ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    มาต่อกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพชุดนี้ ทำเอาผมขนลุกเลยนะครับ

    พระท่านอาพาธ มองไม่เห็น และมองไม่ค่อยเห็นครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_0281 2.JPG
      DSC_0281 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      151.7 KB
      เปิดดู:
      759
    • DSC_0284 2.JPG
      DSC_0284 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      191.8 KB
      เปิดดู:
      737
    • DSC_0285 2.JPG
      DSC_0285 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      174.2 KB
      เปิดดู:
      741
    • DSC_0286 2.JPG
      DSC_0286 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      184.4 KB
      เปิดดู:
      720
    • DSC_0289 2.JPG
      DSC_0289 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      177.7 KB
      เปิดดู:
      749
    • DSC_0292 2.JPG
      DSC_0292 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      166.4 KB
      เปิดดู:
      725
  2. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    สุดท้ายพี่ท่านก็มาแจ้งยอดบุญครับ

    สำหรับภาพถ่ายใบเสร็จเดี่ยวพี่ท่านก็จะมาแจ้งให้ทราบครับ

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_0297 2.JPG
      DSC_0297 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      168.8 KB
      เปิดดู:
      711
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เสร็จสิ้นไปอีก 1 วัน สำหรับภารกิจงานบุญในวันนี้ วันที่ 22 มิ.ย. 51 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 7 ของทุนนิธิฯ สำหรับยอดปัจจัยที่ใช้ในกิจกรรมรวมทั้งสิ้นทั้งที่ รพ.สงฆ์ และ รพ. 50 พรรษาฯ ที่ จ.อุบลมีดังนี้

    1. ถวายสงฆ์อาพาธที่ รพ. 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ โดยธนาณัติ เป็นเงิน 2,000.-บาท ทาง จนท.ของ รพ.ได้กรุณาโทร.ยืนยันว่าได้รับธนาณัติเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 20/6 โดยขณะนี้กำลังจัดทำใบอนุโมทนาบัตรให้ครับ
    2. ถวายสังฆทานอาหารที่ รพ.สงฆ์ สำหรับพระสงฆ์ 197 รูป เป็นเงิน 4,920.-บาท
    3. ถวายค่าใช้จ่ายในการซื้อเลือดเพื่อใช้รักษาพระที่อาพาธและมีความจำเป็นต้องใช้เลือดในการรักษา 10,000.- บาท
    4. ถวายค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์ส่วนกลางสำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธ 10,000.- บาท

    รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,920.- บาท (เบิกเงินมา 27,000.- บาท เหลือคืนเข้าบัญชีคงเดิม 80.-บาท)

    โดยภาพที่น้อง chaipat นำมาลงให้ดูนั้น ที่จริงแล้วยังมีอีกมาก เช่นภาพกิจกรรมในการรวมกลุ่มสนทนาธรรม และกิจกรรมที่เป็นที่สนใจสำหรับคอพระหัดใหม่คือ การสอนให้ดูเนื้อ ดูพิมพ์ ดูตำหนิของพระสมเด็จปัญจสิริพิมพ์ต่างๆ พระสมเด็จปีระกาป่วงใหญ่ พระสมเด็จวัดระฆังนอกพิมพ์นิยม ซึ่งกลุ่มชอบดูพระนี่นับได้เกือบ 10 คน ทีเดียว และนับเป็นการสอนในครั้งที่ 1 โดยเฉพาะพระสมเด็จปีระกาฯ นั้นที่ ท่าน อ.ประถมยืนยันว่าเป็นพระพิมพ์ตระกูลสมเด็จที่เป็นสมเด็จแท้ เพราะทันเจ้าประคุณสมเด็จเสกเมื่อครั้งมีชีวิต โดยมิได้เชิญมาหลังจากท่านได้สิ้นชีพตักษัยแล้ว อิทธิคุณสูงส่ง สามารถทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ โดยได้สมญาอีกอย่างหนึ่งว่า "พระหมอ" ตอนนี้มีผู้จองไว้กับผม 3 องค์แล้ว ก็รับปากว่าจะหาให้เก็บกันไว้สำหรับเป็นวาสนาแก่ตนเองและลูกหลานครับ ส่วนการสนทนาธรรมหรืออื่นๆ ทางด้านจิตนั้น ก็ได้สาระต่างกันไปตามภูมิปฏิบัติของแต่ละคน สำหรับอาหารว่างนั้นคณะกรรมการฯ เราก็มีทั้งขนมและน้ำให้ทานฟรีด้วย เช่นกัน

    ในงานเดียวกันนี้ ได้ทราบว่าจาก อ.ปุ๊ว่า มีหลายท่านที่บริจาคเพิ่มเข้ามา โดยมีรายรับในวันเดียวกันนี้ อีกราว 15,000.- บาท ดังนั้น ในคราวที่จะประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งต่อไป จะได้พิจารณาเพิ่มวงเงินช่วยเหลือไปที่ รพ. 50 พรรษาฯ ที่ จ. อุบลฯ เพื่อเข้ากองทุนสงฆ์อาพาธของ รพ. ที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งสายกรรมฐาน และทางปริยัตร มารักษาตัวกัน แต่ทาง รพ. ยังคงมีงบประมาณในการรักษาจากกองทุนนี้น้อยกว่า รพ.สงฆ์ที่เป็น รพ.ส่วนกลางใน กรุงเทพฯ มากครับ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในการรักษามากพอสมควร

    สุดท้ายนี้ คณะกรรมการฯ ต้องขอขอบพระคุณ ทุกท่านที่ได้ร่วมบริจาคเงินเข้ามาสมทบในบัญชีเป็นอย่างยิ่งครับ สิ่งใดที่ท่านปรารถนาไว้ หากไม่เกินความสามารถแห่งบุญที่ท่านทำไว้ บุญจากการที่ท่านได้ช่วยเหลือพระสงฆ์ที่ท่านกำลังอาพาธที่ท่านได้เห็นตามภาพข้างต้นนี้ ขอบุญนั้น จงสำเร็จแก่ท่านด้วยเทอญ....สาธุ

    พันวฤทธิ์
    22/9/51




     
  4. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาชมภาพกิจกรรมของทุนนิธิฯ ประจำเดือนมิถุนายนเพิ่มเติมจากน้องchaipat

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    พี่พันวฤทธิ์และพี่นายสติ กำลังนำเงินที่ได้รับบริจาคมาจากทุกท่าน มอบให้โรงพยาบาลสงฆ์ จำนวนทั้งสิ้น 20000 บาท
    <CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>
     
  5. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    หลังจากถวายอาหารเช้าแด่พระสงฆ์อาพาธเสร็จ ทางคณะกรรมการมอบให้พี่นายสติ เป็นวิทยากรนำพระสมเด็จปัญจสิริกรุวังหน้าและสมเด็จกรุบางน้ำชน มาเผยเคล็ดลับจุดตายต่างๆให้ทุกท่านที่สนใจได้รับความรู้กันอย่างไม่ปิดบัง
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    นับเป็นบทเรียนบทแรกที่ลองสอนดูก่อน โดยกำหนดให้สอนดูพิมพ์ ดูเนื้อ รวมถึงเนื้อใน ในพระที่แตกหัก ว่ามีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง ค่อยๆ ไล่กันไปทีละอย่าง ในที่สุดเมื่อเรียนขั้น อนุบาล ประถม แล้ว คราวต่อไปจะลองกำหนดการสอนโดยการดูจากตาในเป็นขั้นสุดท้าย โดยมีองค์ประกอบด้านการวางจิตให้มั่น ทั้งนี้ คงต้องปรึกษากับรองประธานที่ปรึกษาคือพี่ใหญ่ก่อน เพราะต้องทำตามขั้นตอน เรียนลัดไม่ได้ และต้องใช้เวลาครับ พระยังมีอีกเยอะค่อยๆ ฝึกไปเดี๋ยวก็ใช้ได้ ดีกว่ามีไว้แล้วไม่ทำอะไรเลย ผมเองยังต้องค่อยๆ ฝึก ๆ ทุกวัน ขนาดทำทุกวัน ยังไม่ค่อยได้เลย ต้องอาศัยความมีอิทธิบาท 4 มากจริงๆ แต่ก็คิดว่าไม่เหลือวิสัยที่จะทำได้ครับ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เว้นไป 3 วัน มาดูเรื่องพุทธประวัติ ต่อเลยครับ

    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๓ : ทรงตัดพระเมาลี และอธิษฐานเพศบรรพชิต
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๓ : ทรงตัดพระเมาลี และอธิษฐานเพศบรรพชิต

    ทรงตัดพระโมลีถือเพศบรรพชา ณ ฝั่งน้ำอโนมา
    ฆฏิการพรหมถวายอัฐบริขาร

    [​IMG]
    แล้วทรงตัดด้วยพระขรรค์แสงดาบเหลือพระเกศา

    เจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งพระทัยอธิษฐานปรารถนาจะทรงบรรพชา ทรงใช้พระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์แสงดาบ พระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา คือ ยอด หรือปลายพระเกศา กับพระโมฬี คือ มุ่นพระเกศา หรือผมที่มุ่นเป็นมวย แล้วทรงตัดด้วยพระขรรค์แสงดาบเหลือพระเกศาไว้ยาวประมาณ ๒ นิ้ว เป็นวงกลมเวียนไปทางขวา ตัดพระโมลีให้ขาดออกเรียบร้อยด้วยพระองค์เอง แล้วจับพระโมลีโยนขึ้นไปบนอากาศ ทันใดนั้นพระอัมรินทราธิราชก็ทรงเอาผอบทองมารองรับพระโมลีเอาไว้ แล้วนำไปบรรจุยังพระเจดีย์จุฬามณี ในเทวโลก ขณะนั้นฆฏิการพรหมได้นำเอาผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรจากพรหมโลกเข้าไปถวาย พระสิทธัตถะทรงรับแล้วทรงนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์แล้วทรงตั้งพระหฤทัยอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตอันเป็นอุดมเพศ แล้วทรงประทานผ้าทรงทั้งคู่ที่เปลื้องออกมอบให้แก่ฆฏิการพรหม ฆฏิการพรหมก็น้อมรับเอาผ้าคู่นั้นไปบรรจุไว้ในทุสสเจดีย์ในพรหมโลกสถาน

    [​IMG]
    ทรงถือพระโมลีอยู่ในพระหัตถ์

    [​IMG]
    เหล่าเทพยดา นำพระโมลีไปบรรจุยังพระเจดีย์จุฬามณี

    เมื่อได้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ที่ฆฏิการพรหมนำมาถวายพร้อมด้วยเครื่องบริขารอย่างอื่นของนักบวชแล้ว ทรงอธิษฐานเพศเป็นนักบวชที่บนหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ที่ซึ่งมีชื่อว่าอนุปิยอัมพวัน พระองค์ตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยวว่า จะพยายามค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐเป็นหนึ่งในโลก

    [​IMG]

    เมื่อประทับอยู่อนุปิยอัมพวันนี้ได้ ๗ วัน แล้วจึงเสด็จดำเนินต่อไป


    [​IMG]

    [/SIZE]
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ยิ่งรีบยิ่งถึงจุดหมายช้า(ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ)

    <!-- Main -->[SIZE=-1]<CENTER>[​IMG]</CENTER>

    เมื่อกลางปี ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาทตากผ้าที่ จ.ลำพูน พร้อมกับเพื่อน ๆ อีก ๔ คน การเดินทางครั้งนั้นค่อนข้างยากลำบาก เพราะฝนตกตลอดทาง แต่ก็โชดีที่เมื่อถึงวัดแล้วฝนเริ่มซาลง ทำให้การเที่ยวชมนมัสการเป็นไปได้ด้วยดี

    หลังจากไว้พระพุทธบาทตากผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ชวนเพื่อนขึ้นไปนมัสการพระพุทธรูปบนเขา ซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างสูงมาก ด้วยความตื่นเต้น และรีบเร่งทำให้ข้าพเจ้า วิ่งขึ้นนำหน้าเพื่อน เพื่อหวังจะได้ขึ้นไปถึงเป็นคนแรก

    แต่ทว่าด้วยความรีบเร่งจนเกินไปนั่นเอง ทำให้เราเหนื่อยเร็ว พอขึ้นมาได้เพียงครึ่งทาง ก็เกิดอาการหอบ หายใจแทบไม่ทัน เมื่อหันหลังไปมองดูเพื่อน ๆ ซึ่งกำลังย่างเดินขึ้นมาแบบเนิบ ๆ แต่ไม่ช้าเพื่อน ๆ ก็เดินแซงเราขึ้นไปถึงยอดก่อนทีละคน ๆ จนในที่สุดข้าพเจ้าก็เป็นผู้รั้งท้ายด้วยอาการลมใส่

    การเดินขึ้นเขาครั้งนี้ ได้ข้อคิดอยู่ประการหนึ่งคือ ความรีบร้อน รีบเร่งเกินไปนั้น บางครั้งก็ส่งผลร้ายมาสู่เราได้เหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกับการศึกษา
    [/SIZE]เรียนรู้ ปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ต้องค่อยเป็นค่อยไป ตามลำดับขั้นตอนอย่างช้า ๆ หากเรารีบเร่งเกินไป เนื่องด้วยปัญญาน้อย (เหมือนกับร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง มีกำลังน้อย) ก็จะสูญเสีย เดินพลัดพรากตกจากเขาไปเสียก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางเป็นแน่


    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=asatisa&month=20-06-2008&group=7&gblog=6
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    สพพรติ ํ ธมฺมรตี ชินาติ

    ความยินดี ในธรรม นั้นเป็นเลิศ
    ความยินดี ใดประเสริฐ เท่าธรรมได้
    ความยินดี ที่พระองค์ ทรงกล่าวไว้
    ทั้งยินดี ยินร้าย ให้ละลง

    ความยินดี ในธรรมนั้น หลายนัย
    ท่านควรจะ สิกขาไว้ ไม่ให้หลง
    ความยินดี คือ "สันโดษ" ความหมายตรง
    ท่านชี้ลง ยินดีสาม โปรดตามมา

    หนึ่งยินดี ปัจจัยสี่ ตามที่ได้
    หรือยินดี ที่ได้ ดังเพียรหา
    (ยถาลาภสันโดษ)

    ไม่เดือดร้อน กระวนกระวาย ในอุรา
    สิ่งที่ได้ ไม่ปรารถนา ดั่งต้องการ

    สองยินดี ตามกำลัง แห่งร่างกาย
    (ยถาพลสันโดษ)

    ตามสุขภาพ และวิสัย ให้ประสาน
    แม้นแสลง ต่อกาย ให้ประทาน
    ไปเจือจาน ผู้อื่นไซร้ ได้พึ่งพา

    สามยินดี ตามสมควร แก่ภาวะ
    (ยถาสารุปปสันโดษ)

    และฐานะ แนวทาง กิจ ของตนหนา
    สันโดษใน ปัจจัยสี่ ที่ได้มา
    นี่คือนัย แห่งธัมมา "ความยินดี"

    ความยินดี เมื่อผู้อื่น ดีมีสุข
    ผ่อนคลายทุกข์ เรียก "มุทิตา" พาสุขศรี
    "อุเบกขา" สงบ ละยินดี
    "อนุโมทนา" ก็ยินดี ที่ใช้กัน

    ไม่ว่าจิต จะยินร้าย หรือ ยินดี
    พระภูมี ตรัสให้ "ละ" จะสุขสันต์
    จะยินดี หรือ ยินร้าย ให้ละพลัน
    ใช่ยึดมั่น ความยินดี อย่างเข้าใจ



    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้ผมได้ฝากเงิน จำนวน300บาทเข้าบัญชี bay 3481232459 pratom f. เพื่อร่วมทำบุญทุนนิธิสงฆ์อาพาธ ประจำเดือน มิถุนายน2551
    ขอบคุณและโมทนาสาธุ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอนำเรื่องพระเจ้า 10 ชาติมาลงสลับกับพุทธประวัติครับ ถึงแม้หลายคนจะเคยอ่านมาแล้ว แต่อยากให้ดูคติในช่วงท้าย แล้วนำมาเปรียบเทียบว่า กว่าที่ท่านจะสำเร็จมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านทรงบำเพ็ญบารมีมาอย่างไร ยากแสนยากขนาดไหนหรืออย่างพระอริยสงฆ์ในปัจจุบันที่ท่านปรารถนาพุทธภูมินั้น ท่านต้องผ่านอะไรบ้าง เมื่อเรากราบพระพุทธรูปแล้ว เราทราบถึงความยากลำบากนั้น เราจะกราบได้สนิทใจ สมดังคำว่า "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ" แล้วกำหนดเอาคุณความดีของท่านเป็นกรรมฐานครับ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 color="#000000"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80><CENTER>พระเตมีย์ใบ้ 1</CENTER><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80>[​IMG] </TD><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=40></TD></TR><SCRIPT language=JavaScript>if (document.all)document.body.style.cssText="border:10 outset #ddcf77"</SCRIPT></TBODY></TABLE><TABLE width="80%" align=center>
    ในครั้งก่อนนานมาแล้ว พระเจ้ากาสิกราชครองสมบัติในเมืองพาราณสี แต่พระองค์มีราชโอรสและธิดาไม่ ด้วยกลัวว่าจะไม่มีผู้สืบสกุล จึงให้นางจันทเทวีและนางสนมทำพิธีขอพระโอรส พระอัครมเหสีก็ทรงทำตาม จึงได้ทรงครรภ์เมื่อครบกำหนดแล้วก็ทรงประสูติออกมาเป็นราชกุมาร พระเจ้ากาสิกราชทรงดีพระทัยเป็นอันมา
    จัดให้การสมโภชและพระราชทานนางนมให้แก่พระราชกุมารและขนานนามว่า เตมีย์กุมารเพราะในวันประสูตินั้นฝนได้ตกทั่วทั้งพระนครและเป็นเหตุให้พระทัยของพระองค์และราษฏร์ได้รับความแช่มชื่น เรื่องความกลัวว่าราชวงค์จะสูญสียก็เป็นอันหมดไปพระเจ้ากาสิกราชทรงโปรดปรานพระราชกุมารมาก บางครั้งถึงกับอุ้มออกไปทรงว่าราชการด้วย....
    วันหนึ่งขณะที่พระราชบิดาอุ้มออกไปทรงว่าราชการอยู่นั้น อำมาตย์ได้นำโจรมาให้ ทรงวินิฉัย ๔ คนด้วยกัน พระราชาทรงสั่งให้ลงอาญาโจรเหล่านั้น..คนที่ ๑ ให้เฆี่ยนด้วยหนามหวาย และอีกคนให้เอาหอกแทงทรมานให้เจ็บปวดแสนสาหัสคน ๑ ให้เอาหลาวเสียบไว้ที้งเป็น..คน ๑ ให้คุมขังไว้
    พระราชกุมารได้ทรงเห็นเช่นนั้น ก็ระลึกความหลังครั้งไปอยู่นรก ก็คิดว่าพระราชบิดาของเราทำดังนี้น่ากลัวเหลือเกิน ตายไปตกนรกแน่นอน เราเองถ้าใหญ่ขึ้นมาก็ต้องครอบครองแผ่นดิน ก็ต้องทำอย่างพระราชบิดาแน่นอน ทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากการต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ เทพธิดาผู้เคยเป็นมารดาของพระราชกุมารในครั้งก่อนสิงอยู่ที่เศวตฉัตร..ได้แนะนำพระราชกุมารให้ปฏิปัติ ๓ ประการคือ
    ๑ . จงเป็นคนง่อย
    ๒. จงเป็นคนหูหนวก
    ๓. จงเป็นใบ้ แล้วจะพ้นสิ่งเหล่านี้
    นับตั้งแต่นั้นมา เตมีย์ก็เริ่มปฏิบัติไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้นใครมาพูดก็ทำเป็นไม่ใด้ยิน เอาอุ้มไปวางไว้ที่ไหนก็นั้งอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อนไปในที่ใด พระราชบิดาทรงสงสัยว่าแต่ก่อนพระราชกุมารก็เหมือนเด็กทั่วไปรื่นเริงโลดเต้น..
    เจรจาเสียงแจ้วอยู่ตลอดเวลาทำไมกลับมาเงียบขรึมไม่พุดไม่จา ใครจะพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน คงจะเกิดโรคภัยชนิดใดขึ้นแน่ จึงให้หมอตรวจ ก็มิได้พบว่าพระราชกุมารเป็นอะไร
    คงเป็นปกติทุกอย่าง ก็ทรงให้ทดลองหลายอย่างหลายประการ เป็นตันว่าให้อยู่ในที่สกปรก พระเตมีย์อดทนอยู่ได้ แม้จะหิวก็ไม่ทรงกันแสงแม้จะกลัวก็ไม่แสดงอาการอย่างไร เพราะเห็นว่าภัยในนรกร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน..จึงคงเฉย ๆ ทำเอาพระราชบิดาสิ้นปัญญา
    พวกอำมาตย์รับอาสาว่าจะทดลองดูก่อน ก็ทรงอนุญาติให้..ครั้งแรกเมื่อให้พระเตมีย์นั่งอยู่ในเรือนแล้วแกล้งจุดไฟเพื่อจะให้พระเตมีย์กลัว..แต่หาได้ทำให้พระเตมีย์หวาดกลัวไม่คงเป็นปกติอยู่
    ทดลองอย่างนี้ตั้งปี ก็ไม่พบความผิดปกติอย่างไร ต่อไปก็ทดลองด้วยช้างตกมัน โดยนำพระราชกุมารไปประทับนั่งที่พระลาน..ให้มีเด็กห้อมล้อมหมู่มาก..แล้วให้ปล่อยช้างที่ฝึกแล้วเชือกหนึ่ง วิ่งตรงเข้าไปจะเหยียบพระราชกุมาร เด็กที่ห้อมล้อมอยู่หวาดกลัวร้องไห้พากันวิ่งหนีกระจัดกระจายไป แต่พระเตมีย์ก็คงทำเป็นไม่รู้ชี้เช่นเดิม ทดลองอย่างนี้สิ้นเวลาตั้งปีก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรขึ้นมา พระกุมารเคยเงียบไม่กระดุกกระดิกอย่างไรก็คงอย่างนั้นแม้ช้างจะจับพระกายขึ้นเพื่อจะฟาดก็ไม่ตกใจกลัวเพราะมุ่งหวังอย่างเดียวจะให้พ้นจากการเป็นพระเจ้าแผ่นดินให้ ต่อไปก็ทดลองด้วยงู ให้พระเตมีย์นั่งอยู่ แล้วให้ปล่อยงูมารัด ธรรมดาเด็กย่อมจะกลัวงู อย่าว่าแต่เด็กเลยผู้ใหญ่ก็เถอะ...แต่ก็ไม่ทำให้พระเตมีย์หวาดกลัวไปได้ คงนั่งเฉยทำเหมือนรูปปั้นเสีย เล่นเอาอำมาตย์เจ้าปัญญาสั่นหัว ทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็ไม่อาจจะจับพิรุธพระกุมารได้ ต่อไปให้ทดลองด้วยการให้พระเตมีย์นี่งอยู่ แล้วให้คนถือดาบวี่งมาจะทำอันตราย แต่พระกุมารทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หูไม่ได้ยิน ปากก็ไม่มีเสียง กายไม่กระดิกกระเดี้ย ทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็จับอะไรพระกุมารไม่ได้.. ต่อไปก็ทดลองเสียง โดยให้พระเตมีย์นั่งอยู่พระองค์เดียว แล้วจู่ ๆ เสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังขึ้นมาแต่พระเตมีย์คงทำไม่ได้ยินเช่นเคย การทดลองของอำมาตย์เป็นระยะทั้งสิ้น ๗ ปี หลายปีที่ทำมาก็ไม่สามารถทำให้พระเตมีย์พูดออกมาได้ตั้งแต่ ๙ ขวบ จนกระทั่ง ๑๖ ขวบ พระเตมีย์ก็คงทำเช่นนั้น [​IMG] เมื่อวัยแรกรุ่นย่อมจะชอบใจในกามารมณ์ จึงจัดให้ให้สาวน้อย ๆ มาเล้าโลมประการใด ๆ กอดรัดบ้าง ลูบโน่นบ้างลูบนี่บ้าง จนกระทั่งเปิดโน่นให้ดูบ้าง เปิดนี่ให้ดูบ้าง จะทำอย่างไรพระเตมีย์ก็คงทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ทองไม่รู้ร้อนตลอดกาล.




    <TBODY></TBODY>

    </TABLE>



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 color="#000000"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80><CENTER>พระเตมีย์ใบ้ 2</CENTER><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=40></TD></TR><SCRIPT language=JavaScript>if (document.all)document.body.style.cssText="border:10 outset #ddcf77"</SCRIPT></TBODY></TABLE><TABLE width="80%" align=center>
    ใครจะพูดอย่างไร จะทำอย่างไรพระเตมีย์ไม่ได้ยินทั้งนั้น ไม่ยอมเคลื่อนไหวไม่ร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ ไม่อ้าปากส่งเสียงอะไรออกมา ผลที่สุดทั้งพระราชบิดาและอำมาตย์ลงความเห็นว่าพระกุมารคงเป็นคนกาลกิณีเสียแล้ว.. ขืนให้อยู่ต่อไปคงจะเกิดอันตรายขึ้นแก่พระองค์แก่สมบัติและแก่พระอัครมเหสี ควรจะออกไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบนอกเมือง พระราชาก็เห็นด้วย จึงดำริจะให้เอาไปทิ้งเสีย แต่พระเทวีอัครมเหสีมาเฝ้ากราบทูลว่า
    "ขอเดชะ..พระองค์ได้พระราชทานพรไว้แก่ข้าพระองค์บัดนี้หม่อมฉันจะทูลขอพรที่ได้ให้ไว้นั้น..."
    "พระเทวีเธอขออะไรก็ตรัสไปถ้าไม่หลือวิสัยแล้วจะให้"
    "ข้าพระองค์ขอราชสมบัติให้พระเตมีย์"
    "อะไรกันพระเทวีก็เจ้าเตมีย์เป็นคนใบ้ แล้วก็หูหนวกเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างไร"
    "ก็พระเตมีย์เป็นอย่างนั้น หม่อมฉันจึงขอพระราชสมบัติ"
    "ไม่ได้พระเทวีเลือกอย่างอื่นเถิด"
    "หม่อมฉันขอเลือกให้พระเตมีย์ครองแผ่นดินแม้ไม่มากเพียง ๗ ปีก็พอ"
    "ไม่ได้พระเทวีจะเป็นความเดือดร้อนแก่คนอื่นมากมายนัก ลูกเราไม่มีความสามารถถ้าดีอยู่อย่าว่าแต่ ๗ ปีเลย ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะให้สมบัติตลอดไป"
    "ขอสัก ๑ ปีก็แล้วกัน"
    "ไม่ได้พระเทวี"
    "ถ้าอย่างนั้นขอ ๗ วัน หม่อมฉันขอให้พระเตมีย์ได้เป็นสักหน่อยเถิด"
    พระเจ้ากาสิกราชก็ยอมตกลง จึงได้ให้ตกแต่งร่างกายของพระเตมีย์ในเครื่องกษัตริย์ แล้วให้เสด็จเลียบพระนครประกาศให้ประชาชนพลเมืองทั่วไปทราบว่า บัดนี้พระเตมีย์ได้เป็นกษัตริย์แม้ใคร ๆ จะทำอย่างไรพระเตมีย์ยังคงเฉย ร่างกายไม่เคลื่อนไหวเป็นเหมือนหุ่น เขาวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น ใครจะทำอะไรก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพระกุมารทั้งสิ้น พอครบ ๗ วัน
    พระนางจันทเทวีก็ทรงพระกันแสงเพราะครบกำหนดที่สัญญาไว้กับพระราชาแล้ว พระราชาจึงมอบพระเตมีย์กุมารให้กับนายสุนันทสารถีเอาใส่รถไปฝังเสียที่ป่าช้าดิบภายนอกเมือง นายสุนันทก็เอาพระเตมีย์ใส่ท้ายรถขับออกจากตัวเมืองไปยังป่าช้าผีดิบ แต่หารู้ไม่ว่าทางที่จะไปนั้นม้นไม่ใช่ป่าช้าผีดิบแต่เป็นป่าอีกหนึ่งต่างหาก..
    ความผิดพลาดของนายสารถี นับตั้งแต่เริ่มเทียมรถม้าแล้วคือ แทนที่จะเอารถสำหรับใส่ศพ กลับเอารถมงคลมาเทียมแทนและเมื่อรับพระเตมีย์แล้วก็คิดว่าจะขับไปป่าช้าผีดิบซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกจึงเป็นอันว่านายสารถีผิดพลาดตลอดมา.. แต่การผิดพลาดนี้เป็นผลดีของพระเตมีย์
    เมื่อถึงป่านอกเมือง ซึ่งนายสุนันทคิดว่าเป็นป่าช้าผีดิบ เขาก็หยุดรถหยิบจอบเสียมลงไปเพื่อจะขุดหลุมฝังพระกุมารเสีย หูของเขายังแว่วพระดำรัสของพระราชาที่ว่า
    "ลูกข้าคนนี้ เป็นกาลกิณีเองจงเอาไปป่าช้าแล้วขุดหลุมสี่เหลียมให้ลึก แล้วเอาจอบทุบหัวมันเสียก่อนแล้วค่อยฝังมันทีหลัง ช่วยมันหน่อยนะอย่าให้ฝังมันต้องถูกฝังทั้งเป็นเลย
    ในขณะที่นายสารถีกำลังขุดหลุมอยู่ไมไกลจากรถนี้นเอง พระเตมีย์ก็คิดว่าร่างกายของเราไมได้เคลื่อนไหวมาตั้ง ๑๖ ปี จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ก็ทรงกายลุกขึ้นลงมาจากรถทดลองเดินไปมาอยู่ข้างรถ
    "ไม่เป็นอะไร มือเท้าไม่ได้เป็นง่อยเปลี้ยเสียแต่อย่างใด แต่กำลังเล่าจะเป็นไฉน"
    คิดแล้วก็จับเอางอนรถยกขึ้น..เป็นความมหัศจรรย์...พระเตมีย์ยกรถขึ้นกวัดแกว่งได้เหมือนยกเอารถตุ๊กตาเบาแสนเบาแล้วกลับวางอย่างเดิม แลเห็นนายสารถีก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่โดยไม่ทราบว่าพระองค์ได้ทำอย่างไรบ้าง จึงเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ก็ไม่รู้แต่ก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียง
    "สารถีท่านขุดหลุมสี่เหลียมทำไมกัน"
    เขาเหลียวหน้ามามองแต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นพระกุมารที่ตนนำมาคิดเสียว่าเป็นคนเดินทางผ่านมาเห็นตนกำลังขุดหลุมอยู่ก็แวะเจ้ามาสอบถามดู
    "ขุดหลุมฝังคน" เขาตอบสั้น
    "ฝังใครกันล่ะ?"
    "ฝังลูกพระเจ้าแผ่นดิน"
    "ฝังทำไมกันล่ะ?"
    "เรื่องมันยืดยาวท่านอยากจะรู้ไปทำไม"
    "ก็อยากจะรู้บ้างว่าคน ๆ นั้นเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินจะมาถูกฝังเพราะโทษอะไร" นายสารถีก็ชี้แจงว่า
    "ไม่มีโทษอะไรหรอก แต่พระราชกุมารเป็นคนกาลกิณีขืนปล่อยไว้นานไปความอุบาทว์ ทั้งหลายก็จะเกิดแก่ราชสมบัติ พระเตมีย์จึงแสร้งตรัสถามต่อไปว่า
    "คนกาลกิณีน่ะเป็นอย่างไร"
    "ก็เป็นคนไม่ดีน่ะสิ" นายสารถีเริ่มฉุน
    "ไม่ดีอย่างไร"
    "เอ..ท่านนี่ควรจะไปเป็นศาลตุลาการ..แทนที่จะเป็นคนเดินทางเพราะแก่ชักเสียจริง"
    พระกุมารก็ไม่ขุ่นเคือง คงมีพระดำรัสเรียบ ๆ ถามต่อไป
    "ข้าพเจ้าอยากรู้จริง ๆ ก็เลยรบกวนท่านหน่อย"
    "เอ๊า...อย่างนั้นคอยฟัง..คือว่าพระโอรสของเจ้านายข้าพเจ้าคนนี้ เกิดมามีลักษณะสวยงามน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่เสียอย่างเดียวภายหลังมาเกิดไม่พูดไม่จาแขนขาไม่ยกไม่ก้าว เสียเฉย ๆ ยังงั้นเเหละใครจะพูดอะไร หูก็แถมหนวกเสียด้วยเลยเป็นอันว่าเหมือนตุ๊กตาตัวโต ๆ ที่เขาตั้งไว้"
    "แล้วอะไรอีกล่ะ"
    "ก็ไม่ยังไงหรอกพระเจ้าแผ่นดินรอมาถึง ๑๖ ปี ก็ไม่เห็นดีขึ้น เลยตัดสินให้ข้าพเจ้าเอามาฝังเสียหลุมที่ขุดนี่แหละที่จะฝังพระราชกุมาร ท่านเข้าใจหรือยัง"
    "ท่านรู้ไหมว่าเราเป็นใคร" จึงมองอย่างพินิจพิจารณา แต่เขาก็จำไม่ได้เพราะผู้ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าบัดนี้ไม่ใช่พระกุมารผู้เป็นง่อยเปลี้ยเสียแข้งขาเสียแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะคล้ายคลึงกับพระกุมารแต่เขาก็ไม่แน่ใจนักจึงทำอ้ำอึ้งอยู่
    เมื่อเห็นสารถีมองดูด้วยความสงสัยจึงประกาศตนว่า
    "สารถี..เราคือเตมีย์กุมารที่ท่านจะนำมาฝัง ท่านลองพิจารณาดูเถิดว่าเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า..ดูสิเราเป็นง่อยหรือเปล่า"
    นายสารถีได้แต่มองอย่างสงสัย แล้วเอ่ยขึ้นรำพึงกับตัวว่า
    "เอ พระกุมารก็ไม่น่าเป็นไปได้ จะว่าไม่ใช่ก็กระไรอยู่"
    "เราคือเตมีย์กุมาร โอรสของพระเจ้ากาสิกราชที่ท่านอาศัยเลี้ยงชีพด้วยการเป็นราชบริพารอยู่บัดนี้ อย่าสงสัยเลยท่านขุดหลุมฝังเราน่ะเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมเลย"
    "ทำไมไม่เป็นธรรม?"
    "ท่านมองดูสิว่าเราเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า ท่านได้รับคำสั่งให้ฝังคนกาลกิณีต่างหาก"
    "จริงสินะ" สารถีคิดแต่เขาก็อ้ำอึ้งอยู่ไม่รู้จะกล่าวออกว่ากระไรอีก ที่เขาจะนำไปฝังนั้นเอง เขาจึงก้มกราบที่เท้าของพระเตมีย์
    "โอ้..ข้าพระบาทเป็นคนโง่เขลา ทั้งนายของตนเองก็จำไม่ได้ เหมือนปาฏิหาริย์ บันดาลให้เกิดไม่น่าเชื่อ"
    "ทำไมไม่เชื่อ"
    "เพราะพระองค์ไม่เคลื่อนไหวร่างกายตั้งสิบกว่าปีอวัยวะควรจะใช้ไม่ได้ ควรจะเหี่ยวแห้งไป แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่นับว่าเป็นความประหลาดมากทีเดียว"
    "เมื่อท่านเห็นเราเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านยังจะคิดฝังเราอีกหรือเปล่า"
    "ไม่พะย่ะค่ะ ข้าพระบาทเลิกคิดจะทำร้ายพระองค์แล้ว ข้าพระพระองค์เข้าไปเฝ้าพระราชบิดามารดาเพื่อจะได้ครองราชสมบัติต่อไป"
    "เราไม่คิดจะกลับไปสู่สถานเช่นนั้นอีก เพราะที่นั้นเป็นเหตุให้กระทำความชั่ว ซึ่งต่อไปจะทำให้บังเกิดในนรกอย่างไม่รู้จะผุดจะเกิดเมื่อไหร่ ?"
    แต่นายสารถีก็ยังแสดงความดีใจ
    "ถ้าข้าพระองค์นำพระองค์กลับเข้าไปได้ใคร ๆ ก็ต้องแสดงความยินดีกับพระองค์ และข้าพระองค์ก็จะได้เงินทองทรัพย์สมบัติผ้าผ่อนและแพรพรรณต่าง ๆ จากคนเหล่านี้ เป็นต้นว่า
    พระราชบิดามารดาของพระองค์ก็ทรงยินดี ข้าพระองค์อาจจะได้ยศศักดิ์ บริวารและ อะไรต่าง ๆ ตามความปรารถนาเพราะ ใคร ๆ แสดงความสามารถที่จะให้พระองค์ไม่กลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้มาตั้งสิบกว่าปีก็ไม่สำเร็จ แต่ข้าพระองค์กลับทำได้ เป็นความดีใจที่เหนือความดีใจทั้งหมดที่เคยมี ข้าพระองค์กำลังจะรับความสุข ไม่ต้องลำบากเช่นเดี๋ยวนี้"
    "ท่านอย่าเพิ่งดีใจไปก่อนเราจะว่าให้ฟังเราเป็นคนไม่มีญาติขาดมิตร เป็นคนกำพร้า เป็นคนกาลกิณีจนเขาต้องให้ท่านเอาเราไปฝังเสียยังป่าช้าผีดิบ..ท่านนำเรากลับไปก็ไม่ดีท่านนั้นเเหละอาจจะกลายเป็นคนกาลกิณีไปก็ได้เพระใคร ๆ เขาก็เข้าใจอย่างนั้นแล้วท่านจะฝืนความนึกคิดคนอื่นได้อย่างไร เราสละแล้วด้วยประการทั้งปวง บ้านเรือนแว่นแคว้นเราไม่มี เราจะบำเพ็ญพรตรักษาศีลอยู่ในป่านี้โดยไม่กลับไปอีกแล้ว"
    "พระองค์น่าจะตรัสกับพระราชบิดามารดาเสียก่อน"
    "ไม่ล่ะ เราความเพียรเพื่อจะออกจากเมืองเป็นจำนวนถึง ๑๐ กว่าปี ความตั้งใจของเราจะสำเร็จแล้ว เราจะไม่เข้าไปสู่สถานที่ทำกรรมอีกล่ะ ถ้าเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินอาจจะอยู่ไปได้หลายสิบปี แต่เราจะต้องทำกรรมแล้วไปตกอยู่ในนรกตั้งหมื่นปี ท่านลองคิดดูว่าพระเจ้าแผ่นดินจะต้องสั่งให้เขาเฆี่ยนตี..ฆ่าคนนี้..ทำทรมานคนโน้น..ริบทรัพย์คนนั้น..ริบทรัพย์คนโน้น..วันละเท่าไร ปีละเท่าไร แล้วผลของการกระทำความชั่วนั้นจะไม่ย้อนกลับมาให้ผลเราบ้างหรือ นายสารถีอดที่จะค้านไม่ได้
    "พระเจ้าแผ่นดินจะทรงทำอย่างนั้น..ว่าโดยทางโลกยินยอมว่าเป็นความถูกต้อง เขาให้อำนาจที่จะกระทำ แต่ท่านต้องไม่ลืมนะว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ผิดจากทางโลก..แต่ทางธรรมไม่เคยยกเว้นให้ใคร ทางธรรมมีอยู่ว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ผลของการทำดีนำไปสู่สวรรค์ ผลของการทำชั่วนำไปสู่นรก" นายสารถีจึงกราบทูลว่า
    "ข้าพระองค์เป็นคนเขลา ยังคิดเป็นความสุขสบายแต่เมื่อพระองค์ดำรัสก็เห็นได้จริงคงอย่างนั้น ทุกคนต้องรักขีวิตร่างกายของตนทั้งนั้น เมื่อใดใครมาทำอันตรายก็เป็นธรรมดาต้องไม่ชอบ เมื่อพระองค์เห็นว่าโลกยุ่งมากนักจะบวช ข้าพระองค์ก็จะบวชเหมือนกัน" พระกุมารดำริว่า "หากให้นายสารถีบวชเสีย ม้ารถก็เสียหาย และพระราชบิดามารดาคงได้รับความโทมนัสที่จะเอาฝังเสีย ถ้าให้ท่านกลับคืนไปเมืองก็จะทำให้พระองค์เสด็จมาดูเรา ได้รับความโสมนัส และบางทีพระราชบิดาจะกลับใจประพฤติชอบขึ้นมาบ้าง" จึงตรัสว่า
    "เธอกลับไปส่งข่าวแก่พระราชบิดามารดาก่อนเถิดแล้วค่อยมาบวชทีหลัง เพราะบวชด้วยความเป็นหนี้ไม่ดีเลย"






    <TBODY></TBODY>
    </TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 color="#000000"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80><CENTER>พระเตมีย์ใบ้ 3
    </CENTER><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80>[​IMG] </TD></TR><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=40></TD></TR><SCRIPT language=JavaScript>if (document.all)document.body.style.cssText="border:10 outset #ddcf77"</SCRIPT></TBODY></TABLE><TABLE width="80%" align=center>

    นายสารถียินดีจะกลับไปทูลพระเจ้าแผ่นดิน แต่เกรงว่าเมื่อตนไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เมื่อเสด็จมาดูไม่พบพระกุมารก็เลยกลายเป็นว่าตนโกหก อาจจะถูกลงพระอาญาได้ จึงทูลขอพระกุมารไว้อย่าได้เสด็จไปที่อื่น ซึ่งพระกุมารก็รับคำนายสารถีถึงได้กลับไป
    พระนางจันทรเทวี นับตั้งแต่นายสารถีเอาพระราชกุมารไปแล้วพระองค์ก็คอยเฝ้ามองอยู่ว่าเมื่อไรนายสารถีจะกลับมา จะได้ทราบเรื่องพระโอรสที่รักบ้าง
    เมื่อเห็นนายสารถีกลับมาคนเดียวก็แน่พระทัยว่าพระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว น้ำพระเนตรก็ไหลอาบพระปรางด้วยความโทมนัส ตรัสถามนายสารถีว่า
    "พ่อสารถี ที่เอาโอรสของเราไปฝังนั้น พ่อได้รับคำสั่งเสียจากโอรสของเราอย่างไรบ้าง และโอรสของเราได้ทำอย่างไร"
    "ขอเดชะพระแม่เจ้า ข้าพระบาทจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับพระราชกุมารให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย"
    แล้วเขาก็เล่าตั้งเเต่นำเอาพระโอรสอออกไปขุดหลุมจะฝังพระโอรสก็กลับกลายหายจากง่อยเปลี้ยเสียขา เจรจาได้ทรงพลกำลังยกรถที่ขี่ออกไปกวัดแกว่ง จนกระทั่งตนได้ทราบความจริงว่าทำไมพระกุมารจึงได้ทำอย่างนั้น แล้วเขาก็ลงท้ายว่า
    "ขอเดชะ บัดนี้พระองค์ทรงผนวชอยู่ในราวเบื้องป่าบูรพาทิศเมืองนี้พระเจ้าข้า"
    เท่านั้นเองพระนางก็ลิงโลดพระทัยตรัสออกมาว่า
    "โอ..พ่อเตมีย์ของแม่ไม่ตายดอกหรือ เออ? ดีใจ ดีใจจริงๆ" สองพระกรก็ทาบพระอุระ ข่มความตื้นตันไว้ในพระทัย ถึงพระกาสิกราชก็ดีพระทัยเช่นกัน
    การที่พระองค์ให้เอาพระเตมีตย์ไปฝังเสียนั้น ใช่ว่าพระองค์จะชิงชังหรือรังเกลียดก็หามิได้ แท้ที่จริงเพราะพระองค์กลัวอันตรายจะเกิดกับพระราชวงศ์ ตลอดจนพระมเหสีที่รักต่างหาก และนายสารถีก็ได้กราบทูลว่า
    "พระราชกุมารทรงพระสรีระโฉมงามสง่าเหลือเกินมีสุรเสียงไพเราะตรัสออกมาน่าฟัง เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะพระกุมารตรัสเล่าให้ฟังว่า
    ทรงระลึกชาติได้ได้ว่าครั้งชาติก่อนพระองค์เคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ทำกรรมมีการจับกุมขังเฆี่ยนฆ่านักโทษมี ประการ ต่าง ๆ ครั้นพระองค์สวรรณคตแล้วได้ไปบังเกิดในนรกเป็นเวลานาน
    เหมือนคนที่ถูกงูกัด มองเห็นสิ่งอะไรคล้ายกับงูก็ย่อมจะกลัวไปหมด ฉะนั้นข้าพระองค์เองยังอยากจะบวชอยู่ในป่านั้นด้วย แต่พระกุมารไม่ยอมให้ข้าพระองค์บวช บอกให้ข้าพระองค์กลับมาทูลเรื่องราวให้พระองค์ทั้งสองทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปบวชภายหลัง ข้าพระองค์จึงได้รีบกลับมากลาบทูลให้ทราบ หากพระองค์อยากจะเสด็จไปสถานที่นั้น ข้าพระองค์จักนำไปเอง”
    พระเจ้ากาสิกราชมีพระดำรัสให้เตรียมพโยธาเพื่อจะเสด็จไปเฝ้าพระเตมีย์กุมาร ซึ่งบวชบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าด้านปราจีนทิศของเมือง แต่การเข้าไปนี้พระราชาเป็นผู้เสด็จเข้าไปก่อนเพื่อสอบถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน พระเทวีจึงเสด็จเข้าไป เมื่อเห็นพระโอรสเสด็จประทับนั่งอยู่ ด้วยความปลื้มปีติพระนางตรงเข้าไปกอดพระบาทของพระโอรส ทรงกันแสงสะอึกสะอึ่นแล้วถอยออกมา
    “พ่อเตมีย์บริโภคแต่ใบไม้พลไม้ในป่า ทำไมจึงมีร่างกายสดใส"
    พระราชาจึงถามพระเตมีย์ว่า เตมีย์กุมารจึงทูลตอบว่า
    “ขอเดชะการที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุว่า สละความห่วงใยไม่ให้มาเกาะเกี่ยวจิตใจ อะไรที่ล่วงมาแล้วก็ไม่คิดเศร้าโศก ไม่คิดอยากได้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง พยายามรักษาจิตใจในสิ่งที่เป็นปัจจุปันเท่านั้น จึงทำให้ผิวพรรณของหม่อมฉันไม่เศร้าหมอง”
    “เมื่อพ่อไม่เป็นกาลกิณีแล้ว พ่อก็ควรจะกลับไปครองราชสมบัติเพื่อประโยชย์แก่ชนหมู่มากเถิด บัดนี้ก็เอาเบญจราชกกุธภัณฑ์มาด้วยแล้ว และเมื่อกลับไปถึงบ้านเมืองแล้วจะได้ ไปสู่ขอลูกกษัตริย์อื่นให้มาเป็นอัครมเหสี พระกูลวงศ์ของเราก็ไม่เสียไป”
    เตมีย์กลับกล่าวตัดบทว่า
    การบวชควรจะบวชเมื่อยังหนุ่มเพราะสังขารร่างกายของเราตกอยู่ในคติของธรรมดา เกิดแล้วก็เจ็บตายไปตามสภาพรู้ไม่ได้ว่าเราจะตายเมื่อใด
    พระราชบิดาก็คงเห็น บางคนลูกตายก่อนพ่อแม่ น้องตายก่อนพี่ เหล่านี้แล้ว จะมัวประมาทอยู่ได้อย่างไร โลกถูกครอบงำอยู่ด้วยมฤตยู พระองค์ลองคิดดูช่างหูกเขาจะทอผ้าสักผืนหนึ่ง ทอไปทอไปข้างหน้า ก็น้อยเข้าฉันใด ชีวิตของคนเราก็เช่นนั้นพระองค์อย่ามัวประมาทอยู่เลย”
    พระราชาได้สดับแล้วก็คิดจะบวชบ้าง แต่ก็คิดจะลองใจเตมีย์กุมารดูอีก ก็ตรัสชวนในราชสมบัติและยกเอากามคุณต่าง ๆ มาล่อ แต่พระเตมีย์ก็คงยืนยันเช่นนั้นพร้อมกับอธิบายถึงผลภัยของราชสมบัติมีประการต่าง ๆ ตนพระราชาตกลงพระทัยจะผนวช
    จึงให้เอากลองไปตีป่าวประกาศว่าใครอยากบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ก็จงบวชเถิด และมิใช่แต่เท่านั้น ยังจารึกแผ่นทองคำไปติดไว้ที่เสาท้องพระโรงว่า ใครต้องการทรัพย์สมบัติใด ๆ ในคลังหลวงจงมาเอาไปเถิด
    พร้อมกันนั้นก็ให้เปิดพระคลังทั้งสิบสองพระคลังเพื่อจะให้คนที่ปราถนาจะได้ขนเอา ประชาชนราษฎรพากันแตกตื่นไปบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ บ้านเรือนก็เปิดที้งไว้โดยไม่สนใจ ที่บริเวณสามโยชน์ เต็มไปด้วยดาบสและดาสินี บรรดารถและช้างม้าที่พระราชานำมาแต่เมืองก็ปล่อยให้ผุพัง ช้างม้าก็กลายเป็นม้าป่าช้างป่าเกลื่อนไปในป่านั้น
    พระราชาที่อยู่ใกล้เคียงได้ทราบว่า กรุงพาราณสีไม่มีผู้คุ้มครองรักษา ก็ยกพหลโยธาหมายจะยึดครองเอาไว้ในอำนาจ

    เมื่อมาถึงได้เห็นประกาศที่พระกาสิกราชติดไว้ ก็ทำ ให้เกิดสงสัยว่า ทำไมคนเหล่านี้จึงทิ้งสมบัติทั้งปวงเสีย ออกไปบวชอยู่ในป่าได้ บ้านเรือนราฎรก็ทิ้งไว้ ประตูเมืองก็หาคนปิดมิได้ แต่ทรัพย์สมบัติยังคงอยู่ทุกอย่าง เลยยกพหลโยธาตามออกในป่า พบพระราชาและพลเมืองบวชเป็นฤษีบำเพ็ญพรตอยู่ในป่านั้น และเมื่อได้สดับธรรมะที่พระเตมีย์ให้โอวาทเข้าอีก เลยทำให้คิดจะหลีกเร้นออกหาความสุข พากันสละช้างม้าตลอดจนเครื่องอาวุธ บวชอยู่ในสำนักพระเตมีย์ ในบริเวณป่าดาษดา ไปด้วยรถที่ผุพังทรุดโทรม สัตว์ป่าวิ่งกันไปในป่าเกลื่อนไปหมดล้วนแต่เชื่อง ๆ รวมอยู่ใกล้ ๆ กับบรรดาฤษีเหล่านั้นก็บำเพ็ญฌานสมาบัติ ตายไปได้บังเกิดในเทวโลก <CENTER>คติเรื่องนี้ที่ควรจะได้ คือการตั้งใจแน่วแน่

    อยากจะได้สิ่งอันใดสมดังความตั้งใจอันนั้น
    ก็พยายามจนสำเร็จและได้เห็นความ อดทน
    อดกลั้นของพระเตมีย์ ซึ่งต้องทำ เป็นคนง่อย
    คนใบ้ คนหูหนวกสารพัดเป็นเวลาตั้ง ๑๐ กว่าปี
    หากเราจะตั้งใจแล้วพยายามทำก็จะต้องสำเร็จจนได้
    ในวันหนึ่ง เรื่องพระเตมีย์ก็จบลงด้วยความสำเร็จทุกประการฉะนี้
    (เรื่องพระเจ้าสิบชาติ
    เป็นเรื่องที่มาจากคัมภีร์พุทธศาสนาซึ่งมีชื่อว่า "มหานิบาตชาดก") </CENTER>



    <TBODY></TBODY>

    </TABLE><TABLE width="80%" align=center>
    <TBODY></TBODY>

    </TABLE>
    นำมาจาก
    http://larndham.net/index.php?showtopic=14661
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2008
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    . บุญของแบงค์ ๒๐ ...

    <!-- Main -->[SIZE=-1]<CENTER></CENTER>
    กาลครั้งหนึ่ง ในปัจจุบันกาลนี่เอง ธนบัตรแบงค์ ๑๐๐๐ ได้ถูกพิมพ์ออกมาสู่ท้องตลาด

    หลังจากนั้นก็ได้สถิตย์อยู่ในกระเป๋าของนักธุรกิจ ประชาชนผู้มีอันจะกินทั้งหลาย


    <CENTER>
    [​IMG]


    ด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่งจนอดเก็บไว้ไม่อยู่ แบ๊งค์ ๑๐๐๐ จึงพูดกับแบงค์อื่นๆออกมาว่า ...

    " นี่พวกเธอ ดูสิ ฉันได้เดินทางไปที่ต่างๆกับบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ฉันไปมาแล้วทั่วโลก ทั่วทุกทวีปก็ว่าได้ "


    [​IMG]


    แบงค์ ๕๐๐ จึงพูดว่า ...

    " เธอนี่โชคดีจังที่ได้เดินทางไปทั่วโลก แต่ฉันก็ได้เดินทางไปตามห้างสรรพสินค้า ทั้งขึ้นเหนือล่องใต้ทั่วประเทศเหมือนกันนะ "


    [​IMG]


    แล้วแบงค์ ๑๐๐๐ กับ แบงค์ ๕๐๐ ก็หันมามอง แบงค์ ๒๐ ซึ่งฟังอยู่อย่างสงบ
    " แล้วเธอล่ะ แบงค์ ๒๐ เธอไปไหนมาบ้าง เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ "


    [​IMG]


    แบงค์ ๒๐ ที่ฟังอย่างเงียบๆ เมื่อถูกขยั้นคะยอให้เล่า จึงพูดขึ้น
    " ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศหรือตามห้างสรรพสินค้าหรอก
    ส่วนใหญ่ฉันจะอยู่ตามวัด เขาทำบุญวัด อยู่ในตู้บริจาค และติดอยู่ตามต้นกฐิน
    ถึงฉันจะไม่ใหญ่โตอะไร แต่งานบุญทุกงานก็มีพวกฉันมากที่สุดนะจะบอกให้ "


    [​IMG]


    นิทานเรื่องนี้สอนให้รูว่า ...
    คนเราเวลาใช้จ่ายเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน จ่ายเป็นพันเป็นหมื่นไม่มีความมัธยัสต์เสียดายเลย แต่เวลาทำบุญกลับมัธยัสต์เหลือเกิน ทำแค่ ๒๐ บาทก็พอ


    [​IMG]


    ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ?
    พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กงอ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง
    รู้แล้วบอกทั่วกัน บุญกุศลเรืองรอง

    [​IMG]


    1 ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต (ละชั่วทำดี) วอนขออะไร
    2 วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ กลุ้มเรื่องอะไร
    3 ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์ เคารพทำไม
    4 พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา ทะเลาะกันทำไม
    5 ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต ห่วงใยทำไม


    [​IMG]


    6 ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ ร้อนใจทำไม
    7 ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย ทุกข์ใจทำไม
    8 ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้ อวดโก้ทำไม
    9 อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร อร่อยไปใย
    10 ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ ขี้เหนียวทำไม


    [​IMG]


    11 ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง โกงกันทำไม
    12 โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย โลภมากทำไม
    13 สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต ข่มเหงกันทำไม
    14 ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน หยิ่งผยองทำไม
    15 ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต อิจฉากันทำไม


    [​IMG]


    16 ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ แค้นใจทำไม (บำเพ็ญไวไว)
    17 นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ เล่นการพนันทำไม
    18 ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าไปขอพึ่งผู้อื่น สุรุ่ยสุร่ายทำไม
    19 จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น อาฆาตทำไม
    20 ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก คิดลึกทำไม


    [​IMG]


    21 ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้ รู้มากทำไม
    22 พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด โกหกทำไม
    23 ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วไปในที่สุด โต้เถียงกันทำไม
    24 ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด หัวเราะเยาะกันทำไม
    25 ฮวงซุ้ยที่ดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา แสวงหาทำไม


    [​IMG]


    26 ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ ถามโหรเรื่องอะไร

    [​IMG]


    27 ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม
    </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>[/SIZE]
     
  13. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    แบงค์ ๒๐ ที่ฟังอย่างเงียบๆ เมื่อถูกขยั้นคะยอให้เล่า จึงพูดขึ้น
    " ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศหรือตามห้างสรรพสินค้าหรอก
    ส่วนใหญ่ฉันจะอยู่ตามวัด เขาทำบุญวัด อยู่ในตู้บริจาค และติดอยู่ตามต้นกฐิน
    ถึงฉันจะไม่ใหญ่โตอะไร แต่งานบุญทุกงานก็มีพวกฉันมากที่สุดนะจะบอกให้ "


    ชอบครับประโยคนี้




    โมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    อยากได้บุญมากๆ

    โยมคนหนึ่งเห็นว่า เงินทองเป็นสิ่งหามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน

    เวลาทำบุญจึงนึกอยากเลือกทำบุญให้คุ้มค่าเหนื่อย


    ถ้ามีโอกาสจะเลือกทำกับพระอริยบุคคลเพื่อหวังจะได้บุญมากๆ


    ฉะนั้น วันหนึ่งขณะที่ได้ถวายสังฆทาน กำลังอุ้มผ้าไตรถวายแด่พระคุณหลวงปู่

    ในใจก็นึกปิติยินดีว่า โอหนอ! วันนี้ฉันโชคดีจังเลยที่จะได้ทำบุญกับพระอรหันต์

    บุญที่ได้ย่อมมากเป็นพิเศษ แค่นึกในใจเท่านั้น หลวงปู่มองหน้าแล้วพูดว่า


    "ผู้รับหมดกิเลส ผู้ถวายก็ต้องหมดกิเลสด้วยนะ จึงจะได้บุญมาก"


    โอโฮ! ผู้ถวายสะอึกไปเลย คำพูดของหลวงปู่ประทับใจมาก

    ทำให้นึกว่าอย่างไรเสียเราจักต้องพยายามจัดการกับกิเลสของตนให้จงหนัก

    เพื่อความสมปรารถนาแห่งใจตนไม่วันใดก็วันหนึ่ง สาธุ



    ที่มา : หนังสือที่ระลึกวันละสังขาร หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    FW.mail
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    นั่งฟังอภิปรายเบื่อ ๆ หรือเบื่อการเมือง เบื่อตัวเอง เบื่องานสำหรับผู้ปฎิบัติธรรมต้องใช้ธรรมขจัดความเบื่อครับ เอาตามนี้ก็แล้วกัน

    ขอให้พัฒนาจิตใจของตนให้เจริญในพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นประจำ เมื่อจิตได้พัฒนาแล้ว จิตจะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม คือ
    ๑. มีความอยากจะให้ทานเป็นวัตถุสิ่งของเงินทอง(มากน้อยไม่สำคัญ) เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ที่กำลังประสบความทุกข์ลำบาก เช่น ผู้ที่กำลังประสบภัยพิบัติน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้
    ๒. มีวาจาที่อ่อนหวานไพเราะให้กำลังใจปลอบใจแก่ผู้ที่กำลังมีความทุกข์ เช่น เมื่อเดินไปตามฟุตบาธ เห็นคนชรานั่งขายของเล็กน้อยๆ ถึงแม้ว่า เราจะไม่ซื้อของจากแก เพียงแต่สอบถามสารทุกข์สุขดิบว่า ยายอายุเท่าไร ลูกหลานมีกี่คน เขาไปอยู่ที่ใหน ทำไมเขาปล่อยให้ยายมาทำงานหนักลำบากเช่นนี้ เท่านี้ จิตใจเราก็ปิติมีความสุขขึ้นมาได้แล้ว
    ๓. มีความอยากจะทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคมชุมชน
    ๔. ยินดีเข้าร่วมงานเข้ากับสังคมชุมชนด้วยความยินดีเต็มใจ ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ถือตัว สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสังคมชุมชนนั้นได้อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวได้
    ที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อได้กระทำแล้ว จะทำให้เรามีความอิ่มใจ ปิติ ปราโมทย์ มีความสุขไปได้ทั้งวัน ทั้งยังเป็นที่รักเป็นที่นิยมของชาวชุมชนนั้นด้วย ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องทุกวัน ก็จะเกิดเป็นนิสัย วันใหนไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ จะรู้สึกว่า วันนั้นขาดอะไรไปอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน



    ข้อคิดวิธีขจัดความเบื่อ นำมาจาก
    http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/006392.htm

     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อภิจิต : การประสานใจสู่ใจสู่ความสำเร็จ
    <!-- Main -->หัวข้อนี้อาจจะทำความเข้าใจยากสักหน่อยครับ จะลองนำเสนอดูก่อนนะครับอาจแบ่งเป็นสองตอนหากยังครอบคลุมเนื้อหาไม่มากพอครับ.......


    .....ไอเดียใหม่ ๆ ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอเดียที่เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่จิตใจของคนเราจะรับเอาได้ก็ต่อเมื่อได้ผ่านการย้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า

    "อภิจิต" สามารถที่จะถูกสร้างขึ้นมาได้จากการร่วมมือร่วมใจกันด้วยความสามัคคีกลมเกลียวกันอย่างแท้จริงระหว่างคนสองคนขึ้นไป เพื่อความสำเร็จในวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอันเดียวกัน

    นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะอธิบายว่า พันธมิตรทางจิตใจทุก ๆ หน่วยไม่ว่าจะมีความสามัคคีต่อกันหรือไม่ จะสร้างจิตใจอีกอันหนึ่งขึ้นมามีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของคนทุกคนที่รวมอยู่ในพันธมิตรหน่วยนั้น ๆ ไม่มีจิตใจของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปหน่วยใดที่เข้ามาพบปะติดต่อกันโดยมิได้ก่อผลเป็นจิตใจที่สามขึ้นมา หากแต่ยากนักที่จิตใจนั้นจะเป็น "อภิจิต"

    มันมีจิตใจของคนบางคนซึ่งมีลักษณะที่ไม่อาจเข้าด้วยกันได้ดังที่กล่าวมาแล้ว หลักการอันนี้ได้วิเคราะห์ร่วมไปกับปฏิกิริยาทางเคมี อันจะช่วยให้ท่านเข้าใจได้อย่างชัดเจน

    ตัวอย่างก็คือ จากสูตรโมเลกุลของน้ำ "H2O" ซึ่งหมายความว่าน้ำหนึ่งโมเลกุลเกิดขึ้นจากอะตอมของไฮโดรเจนสองอะตอมรวมกับอะตอมของออกซิเจนหนึ่งอะตอม ออกซิเจนหนึ่งอะตอมกับไฮโดรเจนหนึ่งอะตอมจะไม่รวมกันเกิดเป็นโมเลกุลของน้ำขึ้นมาได้ ยิ่งกว่านั้นทั้งสองธาตุนี้ยังไม่อาจรวมกันได้อย่างกลมเกลียวกัน!

    พันธมิตรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดอันเป็นผลจากหลักการที่เรียกว่า "อภิจิต" คือ สิ่งที่ได้รับการสร้างขึ้นมาจากจิตใจของผู้ชายและผู้หญิง เหตุผลของสิ่งนี้คือข้อเท็จจริงที่ว่าจิตใจของชายและหญิงมีความพร้อมมากกว่าจิตใจของคนในเพศเดียวกัน ที่จะโน้มนำเข้าด้วยกันอย่างกลมเกลียว โดยมีกามารมณ์เป็นแรงกระตุ้นซึ่งมักจะเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในการสร้าง "อภิจิต" ระหว่างชายและหญิง

    และเด็กหนุ่มคนเดียวกันนั้นจะทุ่มตัวลงในสนามของการสร้างความร่ำรวยด้วยความกระตือรือร้นเท่า ๆ กัน เมื่อเขาถูกกระตุ้นหรือเร่งเร้าจากแฟนสาวของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กสาวผู้นั้นรู้จักวิธีที่จะกระตุ้นจิตใจของเขาด้วยตัวหล่อนเอง หากใช้กฏแห่ง "อภิจิต" ไปในทางลบ (ดุด่า,จู้จี้,อิจฉาริษยา เห็นแก่ตัว โลภ และเย่อหยิ่ง) มันจะกดผู้ชายลงสู่ก้นบึ้งของความล้มเหลวอย่างย่อยยับ!

    เอ็ลเบิร์ต ฮับบาร์ด เข้าใจในหลักการที่กล่าวอยู่ในที่นี้เป็นอย่างดีจนเมื่อเขาพบว่า ความไม่ลงรอยกันระหว่างเขากับภริยาคนแรกได้โยนเขาลงสู่ห้วงของความฉิบหายเขาถึงกับวิ่งสวนทางความคิดเห็นของสาธารณชนด้วยการหย่ากับหล่อน แล้วแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นที่มาของความบันดาลใจของเขา

    มิใช่ผู้ชายทุกคนจะกล้าท้าทายความคิดเห็นของสาธารณชนอย่างที่เอ็ลเบิร์ต ฮับบาร์ดได้กระทำ แต่ผู้ที่ฉลาดพอจะต้องพูดว่า หน้าที่ของคนเรานั้นก็คือการกระทำเพื่อประโยชน์ที่ดีที่สุดแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมิใช่หรือ?

    ด้วยความจริงใจ ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างเต็มที่ต่อการหย่าร้างเมื่อสภาพแวดล้อมของชีวิตสมรสไม่อาจก่อให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวกันขึ้นมาได้ แต่ก็มิได้หมายความว่า การขาดความสามัคคีกลมเกลียวกันไม่สามารถที่จะขจัดเสียได้ด้วยวิธีอื่นนอกเสียจากการหย่า เพราะมันเคยมีตัวอย่างมาแล้วที่เหตุของความไม่ลงรอยกันถูกขจัดออกไปด้วยความสามัคคีกันก็ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่โดยไม่ต้องถึงกับหย่าร้างให้แตกหักกันไป

    ถึงแม้ความจริงจะมีว่า จิตใจของคนบางคนไม่อาจที่จะสามัคคีกลมเกลียวกับคนอื่นได้ไม่ว่าจะด้วยการบังคับหรือจูงใจ เนื่องจากคุณสมบัติของรังสีจิตใจของแต่ละคน แต่จงอย่าเพิ่งตำหนิคนอื่นที่รวมอยู่ในกลุ่มพันธมิตรของท่านในความรับผิดชอบต่อการขาดความสามัคคีกันนั้น หากโปรดจำไว้ว่าสาเหตุที่แท้จริงอาจจะอยู่ที่สมองของท่านเองก็ได้!

    คัดจากหนังสือศาสตร์แห่งความสำเร็จ
    ผู้เขียน : นโปเลียน ฮิลล์
    ผู้แปล : ปสงค์อาสา

    ขอขอบคุณในองค์ความรู้ต่าง ๆที่ได้นำมาเผยแพร่นี้

    [​IMG]

    นำมาจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=balanceofsociety&month=09-2005&date=10&group=5&gblog=4
    ที่เป็น blog แบบสบายๆ และมีเพลงบรรเลง bridge over trouble water เสียงเปียนโนเบาๆ ผ่อนคลายดีครับสนใจเข้าไปฟังได้เลย

    <BGSOUND balance=0 src="http://www.pantown.com/data/10170/board4/9-20050909160256.mid" volume=-600><!-- End main-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2008
  18. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราฯทรงบรรลุญาณที่ 15

    เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราฯทรงบรรลุญาณที่ 15

    เรื่องนี้ เล่าโดย พระราชสุทธิญาณมงคล(หลวงพ่อจรัล ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยองค์ของท่านเองครับ...
    หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่าของปวงพสกนิกรชาวไทย เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เวลา ๒๑ นาฬิกา ๑๗ นาที รวมพระชนมายุได้ ๙๔ พรรษา ๘ เดือน ๗๒ วัน ในวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรีได้รีบสั่งทันที (ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่พระภิกษุกำลังเข้าพรรษา) ว่าให้รีบตั้งโต๊ะถวายเครื่องสักการะ แด่สมเด็จย่า ตามที่ต่าง ๆ ของวัด โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถ ท่านได้สั่งโต๊ะถวายเครื่องสักการะชุดใหม่ พร้อมทั้งสั่งพระภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาภายในวัดว่า
     
  19. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    Update link vcharkarn

    1. บทนำ
    2. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>จุดเริ่มต้นและแนวทางการดำเนินงาน
    3. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน ธันวาคม 2550
    4. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>พี่ใหญ่ฝากมา...
    5. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน ธันวาคม 2550 #1
    6. ความรู้ปู่ให้มา..พระสมเด็จกรุบางน้ำชน (ปีระกาป่วงใหญ่)
    7. ความรู้ปู่ให้มา..พระสมเด็จปูนสอ "สมเด็จอัศนี"
    8. พระท่าดอกแก้วที่ อ.ประถม อาจสาครสร้าง
    9. ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน มกราคม 2551
    10. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มกราคม 2551 #2
    11. ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน กุมภาพันธ์ 2551
    12. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2551 #3
    13. การไหว้ 5 ครั้ง (ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร ) วัดเทพศิรินทราวาส
    14. แจ้งกำหนดการร่วมทำบุญเดือน มีนาคม
    15. ภาพพระโลกอุดรที่เรียกว่า "กรุเก่า"
    16. ใบเสร็จรับเงินที่ไปทำบุญมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2551
    17. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2551 #4
    18. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2551 #4 หน้า 2
    19. "กระดูก 300 ท่อน" สุดยอดธรรมจากหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
    20. ย้อนหลังกลับมาคุยถึงเรื่อง พระกำลังใจ 2
    21. ชนวนที่ใช้ในการสร้างพระกำลังใจ 2 หน้าที่ 1
    22. ชนวนที่ใช้ในการสร้างพระกำลังใจ 2 หน้าที่ 2
    23. สรุปยอดเงินบริจาคที่ Update ยอดเมื่อวันนี้ 10 เมษายน 2551
    24. ใบโมทนาบัตรเมื่อคราวไปทำบุญเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2551
    25. สรุปรายการพระที่นำมามอบให้เป็นสำหรับผู้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ
    26. บรรยากาศแบบไทย ๆ ณ บ้านอาจารย์ประถม อาจสาคร ร่วมกับ คณะกรรมการทุนนิธิฯ
    27. พระอีกรุ่นหนึ่งที่เป็นพระที่ อ.ประถมฯ สร้างไว้...
    28. คำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมทำบุญครั้งที่ 5 ของทุนนิธิฯ...จากประธานทุนนิธิฯ
    29. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน เมษายน 2551 #5
    30. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน เมษายน 2551 #5-2
    31. รูปขณะที่ทางประธานทุนนิธิฯและคณะกรรมการได้นำกระเช้า ไปกราบเยี่ยมอาการผ่าตัดต้อที่ตาของ อาจารย์ประถม ที่บ้าน
    32. ประชาสัมพันธ์ งานบุญที่ รพ.สงฆ์ ครั้งที่ 6/51
    33. รายละเอียด ก่อนเริ่มการทำบุญ ในวันอาทิตย์ที่ 25/5/2551
    34. รายงานการถอนเงินออกมาเพื่อทำบุญ และ สรุปยอดเงินบริจาคที่ Update ยอดเมื่อ 27/05/08
    35. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน พฤษภาคม 2551 #6 หน้าที่ 1
    36. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน พฤษภาคม 2551 #6 หน้าที่ 2
    37. แจ้งข่าว หลวงปู่อ่อนศรี ฐานวโร วัดถ้ำเขาประทุน ชลบุรี ได้มรณภาพแล้วด้วยอาการสงบ
    38. แจ้งข่าวเรื่องการทำบุญ รพ.สงฆ์ ในวันที่ ๒๒/๐๖/๒๕๕๑
    39. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมของทุนนิธิฯ วันที่ 22 มิ.ย (ครั้งที่ 7)
    40. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มิถุนายน 2551 #7 หน้าที่ 1
    41. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มิถุนายน 2551 #7 หน้าที่ 2
    42. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มิถุนายน 2551 #7 หน้าที่ 3
    43. ประธานทุนนิธิฯ แจ้งยอดการทำบุญในครังที่ 7 นี้ และใบเสร็จแจ้งการทำบุญ ร่วมโมทนาบุญด้วยกันครับ
     
  20. 16

    16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +419
    แจ้งการโอนเงินร่วมบุญ " พระสงฆ์อาพาธ " เมื่อวันที่ 24/6/2551 เวลา 17.40 จำนวน 200 บาทครับ

    อนุโมทนาบุญด้วยครับ เดือนนี้สะดวกโอนเงินร่วมบุญอย่างเดียวครับ สาธุ สาธุ สาธุ


    ^-^^-^^-^
     

แชร์หน้านี้

Loading...