการตกอยู่ในสภาวะ
     
  7. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    12 ระดับ (ต่อครับ)

    LEVEL 7 or YEAR 7 : ระดับที่ 7 หรือ ปี 7
    บุคคลกลุ่มนี้จะตระหนักรู้ตัวตนของเขาหรือเธอในฐานะมนุษย์ผู้ซึ่งมีการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ
    คนผู้นี้ได้เรียนรู้ที่จะนำทั้งสิ่งเก่า (ศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ)หรือสิ่งใหม่ๆ และวิธีการและเคร่งครัดในตัวตนของเขาหรือเธอ และเริ่มที่จะมีความสำเร็จในชีวิตของเขาหรือเธอ
    คนผู้นี้จะเข้าใจแนวคิดเช่นว่า “คุณคือผู้รังสรรค์ชีวิตคุณเองหรือ ไม่ว่าคุณจะจดจ่อและเชื่อสิ่งใด คุณจะดึงดูดสิ่งนั้นและได้รับประสบการณ์ในสิ่งนั้น
    คนผู้นี้เริ่มที่จะรับรู้ด้วยประสบการณ์ของเขาหรือเธอเองถึงพลังอำนาจที่มีอยู่ภายในและหลงใหลไปกับความสามารถใหม่ๆ
    คนผู้นี้ค้นพบว่า โลกภายนอกได้ปรากฏรูปร่างขึ้นจากโลกภายในของเขาหรือเธอเอง (ความคิดและจินตนาการ)
    คนผู้นี้ยึดมั่นในพลังอำนาจภายในและคนผู้นี้จะเริ่มที่จะไม่หวาดกลัวขึ้นบ้างและตื่นรู้สู่เอกภพและตัวตนของเขาหรือเธอมากกว่าแต่ก่อน แต่กระนั้นก็ยังไม่เต็ม100%ทีเดียว
    คนผู้นี้จะเริ่มเข้าใจว่า ทุกคนล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวตนเขาหรือเธอ(ไม่สำคัญว่าเชื้อชาติ ศาสนา ภูมิหลังใดๆ ฯลฯ...) “สิ่งที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่น คุณเข้าใจดีว่า คุณกำลังปฏิบัติต่อตัวคุณเอง”
    คนผู้นี้กำลังสนุกสนานกับความสำเร็จทางด้านวัตถุพื้นฐานที่ออกแรงความพยายามทางกายภาพน้อยลง ทุกสิ่งล้วนได้มาอย่างง่ายดายกว่าที่เคยเป็นมา
    คนผู้นี้เริ่มที่จะรักและเชื่อมั่นในพลังอำนาจภายในตัวตนของเขาหรือเธอมากกว่าที่เคยเป็น
    “นี่คือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของการค้นพบพลังอำนาจภายใน”
    <O:p</O:p
    LEVEL 8 or YEAR 8 : ระดับที่ 8 หรือ ปี 8
    บุคคลที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้ตระหนักรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาหรือเธอในฐานะมนุษย์ผู้มีการเดินทางของจิตวิญญาณ
    คุณรู้แล้วว่า บัดนี้ชีวิตคุณได้ก้าวขึ้นไปอีกระดับขั้นแล้ว คุณได้ก้าวเข้าถึงทั้งหมดของร่างกายและจิตใจอย่างเต็มที่ และธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณของคุณแผ่แสงระดับที่สูงขึ้น
    ความปรารถนาของคุณได้รับการเติมเต็ม และอาจจะเป็นโอกาสที่คนธรรมดาอื่นๆจะประหลาดใจและถูกดึงดูดเข้าหาคุณเพื่อขอรับแนวทางและคำปรึกษา
    ในระดับขั้นนี้ คุณจะมีพลังอำนาจสมบูรณ์แบบอย่างเห็นได้ชัด หรือบรรลุความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นทางวิทยาศาสตร์ ( อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์) ทางกีฬา (ไทเกอร์ วู๊ด,ไมเคิล จอร์แดน) ทางดนตรี (โมซาร์ท) ทางศิลปะ (ลิโอนาร์โด ดาร์วินชี่) ทางวรรณกรรม (เช็คสเปียร์)ทางุรกิจ ( บิล เกต) หรือชีวิตส่วนตัวของบุคคลอื่นๆฯลฯ...
    คุณเป็นดาวจรัสแสง และเป็นผู้ชนะในวิชาชีพของคุณและในโลกส่วนตัวของคุณ และคนอื่นๆทั่วไปจะคิดว่า คุณมักโชคดีอยู่เสมอๆ โลกนี้เป็นดั่งน้ำจิ้มของคุณ และคุณก็เริ่มที่จะเป็นจ้าวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวิชาชีพคุณและในชีวิตส่วนตัวของคุณ
    คุณจะไม่ดึงดุดผู้คนที่รู้จักคุณเมื่อคุณอบู่ในระดับคลื่นความถี่แห่งจิตสำนึกที่ต่ำ
    ในระหว่างที่อยู่ในระดับนี้ คุณจะเข้าใจประกายแห่งแสงสว่างใหม่ๆจากคำสอนจริงแท้แห่งบรรพกาล
    “นี่คือผู้ยิ่งใหญ่ จ้าวแห่งอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัว”

    LEVEL 9 or YEAR 9 : ระดับที่ 9 หรือปีที่ 9
    คุณจะถูกชักนำเข้าสู่พลังอำนาจแห่งดวงตาที่สาม คุณเริ่มที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ไม่มีศาสนาหากทว่าสรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียว
    คุณรู้และเข้าใจว่า เอกภพอยู่ภายในตัวตนของคุณ โดยไม่จำต้องยึดมั่นความรู้จากภายนอก คุณรู้ว่า พระเจ้า/จิตแห่งพุทธะอยู่ภายใน หาใช่ภายนอกไม่
    คุณมองว่า กายเนื้อของคุณเป็นดั่งวัด/โบสถ์ และใช้เวลาไปกับการปฏิบัติสมาธิ/ความสงบเงียบมากกว่าที่จะออกไปข้างนอก คุณได้น้อมใจคุณเข้าสู่พระเจ้า/จิตแห่งพุทธะภายในของคุณอย่างสมบุรณ์พร้อม คุณนับถือเพียงพระเจ้า/พระพุทธะภายในตัวตนของคุณเท่านั้น
    คุณเริ่มที่จะเข้าใจว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ คุณตระหนักว่า วัตถุธาตุและจิตวิญญาณล้วนเป็นหนึ่งเดียวและเป็นสิ่งเดียวกัน
    คุณกำลังเข้าใจดีว่า คุณคือจิตวิญญาณ/จิตสำนึกที่มีกายเนื้อ/พาหนะยนต์นี้เพื่อหาประสบการณ์ชีวิตบนโลก
    คุณยึดมั่นในพระเจ้า/พระพุทธะที่อยู่ภายในตัวตนของคุณเพื่อความรู้ ปัญญาญาณ และพลังอำนาจ
    คุณได้รับความสำเร็จอย่างสูงสุดทั้งโลกทางวัตถุและโลกแห่งจิตวิญญาณ คุณกำลังสนุกสนานกับวัตธาตุโดยปราศจากการสูญเสียและยึดติดกับโลกทางวัตถุอีกแล้ว
    คุณรู้ความลับและศาสตร์แห่งชีวิตอย่างละเอียดลึกซึ้ง คุณรู้ความลับแห่งตัวตนและเอกภพ และวิทยาการแห่งการรังสรรค์ชีวิต คุณเรียนรู้ที่จะปรับและใช้มันเพื่อความงอกงามแห่งวัตถุธาตุและจิตวิญญาณ คุณเต็มไปด้วนความสงบสุขและพลังอำนาจและความมั่งคั่ง
    จิตสำนึกของคุณแข็งแกร่งอย่างเต็มที่ และพลังงานของคุณก็เปี่ยมด้วยพลังอำนาจ ฉะนั้นความสามารถของคุณต่อเจตนารมณ์ทางวัตถุธาตุก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว โลกทั้งใบล้วนเป็นภาพมายาและคุณรู้ถึงวิธีการผสมผสานสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามใจปรารถนาของคุณอย่างง่ายดาย ไม่จำต้องใช้ความพยายามมากนัก และเต็มด้วยความเบิกบานใจ
    คุณกำลังเริ่มพัฒนาทักษะพื้นฐานที่พิเศษไปยิ่งขึ้น เช่น...การอ่านใจคน การเห็นสิ่งของ ผู้คน สถานที่โดยไม่ต้องอาศัยตาเนื้อทางกายภาพ การมองเห็นในระยะไกล การรับส่งความคิด (โทรจิต) การเห็นแสงออร่า การพูดสื่อสารกับสัตว์และต้นไม้ ฯลฯ
    “นี่คือ ผู้ยิ่งใหญ่จ้าวแห่งโลกแห่งวัตถุธาตุ”
    <O:p</O:p
    LEVEL 10 or YEAR 10: ระดับที่ 10 หรือ ปี 10
    คุณคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งพิภพ มีอำนาจเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งปวงและเหนือกว่าพลังแห่งธรรมชาติ<O:p></O:p>
    คุณมีความสามารถที่จะแบ่งร่างแห่งจิตวิญญาณ/จิตสำนึก และมองเห็นพร้อมกันสองที่ในเวลาเดียวกัน
    ความสามารถที่จะแปลงพลังงานพิสุทธิ์ให้อยู่ในรูปที่จับต้องได้ ความสามารถที่จะเหาะเหินเดินอากาศ ความสามารถที่จะอยู่ในสองที่ขณะเดียวกัน การเรียกฝน การล่องหน การหยุดความตาย การรักษาคนตาบอดให้หาย การเดินบนน้ำและบนอากาศ การเดินทะลุกำแพง การเป็นอมตะฯลฯ ...เหล่านี้ล้วนเป็นธรรมชาติและธรรมดาสำหรับคุณ (มันอาจเป็นความมหัศจรรย์ระดับพิสดารสำหรับคนที่มีระดับขั้นที่ต่ำกว่าคุณ)
    คุณไม่มีความปรารถนาในชีวิตแห่งวัตถุธาตุอีกต่อไปและเริ่มที่จะแยกตัวออกจากสังคมสาธารณะและไปและใช้ชีวิตอย่างสันโดษในป่า/ทะเลทรายเพื่อทำสมาธิและวิปัสสนา
    “นี่คือผู้ยิ่งใหญ่ จ้าวแห่งโลกธรรมชาติ”
    <O:p</O:p
    LEVEL 11 or YEAR 11: ระดับที่ 11 หรือ ปี 11
    คุณได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกวัตถุธาตุ โลกแห่งวิญญาณ และโลกแห่งธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ
    คุณรู้ว่า คุณยังมีพี่น้องชายหญิงอีกนับไม่ถ้วนจากโลกอื่น ระบบสุริยะอื่น,แกแล็คซี่อื่น,มิติอื่น,เอกภพอื่น,เอกภพอีกหลากหลายและทั้งจักรภพ อันถือกำเนิดมาจากความว่างเปล่า(พ่อ/แม่ผู้ให้กำเนิดแต่แรก) และแบ่งปันกฎแห่งเอกภพเช่นเดียวกัน หากเพียงแต่แตกต่างในพาหะยนต์เท่านั้น
    คุณรู้ตัวดีว่า ยังมีระดับแห่งเอกภพที่มากกว่าระดับบนโลกนี้นักในสถานะของจิตวิญญาณ/จิตสำนึกผู้ยิ่งใหญ่แห่งระดับนี้จะสามารถเคลื่อนย้ายตนเข้าไปสู่โลกอื่นที่ตั้งอยู่ห่างไกลโพ้นได้และกลับมาได้อย่างตามใจ
    คุณอาจจะคงและเคลื่อนย้ายร่างกายเนื้อเข้าไปสู่ภายในโลก (แชมบาล่าห์ หรือ อการธ่า)หรืออาจจะไปเที่ยวดาวพระศุกร์ หรือ ดาวเนปจูน หรือระบบสุริยะจักรวาลอื่นๆได้
    ผู้ยิ่งใหญ่นี้มักจะถูกกล่าวขานอ้างอิงในวรรณกรรมลึกลับ เวทย์มนต์ (เช่น เรื่อง ลอร์ดออฟเดอะริง มนต์วิเศษแห่งพ่อมดเมอร์ลิน ฯลฯ) และในงานเขียนแห่งบรรพกาลต่างอยู่ในระดับแห่งการพัฒนาวิญญาณระดับนี้
    “นี่คือพระผู้เป็นเจ้าแห่งโลก”

    LEVEL 12 or YEAR 12: ระดับที่ 12 หรือ ปี 12
    จิตวิญญาณ/จิตสำนึกพร้อมด้วยกายเนื้อ/พาหนะยนต์นี้ได้ตระหนักรู้ความเป็นจริงแห่งตัวตนที่แท้จริงของตนเองในฐานะแห่งจิตวิญญาณ/จิตสำนึกอย่างเต็มที่สมบูรณ์แบบ 100%
    เมื่อคุณก้าวเข้าสู่ระดับนี้ คุณคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และพิภพ หรือบรรลุความรู้แจ้งแห่งความเป็นไป (ตระหนักรู้/รู้แจ้งอย่างแน่ชัด/สมบูรณ์พร้อม)
    มีองค์ผู้รู้แจ้งอย่างมากมาย บ้างก็มีชื่อเสียงมากกว่าองค์อื่นๆ องค์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในศตวรรษใหม่นี้คือ มหาอวตารบาบาจิ พระราม พระกฤษณะ พระพุทธเจ้า พระเยซู ฯลฯ และองค์อื่นๆอีกมากมาย
    จิตวิญญาณ/จิตสำนึกที่ก้าวเข้าสู่ระดับนี้ได้ตื่นขึ้นสู่ศักยภาพที่เต็มพร้อมบริบูรณ์(พลังแห่งความรักและปัญญาญาณ)จากภายใน
    หลังจากรู้แจ้งแล้ว บางท่านได้เลือกเส้นทางที่จะไปสู่ความว่างเปล่า หรือไปสู่การผจญภัยในโลก/แกแล๊คซี่/เอกภพอื่น หรือเลือกที่จะอยู่บนโลกอย่างเป็นอมตะหรือ...ฯลฯ...(ความเป็นไปได้ไม่มีขีดจำกัดและไม่จบสิ้น)
    “นี่คือการตื่นรู้หรือระลึกตัวตนอันแท้จริงแห่งเขาหรือเธออย่างบริบูรณ์และสมบูรณ์แบบ”
    ปล. เราต่างก็อยู่ในวิวัฒนาการ/พัฒนาการ/เดินทางแห่งจิตวิญญาณไม่ว่าเราจะรู้ตัวเราหรือไม่ก็ตาม ถ้าเช่นนั้น คุณผู้อ่านที่รักของผม คุณอยู่ในระดับขั้นใดและระดับขั้นใดที่คุณต้องการจะก้าวไปถึงในช่วงชีวิตนี้ ???
    ปปล.นี่คือระดับขั้นความแตกต่างของการเดินทางแห่งจิตวิญญาณบนโลกนี้โดยมีเค้าโครงจากมุมมองของโรงเรียนแห่งบรรพกาลเท่านั้น...

    [ขอขอบคุณ คุณ sarissa สำหรับเวอร์ชั่นภาษาไทยครับ]
    [รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในระดับที่ 6 เองง่ะ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2008
  8. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
     
  9. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    คุณวิกกี้กายนี่ใจตรงกับจินตวดีเลยนะ เพราะนึกถึงสิ่งที่คุณอวตารบอยเคยโพสต์ไว้เช่นกัน ทุกอย่างมันถูกจัดวางไว้จริง ๆ จินตวดีได้ขอนำข้อความคุณนักเขียนข้างบนไปวางไว้ในห้องอื่นให้เขาได้ศึกษากันบ้าง เพราะในท้ายที่สุดทุกคนก็คงจะค้นพบเองว่า "ทุก ๆสาย ล้วนเป็นหนึ่งเดียว" มันทำให้คิดถึงกลอนซึ่งครั้งหนึ่งเคยแต่งเอาไว้ ซึ่งเป็นการแต่งโด่ยเกิดจากความรู้สึกข้างใน ซึ่งครั้งนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นจริงได้เช่นนี้ อุบัติเหตุ หรือเหตุบังเอิญ ไม่มีในโลกจริง ข้างล่างนี้เอามาจากที่จินตวดีโพสต์ในห้องเขากะลา เห็นว่าเกี่ยวเนื่องกันดี
    ..........................................................................................

    หลังจากได้รับทราบและขยายระบบพอสมควร ก็ได้นำมาประมวลกับของเก่าที่เราเคยศึกษามาไม่ว่าจะเป็นสายความฝันของท่านอาจารย์โนวาอนาลัย ไม่ว่าจะเป็นของคุณอวตารบอย หรือ การฝึกสติปัฐฐานสี่ ในสายมหาสติปัฐฐานของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่สติสัมปชัญญะประมวลได้ทำให้ค้นพบอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น คือการให้มีสติจับอยู่กับปัจจุบัน ให้มีสติระลึกรู้ถึงการทำงานของขันธ์ แต่ไม่ให้คิดว่า เราเป็นผู้กระทำ หรือ เราเป็นเจ้าของขันธ์หรือภาวะทางกายภาพนั้น แต่ให้เราเป็นแค่เพียงผู้ติดตามดูมันทำงานเท่านั้น (ซึ่งเรื่องนี้มีระบุไว้ในห้องของคุณอวตารบอย และ อาจารย์อนาลัยเช่นกัน)อันนี้คือให้เป็นผู้ติดตามดูทั้งในภาวะทางกายภาพ (ขันธ์ห้า) และจินตภาพ (ความฝัน) คือมีสติดู + ติดตามเฉยๆ อย่างนี้จึงเรียกว่า เป็นผู้ดูร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นจินตวดีก็ได้นำมาฝึก คือพยายามแยกจิตส่งออกข้างนอกเป็นแค่ผู้ดู แรก ๆ ก็ติดขัดบ้าง มีสติแป๊บเดียว เดี๋ยวลืมอีกแล้ว แต่พอนึกได้ก็จะลองพยายามทำอย่างพี่สุดใจสอนอีก ปรากฏว่าทำไปทำมา พฤติกรรมปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คือ จากเป็นคนสมาธิสั้น โกรธง่าย โมโหง่าย ก็เบาลง จนแทบไม่มี พอเริ่มจะโกรธ สติเราคอยดูอยู่แล้วนี่ เรารู้ทันมัน ก็คือดูให้เห็นว่ามันกำลังโกรธ แต่ไม่ไปปรุงแต่งมันต่อ ไม่ไปจับที่อารมณ์นั้นต่อ เดี๋ยวมันก็หายเอง เช่นเดียวกับสุขภาพ อันนี้ระบบจัดให้เช่นกัน สมัยก่อนมันเครียดมาก มันเอาแต่ทุกข์มาสุมไว้ ร่างกายมันคงหลั่งสารที่ให้ผลลบกับร่างกายเยอะ มันเลยป่วย โดยเฉพาะกรดในเลือดนะ เคยไปเจาะ หมอร้องโอ้โหเลย ทุกวันนี้เข่าไม่ดี กรดมันเยอะ ระบบฮอร์โมนเสียหาย ดูสิยังไม่สี่สิบเต็มเลย วัยทองถามหาเราซะแล้ว เคยลองถามระบบ มีวิธิแก้ไหม วันนี้ระบบให้พี่สุดใจตอบคำถามเองเลย เพราะถ้าเราทำตามที่เขาสอนแล้ว รู้จักกำหนดเป็น รู้เท่าทันทุกข์นั้น เราก็ไม่ทุกข์ จิตของเราจะมีความเมตตาเป็นบรรทัดฐานโดยอัตโนมัติ ร่างกายก็จะหลั่งสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โรคภัยต่าง ๆ เดี๋ยวมันจะคลายไปเอง ทุกวันนี้จินตวดียังมีผื่นขึ้นอยู่บ้าง แต่ไม่หนักหนาเหมือนเดิมแล้ว และก็ไม่ทุกข์ด้วย เพราะเชื่อว่า ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป เมื่อมันเกิดขึ้น มันอยู่บนผิวเรา เดี๋ยวมันก็หายเอง สรุป ผื่นมันน้อยลงนะ มันน้อยตามการปล่อยวางของเราจริง ๆ (เหมือนอาจารย์อนาลัยบอกไว้ จดจ่ออย่างไรได้อย่างนั้นไม่มีอย่างอื่น ถ้าวางการจดจ่อได้ ย่อมไม่มี)
     
  10. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ของข้าพเจ้าคงประมาณ 5-6 ประมาณนั้น -_-
     
  11. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    คิดถึงพี่นักเขียน คิดถึงทุก ๆ คนค่ะ ช่วงนี้ไม่ได้เข้ามานาน วันนี้แว้บมาซะหน่อย
    ไล่ ๆ อ่านระดับที่พี่ ๆ กำลังคุยกันอยู่ น่าจะเป็นระดับ5นะ เริ่มเปิดใจเรียนรู้ แต่ยังไม่ยอมหมั่นศึกษาค้นคว้าซะที

    LEVEL 5 or YEAR 5 : ระดับที่ 5 หรือ ปี 5
    บุคคลที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้ตระหนักว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาหรือเธอในฐานะแห่งมนุษย์ปุถุชนผู้ซึ่งมีการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ
    คนผู้นี้กำลังฝีกฝนตามแนวทางของศาสนา ปรัชญาและความเชื่อของเขาหรือเธอ และภาวะจิตของเขาหรือเธอเติมเต็มด้วยความรักและความเข้าใจ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่ถึงเป้าหมายแห่งจิตวิญญาณอยู่ดี
    คนผู้นี้ยังมีข้อลังเลสงสัยในคำสอนและศาสนาและการฝึกฝนแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาด้วยว่ามีหลายๆคำถามในชีวิตและเอกภพที่ศาสนา ปรัชญาและความเชื่อดั้งเดิมของเขาหรือเธอไม่อาจตอบและอธิบายได้
    อย่างไรก็ดี คนผู้นี้ก็ยังคงเชื่อในศาสนา ปรัชญาและความเชื่อดั้งเดิมเช่นเดิม เพียงแต่ว่า มันยังคงมีบางสิ่งที่ขาดหายและคับข้องใจและไม่สมบูรณ์เต็มที่นักในภาวะจิตระดับผิวเผิน
    คนผู้นี้เริ่มเปิดใจกว้างเพียงพอและรู้สึกว่า ทุกศาสนาล้วนมีเป้าหมายสุดท้ายคือสอนคนให้เป็นคนดี
    คนผู้นี้กล้าหาญและไม่เกรงกลัวและเปิดภาวะจิตและเปิดหัวใจเพื่อความรู้ใหม่ๆ (จากศาสนาอื่น ปรัชญาอื่น ความเชื่ออื่น และยังรวมถึงความรู้จากภายนอกโลกเช่น จิตวิญญาณ/จิตสำนึกที่อยู่โลกอื่น /มิติอื่น/ แกแล๊คซี่อื่น /เอกภพอื่น และที่อยู่ไกลโพ้นออกไปอีก)แม้ว่ามันอาจจะแตกต่างไปจากศาสนา ปรัชญาและความเชื่อแต่ดั้งเดิมของเขาหรือเธอก็ตาม
    คนผู้นี้เริ่มมองเห็นถึงแนวคิดที่คล้ายคลึงกัน หรือขยายกว้างออกไปในศาสนา ปรัชญาและความเชื่ออื่นๆ และตัวตนของเขาหรือเธอ
    คนผู้นี้อาจจะสนใจในความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และปรัชญาใหม่ๆ และแสวงหาและค้นหาและทดลองและเปรียบเทียบเพื่อค้นหาความจริงเพื่อตอบข้อสงสัยและความเข้าใจของเขาหรือเธอให้สมบูรณ์
    “นี่คือการเริ่มต้นแห่งการเปิดใจและเริ่มต้นผจญภัยกับความรู้ใหม่ๆที่ไกลออกไปกว่าสิ่งดั้งเดิมแห่งเขาหรือเธอ”
     
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เป้าหมายของการฝึกสมาธิ

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ หรือการฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัดว่า เป็นการฝึกที่จะขยายสติสัมชปัญญะ ให้สามารถทำหน้าที่ได้สองหน้าที่พร้อมๆกันคือ

    1. สติสัมปชัญญะส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กระทำ
    2. สติสัมปชัญญะอีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์


    ตามปกติแล้ว เราจะคุ้นเคยกับการมีสติสัมปชัญญะที่รู้เห็นการกระทำทั้งหลายของตนเอง ที่เป็นไปอย่างอัตโนมัติ เช่น รู้เห็นการหายใจของตนเองว่าเป็นไปอย่างอัตโนมัติ รู้เห็นการรับประทานอาหาร การเคลื่อนไหวร่างกาย ฯลฯ ซึ่งเป็นไปโดยที่เราไม่ต้องใช้ความพยายามที่ละขั้นตอน แม้ว่ามันจะทำให้ชีวิตของเราสะดวกง่ายดาย ไม่ต้องเสียเวลามากมายไปกับการคิดคำนวณว่า เราจะต้องหายใจนาทีละกี่ครั้ง เดินกี่ก้าวจึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง และจะใช้กล้ามเนื้อส่วนใดบ้างที่จะนำพาร่างกายของเราให้เคลื่อนไหวได้ตามต้องการ

    แต่ความสะดวกและเป็นไปโดยอัตโนมัติเหล่านี้ ก็ให้ผลเสียต่อเราเป็นอันมาก เพราะพฤติกรรมอันเป็นอัตโนมัติของตนเอง ที่กระทำซ้ำต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัวอยู่ทุกวันเวลา ทั้งยามตื่นและยามหลับ อาจทำให้เราไม่รู้เห็นถึงอิริยาบทบางอิริยาบท ที่เราทำร้ายตนเองระดับกายภาพ เช่น ท่ายืน เดิน นั่ง นอน ที่อาจจะก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดขา การรับประทานอาหารอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยขาดการพิจารณาถึงคุณค่าหรือโทษ ตลอดจนปริมาณของอาหารที่เรารับประทาน

    ในระดับจินตภาพ เราแต่ละคนก็มีนิสัยในการใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดไปในทิศทางที่เป็นอัตโนมัติไม่น้อยไปกว่ากัน เช่น บางคนมีนิสัยคิดในแง่ลบเป็นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเผชิญกับประสบการณ์ใด ก็มักจะมีความคิดในแง่ลบ คือคิดถึง worst case scenario หรือ นึกคิดและจินตการถึงผลสืบเนื่องในทิศทางที่เลวร้ายที่สุดที่จะเป็นไปได้ โดยไม่ได้ตระหนักว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น เป็นต้นกำเนิดของสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นตามมา มันไม่เป็นเพียงความคิดที่ปราศจากตัวตน

    การฝึกสมาธิทำให้เราสามารถหยุดยั้งการกระทำ และการคิดที่เป็นอัตโนมัติเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย โดยขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ความสามารถที่จะหยุดยั้งการกระทำและการคิดที่เป็นอัตโนมัติเหล่า ทำให้เรามีสติสัมปชัญญะที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำ หรือเป็นหนึ่งเดียวกับการกระทำ และตระหนักได้ว่า เรากำลังทำ หรือ คิดสิ่งใดอยู่
    การกระทำและความคิดเหล่านั้น จึงกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปโดยเจตนา ไม่ใช่เป็นไปโดยอัตโนมัติอีกต่อไป

    แต่การกระทำและความคิดที่ควบคุมได้ด้วยสติสัมปชัญญะอันเป็นหนึ่งเดียวกับการกระทำ เป็นไปโดยเจตนา ก็ยังไม่ใช่ระดับของสติสัมปชัญญะที่สามารถป้องกันหรือแก้ไขความผิดพลาดอื่นๆได้อย่างเต็มร้อย เพราะมันยังคงเป็นไปด้วยเจตนาที่คล้อยตามความเชื่อ เป็นไปด้วยอารมณ์ - จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อ ไม่ใช่เจตนา หรือ ด้วยอารมณ์ - จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไป-ตามความรู้

    เราจึงจำเป็นต้องฝึกสมาธิ เพื่อทำให้สติสัมปชัญญะสามารถจะแตกแขนงออกไปอีกส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นผู้สังเกตการณ์ ที่รู้เห็นการกระทำและความคิดและเจตนาของตนเอง ได้จากมุมมองอื่นๆ นอกเหนือไปจากมุมมองที่ตนเองเป็นศูนย์กลาง หากปราศจากมุมมองอื่นๆ เราจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ตลอดจนผู้อื่นได้ดีพอ และมักเห็นทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมองเพียงมุมเดียว คือมุมมองซึ่งมีตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าเราจะเรียกตนเองว่าเป็นผู้มีคุณธรรม มีศึลธรรมและพยายามดำเนินวิถีชีวิตที่ตั้งอยู่ในความดีเพียงใดก็ตาม หากความคิดและเจตนาของเราคล้อยตามความเชื่อ เราก็จะไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่า เราอาจจะขาดคุณธรรม หรือขาดความยุติธรรม หรือขาดความรู้ที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆได้ตามความเป็นจริง

    ____________________________________________________________

    เรามักจะคุ้นเคยกับการมีสติสัมปชัญญะส่วนที่ทำหน้าที่เป็นผู้กระทำ แต่เพียงส่วนเดียว ต่อเมื่อเราฝึกฝนหรืออบรมตนเอง เราจะมักจะมีสติสัมปชัญญะส่วนที่ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ แต่ถ้าหากเราพิจารณาตนเองให้ลุ่มลึกไปกว่านั้นอีก เราอาจจะพบได้ว่า เมื่อเราก้าวล่วงไปสู่การมีสติสัมปชัญญะส่วนที่ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ เราอาจขาดสติสัมปชัญญะส่วนที่เป็นผู้กระทำไปโดยสิ้นเชิง และบ่อยครั้ง หากเราจดจ่อกับการกระทำและความคิดอย่างยิ่งยวด เราก็จะขาดสติสัมปชัญญะส่วนที่ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ไปโดยปริยายเช่นกัน

    เพราะเรายังคงคุ้นเคยอยู่กับการมีสติสัมปชัญญะเพียงส่วนเดียว และทำหน้าที่เพียงหนึ่งหน้าที่ในขณะจิตหนึ่งๆ

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า การฝึกฝนที่จะทำให้สติสัมปชัญญะของเราสามารถขยายตัวได้ จำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อทำให้สติสัมปชัญญะทั้งสองส่วนคือ ส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กระทำ และอีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ทำงานได้พร้อมๆกัน

    ภาวะดังกล่าว จะทำให้เราปราศจากวิตกวิจารณ์ อันเกิดจากมุมมองส่วนบุคคลเพียงมุมมองเดียว และขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลเพียงแง่มุมเดียว เพราะสติสัมปชัญญะที่ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์จะเป็นส่วนที่มองสถานการณ์เดียวกันนั้น จากมุมมองอื่นๆ จากความเชื่ออื่นๆ เช่น จากมุมมองของผู้อื่น มุมมองของสถานการณ์และความเป็นไปได้อื่่นๆ ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจสถานการณ์หนึ่งได้ในภาพรวมที่กว้างขึ้น และตระหนักได้ถึงความต้องการของผู้อื่นได้ไม่น้อยไปกว่าความต้องการของตนเอง และทำให้เราสามารถเปลี่ยนความเชื่อส่วนบุคคล และความเชื่ออื่นๆ เป็นความรู้ได้ในที่สุด

    ____________________________________________________________

    ไม่ว่าเราแต่ละคนจะใช้สิ่งใดเป็นปัจจัยในการจดจ่อเพื่อฝึกสมาธิ หากเราเข้าใจในกระบวนการ และเป้าหมายของการฝึกฝนได้อย่างถ่องแท้ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราย่อมจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ไม่น้อยไปกว่ากัน สิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการฝึกฝน คือ การสำรวจความเชื่อของตนเอง และการสำรวจภาวะจิตของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

    จิตวิญญาณมีธรรมชาติอันเป็นหนึ่งเดียว การวินิจฉัยว่าตนเองมีภาวะจิต หรือจิตวิญญาณอยู่ในระดับใด หรือมีสติสัมปชัญญะอยู่ในระดับใด เป็นสิ่งที่ปราศจากความหมาย เพราะจิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะไม่เคยอยู่นิ่ง และอยู่ในภาวะที่กำลังเป็นไป พร้อมด้วยการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดวันเวลา อย่างไม่มีวันสิ้นสุด กล่าวได้ว่า จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของสติสัมปชัญญะไปสู่ระดับต่างๆตลอดวันเวลา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของสติสัมปชัญญะไปสู่ทุกระดับ - พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้นๆ พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน
    [​IMG]
    ไม่ว่าจะมีผู้แบ่งระดับชั้นจิตวิญญาณมากมายเพียงใด พี่นักเขียนหวังว่า เมื่อเราเข้าใจได้ถึงต้นกำเนิดอันเป็นหนึ่งเดียวของจิตวิญญาณ เราจะตระหนักได้ถึงธรรมชาติความเป็นจริงที่ว่า เราต่างก็มีภาวะจิต หรือระดับของจิตวิญญาณ และมีสติสัมปชัญญะระดับต่างๆคละเคล้ากันในแต่ละบุคคล ไม่มีจิตวิญญาณหน่วยใด มาถือกำเนิดเป็นเอกเทศ แปลกแยกไปจากต้นกำเนิด โดยมีคุณลักษณะด้อยกว่า-เด่นกว่า ดีกว่า-เลวกว่า ทุกหน่วยย่อยติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนและถ่ายทอดและเกื้อกูลซึ่งกันและกันเสมอ(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2008
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Quiz :)

    พี่นักเขียนขอเชิญชวนให้พวกเรามาร่วมกันสนทนา และแสดงความคิดเห็นและความเข้าใจเกี่ยวกับสาระของสมาธิร่วมกัน โดยจะขอเริ่มต้นด้วยการตั้ง
    คำถามว่า :
    1. เป้าหมายของการทำสมาธิที่แท้จริงนั้น คืออะไร ?
    2. อุปสรรคที่จะขวางกั้นไม่ให้เราบรรลุเป้าหมายนั้นได้ คืออะไร ?
    3. เราจะกำจัดอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างไร ?


    พี่นักเขียนเชื่อว่า การตอบคำถามเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับสติสัมปชัญญะของเราได้มากขึ้น และตระหนักได้ว่า เราควรจะทำอะไรกับมัน อย่างไร และเพื่ออะไร
     
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    การแบ่ง ระดับการระลึกรู้ของจิตวิญญาณ เคยได้อ่านมาแล้วครับคุณเวกกี้ฯ
    ก็ช่วยให้มองเห็นการพัฒนาทางจิตวิญญาณผ่านมุมมองแบบจิตมนุษย์ได้ชัดขึ้น
    มองเห็นเป็นภาพสะท้อนอย่างง่ายๆ ที่ทำให้บางคนเห็นแล้วก็รึบปฎิบัติเร่งพัฒนา-บางคนเห็นก็อาจนิ่งเฉยอยู่

    หากคุณสมบัติแท้จริงของจิตวิญญาณทุกๆหน่วยเป็นสภาวะเดียวกับพลังงานต้นกำเนิดจริง
    ระดับของความแตกต่างก็ย่อมไม่มีนะครับ ทุกๆดวงจิตย่อมมีสภาวะเท่าเทียมกัน มีแก่นแท้เหมือนกัน หรือถ้าจะแตกต่างก็คงเป็นคลื่นความถี่ของจิตวิญญาณในหน่วยย่อยที่มีประสบการณ์แตกต่างกันไป ความเร็ว-ความไวในการสั่นสะเทือนแตกต่างกัน การดึงดูดที่แตกต่างกัน ว่าไปแล้วก็มีความละเอียดซ้อนจริงๆครับเรื่องจิตวิญญาณ การฟื้นคืนกลับสู่จิตเดิมแท้อย่างสมบูรณ์ต้องใช้สติ-สัมปชัญญะที่ผ่านการฝึกฝนเป็นตัวช่วยครับ เป็นการเหวี่ยวหมุนสติให้เกิดความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆจนหยุดนึ่ง-ไร้การสั่นสะเทือน..(อันนี้จินตนาการไปว่าจะคล้ายๆกับการประมวลผลของ CPU ในชิปคอมพิวเตอร์รึเปล่าที่พัฒนาความเร็วให้สูงขึ้นเรื่อยๆ)

    ที่พี่นักเขียนฯถามเดี๋ยวมาตอบครับ เพื่อนๆมาตอบล่วงหน้าไปก่อนเลยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2008
  15. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    เห็นด้วยกับคุณพี่นักเขียนและคุณMeadครับ

    สำหรับข้าพเจ้ามีความเห็นว่าว่าระดับการระลึกรู้ของจิตวิญญาณนั้นไม่ได้อยู่ที่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณเปรียบเหมือนไข่แดง ส่วนความเชื่อต่างๆทางกายภาพก็เปรียบเหมือนเปลือกไข่ เราต้องกระเทาะเปลือกของไข่ก่อนถึงจะเข้าถึงไข่แดงได้ ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะกระเทาะเปลือกไข่อย่างไร และด้วยวิธีใด (อันนี้น่าจะเกี่ยวกับคำถามและคำตอบของคุณพี่นักเขียนนะครับ)

    สำหรับคำถามของคุณพี่นักเขียนข้าพเจ้าขอติดไว้ตอบวันจันทร์นะครับ เพราะตอนนี้ข้าพเจ้าติดภาระกิจอยู่ครับกระผม
     
  16. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    มาตอบการบ้านพี่นักเขียน...ค่ะ
    1. เป้าหมายของการทำสมาธิที่แท้จริงนั้น คืออะไร ?
    ตอบ เพื่อฝึกฝนให้มีสติสัมปชัญญะ ที่คมชัด ในทุกขณะ

    2. อุปสรรคที่จะขวางกั้นไม่ให้เราบรรลุเป้าหมายนั้นได้ คืออะไร ?
    ตอบ ความเชื่อที่ไม่สนับสนุน เป้าหมายนี้

    3. เราจะกำจัดอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างไร ?
    ตอบ เปลี่ยนความเชื่อเหล่านี้ ด้วยการพิจารณา ถึงผลของมัน

    เอ่อ...ไม่ทราบว่าคำตอบของkindred จะสั้นเกินไปรึเปล่าคะ เป็นการสรุปดูสั้นๆประมาณนี้ ค่ะ
     
  17. cottonn

    cottonn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +0
    เชิญชวนพี่ๆทุกท่าน ร่วมทานเจปีนี้ค่ะ เริ่มวันที่ 29 กันยายน ถึงวันที่ 8 ตุลาคมนะค่ะ

    ขอบคุณพี่ mead นะค่ะ สำหรับคำอธิบาย


    ตอบคำถามพี่นักเขียนค่ะ

    ข้อ 1. ตอบว่า เพื่อให้มีสติสัปชัญญะอยู่ตลอดเวลาค่ะ เมื่อจิตใจจดจ่อมีสมาธิ สิ่งที่ทำก็จะสำเร็จและมีคุณภาพ

    ข้อ 2. ตอบว่า ต้องรุ้สาเหตุของจิตใจที่ขาดสติและสมาธิ ไม่ได้จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำ อาจเกิดจากความขัดแย้งกันภายในจิตใจทำให้คิดเรื่องอื่นๆอ่ะค่ะ สิ่งที่ทำก็ไม่สำเร็จ หรืออาจด้อยคุณภาพ ถ้ารู้สาเหตุก็จะแก้ปัญหาได้ค่ะ

    ข้อ 3. ตอบว่า การแก้ปัญหา หนูคิดว่าสาเหตุของแต่ละคนแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือมองให้ออกว่าอะไรคือปัญหามากกว่าค่ะ เพราะบางคนอาจมองข้ามปัญหานั้นไปทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้นะค่ะ

    หนูว่าตอบแบบแนวแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์เลยนะนี่ แหะๆ แบบงานวิจัย

    เหตุผลที่ต้องการทำงานนี้เพื่ออะไรอันนี้สำคัญสุดค่ะเพราะเราจะได้รู้เป้าหมายคือต้องการศึกษาอะไรนั่นเอง

    แล้วก็เริ่มทดลองปัจจัยหลักคือสิ่งที่เราทำการศึกษา ทีนี้ในการศึกษาก็ต้องมีปัจจัยร่วมใช่มั้ยค่ะเช่นอุณหภูมิ เวลา สถานที่ เพราะการทดลองเมื่อเวลา อุณหภูมิ สถานที่ต่างกัน ผลที่ได้ย่อมต่างกันค่ะ ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุมปัจจัยเหล่านี้เพื่อไม่ให้ผลการทดลองผิดพลาด แล้วก็มีการทดลองทำซ้ำนะค่ะ จะกี่ซ้ำก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มากหรือน้อย เพื่อยืนยันผลการทดลองที่ได้อ่ะค่ะว่าถูกต้องจริงๆ


    ถ้าเป็นงานวิจัยที่ยังไม่มีใครทำนะค่ะ ปัจจัยที่ต้องศึกษาจะเยอะมากแล้วก็ต้องคอยควบคุมปัจจัยอื่นๆไม่ให้มีผลกับปัจจัยที่เรากำลังศึกษาอ่ะค่ะยากสุดๆ อาจทำให้ท้อแล้วผลการทดลองไม่ได้ตามหลักทฤษฎีที่มีคนเขียนไว้ อาจล้มเหลว ถึงยังไงก็ตามแต่ยังมีคนนำงานวิจัยที่ล้มเหลวมาศึกษาต่ออีกนะค่ะ ซึ่งงานวิจัยชิ้นหนึ่งต้องใช้ความอดทน ใช้ระยะเวลาหลายปี กว่าจะสำเร็จและผลการทดลองเป็นที่ยอมรับอ่ะค่ะ

    งงกะหนูมั้ยมาโยงกะเรื่องพี่นักเขียนได้ยังไง อิอิ

    เพราะหนูคิดว่าพี่นักเขียนต้องการให้ทุกคนเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุที่แท้จริงจะได้แก้ปัญหาได้อ่ะค่ะ และหนูคิดว่าแต่ละคนก็ต้องมีปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดปัญหาซึ่งก็ต้องพยายามควบคุมแก้ไข อดทน ฝึกฝน ไปเรื่อยๆนะค่ะ
     
  18. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    1.ทำความรู้จักตัวตนแท้ๆของตนเอง เหมือนฟื้นความทรงจำที่เราหลงลืมไปและนำตัวตนแท้ๆออกมาแสดง
    2.การไม่ค้นหาคำตอบ จากภายในของตนเอง
    3.สร้างสติสังเกตการณ์ให้มีความว่องไว ให้มีพลัง จากการเฝ้าดูพฤติกรรม อย่างเต็มที่ เต็มใจ อย่างต่อเนื่อง ทั้งยามตื่น ยามหลับ
    โดยไม่ตัดสิน เพื่อให้เห็นความจริงแท้ๆ ว่าอะไรเป็นแค่ความเชื่อ ที่ทำให้เราไม่รู้จักตนเอง และวางมันลงครับ

    ;aa22
     
  19. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    มาตอบคำถามพี่นักเขียนค่ะ ถามสั้นๆแต่ตอบย้าวยาวค่ะ

    1. เป้าหมายของการทำสมาธิที่แท้จริงนั้น คืออะไร ?

    ตอนที่ได้อ่านคำถามง่ายๆนี้ ก็นึกว่าคำตอบก็ง่ายๆเช่นกัน แต่ครั้นจรดความคิดว่า เป้าหมายที่สนใจทำสมาธิคืออะไร ทำไม
    มันทำให้ย้อนกลับไปในชีวิตหลายๆปีที่ผ่านมา ถามตัวเองว่า ทำไมเราจึงเข้ามาสู่จุดตรงนี้ได้ และเพื่ออะไร ขอสารภาพตามตรงกับพี่นักเขียนค่ะ ตอนที่ริสาเข้าสู่หนทางแห่งการเรียนรุ้เรื่องสมาธิ ก็เป็นไปเพียงค้นหาที่พึ่งทางใจ เมื่อหาจากข้างนอกไม่ได้ วางใจในสิ่งที่เราเชื่อถือมาตลอดไม่ได้ โลกภายนอกที่เชื่อมาตลอดพังทลายลง รู้สึกว่าเราแปลกแยกกับทุกคนและทุกสิ่ง จึงเป็นจุดให้มองหาหนทางอื่นเพื่อให้สามารถดำรงตัวตนบนโลกต่อไปได้ ตอนนั้นเคยคิดถึงขนาดไม่อยากจะอยู่ต่อไป เหมือนกับการล้มกระดานแล้วเริ่มเล่นใหม่ แต่ดชคดีที่ไม่ต้องล้มกระดาน มีคนแนะนำให้หาจากภายในตัวตน จึงเริ่มฝึกสมาธิ หาจากภายในตัวตนเอง
    ยิ่งค้นหายิ่งค้นพบหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงความเชื่อหลายๆอย่างพังทลายลง
    แรกๆริสาค้นหาเป้าหมาย บางทีก็ค้นหาวิธีที่จะทำสมาธิได้ดีขึ้นเผื่อว่าจะพบหนทางที่ดีขึ้น ค้นพบบางอย่างที่ดีขึ้นในชีวิตและหนทาง คำตอบที่ค้นหา

    แต่พอเวลาผ่านไปๆ กลับไม่มีเป้าหมายอย่างน่าแปลกใจ เพียงรับรู้ เรียนรู้ ทุกสิ่งคือสิ่งที่มันเป็นเช่นนั้นและเป็นเช่นนี้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่คิดที่จะค้นหาถึงหนทางที่จะทำได้ดีขึ้น นานขึ้น หรืออื่นใด
    รู้แต่ว่าเมื่อใดที่นั่งสมาธิ ราวกับว่านี่คือที่ที่สำหรับเรา I am Home! รู้สึกเช่นนี้ค่ะ ค่อนข้างที่ตัวเองขาดเป้าหมายแต่ไม่ไร้แรงจูงใจค่ะ หวั่นๆเหมือนกันว่านี่คือการหยุดนิ่งของการหลงและไม่พัฒนาต่อหรือเปล่า แต่ชีวิตและจิตวิญญาณคงจะมีหนทางของตัวเองมังคะ เราหยุดถ้าเขาจะไป เราก็คงไม่อาจขัดขวางการเดินทางของเขาได้
    รู้สึกคำตอบจะลอยคอออกทะเลไปหน่อย

    2. อุปสรรคที่จะขวางกั้นไม่ให้เราบรรลุเป้าหมายนั้นได้ คืออะไร ?
    ไม่มีเป้าหมายแต่ใช่ว่าไม่มีอุปสรรค สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าคืออุปสรรคคือ การไม่ทำตามที่ตั้งใจไว้ได้ เช่นตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิให้ได้อย่างน้อยวันละ สามชั่วโมง แน่นอนค่ะเวลาคือสิ่งสมมติ แต่มันก็เป็นตัววัดความก้าวหน้าของเราในการเรียนรู้และรับรู้ตัวตนของตัวเอง
    3. เราจะกำจัดอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างไร ?
    อุปสรรคที่ว่าข้างต้นคือตัวเอง คงต้องวางแผนกำจัดตัวเองละมังคะ พูดเล่นค่ะ
    เพราะตัวเอง ดังนั้นคงฝึกฝนต่อไปให้ทุกนาทีแห่งลมหายใจคือการฝึกสมาธิของตัวเอง ให้ตัวเองเป็นประสบการณ์ของตัวเอง ระลึกตัวตนเสมอทุกลมหายใจเข้าออกให้ได้ รักทุกนาทีของชีวิตที่มีอยู่

     
  20. soul2006

    soul2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,026
    ค่าพลัง:
    +5,169

    1. เป้าหมายของการทำสมาธิที่แท้จริงนั้น คืออะไร ?
    เป้าหมายตามความคิดของโซล ทำสมาธิก็เพื่อให้จิตใจสงบ ระงับ สมาธิเป็นรากฐานสำคัญของสติ และจะได้ใ่ช้เจริญสติ เพื่อทำให้ตัวเองมีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมคมชัดได้ทุกขณะจิต ต่อเนื่องได้ตลอดทั้งวัน เพื่อให้เห็นตามสภาพความเป็นจริงว่ากายและใจนี้มีเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่สามารถยึดถืออะไรได้เลย ไม่มีอะไรที่แน่นอน จะได้ละวางสติสัมปชัญญะภายนอกที่ใช้กับกาย เพื่อจะได้มีใจที่เป็นกลางไม่อคติ และจะได้เข้าถึงสติสัมปชัญญะภายใน จะได้เข้าใจตัวเองแล้วก็สามารถจะเข้าใจผู้อื่น ว่าคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกันเรานี้เป็นหนึ่งเดียวเชื่อมโยงกัน ทำให้ยอมรับและเรียนรู้และดำเนินชีวิตไปตามสภาพความเป็นจริงโดยไม่เกิดความขัดแย้งและเป็นทุกข์ค่ะ

    2. อุปสรรคที่จะขวางกั้นไม่ให้เราบรรลุเป้าหมายนั้นได้ คืออะไร ?
    การเจริญสติให้ต่อเนื่อง การทำความรู้สึกตัว เข้ามาที่ตัวตนคือกายสติสัมปชัญญะภายนอก และใจสติสัมปชัญญะภายในให้ต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ยากค่ะ เพราะว่ามักจะเผลอและหลงบ่อยๆ คิดโน่น คิดนี่ ทำโน่นนี่ จนลืมกายลืมใจ และการแพ้ใจตัวเอง ตามใจตัวเอง บางทีก็รู้ตัวแต่ก็ไม่ยอมทำรอไว้ก่อนอะไรแบบนี้ค่ะ เรียกว่ายังเพียรไม่พอ บางทีก็ตึงเกินไป เคร่งเกินไป ไม่มีความพอดีในการเจริญสติค่ะ .

    3. เราจะกำจัดอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างไร ?
    ต้องพยายามฝึกฝน เฝ้าเจริญสติค่ะ ทำให้เผลอและหลงน้อยลงๆไปเรื่อยๆ คือเรียกว่า ต้องหมั่นคอยรู้สึกตัวค่ะ ทำบ่อยๆ ทำให้ชิน ให้ต่อเนื่องให้ได้มากขึ้นเรื่อย ทำให้ชิน เป็นอัตโนมัติ ในระหว่างวัน ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรๆ อยู่ก็ทำความรู้สึกตัว เฝ้ามอง เฝ้าดูกายใจ ความคิดของตัวเอง อย่างตรงไปตรงมา ไม่บังคับ แล้วก็ใช้เทคนิคต่างๆ ที่พี่นักเขียนบอกมาอีกทางเพื่อเป็นการพักจิตพักใจ เช่น วาดรูป ทำสมาธิก่อนนอนเพื่อสร้างสติให้คมชัดในช่วงที่กายหลับ จะได้มีสติทั้งยามหลับและยามตื่นค่ะ ทำไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...