ถาม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 5 สิงหาคม 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันพฤหัสที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๗

    สวัสดีครับ คุณผู้อ่านชาวบางกอกที่รักทุกท่าน ผมได้รับมอบหมายให้เปิดคอลัมน์ใหม่คือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว นี้ โดยมีจุดหมายสูงสุดให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องกรรมวิบากอย่างถูกต้อง เพื่อการเดินทางที่ราบรื่นบนเส้นทางเวียนว่ายตายเกิด นับเริ่มจากชาติปัจจุบันในวันนี้ อย่างน้อยถ้าเหนื่อยต้องมีที่พัก กระหายนักต้องมีน้ำดื่ม ไม่ใช่จ้ำเดินจนลืมทาง หลงกลางป่าแต่สำคัญว่าอยู่บ้าน จึงพานให้ไม่ต้องคิดเตรียมเสบียงกัน
    ช่วงแรกๆนี้ผมจะยกคำถามที่น่าสนใจ ซึ่งผมได้รับจากผู้อ่านนวนิยายเรื่อง กรรมพยากรณ์ มาเป็นประเด็นนำร่อง จากนั้นจะนำคำถามทางจดหมายถึงกองบก.มาเสนอตามลำดับต่อไป โดยจะพยายามไขข้อข้องใจต่างๆด้วยพระพุทธวจนะเป็นหลัก เพื่อประกันว่าพวกเราจะได้รับคำตอบจากผู้น่าเชื่อถือว่ารู้ดีเกี่ยวกับกรรมวิบากมากที่สุดในโลก แต่หากมีแง่มุมของกรรมวิบากร่วมสมัยซึ่งหาไม่ได้จากบันทึกพระพุทธวจนะ ผมก็จะพยายามอาศัยสัมผัสที่ได้จากวิชา ‘รู้ตามจริง’ ของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องมือสำรองกรองคำตอบตามสมควร

    -----------

    ถาม – วิบากกรรมมีจริงหรือ?

    ตอบ
    หลายท่านที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟทะยานแรงอ่านกรรมพยากรณ์แล้วเกิดความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็มักส่งคำถามนี้มาเสมอ ถ้าผมตอบแค่ ‘จริง’ ไปเฉยๆ ก็มักมีข้อสงสัยอื่นตามมาอีกเป็นพรวน เช่นทำไมคนทำชั่วยังเห็นได้ดีลอยนวลอยู่ นี่เป็นความกังขาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ และบางครั้งคำตอบที่เป็นคำพูดช่วยเหลืออะไรไม่ได้

    เช่นต่อข้อกังขาข้างต้นนั้น ผมมักอุปมาอุปไมยว่าถ้าเขาสร้างเรือมาเป็นลำใหญ่แข็งแรง เขาต้องใช้เวลาเจาะ ใช้เวลาทุบ ใช้เวลารื้อเรือของตัวเองเนิ่นนานกว่าที่มันจะจม เราไปหวังเห็นเรือล่มทันทีที่เขาเอาค้อนปอนด์ทุบพื้นเรือแรงๆโป้งเดียวมันไม่ได้ แต่การเปรียบเปรยก็เป็นแค่โวหาร สะกิดใจเดี๋ยวเดียวก็ลืม ไม่ช่วยคลายกังขาในระยะยาวแต่ประการใด

    สิ่งที่ผมนิยมมากกว่าการพูดตอบจึงมักเป็นคำแนะนำให้ทำกรรมอะไรสักอย่างที่เห็นผลชัดเจนทันตาทันใจที่สุด เอาให้รู้สึกเหมือนนักทดลองในห้องวิจัยพิสูจน์ถูกผิดทางวิทยาศาสตร์ ใส่เหตุเข้าไปอย่างนี้ ดูซิจะได้ผลออกมาอย่างนั้นๆตามทฤษฎีหรือไม่ เมื่อปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นให้รู้ประจักษ์กับตัว ก็จะได้ทำลายความสงสัยลงได้มากระดับหนึ่ง เพียงพอให้เต็มใจพากเพียรก่อร่างสร้างกรรมดีเพื่อเห็นผลชัดยิ่งๆขึ้นไป สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้สั่งสมบุญย่อมเป็นสุข และนั่นก็หมายถึงการได้มีเสบียงชั้นดีไว้ติดตัวในยามต้องเดินทางไกลกันต่อไป

    วันนี้ผมก็อยากเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องทุกท่านได้ร่วมแรงร่วมใจทำอะไรอย่างหนึ่ง อันอาจเป็นความประทับใจ ทำให้ทรงจำไปตลอดชีวิตของพวกท่าน!
    ก่อนอื่นขอให้ข้อมูลเป็นการปูพื้นเบื้องต้นสักนิดหนึ่ง นับตั้งแต่นิตยสารบางกอกฉบับนี้วางจำหน่าย จะมีคนอ่านเฉลี่ยวันละประมาณแสนคนไปจนถึงอาทิตย์หน้า โดยมีกระจุกคนอ่านมากเป็นพิเศษในช่วงเช้าตรู่และช่วงเย็นหลังเลิกงาน
    โดยการประมาณอย่างคร่าวที่สุด ชั่วโมงเดียวกับที่คุณกำลังอ่านคอลัมน์นี้ จะมีเพื่อนชาวบางกอกอื่นๆอ่านเนื้อความเดียวกันอยู่เป็นหลักหมื่น เพียงคุณนึกสบายๆถึงความจริงที่เกิดขึ้นรอบด้านดังกล่าว ก็น่าจะเกิด ‘ความรู้สึกร่วม’ ขึ้นมาได้วูบหนึ่ง อาจเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจ อาจเป็นอาการขนลุกแผ่ว หรืออาจรู้สึกเป็นจริงเป็นจังคล้ายกำลังร่วมประชุมใหญ่กับเพื่อนร่วมชมรม

    ความรู้สึกร่วมมีพลังในตัวเอง คุณเคยเห็นหนังสือพิมพ์ที่มาส่งเหมือนเค้กร้อนๆก้อนใหม่ น่าให้บริโภคข่าวสารไหม? เคยรู้สึกไหมว่าถ้าเห็นหนังสือพิมพ์เก่าไปแม้แต่เพียงวันเดียวจะน่าเหม็นเบื่อ ทำให้เราไม่อยากหยิบขึ้นอ่าน?

    ตอนดูทีวีเชียร์บอลหรือเชียร์กีฬาใดๆ แม้ไม่ได้ดูแบบติดปลายนวม คุณก็อยากชมการถ่ายทอดสดมากกว่าแบบบันทึกเทป โดยเฉพาะถ้าเป็นประเภทมวยคู่หยุดโลก ชนิดที่ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่ากำลังมีเพื่อนร่วมโลกปักเก้าอี้ตั้งตาดูด้วยความระทึกใจในเวลาเดียวกับเรา ใครเอาช้างมาฉุดก็ไม่มีทางได้ตัวเราไปไหนอื่นแน่ แม้เกมจบอารมณ์ก็ยังไม่จบ อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนอภิมหาความมันเข้าไส้กับใครต่อใครไปทั้งวัน

    นี่เป็นความจริงที่ทุกคนสัมผัสได้อยู่ในส่วนลึกมาตลอด แต่ไม่มีใครพูดออกมา และไม่มีใครเห็นว่ามีสาระสำคัญอย่างไร จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่วันนี้ถ้าทุกคนมีใจสมัครสมานพร้อมกันปรารถนาจะพิสูจน์วิบากกรรม คุณๆอาจจำไว้บอกต่อกับญาติๆว่าปาฏิหาริย์มีจริง!

    คอลัมน์ ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ ฉบับนี้จะบอกคุณว่า เมื่อใดที่คิดรักษาศีล
    ให้ได้เพียง ๑ ข้อด้วยความรู้สึกเด็ดเดี่ยว เมื่อนั้นคุณจะได้รับผลกรรมทันที เป็นความสุขใจ สุขเบา สุขเย็น และถ้าหากรับรู้ว่ากำลังมีกลุ่มคนอีกจำนวนมากกำหนดจิต ตั้งเจตนาเช่นเดียวกันด้วยความซื่อสัตย์ คุณจะยิ่งบังเกิดความปลาบปลื้มเป็นทวีคูณ เพราะได้รับผลกรรมจากการร่วมยินดีอนุโมทนาบุญของกลุ่มชนจำนวนมหาศาล

    ถึงแม้ว่าหลายคนที่กำลังอ่านอยู่จะไปที่วัดเป็นประจำ และมีประสบการณ์ขอถือศีลพร้อมกับเพื่อนพ้องน้องพี่ประชาชีชาวพุทธ ก็ไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่อะไรนัก เพราะจิตแต่ละคนไม่ได้ตั้งใจรักษาศีลเป็นข้อๆอย่างแท้จริง หรือแม้ขณะกล่าว ก็อาจไม่รับทราบด้วยซ้ำว่าตนกำลังตั้งสัจจะต่อหน้าพระ จะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง!

    ถ้าเรามาตกลงร่วมกัน เมื่ออ่านคอลัมน์นี้อยู่พร้อมกับแฟนบางกอกท่านอื่น ขอแค่ศีลข้อแรกข้อเดียว เพียงตั้งเจตนาอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะงดฆ่าสัตว์ งดเบียดเบียนชีวิตเพื่อนร่วมโลกเป็นเวลาหนึ่งวัน ผลกรรมที่จะเกิดขึ้นประจักษ์จิตทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยบอก คือปีติสุขโปร่งเบาอย่างใหญ่ หรืออย่างน้อยที่สุดคือความเบากายเบาใจต่างจากปกติ แม้ผู้ที่รู้สึกว่าตนไม่ฆ่าสัตว์อยู่แล้ว ถ้าลองตั้งใจสำทับลงไปเพื่อให้เกิดความหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น ก็จะรู้สึกถึงกระแสสุขร่วมกันได้เช่นกัน

    แต่เท่านี้เห็นจะยังไม่ทำให้เกิดศรัทธาในกรรมดีสักเพียงใด ลองมองไกลไปกว่านั้นอีกหน่อย ขออัญเชิญพระพุทธพจน์อันเป็นสัจจะมาแสดง คือ

    หญิงชายใดก็ตาม เบียดเบียนสัตว์เป็นประจำด้วยฝ่ามือ หรือด้วยก้อนดิน หรือด้วยท่อนไม้ หรือด้วยอาวุธ เมื่อเขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะตั้งจิตคิดก่อกรรมไว้อย่างนั้น แม้เมื่อมาเป็นมนุษย์ในภายหลัง เขาก็จะเป็นคนมีโรคมาก

    สรุปคือแม้ตบยุง บี้มด ฆ่าแมลง ถึงเห็นเป็นสัตว์เล็กที่ไม่น่าจะบาปหนักพอส่งเราไปลงนรก อย่างน้อยก็ย่อมทำให้เป็นโรคกวนใจเรื้อรังไม่หายขาด แต่หากเป็นตรงข้าม คือแม้โดนแมลงรบกวนอย่างไรก็ข่มใจไม่ฆ่าด้วยมือ ไม่ฆ่าด้วยสารพิษ ทำอย่างมากเพียงหาวิธีขับไล่มันไปพ้นๆ เช่นนี้จะมีวิบากเป็นผู้มีโรคน้อย

    พูดง่ายๆ ขอแค่วันที่คุณอ่านนี้ ตั้งใจจะไม่ตบแม้แต่ยุงสักตัวเดียว ก็มีสิทธิ์เห็นผลได้ อย่าประหลาดใจถ้ากำหนดเจตนาแน่วแน่แล้วรู้สึกถึงน้ำจิตที่หลั่งกระแสเมตตาออกมาไพศาล เพราะเมื่อเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระแสย่อมรู้สึกสัมผัสชัดถึงกระแสใหญ่นั้นไปด้วย

    อาศัยความจริงเกี่ยวกับผลกรรมข้อนี้เป็นตัวตั้ง อนุโมทนาร่วมกันว่าจะมีสัตว์รอดจากการถูกฆ่าจำนวนมากในวันที่กำลังอ่านนี้ คุณจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนก่อกรรมประเภทไม่เบียดเบียน เมื่อร่วมก่อกรรมก็ต้องได้ร่วมเสวยผลกรรม ยอมทดลองเพื่อพิสูจน์ผล ไม่เสียอะไรมากไปกว่าการตั้งใจจริงเพียงวันเดียวเท่านั้น

    ปริมาณสัตว์ที่รอดเพราะการอธิษฐานร่วมกัน จะก่อตัวเป็นพลังใหญ่ ใช้อ้างในการทดลองอธิษฐานพิสูจน์กรรมได้ โดยคิดว่าถ้าผลของการให้อภัยสัตว์เป็นทานร่วมกันนี้มีความไพบูลย์จริง ขอให้โรคภัยไข้เจ็บเล็กใหญ่ที่เป็นอยู่ทุเลาลง ทรมานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเร็วที่สุด

    อย่าอธิษฐานแบบที่จะทำให้เสียกำลังใจ เช่นขอให้หายขาด ขอให้ไม่เป็นโรคอีกเลย เพราะกำลังบุญที่คุณทำนั้นมีกำหนดชั่วระยะวันเดียว ยังอาจสู้กับกรรมเก่าที่ทำมาเป็นปีๆเป็นชาติๆไม่ได้ อีกอย่างแม้พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกไว้ ว่าความป่วยไข้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งลมฟ้าอากาศ ทั้งการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ทั้งการทำงานหนักเกินกำลัง และทั้งการเสวยวิบากแห่งกรรม ฉะนั้นถ้าคุณเป็นโรคที่เกี่ยวกับความเฉื่อยชาไม่ออกกำลังกาย วิธีแก้ตรงๆคือออกกำลังกายให้มากขึ้น

    แต่อย่างน้อยการเป็นหนึ่งในผู้เข้าโครงการอธิษฐานงดปลงชีวิตสัตว์หนึ่งวันนี้ จะมีผลให้สุขภาพของคุณดีขึ้นกว่าที่เป็นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะถูกโรคใดโรคหนึ่งรบกวนอยู่ เพราะวิบากของการงดปลงชีวิตสัตว์แม้ถูกกวนใจนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย (คือแข็งแรงนั่นเอง) ในที่นี้เราทำกันแบบมีตัวคูณ ไม่ได้แยกทำเดี่ยวๆ ก็ย่อมมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะเห็นผลทันตา


    --------
    ขอบคุณที่มาค่ะ http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare001.htm

    :z2รักกันเข้าไว้นะคะ ^-^
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    ~^ สิ่งใด เกิดขึ้น... สิ่งนั้น ย่อมดีกว่าเสมอ ^~

    [​IMG]

    <!-- / sig --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 สิงหาคม 2008
  2. ปิยธรรมโม

    ปิยธรรมโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +349
    หญิงชายใดก็ตาม เบียดเบียนสัตว์เป็นประจำด้วยฝ่ามือ หรือด้วยก้อนดิน หรือด้วยท่อนไม้ หรือด้วยอาวุธ เมื่อเขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะตั้งจิตคิดก่อกรรมไว้อย่างนั้น แม้เมื่อมาเป็นมนุษย์ในภายหลัง เขาก็จะเป็นคนมีโรคมาก

    สรุปคือแม้ตบยุง บี้มด ฆ่าแมลง ถึงเห็นเป็นสัตว์เล็กที่ไม่น่าจะบาปหนักพอส่งเราไปลงนรก อย่างน้อยก็ย่อมทำให้เป็นโรคกวนใจเรื้อรังไม่หายขาด แต่หากเป็นตรงข้าม คือแม้โดนแมลงรบกวนอย่างไรก็ข่มใจไม่ฆ่าด้วยมือ ไม่ฆ่าด้วยสารพิษ ทำอย่างมากเพียงหาวิธีขับไล่มันไปพ้นๆ เช่นนี้จะมีวิบากเป็นผู้มีโรคน้อย
    เห็นด้วยอย่างยิ่ง:VO
    อนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ครับ..สาธุ[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • index.jpg
      index.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.5 KB
      เปิดดู:
      66
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     
  4. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    วิบากกรรม


    เรามักจะพูดถึงคำว่า กรรม อยู่เสมอส่วนมากมักจะพูดถึงในทางไม่ดี เช่น เคราะห์กรรม สุดแต่บุญกรรม และมักจะยอมรับและเข้าใจถึงเรื่องกรรม จนพูดกันเสมอว่า ทำความดีได้ดี ทำความชั่วได้ชั่ว ไม่มีศาสนาใดให้ความสำคัญเรื่องกรรมมากเท่ากับศาสนาพุทธ เป็นหัวใจของสัจธรรมข้อหนึ่ง แม้ว่าความเชื่อเรื่องกรรมนี้มีอยู่ ในลัทธิศาสนาอื่นก่อนพุทธศาสนา เช่น พราหมณ์ หรือฮินดู แต่ความหมาย และรายละเอียดแตกต่างกัน พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
    สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง รับมรดกหรือผลแห่งกรรมนั้น มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้องเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย ทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลอันนั้น ไม่ว่าดีว่าชั่ว จักต้องได้ผล แห่งกรรมนั้นแน่นอน

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราขอบอกว่า เจตนาคือ" กรรม" เมื่อมีเจตนาแล้วคนเราก็ลงมือกระทำการด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ เรื่องกรรมมีความละเอียดลึกซึ้ง ได้แบ่งตามทางที่กระทำ 3 ทาง คือ


    กายกรรม
    ได้แก่ การกรทำทางกาย เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม

    วจีกรรม


    ได้แก่ การกระทำทางวาจา เช่น พูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด และพูด เพ้อเจ้อ

    มโนกรรม


    ได้แก่ กรรมที่เกิดจากความคิด ได้แก่ โลภ โกรธ หลง การคิดร้ายในใจ ทางพุทธศาสนา ถือว่าเป็น กรรม

    การแบ่งกรรม นอกจากแบ่งตามวิธีการกระทำแล้ว ยังแบ่งตามประเภทหรือผลของกรรม ได้แก่ กรรมดี (กุศลกรรม) กรรมชั่ว (อกุศลกรรม)

    ผลของการกระทำ เรียกว่า วิบากกรรม เช่นเดียวกับการหว่านเมล็ดพืชย่อมได้ผลตามพืชที่หว่าน หรือเปรียบเทียบรอยล้อเกวียนตามรอยเท้าโคไปตลอด ไม่ว่าจะเกิดผลอย่างดีหรือเลวมนุษย์เราก็ยังเกิดความต้องการหรือความทะยานขึ้นมาใหม่ จึงทำกรรมต่อไปใหม่ เป็นกระบวนการต่อเนื่อง เป็นเหตุและผล ทาง
    พุทธศาสนา เรียก "กรรมลิขิต" เหตุที่ทำให้คนไม่ค่อยกลัวในการทำกรรมชั่วก็เพราะผลของกรรมบางที่ไม่ได้เกิดทันที่ที่กระทำหรืออาจไม่เห็นผลทันในชาตินี้ หรือบางทีผลของกรรมเกิดขึ้นแต่เจ้าตัวไม่รู้หรือไม่สามารถเอาไปเกี่ยวเนื่องกับกรรมที่ทำไป กรรมนี้เป็นสิ่งเฉพาะคนทางพุทธศาสนาถือว่าจะทำแทนกัน
    หรือรับกรรมแทนกันไม่ได้ จะให้พระถ่ายบาปให้หลังจากทำบาปไม่ได้ ทางพุทธศาสนาให้มีการอโหสิกรรมกันได้ระหว่างผู้ทำกรรมไว้ต่อกัน เป็นการตกลงกันทั้งสองฝ่าย การแผ่เมตตาแก่สัตว์โลก และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขออโหสิกรรมให้แก่ผู้ทำกรรมต่อเรา และขอให้ผู้ที่เราก่อกรรมไว้ได้อโหสิกรรม
    ต่อเรา จะเป็นการตัดบ่วงกรรมถึงให้ผลของกรรมยุติลง มิฉะนั้นกรรมนั้นจะหมุนเวียนต่อไปไม่รู้จบ แต่มี 2 กรรมบางชนิดที่จะยกโทษหรืออโหสิกรรมกันไม่ได้ที่เรียกว่า "อนันตริยกรรม"ซึ่งเป็นกรรมที่รุนแรงที่สุด ได้แก่ การฆ่า บิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายต่อพระพุทธองค์จนห้อพระโลหิต และยุแยงสงฆ์ให้แตกกัน

    ชีวิตเราในปัจจุบันเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จุดเดียว ในระยะทางอันยาวไกล กรรมดี กรรมชั่ว ที่ทำไว้ แต่ละชาติ แต่ละภพ มีการสะสมเก็บไว้เพื่อเกิดผล ในภายหน้าไม่มีที่สิ้นสุดและจะไม่มีการหักลบกลบหนี้กันระหว่างกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำ ดังนั้น สิ่งที่ทำดีไว้ยังไม่บอกผล กรรมชั่วนี้ทำมาก่อนได้แสดงผลแล้ว จึง
    ทำให้มีคนพูดว่า ทำดีได้ชั่ว และในทำนองกลับกันเห็นคนบางคนเป็นคนเลวทำแต่ความชั่ว คอรัปชั่น แต่ได้เป็นรัฐมนตรีจึงเกิดคำพูดที่ว่า ทำชั่วได้ดีมีถมไป เป็นสิ่งที่เรารู้เห็นกันในยุคปัจจุบันทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทำชั่วแล้วได้ดี แต่เป็นเพราะกรรมดีเก่าให้ผลอยู่ แต่จะไม่เป็นเช่นนี้ตลอดไปกรรมมีความยุติธรรมเสมอเพียงแต่จะต้องรอเวลา และดูผลรวมทางศาสนาสอนไว้ว่า การทำดีแล้วได้ดีตอบนั้น ต้องพร้อมด้วยสมบัติ 4 ประการ คือ

    มีคติธรรม คือ การดำเนินชีวิตที่ดี สิ่งแวดล้อมดี

    มีอุปธิสมบัติ คือ มีร่างกายสมบูรณ์ดีหนึ่ง

    มีกาลสมบัติ คือ มีกาลเวลาที่ถูกต้องหนึ่ง

    มีปโยคะสมบัติ คือ มีการทำดีโดยสมบูรณ์ไม่บกพร่อง

    ดังนั้น ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองทำดีไม่ได้ดี ก็พึงพิจารณาว่าตนเองมีสมบัติทั้ง 4 พร้อมแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะกาลสมบัติ

    กรรมแรกที่ทำให้คนตายแล้วเกิด เรียกว่า "ชนกกรรม" ซึ่งเป็นตัวจำแนกในเกิดในภพภูมิต่าง ๆ กัน และถ้าเกิดเป็นมนุษย์ชนกกรรมจะเป็นตัวทำให้เกิดแตกต่างกัน กรรมที่มีผลต่อชีวิตข้างหน้านั้น

    "ครุกรรม" หรือกรรมหนัก มีอำนาจเหนือกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นมีทั้งฝ่าย ชั่วอย่างหนักได้แก่ทำร้ายพระอรหันต์ การฆ่าพ่อแม่ ยุแหย่สงฆ์ให้แตกกันมีแต่ตกนรกอย่างเดียว

    "อาสัณกรรม" หรือกรรมที่ทำใกล้ตาย จะมีผลต่อการเกิดในชาติหน้าทุกศาสนาจึงให้นึกถึงพระคุณเจ้าฟังพระสวดมนต์ในเวลาจะสิ้นใจ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็สุดแต่ขณะดับยึดกับสิ่งนี้อยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ได้ก็ได้ไปดี

    "อาจิณกรรม"


    คือ กรรมที่กระทำสม่ำเสมอ มีอิทธิพลต่ำกว่าในการสร้างภพใหม่ซึ่งมีทั้ง กรรมดีและกรรมชั่ว เช่น คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อยู่ทุกวัน แล้วเวลาอาสัณกรรมจะให้นึกถึงพระคงเป็นไปไม่ได้ยาก ควรจะต้องนึกถึงสิ่งที่ทำเสมอ

    "กตัตตากรรม" คือ กรรมเล็กน้อย เป็นผลที่มีผลน้อยที่สุด

    ดังนั้นในเวลาคนที่จะสิ้นลมจึงมีความสำคัญ ต้องทำจิตใจให้กุศลเข้ามาหา นึกแต่สิ่งดี ๆ ที่เป็นกุศล เพื่อให้ชนกกรรมนำไปสร้างภพสร้างชาติที่ดีต่อไป คนที่ไปทำพิธีกรรม แก้กรรม เคยมีผู้สงสัยว่า แก้กรรมได้หรือไม่ คำตอบมีทั้งได้และไม่ได้ ที่ไม่ได้ คือ อนันตริยกรรมดังกล่าวแล้ว และคู่กรรมเขาไม่อโหสิกรรมให้แก้อย่างไรก็ไม่ได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเราไม่รู้ว่าเคยทำบาปทำกรรมอะไรบ้าง ดังนั้นตั้งใจแต่ทำกรรมดี และเวลาทำบุญกุศลครั้งใดก็ให้ตั้งจิตแผ่กุศล
    นั้นให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณให้เขา ส่วนเขาจะอโหสิกรรมให้หรือไม่ก็เป็นเรื่องวิบากกรรมที่เราต้องรับอยู่แล้ว


     
  5. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนาครับ

    พี่รวมกระทู้ให้นะ มันซ้ำกัน งงๆเหมือนกัน ใช้เมนูยังไม่ชำนาญ คงไม่ว่ากันนะครับ

    ขอให้มีความสุขในการใช้บริการเว็บพลังจิตครับ
     
  6. mainoi

    mainoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +133
    โมทนาสาธุ กับคุณ J.Sayamol ในบทความดีๆ ที่นำเสนอกับสมาชิกฯ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     
  7. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    ขออนุโมทนากับคุณ Mainoi เช่นกันค่ะ...สาธุ..
    ;aa38
     

แชร์หน้านี้

Loading...