เรื่องเด่น เรื่องเล่า "นักขุดกรุ"มือขลัง ขมังเวทย์ที่สุดในแผ่นดิน

ขอร่วมบุญครับคุณอา

 

พระสมเด็จแม่โพสพดำอันยอดเยี่ยมผ่านสุดยอดพิธีถึง 3 แผ่นดิน ไทย-อินเดีย-เนปาล ใช้เวลานานถึง 2 ปี (ปี20-21)ก่อนมอบให้บูชา แถมในปี 2523 ก่อนนำสมนาคุณแฟนๆหนังสือพิมพ์"ดาวสยาม" ยังนำให้ "หลวงปู่โต๊ะ" อธิษฐานจิตเดี่ยวอีกครั้ง เป็นเสมือนเพชรยอดมงกุฏที่หลุดจากสายตาผู้คนในยุคสมัยที่พุทธพาณิชย์ไม่เข้มข้นมาก และเป็นช่วงที่นักสะสมพระเครื่องมุ่งเน้นไปทาง "พระกรุ-พระเก่า" เป็นส่วนใหญ่

กาลเวลาผ่านไป 47 ปี นี่จึงเป็นพระสมเด็จ "แม่โพสพดำ" ขนานแท้ "หนึ่งเดียว" ที่หลงเหลืออยู่ในโลกวัตถุมงคล ไม่มีสำนักใดมีปัญญาหา "แม่โพสพดำ" ของแท้ได้มากเพื่อสร้างวัตถุมงคลขนาดนี้ได้อีกแล้ว

ผมไม่อยากโม้มากตอนนำลง เกรงจะเป็นนิยายนิทานประกอบการขายพระเครื่อง ได้แต่นึกเสียดายว่าสมาชิกจงอย่าพลาดวัตถุมงคลที่ครบองค์ประกอบทุกด้านเช่นนี้

น้องศิวะอาราธนาท่านเดินทางสู่เมืองปราสาทสายฟ้าเรียบร้อยดังใจหมาย ขอโมทนาและจัดส่งวันจันทร์พร้อมกับ"พระสมเด็จองค์ปฐม-หลวงพ่อหนุน" ซึ่งเป็นของใหม่แต่มวลสารยอด ปลุกเสกเยี่ยมยุทธดุจกัน เป็น "เก่า+ใหม่" ของ "สองสมเด็จ" ที่เป็นเพชรแห่งวัตถุมงคล มีไว้ "คุ้มเหย้า+เฝ้าดูแลตน" ไม่มีคำว่าผิดหวังในพระพุทธคุณ!

 

เทพเจ้าดงพญาไฟ...เอ้ย พญาเย็น "หลวงปู่สำลี" วัดซับบอนนี่ก็แน่นอนมาก พระแก่ๆไม่เคยตีปิ้บโฆษณาประชาสัมพันธ์ สามารถสร้างปูชนียสถานมหึมาริมถนนมิตรภาพสำเร็จ แม้จะใช้เวลานานนับสิบปีแต่ "หลวงปู่" ไม่เคยย่อท้อกับอุปสรรคอันยิ่งใหญ่เหลือคณา

ลองคิดดูสร้าง "วัตถุ" ใหญ่โต ไม่ไกลจากถนนมิตรภาพ เส้นทางสายหลักเปรียบดังเส้นโลหิตของนักเดินทางสู่แผ่นดินที่ราบสูง จะต้องถูกหน่วยงานราชการขัดขวางหนักขนาดไหน ไม่รวมถึงทุนรอนที่หลวงปู่ท่านอาศัยคนบริจาคเล็กๆน้อยๆอย่างเดียว

หลวงปู่ฟันฝ่าอุปสรรคที่ว่าผ่านพ้นมาได้ เป็นเช่นดัง "หลวงพ่อใหญ่ชนะมาร" วัตถุมงคลที่ทันท่านจึงสมควรเก็บรักษาบูชาปูชนียบุคคลแห่งพระพุทธศาสนาท่านหนึ่ง แถมของมงคลที่ท่านทำไว้ เสกไว้ อธิษฐานจิตเอง ก็มีน้อยนิดเพราะเวลาในชีวิตอยู่กับการสร้างวัด สร้างพระใหญ่

โมทนาน้องศิวะ นำท่านคืนแผ่นดินมาตุภูมิแต่เดินทางไกลขึ้นไปอีกหน่อย หลวงปู่คงมีความสุข ผ่านลงกทม.เมื่อไหร่ อย่าลืมแวะกราบสรีระที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านเป็นศิริมงคลชีวิต

มอบท่านเดินทางวันจันทร์ทุกรายการครับ

 

พระสัมฤทธิ์แก่เงิน
**"กรุเจดีย์ยักษ์"**
ศิลปะนครศรีธรรมราช
===============

"เจดียักษ์" คือพระมหาเจดีย์ยิ่งใหญ่อยู่กลางเมือง เป็นอันดับ 2 รองจาก "พระบรมธาตุ" แห่งเมืองนครศรีธรรมราช

ประวัติหรือตำนานเก่าแก่จารึกและเล่าว่า พระเจดีย์มหึมานี้สร้างโดยพวก "ยักษ์" ที่มาหมายจับชาวเมืองกิน แต่ชาวเมืองได้ท้าว่าสร้าง "พระเจดีย์" แข่งกัน หากยักษ์แพ้ก็ให้จากไป ถ้ายักษ์ชนะ เชิญจับคนกินตามสบาย

ผลในตำนานก็เป็นที่รู้กันว่าจะออกมารูปไหน ชาวเมืองสร้าง "เจดีย์พระบรมธาตุ" สำเร็จก่อน เมื่อแพ้ ยักษ์ก็โมโหกระโดดถีบยอดเจดีย์หัก แต่ก็ยังรักษาสัจจะยอมผละหนีไปทิ้งพระเจดียักษ์ สร้างโดยยักษ์เป็นพระเจดีย์ยอดด้วน ต่อมาหลังปี 2500 ไม่มาก "กรมศิลป์" เข้าบูรณะ และพบกรุพระไม่น้อยทั้งพระบูชาใหญ่ พระบูชาย่อส่วน และพระพิมพ์ต่างๆ เป็นต้นกำเนิด "กรุเจดีย์ยักษ์" ที่นักสะสมเมืองนครฯ-เมืองใต้ แสวงหา ไม่แพ้พระเก่าแก่ "กรุนาคาม-กรุท่าเรือ" ฯ

ในเชิงพุทธพาณิชย์ พระกรุนี้มีราคาอยู่ในลำดับต้นๆ เพราะมีไม่มากยากจะพบเจอแต่ของหายากก็ใช่จะหาไม่ได้สำรับคนโบราณรุ่นเก่า วันนี้จึงนำ...

พระบูชาย่อส่วน หน้าตักหย่อน "1 นิ้ว" เล็กน้อย ศิลปะเมืองนครศรีธรรมราชขนานแท้ อยู่ในช่วงกรุงศรีอยุธยายุคกลางมาให้ยลโฉมความคลาสสิคน่าทึ่ง

แต่ถ้าท่านใดอยากรับไปบูชาเป็นศรีแก่ตน หรือเป็นคนเมืองใต้ปรารถนานำท่านกลับมาตุภูมิก็เชิญตามสบาย "พระหลักหมื่น" เมืองคอน มอบร่วมบุญเพียง...

=======5,400=======

ชม "ภาพเล่าเรื่อง" ชุดใหญ่ ให้วันหยุดมีความรู้ ความสุข สุดสำราญครับ


ลอยองค์เนื้อ "สามฤทธิ์" หรือ "สำริด" ขนานแท้ เนื้อหาแก่เงิน ลงกล้องจะเห็นกระแสพรายเงินสะท้อนออกมาบางจุด ส่วนเนื้อหาอื่นกับศิลปะเมืองนครศรีธรรมราชชัดแจ้ง สามารถนำใส่ตลับขึ้นคอบูชาได้ ตั้งวางเป็นพระบูชาองค์น้อยบนหิ้งก็ยิ่งดี

ความคลาสสิคสุดยอดของเนื้อหาสำริดด้านหลัง ไม่ผ่านการล้าง ได้แต่คอยปัดฝุ่นให้ท่านเป็นครั้งคราว ความเก่าแก่อายุหลายร้อยปีนี้นำ "เป็นครู" ดูพระบูชาถึงยุคสกุลอื่นๆสบาย ไม่พลาดไม่เพี้ยน!

ความสมบูรณ์
ไม่มีการชำรุด
ทุกมุมด้านข้าง

ก้นหล่อกลวงพระโบราณ
ความปราณีตเททีละองค์
ยอดผลงานคนโบราณ
สืบสานพระพุทธศาสนา

ขนาดที่สามารถใส่ตลับขึ้นคอ
เป็นพระเครื่องได้-พระบูชาก็ดี

เปรียบเทียบกับหนังสือเก่าทั้งบน-ล่าง เป็นหนังสือของท่านบก.อรรถภูมิ บุณยเกียรติ รวมพระเครื่องเมืองใต้ กับหนังสือพระดีเมืองใต้ แต่ละเล่มอายุหย่อน 40 ปีเล็กน้อยในการตีพิมพ์

ทั้ง 2 องค์ในภาพเป็น "เนื้อเงิน" ที่เป็นดังนี้เพราะพระประธานองค์สำคัญของวัดเจดีย์ยักษ์ มีนามเรียกขานว่า "พระเงิน" การสร้างพระของวัดจึงมักใช้ เนื้อเงิน หรือ แก่เงิน สำหรับ "เนื้อสำริด" ก็ต้องคุยว่า...ค่อนข้างหายากกว่าเนื้อเงินมาก!!!

ส่งท้ายด้วยภาพจับ
ท่านวางตั้งแล้วถ่าย
แบบพระพุทธรูป ให้
ชมความคลาสสิคอีก
หนึ่งมุมมอง!!!

 

วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
ใส่บาตรในเช้าวันนี้
โมทนาบุญร่วมกันครับ
สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง
นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ปัจจุบันเนกาเล

 

เมื่อวานวันเสาร์ห้า ที่วัดท่าขนุนจัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ผมได้นำเหรียญรัชกาลที่ ๕ เนื้อทองคำ พร้อมด้วยเงินที่มีผู้ร่วมกองบุญมาจำนวน ๓,๕๐๐ บาท และในส่วนของครอบครัวเปา(สิริพันธุ์) อีก ๕๐๐ บาท ไปถวายหลวงพ่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.



แต่ได้มีโอกาสได้เข้าไปถวายหลังจากเสร็จพิธีเป่ายันต์รอบเช้า เวลา ๑๐.๐๐ น. แล้ว คนแน่นมากครับ เนื่องจากผมไม่ได้เข้าไปนั่งรับยันต์ในศาลา เพราะมัวแต่ไปช่วยน้องบอยออกโรงทานอยู่ ผมนั่งรับยันต์รอบพิเศษ(๘.๐๐ น.) อยู่ในโรงทานฝนก็ตกหนักจนแทบไม่ได้ยืนเสียงหลวงพ่อ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็ตั้งใจรับยันต์ทั้ง ๒ รอบ



ตอนเดินเข้าไปถวายเหรียญทองคำและเงินร่วมทำบุญ คนเยอะแถวยาวมากครับ อีกทั้งใกล้ถึงเวลาเพล ต้องรีบเพราะเกรงใจคนข้างหลัง ซึ่งยังต่อแถวกันอีกยาว ฝากพี่ข้างหลังช่วยถ่ายรูปให้ตอนถวาย ถ่ายแทบไม่ทันได้มาแค่เพียวรูปเดียวครับ

 

ฝนห่างไปนิด แต่เจ้า "ยางิ" ซุปเปอร์ไต้ฝุ่นอาละวาดไล่ไปทั่วทั้ง จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และหางๆของมันแะเยือนไทยเล็กน้อย จะมีฝนหนักตั้งแต่วันนี้

ก็ว่าตามกรมอุตุฯแจ้งไว้ล่วงหน้า ภาวนาอย่าให้น้ำมากเสียจนคนไทยลำบาก เพราะที่โดนๆกันมาก็สาหัสพอควร ร่วมอนุโมทนาบุญใส่บาตรยามเช้ากับหลวงพ่อ ถวายบุญมอบแด่พระพิรุณ โปรดเมตตาปราณี

 

เห็นผู้คนแน่นขนัดในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร วัดท่าขนุนโดย หลวงพ่อพระอาจารย์เล็ก ต้องบอกว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง ศรัทธาสาธุชนก็บ่ยั่น ของดี หนึ่งปีมีหน หรืออาจจะว่างเว้นถ้าฤกษ์ไม่งาม ยามไม่สวย

ชมภาพพิธี อ่านบรรยายแล้วโมทนาตามกับกุศลทั้งปวงที่กระทำ รวมการถวาย "เหรียญทองคำ" ให้ท่านพระอาจารย์นำไปต่อบุญต่อทุนสร้างพระ สร้างคน สร้างวัตถุธรรมอื่นๆต่อไปซึ่งท่าน ทุ่มเทเสียสละสร้างไม่มีวันหยุด

นี่แหละ...พุทธบุตร ศิษย์ตถาคตที่แท้ไม่ต้องตีปิ้บ ไม่เล่นยูทูป โชว์โง่เง่า ไม่ต้องมีลูกศิษย์ผีเปรตตีกลองร้องเป่าเหมือน "ไอ้ผีผ้าเหลืองบ่อน้ำเน่า" ที่มีทีมงาน AI คอยเห่าหอนเชียร์ให้คนกระโหลกหนา ปัญญานิ่ม คนสติอ่อนเข้าใจผิดคิดว่าเป็น "พระอรหมุน" เข้าไปอ่านที่พวกศิษย์กองเชียร์ มัน "ชะเลียร์" แล้วเพลียฮาร์ท เศร้าใจกับการทำงานของมหาเถระสมาคม และสำนักพุทธฯที่รับผิดชอบย่านนั้น

ทีพระดี ที่ไม่มีพรรคมีพวกไร้เส้นสาย ไม่มีเงิน โดนร้องเรียนหน่อยเดียว รีบสอบสวนเอาเป็นเอาตายจนสังคมพระศาสนาของเราสูญเสีย "พระสงฆ์ดี" ชื่อเสียงพังป่นปี้ไปแล้วหลายรูป

ไอ้แพะบ่อน้ำเน่า ผิดเห็นโต้งๆ ไม่ต้องไปหาหลักฐาน แค่หยิบ "คลิป" มากมายที่มัน "สำรากธรรม" ผิดๆ ด้วยภาษาลูกพ่อขุน วาจาหยาบคายเข้าตำรา...สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสถุล...เอ้ย สกุล...! ที่มันคิดว่าเท่นั่นแหละมาเปิดดูทุกคลิปอย่างละเอียด...

การสอนธรรมะวิปริตบิดเบือน ตู่พระพุทธองค์ ...อหังการปรามาสพระอรหันต์ 500 รูปที่สังคายนาพระไตรปิฏก...ยก "นิทาน" ไม่จริงมาเปรียบเทียบ รวมทั้งการต่อเติมเสริมแต่งธรรมตามใจชอบไม่สนใจพระไตรปิฏก / เล่าประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเพี้ยนๆ ดูแล้วไม่ได้สนใจร่ำเรียนศึกษา นอกจากเคยอ่านแบบ"ลูบคลำ-ฉาบฉวย"...ฯลฯ

ความผิดของมันสำเร็จแล้วโดยมิพักตัองสืบสวน สอบสวน!!!

ผ่าเถอะ...เข้ามาร่วมโมทนาบุญกับคุณพัฒน์และหมู่คณะ อดไม่ได้ที่ต้องแว้งไปจัดการกับ "ผีผ้าเหลือง " ที่กำลังเฟื่องฟูฟ่องอยู่บนโลกออนไลน์ เพราะมี "ทีมงาน" ช่วยปั้นให้เป็นแหล่งทำเงินทำทองจากคนศรัทธาที่ปราศจากการพิจารณา

แพะผ้าเหลืองยุคใหม่นี้ ร้ายกาจมากกว่าอดีต...ยุคสมัย "ยันตระ/พระนิกร/เณรคำ" ฯลฯ อย่างดีก็มีลูกศิษย์คอยเป็น "หน้าม้า " เป่าหูคนไปทำบุญให้เชื่องมงาย นำประวัติพิศดารที่เขียนกันเลิศลอยไปลงนิตยสารเกี่ยวกับพระที่มีเกลื่อนเมืองยุคนั้น บ้างก็ "ทำหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค" โพนทนาอาจารย์ว่าเก่งอย่างโน้น มีปาฏิหาริย์เหนือโลก เดินบนน้ำ หายตัวได้ บลา บลา บลา...!

แต่ "สื่อ" สมัยนั้น ผู้คนก็ยังเข้าถึงไม่หลากหลาย ต้องใช้เงินซื้อ ต้องติดตามอ่าน ผิดกับยุคออนไลน์ อยู่ตรงไหนก็เปิดมือถือดูได้ ไม่ดูมันก็ออกคลิปถี่ยิบ จนต้องเผลอกดดูมันจนได้ เป็น "สื่อขยะ" ที่สามารถสร้าง "ผีปิศาจเปรต" กลายเป็น พระอินทร์ เป็นเทวดา เป็นแพะอรหมุนอย่างง่ายดายสำหรับคนที่ขาดสติในทางธรรม และอ่อนหัดเรื่องสื่อทางโลก

เราชาวพุทธสนับสนุนพระพุทธศาสนา ทำนุบำรุงพระศาสนา เผยแผ่พระศาสนา อย่าลืมช่วยกัน "ป้องกัน-ปัดกวาด" พวกผีเปรตห่มเหลืองเปลืองข้าวสุก มารศาสนาออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ช่วยได้ไม่หมด ช่วยกระตุกให้คน "ตาสว่าง" เลิกนับถือเปรตห่มเหลืองก็ยังดี!

ส่วนการ "ขจัดเปรต" ไม่ใช่หน้าที่เรา เป็นภาระของมหาเถระสมาคมที่ควรตั้งหน่วยงาน "กำจัดเหลือบ" ขึ้นมาสักหน่วย เหมือนกับศาสนาอื่นๆที่เขามี เป็นการ "ตัดไฟแต่ต้นลม"!!!