ฝึกจิต...ติดต่อสื่อสารกับ Ufo

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ๋Zeus@, 27 กรกฎาคม 2008.

  1. ๋Zeus@

    ๋Zeus@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +1,960
    สังเกตุเห็นหลาย ๆ ท่าน อยากมีประสบการณ์ ได้พบหรือเห็น UFO ด้วยตัวเองสักครั้ง หลายท่านถึงกับฝันว่าได้เห็นเลยก็มี​


    ผู้ใหญ่หลายท่านเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่้า หากฝึกสมาธิ แล้วจิตใจบริสุทธิ์​


    อาจจะทำให้เกิด ภาวะที่สามารถสื่อสารได้ ลองฝึกกันดูนะครับ​



    วิธีจัดการกับนิวรณ์ 5 สำหรับผู้ฝึกใหม่​

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]นิวรณ์ 5[/FONT]​


    นิวรณ์ คือสิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ มี 5 อย่างคือ



    1. กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ รวมทั้งความคิดอันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น (คำว่ากามในทางธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศเท่านั้น)


    2. พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ


    3. ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน

      ถีนะและมิทธะนั้นมีอาการแสดงออกที่คล้ายกันมาก คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ

      ถีนะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป


      ส่วนมิทธะนั้นเกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลียของร่างกาย หรือจิตใจจริง ๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป มิทธะนี้ไม่จัดเป็นกิเลส (พระอรหันต์ไม่มีถีนะแล้ว แต่ยังมีมิทธะได้เป็นบางครั้ง)​

    4. อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ


      อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที


      ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้​

    5. วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี จิตจึงไม่อาจมุ่งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่ สมาธิจึงไม่เกิดขึ้น

    นิวรณ์ทั้ง 5 ตัวนี้ มีเฉพาะอุทธัจจะเท่านั้นที่เกิดขึ้นตัวเดียวได้ ส่วนนิวรณ์ตัวอื่น ๆ นอกนั้น เมื่อเกิดจะเกิดขึ้นร่วมกับอุทธัจจะเสมอ





    นิวรณ์ทั้ง5 เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ๆ ของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน





    วิธีแก้ไขนิวรณ์ 5




    เมื่อนิวรณ์เกิดขึ้นมีวิธีแก้ดังนี้คือ



    1.) กามฉันทะ แก้ได้หลายวิธีตามลักษณะของกามฉันทะที่เกิดขึ้น ดังนี้




    • พิจารณาถึงความจริงที่ว่ากามคุณทั้งหลายนั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก คือให้ความสุขในช่วงที่ได้มาใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเสมือนเหยื่อล่อให้ติด ครั้นเมื่อติดในสิ่งนั้น ๆ แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็จะตามมา ถ้ายิ่งถูกใจมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำความทุกข์มาให้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการแสวงหาเพื่อให้ได้มากยิ่งขึ้น ทุกข์จากการพยายามรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ทุกข์จากความหวงแหน ความกลัวว่าจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป และเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็จะยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราทั้งหลายล้วนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น


    • พิจารณาถึงความที่สิ่งทั้งหลายมีความแปรปรวนไปตลอดเวลา สิ่งที่ให้ความสุขในวันนี้ ก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ได้ในวันข้างหน้า เช่น คนที่ทำดีกับเราในวันนี้ ต่อไปถ้าเขาเบื่อ หรือไม่พอใจอะไรเราขึ้นมา เขาก็อาจจะร้ายกับเราอย่างมากก็ได้


    • พิจารณาถึงความเป็นอสุภะ คือเป็นของไม่สวยไม่งาม เต็มไปด้วยของไม่สะอาด ร่างกายที่เห็นว่าสวยงามในตอนนี้ จะคงสภาพอยู่ได้นานสักเท่าใด พอแก่ตัวขึ้นก็ย่อมจะหย่อนยาน เหี่ยวย่นไม่น่าดู ถึงแม้ในตอนนี้เอง ก็เต็มไปด้วยของสกปรกไปทั้งตัว ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า (ไม่เชื่อก็ลองไม่อาบน้ำดูสักวันสองวันก็จะรู้เอง) ลองพิจารณาดูเถิด ว่ามีส่วนไหนที่ไม่ต้องคอยทำความสะอาดบ้าง และถ้าถึงเวลาที่กลายสภาพเป็นเพียงซากศพแล้วจะขนาดไหน


    • พิจารณาถึงคุณของการออกจากกาม หรือประโยชน์ของสมาธิ เช่น



      • เป็นความสุขที่ประณีต ละเอียดอ่อน เบาสบายไม่หนักอึ้งเหมือนกาม คนที่ได้สัมผัสกับความสุขจากสมาธิสักครั้ง ก็จะรู้ได้เองว่าเหนือกว่าความสุขจากกามมากเพียงใด
      • เป็นความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพราะเกิดจากความสงบภายใน จึงไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขัน ไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย

      • เป็นความสุขที่ไม่ต้องมีวัตถุใดๆ มาเป็นเครื่องล่อ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

    2.) พยาปาทะ มีวิธีแก้ดังนี้






    • มองโลกในแง่ดีให้เห็นว่าคนที่ทำให้เราไม่พอใจนั้น เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก เขาคงทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเข้าใจผิด หรือถูกเหตุการณ์บังคับ ถ้าเขารู้หรือเลือกได้เขาคงไม่ทำอย่างนั้น


    • คิดถึงหลักความจริงที่ว่า คนเราเมื่ออยู่ใกล้กัน ก็ย่อมมีโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ไม่ถูกใจคนอื่น ได้เป็นครั้งคราวอยู่แล้ว เพราะคงไม่มีใครสามารถทำให้ถูกใจคนอื่นได้ตลอดเวลา แม้ตัวเราเองก็ยังเคยทำให้คนอื่นไม่พอใจเช่นกัน เพราะฉะนั้น เมื่อคนอื่นทำไม่ถูกใจเราบ้าง ก็ย่อมจะเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ควรจะถือโทษโกรธกันให้เป็นทุกข์กันไปเปล่าๆ


    • พิจารณาถึงคุณของการให้อภัย ว่าอภัยทานนั้นเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ เป็นการทำบุญโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย


    • คิดเสียว่าเป็นการฝึกจิตของตัวเราเองให้เข้มแข็งขึ้น โดยการพยายามเอาชนะใจตนเอง เอาชนะความโกรธ และขอบคุณผู้ที่ทำให้เราโกรธที่ให้โอกาสในการฝึกจิตแก่เรา ให้เราได้สร้างและเพิ่มพูนขันติบารมี


    • คิดถึงเรื่อง กฎแห่งกรรม ว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน ใครสร้างกรรมอันใดไว้ ย่อมต้องรับผลกรรมนั้นๆ สืบไป การที่เราเจอเหตุการณ์ที่ไม่ดีในครั้งนี้ ก็คงเป็นเพราะกรรมเก่าที่เราได้ทำเอาไว้ สำหรับคนที่ทำไม่ดีกับเราในครั้งนี้นั้น เขาก็จะได้รับผลกรรมนั้นเองในวันข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


    • ให้ความรู้สึกสงสารผู้ที่ทำไม่ดีกับเราในครั้งนี้ ว่าเขาไม่น่าทำอย่างนั้นเลย เพราะเมื่อเขาทำแล้ว ต่อไปเมื่อกรรมนั้นส่งผล เขาก็จะต้องเป็นทุกข์ทรมานเพราะกรรมนั้น


    • พิจารณาโทษของความโกรธ ว่าคนที่โกรธก็เหมือนกับจุดไฟเผาตัวเอง ทำให้ต้องเป็นทุกข์เร่าร้อน หน้าตาก็ไม่น่าดู แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย เพราะฉะนั้นก็มีแต่คนโง่ กับคนบ้าเท่านั้นที่ผูกโกรธเอาไว้


    • แผ่เมตตาให้กับคนที่เราโกรธ ถ้าทำได้นอกจากจะดับทุกข์จากความโกรธได้แล้ว ยังทำให้มีความสุขจากการแผ่เมตตานั้นอีกด้วย และยังจะเป็นการพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไปด้วย

    3.) ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอยนั้นแก้โดย






    • พิจารณาถึงโทษของกามและคุณของสมาธิ เพื่อทำให้เกิดความเพียร ในการปฏิบัติให้พ้นจากโทษของกามเหล่านั้น


    • คบหากับคนที่มีความเพียร ฝักใฝ่ยินดีในการทำสมาธิ


    • หลีกเว้นจากคนที่ไม่ชอบทำสมาธิ หรือคนที่เบื่อหน่ายในสมาธิ

    ส่วนมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอนนั้น มีวิธีแก้หลายวิธี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระโมคคัลลานะ สรุปได้เป็นขั้นๆ ดังนี้






    • ในขณะที่เพ่งจิตในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ เพื่อทำสมาธิหรือวิปัสสนาก็ตาม แล้วเกิดความง่วงขึ้นมา ให้เพ่งสิ่งนั้นให้มาก หรือให้หนักแน่นขึ้นไปอีก ก็จะทำให้หายง่วงได้


    • ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ตรึกตรอง พิจารณาธรรมที่ได้อ่าน หรือได้ฟัง ได้เรียนมาแล้ว โดยนึกในใจ


    • ถ้ายังไม่หายง่วงให้สาธยายธรรมที่ได้อ่าน ได้ฟัง หรือได้เรียนมาแล้ว คือให้พูดออกเสียงด้วย


    • ถ้ายังไม่หายง่วงให้ยอนช่องหูทั้งสองข้าง (เอานิ้วไชเข้าไปในรูหู) เอามือลูบตัว


    • ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ (คือให้มองไปทางโน้นทีทางนี้ที บิดคอไปมา)


    • ถ้ายังไม่หายง่วง ให้ทำในใจถึงอาโลกสัญญา (นึกถึงแสงสว่าง) ตั้งความสำคัญในกลางวัน ว่ากลางวันอย่างไร กลางคืนอย่างนั้น กลางคืนอย่างไร กลางวันอย่างนั้น มีใจเปิดเผยอยู่ฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด (คือให้ทำความรู้สึกเหมือนกับว่า กลางคืนนั้นสว่างราวกับเป็นกลางวัน)


    • ถ้ายังไม่หายง่วง ให้เดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีใจไม่คิดไปในภายนอก (ควรเดินเร็วๆ ให้หายง่วง)


    • ถ้ายังไม่หายง่วงอีก ให้สำเร็จสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า (เหมือนพระพุทธรูปนอน) มีสติสัมปชัญญะ โดยบอกกับตัวเองว่า ทันทีที่รู้สึกตัวตื่นแล้ว จะรีบลุกขึ้นทันที ด้วยตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอนข้าง ความสุขในการเคลิ้มหลับ

    4.) อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต แก้โดย






    • ใช้เทคนิคกลั้นลมหายใจ (เทคนิคนี้นอกจากจะใช้แก้ความฟุ้งซ่านได้แล้ว ยังใช้ในการแก้ความง่วงได้อีกด้วย) โดยการทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้



      • เริ่มจากการหายใจเข้าออกให้ลึกที่สุด โดยทำเหมือนถอนหายใจแรงๆ สัก 3 รอบ

      • จากนั้นทำสิ่งต่อไปนี้พร้อมกันคือ


        • ใช้ลิ้นดุนเพดานปากอย่างแรง

        • หลับตาปี๋

        • เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า และกล้ามเนื้อทั่วร่างกายให้มากที่สุด

        • กลั้นลมหายใจให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับทำสมาธิ โดยกำหนดจิตไว้ที่การกลั้นลมหายใจนั้น


    • เพิ่มความหนักแน่น หรือความถี่ของสิ่งที่ใช้ยึดจิตขึ้นไปอีก เพื่อให้สามารถประคองจิตได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือลดโอกาสในการฟุ้งให้น้อยลง เช่น




      • ถ้าตอนแรกใช้กำหนดลมหายใจเข้า/ออก โดยบริกรรมว่าพุทธ/โธ หรือ เข้า/ออก ซ้ำไปซ้ำมา ก็เปลี่ยนเป็นนับลมหายใจแทน โดยหายใจเข้านับ 1 ออกนับ 1 เข้า-2 ออก-2 ... จนถึง เข้า-10 ออก-10 แล้วเริ่มนับ 1 ใหม่ การนับนี้ให้ลากเสียง(ในใจ) ให้ยาวตั้งแต่เริ่มหายใจเข้าหรือออก จนกระทั่งสุดลมหายใจ เพื่อให้จิตเกาะติดกับเสียงนั้นไปตลอด

      • ถ้ายังไม่หายก็เปลี่ยนเป็น เข้า-1 ออก-2 เข้า-3 ออก-4 ...... เข้า-9 ออก-10 แล้วเริ่มนับ 1 ใหม่

      • ถ้ายังไม่หายอีกก็เปลี่ยนเป็นรอบแรกนับจาก 1จนถึง 10 (เหมือนครั้งที่แล้ว) รอบที่สองนับจาก 1 - 9 ลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือนับ 1 - 5 แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเป็น 1 - 6 ...... จนถึง 1 - 10 แล้วลดลงใหม่จนเหลือ 1 - 5 แล้วเพิ่มขึ้นจนถึง 1 - 10 กลับไปกลับมาเรื่อยๆ เพื่อให้ต้องเพิ่มความตั้งใจขึ้นอีก

      • ถ้ายังไม่หายอีกก็เปลี่ยนเป็นนับเลขอย่างเร็ว คือขณะหายใจเข้าแต่ละครั้งก็นับเลข 1,2,3,... อย่างรวดเร็วจนกว่าจะสุดลมหายใจ พอเริ่มหายใจออกก็เริ่มนับ 1,2,3,... ใหม่จนสุดลมหายใจเช่นกัน ทั้งนี้ไม่ต้องไปกำหนดว่าตอนหายใจเข้า/ออกแต่ละครั้งจะต้องนับได้ถึงเลขอะไร เช่น หายใจเข้าครั้งแรกอาจจะนับได้ถึง 12 พอหายใจออกอาจจะได้แค่ 10 หายใจเข้าครั้งต่อไปอาจจะได้แค่ 9 ก็ได้

    *** ในการหายใจนั้นที่สำคัญคือให้หายใจให้เป็นธรรมชาติให้มากที่สุด อย่าไปบังคับลมหายใจให้ยาวหรือสั้น บางขณะอาจหายใจยาว บางขณะอาจสั้นก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน เรามีหน้าที่เพียงแค่สังเกตดูเท่านั้น





    *** ทำใจให้สบาย อย่ามุ่งมั่นมากเกินไปจนเครียด จะทำให้ฟุ้งซ่านหนักขึ้น ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วจะดีขึ้นเอง อย่าหวัง อย่ากำหนดกฎเกณฑ์ว่าวันนี้จะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ปล่อยวางให้มากที่สุด ทำใจให้อยู่กับปัจจุบัน คือเพียงแค่สังเกตว่าตอนนี้เป็นอย่างไรก็พอแล้ว อย่าคิดบังคับให้สมาธิเกิด ยิ่งบีบแน่นมันจะยิ่งทะลักออกมา ยิ่งฟุ้งไปกันใหญ่




    *** ถ้านับเลขผิดให้เริ่มต้นนับ 1 ใหม่ แล้วดูว่าวันนี้จะนับได้มากที่สุดถึงแค่ไหน​



    *** เมื่อนับถี่ที่สุดถึงขั้นไหนแล้วเอาจิตให้อยู่ได้ก็หยุดอยู่แค่ขั้นนั้น พอฝึกจิตได้นิ่งพอสมควรแล้ว ก็ลองลดการนับไปใช้ขั้นที่เบาลงเรื่อยๆ จิตจะได้ประณีตขึ้นเรื่อยๆ​



    ส่วนกุกกุจจะคือความรำคาญใจ นั้นแก้ได้โดย




    • พยายามปล่อยวางในสิ่งนั้นๆ โดยคิดว่าอดีตก็ผ่านไปแล้ว คิดมากไปก็เท่านั้น อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เรามาทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า ตอนนี้เป็นเวลาทำกรรมฐาน เพราะฉะนั้นอย่างอื่นพักไว้ก่อน ยังไม่ถึงเวลาคิดเรื่องเหล่านั้น


    • ถ้าแก้ไม่หายจริงๆ ก็ไปจัดการเรื่องเหล่านั้นให้เรียบร้อย แล้วถึงกลับมาทำกรรมฐานใหม่ก็ได้

    5.) วิจิกิจฉา แก้ได้โดย






    • พยายามศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด


    • ถ้ายังไม่แน่ใจก็คิดว่าเราจะลองทางนี้ดูก่อน ถ้าถูกก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าผิดเราก็จะได้รู้ว่าผิด จะได้หายสงสัย แล้วจะได้พิจารณาหาทางอื่นที่ถูกได้ ยังไงก็ดีกว่ามัวแต่สงสัยอยู่ แล้วไม่ได้ลองทำอะไรเลย ซึ่งจะทำให้ต้องสงสัยตลอดไป

    ธัมมโชติ




    21 พฤศจิกายน 2543
     
  2. runchoo_man

    runchoo_man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +593
    ผมว่าฝึกจิตเพื่อติดต่อกับ พระพุทธเจ้า ไม่ดีกว่าหรอครับ

    อย่าลืมว่า ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิต ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ย่อมมีกิเลส คิดหรอว่า ในหมู่มนุษย์ต่างดาวนั้น จะเป็นคนดีทุกคน? หรือ จะเป็นคนดีทุกเผ่าพันธ์? (อาจจะมีหลายประเภท)

    ถ้าพวกเผ่าพันธ์ที่ยังจิตใจหยาบกระด้าง แต่มีเทคโนโลยีสูง มันได้ยินคลื่นวิทยุหรือคลื่นใดๆที่เราพยายามจะสื่อสารกับมันเสียเหลือเกิน พอมันได้ยิน แล้ววันนึง มันก้อบินมาโผล่ที่โลกเรา คุณคิดหรอว่า มันจะไม่ตักตวง กอบโกย ผลประโยชน์จากเรา? (เพราะมันยังมีกิเลส)

    มันจะไม่กลายเป็นว่า ดิ้นรนหาเรื่อง หาที่ตาย เรียกศัตรูมาโจมตีเราหรอครับ?

    อาจจะจับคนไปทดลอง แบบเดียวกับที่มนุษย์โลกชอบจับ หมู หมา วัว ควาย ไปทดลองยา
    หรือไม่ก้อมาเอาทรัพยากร สินแร่หายาก ที่ดาวมันไม่มี จากเราไป?

    มันอาจจะเห็นเราเป็นสัตว์ชั้นต่ำ แบบเดียวกับที่เรามองเห็น วัว ที่กินหญ้าอยู่ข้างทางก้อได้นะครับ แล้วเราก้อจับ วัว ตัวนั้นมาทดลอง มาชำแหละ มาเอานม มาเอาเนื้อ ไปกิน เหมือนๆ กับที่เราทำกับวัว อยู่ประจำน่ะแหละครับ

    การที่คิดจะฝึกจิตเป็นสิ่งดีครับ แต่การที่คิดว่า สิ่งมีชีวิตนอกโลก จะทรงคุณธรรมทุกคน ทุกเผ่าพันธ์นั้น เป็นสิ่งที่ผิดนะครับ

    อย่าลืมนะครับว่า มันมาถึงโลกเราด้วยเทคโนโลยี ที่สูงกว่าเรา ชนิดที่ว่าเราทั้งโลกรวมกันยังสู้ไม่ได้ ถ้ามันไม่ใช่คนดีบริสุทธิ์แบบพระอรหันต์ เอาแค่ว่ายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แค่นี้ เราก้อเดือดร้อนแล้วครับ เพราะมันต้องหาประโยชน์จากเรา แบบที่ว่าเราขัดใจมันไม่ได้แน่ๆ ต้องยอมอย่างเดียว

    เพราะฉนั้นการติดต่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก สำหรับผมถือว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์
    ยกเว้นว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกทุกตัว จะเป็นพระอรหันต์หมด การติดต่อกับมันถึงจะเรียกว่าถูก

    เพราะแค่คนเหมือนๆ กัน เทคโนโลยีพอๆกัน ที่อยู่บนโลก ก้อแก่งแย่งกันจะตายอยู่แล้ว
    จะไปเอาคนที่เทคโนโลยีสูงกว่า ที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ มาเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกหรอ?
     
  3. jubsa13

    jubsa13 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +26
    ติดต่อกับ UFO ให้ช่วยสร้าง ยานพาหนะ ที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน

    เพราะตอนนี้น้ำมันแพงมากมาย
     
  4. เห็ดหอม

    เห็ดหอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +1,805
    มันขัดแย้งกันแบบสองฝ่าย แบบการเมืองไทย ในปัจจุบัน
    นี่ก็เหมือนกัน..อ่านๆๆมาตลอด จะมีคนเชื่อว่า มี มนุษย์ต่างดาว กับอีกฝ่ายที่ เชื่อว่า ไม่มี
    พวกที่เชื่อว่า ไม่มี..มีมากกว่า...และกระทู้นี้ บอกวิธี ติดต่อ กับต่างดาว..แย้งกันอย้างมโหราฬ..ผมอยู่ ฝ่ายที่เชื่อ ว่ามี ครับ..ทำสมาธิแล้ว ติด ต่อได้ มาแล้ว..แต่จะไม่ขอเล่า รายละเอียด..คนจะหาว่า บ้า
    อยากดูรูปมนุษย์ ต่างดาว ตัวเป็นๆๆที่ดักถ่ายไว้ได้ดูที่
    one.pimolnews.net ดูที่กระทู้ 00454
    จะได้ หายข้องใจกัน
     
  5. ประทีปแก้ว

    ประทีปแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    3,506
    ค่าพลัง:
    +8,329
    อยากเห็นด้วยตาเนื้ออ่ะ
     
  6. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,242
    รับทราบ ครับ
     
  7. นาย จัมโป้

    นาย จัมโป้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +4

    ผมคิดว่า...คุณคงโลกกระทัศน์สั้น


    พวกกบอยู่ในกระลา......

    คุณลองคิดดูสิว่าถ้ามันพัฒนาไปได้ขนาดนั้นมันก็ต้องผ่านในช่วงเวลาที่เป็นแบบเราที่เป็นมนุษย์สิคับแล้วอีกอย่างคุณรู้ได้ไงว่ามนุษย์ต่างดาวไม่มีพระอรหันต์คุณรู้ได้ไงห่ะ

    ผมว่าคุณคงดูหนังเยอะเกินไปมั๊ง...พระส่วนใหญ่ฝรั่งก็เป็นคนสร้างหนังเค้าคงไม่สร้างว่ามนุษย์ต่างดาวคลั่งไสยาศาสตร์หรอกเพราะมนุษโลกเองก็ยังมี หลายศาสนาเลย!!!!



    บางที่ความรู้ของคุณที่มี คงเท่ากับหางอึ่ง


    เมื่อเทรียบกับความรู้ใหม่ที่เรายังไม่รู้
     
  8. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    ทำไมถึงอยากเจอ ยูเอฟโอกันอ่าคะ

    เห็นหลายต่อหลายท่านพูดถึงกัน

    พอดีไม่ได้ติดตาม

    เคยเห็นแต่ยูเอฟโอในบอร์ดสยามโซน ตรึม คึคึ
     
  9. rukthai

    rukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +341
    ยูเอฟโอ เค้าบอกกันว่าต้องทำใจให้บริสุทธิ์ ถึงเค้าจะมาหาครับ ที่เค้าอยากเห็นกันเพราะมันอาจจะทำอะไรได้มากกว่าแค่เห็นไงครับ <iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://www.adultfriendfinder.com/go/g1180451-ppc" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe>
    <iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://thai.th.nu/link/allweblink.html" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe>
     
  10. vidsava

    vidsava สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    ตอน10ขวบผมมองบนท้องฟ้า แล้วเคยสงสัยว่า มนุษย์เราวิวัฒนาการณ์มาบนโลกเป็นล้านๆแล้ว จนมียืน2ขา ขนน้อยลง มีผมยาวได้ รู้จักปลูกพืช มีการใช้คำพูดสื่อสาร มีการจดบันทึก มีวัฒนธรรม มีศาสนา มีความอดทน มีความพยายาม รู้จักกฎระเบียบ พัฒนาไกลจากสัตว์มามากๆ แล้วอีก50,000ปีข้างหน้า หรือ 2ล้านปีข้างหน้า หากยังมีสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์อยู่อยากรู้ว่าจะวิวัฒนาการณ์ไปทางไหน ผมเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวเพราะจักรวาลกว้างใหญ่มาก ผมเลยสงสัยว่าเค้าวิวัฒนาการณ์ไปได้ไกลแค่ไหนแล้ว นอกจากทางด้านเทคโนโลยี่ต่างๆ เค้าจะสือสารทางจิตได้หรือยัง เค้าอาจจะไม่ได้ใช้วิธีพูดกันด้วยปาก อาจสื่อสารทางจิตอย่างเดียว และจะมีสักเผ่าพันธ์ไหมที่สามารถเข้าใจกระแสจิตเราได้ พร้อมกับมียานที่สามารถขับมาด้วยความเร็วได้

    วันนั้นผมอยู่บนรถพ่อนอนอยู่เบาะหลังกำลังไปต่างจังหวัด ผมมองท้องฟ้าและคิดเรื่องนี้ก็อยู่ก็เลย นึกในใจและเพ่งไปที่ท้องฟ้าว่า หากมีใครจากนอกโลกรับรู้สิ่งที่ผมพยายามสื่อสารอยู่นี้ ขอให้แสดงตัวให้ผมเห็นในตำแหน่งที่ผมมองเท่านั้น ผมเพ่งอธิฐานอยู่สักครู่ ประมาณ5-10นาที ก็ปรากกฏเป็นดาวดวงหนึ่ง ที่สะท้อนแสง ในตำแหน่งที่ผมมอง ผมตกใจมากแต่ไม่กล้าตะโกนให้พ่อแม่รู้ กำลังงงว่ามีจริงๆเหรอนี่? ผมประทับใจ บอกเค้าในใจว่าขอบคุณมาก ผมเชื่อแล้วว่ามีจริง ผมมองอยู่ประมาณ5-10นาทีดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่เครื่องบิน และไม่ใช่ดาวแน่ๆ เพราะผมเพ่งจากที่ไม่มีอะไรจริงๆและเป็นกลางวันด้วย ผมเคยเล่าให้เพื่อนฟังแล้วมันมองผมแปลกๆ เลยไม่กล้าพูดถึงบ่อยนัก

    เรื่องนี้ทำให้ผมเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวจริง100% และมีพวกที่สามารถรับรู้จากเราได้จริง แต่ผมไม่ได้ยินหรือรับรู้ใดๆจากเค้า เวลาผ่านมาจนผมได้ดูข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่อ.เทพพนมสามารถเชิญจานบินมาให้คนเห็นที่ม.รามเมื่อหลายปีก่อนได้ และหลังจากนั้นผมลองsearchใน youtube ก็พบว่ามีอีกหลายคนที่สามารถเชิญมนุษย์ต่างดาวได้ แต่ที่ดังๆจะมีที่usa แต่เค้าบอกว่าเป็นเพราะพระเจ้าศาสนาเค้าที่มา แล้วเค้าใช้ในการให้คนเปลี่ยนไปเป็นศาสนาเค้า คนนี้ออกรายการTVบ่อย กล้องTVจับภาพได้หลายครั้ง ล่าสุดผมไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิตวันที่10/12/09มา ได้พบอ.เทพพนม ผมเห็นคนเยอะแยะ รวมตัวกันอยู่ที่ดาดฟ้า เข้าใจได้ว่าคงมารอดูจานบิน คิดว่าอ.เทพพนมคงส่งจิตเชิญจานบินก่อนหน้าผมมาแล้ว ผมคิดว่าคงไม่ได้เห็นแล้วเพราะออกมาไม่ทัน ผมมองไปบนท้องฟ้า มองหาไปรอบๆว่ามีหลงเหลืออยู่ไหม? แต่สักพักก็มีคนตะโกนว่า"นั่นไงอยู่นั้นไง เห็นแล้ว เห็นแล้ว" แล้วผมก็มองไปเห็นจริงๆ ผมเห็นเหมือนที่เห็นเมื่อตอนเด็กๆ เป็นจุดคล้ายๆดาว แต่ครั้งนี้ไม่สะท้อนแสงเท่าครั้งนั้น และรู้สึกว่าจะเล็กกว่าครั้งที่ผมเห็นประมาณ10กว่าเท่า ครั้งนี้ไกลมากๆ เป็นจุดเล็กมากๆอยู่ให้เห็น5-10นาทีก็หายไป ผมถ่ายvdoไว้ด้วยว่ามีคนเห็นพร้อมกันเยอะแค่ไหน ถ้าupแล้วจะทำมาpostให้ดูครับ กล้องผมถ่ายไม่เห็นufoนะครับ แต่ถ่ายเห็นอาการคนที่เห็นufoได้เยอะเลย
    สรุปนะครับ ผมเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง อาจมีหลายพันหลายหมื่นเผ่าพันธุ์ แต่อาจจะมีไม่มากที่สามารถสื่อสารทางจิตกับเราได้ แต่ก็ต้องมีบ้าง ทุกท่านสามารถทดลองได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าถ้าแนะนำให้ทดลองแล้วจะเป็นผลดีหรือร้ายต่อพวกเราหรือพวกเค้าในระยะยาว?
    เค้าอาจเบื่อที่จะมาบ่อยๆ เค้าอาจไม่อยากถูกหลอกจับไปทดลองเพราะความอยากรู้ของมนุษย์ เค้าอาจอยากปรากฏตัวในระยะปลอดภัยของเค้า ใกล้กว่านี้อาจอันตรายจากอาวุธทางทหารได้
    ดังนั้นหาได้ลองเชิญดูตามวิธีผมแล้ว ผมอยากให้ท่าน อธิฐานให้พรหรือขอบใจเค้าด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างมิตรแท้ ให้เค้ามีความสุขอย่างที่เค้าต้องการ ผมว่าเค้าก็น่าจะรับรู้ได้ด้วยถึงความปรารถนาดีจากเราๆ
    ผมว่าคนที่ฝึกสมาธิมาดีๆ หามุมที่ฟ้ากว้างๆ สามารถมองจุดๆเดิมนานๆได้เกิน5-10นาที เพ่งอธิฐานที่ตำแหน่งนั้นๆ ถ้าของจริงเค้าจะปรากฏตำแหน่งนั้นแน่ๆ ไม่ต้องมองหาเลย แล้วท่านจะได้เห็นแล้วอิ่มเอิบใจ รู้สึกถึงความสุขอย่างบอกไม่ถูก
    อย่าลืมให้สุขเค้ากลับไปทุกครั้ง หากอยากถ่ายรูปยานเค้าชัดๆคงต้องใช้กล้องระบบกล้องดูดาวแรงขยายเยอะๆต่อกล้องถ่ายภาพด้วยนะ แล้วเอามาpmให้ผมดูด้วย หากใครรับข้อมูลจากเค้าได้จริงๆก็ช่วยpmบอกผมด้วยเช่นกัน
     
  11. Ronrit

    Ronrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +167
    มนุษย์ต่างดาวและยานบิน

    อยู่อเมริกามายี่สิบกว่าปี แรกๆก็ไม่ได้สนใจมองไปบนฟ้าสักเท่าไร ช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาถ้าท้องฟ้าโล่งไม่มีเมฆ ผมชอบมองขึ้นไป รอสักพักจะเห็นเป็นจุดขาวๆ สะท้อนแสงที่ไม่ใช่เครื่องบิน บางจุดอยู่กับที่ บางทีวิ่งได้อย่างรวดเร็วมาก อาจเป็นได้ถ้าจะคิดว่าเป็นดาวเทียม แต่ถ้าเป็นดาวเทียม เวลานั้นของทุกวัน เราจะเห็นอยู่ที่เดิมตลอด ผมเคยดูที่จุดเดิม เวลาเดิม แต่จะไม่เห็นจุดขาวๆอันนั้น ไม่ใช่ผมคนเดียวที่เห็น ผมยังเรียกคนอื่นๆมาดูเพื่อเป็นพยานด้วย เขาเหล่านั้นหลังจากได้เห็น ก็จะสังเกตุท้องฟ้าเหมือนกับผมทุกคนไป แล้วมักจะมาเล่าให้ฟังเสมอว่าได้เห็นจุดสีขาวสะท้อนแสงเสมอ ด้วยความสงสัย ผมจึงเอากล้องดิจิตอลตั้งโหมดกล้องเป็นถ่ายหนัง ซูมให้มากที่สุด แล้ววางบนพื้นเรียบ แหงนกล้องไปบนฟ้า ทิ้งไว้ประมาณห้าถึงสิบนาที หลังจากนั้นโหลดเข้าคอม ดูหนังที่ถ่ายมาด้วยโปรแกรมที่ทำภาพช้าได้ ผมเห็นพวกเขาครับ มีทั้งเป็นแท่ง ทั้งกลมๆ วิ่งได้เร็วมาก เป็นที่น่าแปลกใจที่ไม่มีเสียงฝ่าอากาศแม้แต่น้อย ตอนนี้ผมมีไฟล์พวกนี้มากมายจนฮาร์ดไดร์ฟแทบจะเต็มแล้ว พวกเขาบินได้รวดเร็วเกินกว่าที่สายตามนุษย์จะจับพวกเขาได้ ลองคิดดูสิครับ ถ้าไม่มีกล้องจุลทรรศน์ พวกเราจะไม่เห็นเชื้อโรคได้เลย ผมเดินทางไปที่ไหน จะทำเช่นนี้ ใช้กล้องถ่ายไปบนท้องฟ้า เพื่อจะดูว่าเห็นยานของพวกเขาได้ไหม แม้กระทั่งแกรนแคนยอน ลาสเวกัส ผมก็เห็นพวกเขาได้ พูดได้ว่าเขาบินกันมากกว่าสายการบินพาณิชย์ที่บินอยู่ในน่านฟ้าอเมริกาเสียอีก เขามากันทำไม นี่คือเหตุผลที่ผมอยากจะรู้ สักวันคิดว่าผมอาจจะติดต่อกับเขาได้ เพราะเขามาให้ผมเห็นบ่อยๆ บางทีผมพูดคนเดียวดังๆว่าออกมาให้ผมเห็น เขาก็จะปรากฎออกมาให้เห็นเป็นจุดขาวๆด้วยตาเปล่า คุณลองทำกันดูนะครับ ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลของคุณแล้วบอกกันบ้างว่าพอจะเห็นพวกเขาที่ประเทศไทยกันได้บ้างไหม ไปดูวิดีโอที่ผมแนบมาก็ได้ครับ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2009
  12. Ronrit

    Ronrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +167
    ถ่ายยูเอฟโอได้อีกแล้วครับ

    ถ่ายได้ที่วัดพุทธานุสรณ์ เมืองฟรีมอนท์ รัฐแคลิฟอเนียร์ ผมยังมีอีกหลายไฟล์ แต่ยังไม่ได้ทำเป็นหนัง แล้วว่างๆจะทำมาให้ดูกันอีกนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. fernezzo

    fernezzo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +616
    คุณครับ ไฟล์ที่แนบมาด้วยน่ะ สาวเสื้อม่วงใครหรอครับ น่ารักจัง ;)
     
  14. fernezzo

    fernezzo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +616
    ผมว่ามันเป็นได้ 2 กรณีสำหรับผมนะครับ
    1.มันคือ Orb ครับ เป็นวัตถุที่มีชีวิต ลักษณะการเคลื่อนที่หรือบินของมันเหมือนแมลงมาก ด้วยความเร็วขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ในนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ บางครั้ง Orb จะเคลื่อนที่ไวมากแล้วหยุดกระทันหัน แล้วพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง

    2.มันคือยานนั่นแหละครับ แต่เป็นชนิดไร้คนขับ คาดว่าน่าจะมาจากโลกเรานี่แหละครับ น่าจะเป็นโปรเจ็คท์ลับของรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งหรือหลายประเทศ และต้องไม่ตัดประเด็นที่ว่าอาจเป็นโปรเจคท์ขององค์กรลับของเอกชนด้วยนะครับ ;)
     
  15. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    :cool::cool::cool::cool::cool:(k)
     
  16. fcaon

    fcaon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +72
    หากการฝึกให้จิต หลุดพ้นออกจาก มิติทั้ง 3 ที่เรายึดติดได้
    ก็อาจจะสามารถสื่อสารถึงมิติต่างๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่

    ก็น่าสนใจดี แต่คงยังไม่อยากทำขนาดนั้น
     
  17. ลูกท่าน

    ลูกท่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,649
    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
    ทุกอย่างจะปรับเปลี่ยนไปตามกฎของจักรวาล
    ตามสมดุลของสิ่งที่ดำเนินไป
     
  18. Ronrit

    Ronrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +167
    UFO

    ถ่ายไว้มากมายเลยอยากจะแบ่งปันให้เห็นกันนะครับ มีความเห็นอย่างไรบอกได้นะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. Ronrit

    Ronrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +167

    หมายถึงคนนี้หรือครับ เป็นครูที่วัดนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC09114.JPG
      DSC09114.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.5 MB
      เปิดดู:
      133
  20. manganiss

    manganiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +636
    น่ารักมากครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...