จำเป็นต้องรู้ลักษณะ โสดาบัน ถึง นิพพาน

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย telwada, 8 พฤษภาคม 2008.

  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อันธรรมดาของการทำงานทุกชนิด ในสมัยปัจจุบัน ล้วนมีการวางแผนงานล่วงหน้า
    นั่น หมายความว่า บุคคลใดใด จะทำการใดใด ล้วนย่อมมี จุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ที่แน่นเอน เป็นส่วนใหญ่
    ศาสนา ทุกศาสนา ก็ล้วนมีจุดประสงค์ จุดมุ่งหมาย เป้าหมาย ที่แน่ชัดเพื่อให้บุคคลผู้ศรัทธาได้รู้ล่วงหน้า ว่า ศาสนานั้นๆ มีวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมาย เป้าหมาย อย่างไร เช่น
    " ศาสนาพุทธ มีวัตถุประสงค์ และจุดมุ่งหมาย เป้าหมาย เพื่อให้บุคคล มีสถานะ เป็น ผู้รู้ เมื่อรู้แล้ว ย่อมเป็น ผู้ตื่น เมื่อ ตื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้เบิกบาน "
    (ในข้อความเบื้องต้นนั้น จะอธิบายให้เกิดความเข้าใจในครั้งต่อไป ว่า ทำไม จึงเรียกว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และท่านทั้งหลายต้องคำนึงนึกถึงไว้ว่า คำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้น เป็น ผลแห่งการขจัดอาสวะแห่งกิเลส ได้แล้ว ไม่ใช่ตัวหลักธรรม หรือหลักการ ถ้าจะอธิบายให้เกิดความเข้าใจง่าย ก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคำนิยาม เรียก ลักษณะอาการของผู้ที่สามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้ หรือ เป็นลักษณะอาการ สำหรับผู้ที่จะปฏิบัติ จนสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้)
    " ศาสนาคริสต์ มีวัตถุประสงค์ จุดุม่งหมาย เป้าหมาย เพื่อ พระบิดา พระจิต และพระบุตร คือ เพื่อได้ไปอยู่กับพระเจ้า "
    " ศาสนาอิสลาม มีวัตถุ ประสงค์ จุดมุ่งหมาย เป้าหมาย เพื่อ ให้บุคคล ผู้ประพฤติปฏิบัติ ได้ไปรับใช้พระผู้เป็นเจ้า"
    และวัตถุประสงค์ โดยรวม ของแต่ละศาสนา ก็ล้วน มีแนวทางเพื่อให้บุคคล ละความชั่ว ประพฤติดี "
    ดังนั้น ในการทำงานทุกชนิด เขาก็จะมีเป้าหมายล่วงหน้า อันเป็นแรงจูงใจ ให้ผู้ร่วมงาน มีแรงกำลังใจ และความมุ่งมั่น ที่จะประกอบการ ดำเนินการ หรือกระทำการ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมาย
    ศาสนา ก็เช่นกัน การได้รู้ว่า ผู้บรรลุโสดาบัน บรรลุ สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ นิพพาน ที่ถูกต้อง อันสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า มีจริงเป็นจริง
    ก็ย่อมสามารถใช้เป็นบรรทัดฐาน หรือข้อเปรียบเทียบ หรือตัวอย่าง ให้บุคคลที่ฝึกปฏิบัติได้รู้ว่า เมื่อฝึกมาเกิดลักษณะอาการอย่างนี้ เรียกว่า โสดาบัน นะ อย่างนี้เรียกว่า อรหันต์ นะ เรียกว่า นิพพาน นะ อย่างนี้เป็นต้น
    แต่ ลักษณะของเป้าหมายในทางศาสนานั้น เนื่องด้วย สมอง สติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ และสภาพสภาวะจิตใจ ของมนุษย์ ไม่เท่าเทียม กัน
    เป้าหมายในทางศาสนา จึงจำแนกเป้าหมายไว้ หลายเป้าหมาย เช่น เป้าหมายในทางปุถุชน คนทั่วไป
    เป้าหมายสำหรับผู้ มีความรู้ มีความเข้าใจ มีเวลา มีความอดทน และสำคัญที่สุดคือ มีความเชื่อ ว่าสามารถปฏิบัติให้ถึงเป้าหมายได้
    ดังนั้น ลักษณะอาการปรากฏการณ์ แห่งเป้าหมายในทางศาสนา ย่อมมีความสำคัญ เป็นบรรทัดฐาน เป็นหลักฐาน อันจักทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง

    สิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมด เป็นข้อเตือนสำหรับ วิทยากร ผู้เกี่ยวข้องกับศาสนา ทุกท่าน ได้พึงสังวร และจดจำเอาไว้ว่า " ต้องทำความเข้าใจในศาสนาให้ถ่องแท้ ไม่อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นว่า ทำลายศาสนาโดยความรู้เท่าไม่ถึงกาล
    หรืออาจจะกลายเป็น ตัวละครใน นิทาน อีสบ เรื่อง
    "..........หางด้วน" ขอรับ
     
  2. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    หัวข้อไม่ตรงกับเนื้อหาบรรยายเลย
     
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    มาทำความเข้าใจ ในเรื่องนิพพาน อรหันต์ ฯ โสดาบัน
    นิพพาน หรือ ปรินิพพาน เป็นชื่อชั้นการฝึกปฏิบัติธรรม ในทางศาสนาพุทธ ขั้นสูงสุด
    ผู้จะเข้าถึงนิพพาน ได้ ต้องผ่าน ระดับชั้น การฝึกปฏิบัติ ตั้งแต่ ระดับ โสดาบัน ฯ เป็นต้นมา
    ก่อนที่จะสำเร็จธรรมในชั้นต่างๆนั้น ล้วนต้อง บรรลุถึง ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงจะเข้าสู่ชั้นสำเร็จ ในชั้นนั้น
    ข้าพเจ้าได้ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และได้ฝึกปฏิบัติ จนได้ผลอย่างชัดแจ้งแล้วว่า
    ชั้นการฝึกปฏิบัติธรรม ในทางพุทธศาสนานั้น มีจริง เป็นจริง ซึ่งในแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นโสดาบันฯ เป็นต้นไป จนถึงระดับ อรหันต์ และ นิพพานนั้น ล้วนมีปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกายที่แตกต่างกันไป คำว่า ปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกาย ย่อมหมายรวมถึงสภาพสภาวะจิตใจด้วย
    ผู้บรรลุนิพพานนั้น จะเปรียบได้กับเป็นผู้ชนะต่อสรรพสิ่งทั้งมวล ไม่ว่าจะชนะ กิเลส ในตัวเอง ยังสามารถชนะ กิเลสในตัวผู้อื่นที่แสดงออกมาอีกด้วย
    คำว่า ผู้ชนะนั้น ไม่ได้เหมือนการชนะในการแข่งขันกีฬา หรืออื่นๆทั่วๆไป
    เพราะการชนะในทางศาสนานั้น หมายถึงสามารถขจัด ควบคุม ป้องกัน สิ่งที่เรียกว่ากิเลสทั้งมวล และยังอาจหมายรวมถึง สภาพการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกด้วย
    การบรรลุนิพพานนั้น ยังเป็นเพียงการบรรลุ ยังไม่ถึงขั้นสำเร็จ เพราะการจะสำเร็จนิพพานนั้น จำเป็นต้องสละทุกอย่าง ถึงแม้ไม่บวช ก็สำเร็จได้ ขึ้นอยู่กับ สภาวะจิตใจ และความต้องการของบุคคลนั้นๆว่า จะสละ หรือขจัดทุกอย่างหรือไม่
    การบรรลุถึงนิพพานนั้น สรีระร่างกาย ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานนิวเคลียส ที่มีทั้งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คือความเป็น อัตตา คือมีตัวมีตน สามารถมองเห็นเป็นรูปร่าง แต่โปร่งแสง มีฉัพพรรณรังสี เปล่งออกมาตลอดเวลาที่มีการแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกาย
    การบรรลุนิพพาน อีกรูปแบบหนึ่งนั้น สรีระร่างกาย ก็จะแปรเปลี่ยน เป็นธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ มนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    การแปรเปลี่ยนของสรีระร่างกายนั้น หมายถึง การแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้แหละ แปรเปลี่ยนไปตามที่ได้อธิบายไป การแปรเปลี่ยนอย่างหลังนี้ เรียกว่า "อนัตตา" คือ ความไม่มีตัว ไม่มีตน
    การบรรลุนิพพานที่ เรียกว่า "อัตตา"นั้น สาเหตุ ก็เพราะ มีความหลง หรือความห่วง อะไรบางอย่าง อันเป็นอย่างละเอียด สุด จึงยังคงรูปให้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สรีระร่างกายก็แปรเปลี่ยน จากมนุษย์ ไปสู่อีกมิติหนึ่ง
    ส่วน การบรรลุนิพพาน ที่เรียกว่า "อนัตตา"นั้น หมายถึง ไม่หลง ไม่ห่วง หลุดพ้นจากวัฏจักร อย่างสิ้นเชิง สรีระร่างกาย จะแปรเปลี่ยน เป็นอากาศธาตุ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    แต่ยังคงมีรูป อันเป็นรูปที่มนุษย์มองไม่เห็น

    การแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกาย เมื่อบรรลุนิพพานนั้น จะแตกต่างจาก รูปร่างหรือสรีระร่างกายของ โอปปาติกะ เช่น เทวดา รุกขเทวา เจ้าที่ ฯลฯ เพราะ รูปร่าง ของโอปปาติกะ นั้น มีธรรมอยู่น้อย
    แต่ผู้บรรลุนิพพาน สำเร็จด้วยธรรม จึงสามารถ กำหนดได้ คือ ที่ว่า เป็น "อนัตตา"นั้น จะกำหนดให้เห็นเป็นรูปร่าง ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ได้ เช่นกัน
    อธิบายมาพอสมควร เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่าน ก็โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และคิดพิจารณาด้วย ขอรับ
    เพราะข้าพเจ้าไม่ท้าให้พิสูจน์ตัวข้าพเจ้า ขอรับ

    พระโสดาบันทรงอารมณ์ยังไงครับ



    ตอบ...
    ทรงอารมณ์ หมายถึง มีอารมณ์ หรือตั้งอารมณ์ อย่างไร
    ผู้บรรลุธรรมตั้งแต่ชั้น โสดาบัน เป็นต้นไป ล้วนย่อมมีสรีระร่างกายเป็นมนุษย์อยู่ ดังนั้น อารมณ์ใดใด ที่จะเกิด กับพระอริยะบุคคลนั้น ล้วนย่อมเกิดจาก ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และความจำ ในตัวของพระอริยะบุคคลนั้นๆ เป็นอันดับแรก
    นอกเหนือจากนั้น ก็จะเป็น การได้รับการสัมผัสจากภายนอก ร่างกาย คือสัมผัสจากผู้อื่น ทางอายตนะทั้งหลาย ซึ่งล้วนทำให้เกิด รูป รส กลิ่น เสียง แสง สี โผฏฐัพพะ
    ผู้บรรลุโสดาบัน เมื่อได้สัมผัส ประกอบกับปัจจัยที่มีอยู่ในตัว ล้วนย่อมมีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด เฉกเช่น มนุษย์ทั่วๆไป
    เพราะผู้บรรลุโสดาบันนั้น ก็เป็นเพียงผู้รู้จักมรรคผล รู้ว่า มรรค เป็นอย่างไร ผลเป็นอย่างไร ซึ่ง ต้องอาศัยการฝึกฝน เพื่อขจัดอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ให้ออกจากสรีระร่างกาย
    ดังนั้น สภาพอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ของผู้บรรลุโสดาบัน ที่เกิดขึ้น บางอย่างก็จะสามารถขจัดออกไปได้ บางอย่างก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้
    สภาพอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ที่สามารถขจัดออกจากร่างกายได้ ก็ย่อมทำให้ ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ว่างเปล่า ไม่คิดสิ่งใด ไม่รู้สึก ไม่มีอารมณ์ ใดใด จะว่า วางเฉย ก็ไม่ใช่ จะว่า ไม่วางเฉยก็ไมใช่ คือรู้สึกตัวอยู่เสมอ แต่ไม่ยินดียินร้าย ต่อสิ่งที่มาสัมผัส นี้กล่าวในแง่ที่ว่า ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ขจัดอาสวะออกไปได้

    แต่ถ้าหากผู้บรรลุโสดาบัน ไม่อาจสามารถขจัดอาสวะที่ได้รับจากการสัมผัส และจากภายในร่างกายตัวเอง ให้ออกไปจากร่างกายได้ ก็ย่อมมีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ตามการที่ได้รับสัมผัสนั้นๆ แต่เนื่องจากผู้บรรลุโสดาบัน มีสมาธิ และความรู้อยู่ครบถ้วน จึงไม่แสดงอาการ หรือสามารถควบคุณ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเหล่านั้นไว้ได้ ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับสถานะการณ์สิ่งแวดล้อม การครองเรือน หรือหน้าที่การงาน อันเป็นปัจจัยประกอบที่สำคัญ

    สุดท้าย อย่าสงสัยว่า ทำไม ถามนิดเดียว แต่ตอบยาว
    เพราะ มันเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายกันยาว ไม่ใช่มาตอบว่า ละโน้น ละนี้ ละอย่างนั้น ละอย่างนี้ ก็ทรงอารมณ์อย่างนั้น อย่างนี้ นั่นมันอวดอุตริฯ

    แต่ที่กล่าวไปทั้งหมด ของจริง เรื่องจริงขอรับ

    ส่วนการบรรลุอรหันต์ นั้น คือ การที่บุคคล มีความรู้ ในหลักวิชชา ทางศาสนา ฝึกปฏิบัติ จนสามารถขจัดคลื่นอาสวะแห่งกิเลสออกจากร่างกาย ขณะที่ขจัดอาสวะแห่งกิเลส ก็จะเปล่งเป็นแสงสีต่างๆกัน จะเรียกว่า ฉัพพรรณรังสี ก็ได้ เพราะผู้บรรลุอรหันต์ จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลส อันเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด คลื่นแห่งกามตัณหา ฯลฯ ซึ่ง อาสวะแห่งกิเลสต่างๆเหล่านั้น จะแสดงออกมาเป็นแสงสีตามแต่ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น อารมณ์โกรธ หรือขุ่นมัว ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสี เป็นแสงสีดำ หรือเกีอบจะดำ
    ถ้าเป็นขจัดความหลง เช่นได้รู้จัก ได้เห็น ได้พบ ก็จะเปล่งเป็นแสงสีส้ม
    ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสที่เป็นส่วนละเอียด ก็จะเป็นแสงสีขาวนวล
    ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสที่เป็นส่วนละเอียด ระดับอะตอม(เล็กที่สุด) ก็จะเป็นแสงสีขาวใส
    อย่างนี้เป็นต้น
     
  4. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    อือใช่ แต่ที่กล่าวการบรรลุอรหันต์ยังคลุมเคืออยู่นะ อย่าลืมดอกบัวบานด้วยละ
     
  5. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ตอบ..
    ไม่คลุมเครือดอกนะคุณ เพราะที่ข้าพเจ้าอธิบายไป เป็นเพียงลักษณะบางประการของผู้บรรลูธรรมในชั้นต่างๆ เพื่อเป็นบรรทัดฐาน หรือแนวทาง หรือเพื่อแสดงให้รู้ว่า ระดับ พระอริยะบุคคลนั้น มีจริง เป็นจริง สามารถพิสูจน์ได้
    ไม่ได้อธิบาย วิธีการบรรลุอรหันต์ คนละเรื่องกันขอรับ
     
  6. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อนึ่ง หากมีบุคคล หรือกลุ่มบุคคล แอบอ้างหลอกลวงว่า สำเร็จ ชั้นอริยะบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่ง ในทางศาสนาพุทธ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริง เป็นจริง กล่าวคือ ไม่มีปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกาย ตามที่ข้าพเจ้าบอกไว้ หรือตามบรรทัดฐานที่ข้าพเจ้าแจ้งไว้ในกระทู้
    ก็ให้ถือว่า พวกเขา หรือกลุ่มบุคคลนั้นๆ หลอกลวง ทำให้ศาสนาเสื่อมโทรม ขอรับ แจ้งเจ้าหน้าบ้านเมือง เอาข้อหา หลอกลวงทำให้เสียทรัพย์ และทำให้พุทธศาสนาเสียหาย ได้เลยขอรับ

    เพราะเป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ จักต้องช่วยกันดูแล เป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแล ไม่ให้ พวกเดียรถีย์ ใช้ศาสนาไปหลอกลวงผู้อื่น เพี่อเลี้ยงชีพ อันเป็นการทำลายศาสนา ทำให้ศาสนาเสียหาย เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริง เป็นจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2008
  7. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    ส่วนการบรรลุอรหันต์ นั้น คือ การที่บุคคล มีความรู้ ในหลักวิชชา ทางศาสนา ฝึกปฏิบัติ จนสามารถขจัดคลื่นอาสวะแห่งกิเลสออกจากร่างกาย ขณะที่ขจัดอาสวะแห่งกิเลส ก็จะเปล่งเป็นแสงสีต่างๆกัน จะเรียกว่า ฉัพพรรณรังสี ก็ได้ เพราะผู้บรรลุอรหันต์ จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลส อันเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด คลื่นแห่งกามตัณหา ฯลฯ ซึ่ง อาสวะแห่งกิเลสต่างๆเหล่านั้น จะแสดงออกมาเป็นแสงสีตามแต่ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น อารมณ์โกรธ หรือขุ่นมัว ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสี เป็นแสงสีดำ หรือเกีอบจะดำ
    ถ้าเป็นขจัดความหลง เช่นได้รู้จัก ได้เห็น ได้พบ ก็จะเปล่งเป็นแสงสีส้ม
    ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสที่เป็นส่วนละเอียด ก็จะเป็นแสงสีขาวนวล
    ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสที่เป็นส่วนละเอียด ระดับอะตอม(เล็กที่สุด) ก็จะเป็นแสงสีขาวใส
    อย่างนี้เป็นต้น
    ก็ข้อความนี้ไง ผมเป็นพระโพธิสัตว์จะเชื่อไหมละ<!-- / message -->
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    แล้วคุณอยู่ไหนละ จะไปพิสุจน์ ให้เห็นกับตา ว่าคุณมีจริงเป็นจริง อย่างที่คุณโอ้อวด
    แค่ถ้าคุณอยู่ โรงพยาบาลโรคจิตประสาท ข้าพเจ้าไม่ไปขอรับ เพระข้าพเจ้า ก็ติดจะประสาทอยู่นิดๆ เหมือนกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า
     
  9. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    ผมว่ามันเพี้ยนไปเยอะนะครับ เคยลองเทียบกับพระไตรปิฏกไหม๊ครับ

    อย่างกะหนังคนละเรื่อง
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817

    คุณเอ๋ย ทำไมคุณไม่ไปเทียบเองละ ข้าพเจ้าไม่สนใจดอกนะ พระไตรปิฏก เพราะในนั้น มีแต่นิยายธรรมะ แบบสมัยโบราณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แถมคนแปลยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องของภาษาดั้งเดิม อีกทั้งคนอ่าน ก็ยังไม่เข้าใจในสำนวนภาษาดั้งเดิม ก็เชิญหลงกันต่อไปเถอะ แล้วก็จะรู้เองนะว่า ศาสนามันถึงกาลเสื่อมหรือยัง เพราะเมื่อศาสนาเสื่อมโทรมไปแล้ว ครบกำหนดแล้ว ก็ย่อมมีสิ่งบอกเหตุให้รู้อย่างแน่นอน ในเมื่อพวกท่านทั้งหลาย แข็งขืน อยู่ กฏเกณฑ์ แห่งจักรวาล มีอยู่ กลไกแห่งจักรวาล มีอยู่ แล้วอย่าร้องแรกแหก กระเฌอให้ข้าพเจ้าช่วย หรือให้เทวดาช่วยนะ จาบอกให้
    ฮ่า ฮ่า ฮ่า
     
  11. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    พระอรหันต์ และ พระอริยะเจ้าก็ยังมี่อยู่ ให้เห็น
    พุทธทำนายไว้ 5,000 ปี นี้เพิ่งผ่านมาครึ่งเดียว

    จะเอาอะไรไปเสื่อมหละครับ
     
  12. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739

    จขกท ตัวเองก็กิเลสหนา ยังไม่พ้นนรก อวดตัวว่าเก่งกว่าครูบาอาจารย์เก่งกว่าหลักธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก มืดบอด มิจฉาทิฐิ ซึ่งจะเป็นบาปกรรมหนักที่สุดในบรรดาการทำบาปกรรมทั้งปวง หลายท่านหวังดี เตือนแล้วก็ไม่ฟัง
    !!!!!แล้วจักได้เห็นของจริง

    ต่อไปในภายภาคหน้าเอาตัวเองให้รอเหอะ ช่วยตัวเองให้รอดเหอะ ไม่ต้องไปอวดว่าจะช่วยคนอื่น อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะหนีไฟนรกพ้นไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2008
  13. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    สงสัยเขาจ้าง เฒ่าบ้านี่มาให้คอยป่วนพุทธศาสนา ป่วนเว็บ ให้บิดเบือน

    ถึงจะว่าหยายคายแต่จะปกป้องศาสนา

    คนบางคนถ้าหนามาก พูดดี ไม่รู้เรื่องหรอก
     
  14. pipat

    pipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +126
    ลุงไม่เชื่อ ก็อย่า มีสัมมาธิฐิสิ เก็บแรง ของตัวเอาไปช่วยเหลือตัวเองดีกว่านะครับเพราะทุกคนล้วนไม่ได้อยุ่เหนือกฎแห่งกรรม ถ้าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าก็ช่วยตัวเองไปและครับดีที่สุด
     
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ภูมิโสดาบันโดยหลวงตามหาบัว
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"><!-- / icon and title --><!-- message -->ท่านเปรียบ-เคียบเคียงแล้วเข้าใจได้ดีเลยครับ คัดย่อ จากเทศน์เรื่อง พระอริยะของท่านมา

    พระโสดาบันบุคคลคิดว่าท่านรู้และละได้โดยข้ออุปมาว่า มีบุรุษผู้หนึ่งเดินทางเข้าไปในป่าลึก ไปพบบึงแห่งหนึ่งมีน้ำใสสะอาดและมีรสจืดสนิทดี แต่น้ำนั้นถูกจอกแหนปกคลุมไว้ ไม่สามารถจะมองเห็นน้ำโดยชัดเจน เขาคนนั้นจึงแหวกจอกแหนที่ปกคลุมน้ำนั้นออก แล้วก็มองเห็นน้ำภายในบึงนั้นใสสะอาดและเป็นที่น่าดื่ม จึงตักขึ้นมาดื่มทดลองดู ก็รู้ว่าน้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทดี เขาก็ตั้งหน้าดื่มจนเพียงพอกับความต้องการที่เขากระหายมาเป็นเวลานาน เมื่อดื่มพอกับความต้องการแล้วก็จากไป ส่วนจอกแหนที่ถูกเขาแหวกออกจากน้ำก็ไหลเข้ามาปกคลุมน้ำตามเดิม

    เขาคนนั้นแม้จากไปแล้วก็ยังมีความติดใจ และคิดถึงน้ำในบึงนั้นอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เขาเข้าไปในป่านั้น ต้องตรงไปที่บึงและแหวกจอกแหนออก แล้วตักขึ้นมาอาบดื่มและชำระล้างตามสบายทุก ๆ ครั้งที่เขาต้องการ เวลาเขาจากไปแล้วแม้น้ำในบึงนั้นจะถูกจอกแหนปกคลุมไว้อย่างมิดชิดก็ตาม แต่ความเชื่อที่เคยฝังอยู่ในใจเขาว่า น้ำในบึงนั้นมีอยู่อย่างสมบูรณ์หนึ่ง น้ำในบึงนั้นใสสะอาดหนึ่ง น้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทหนึ่ง ความเชื่อทั้งนี้ของเขาจะไม่มีวันถอนตลอดกาล


    <o></o>ข้อนี้ เทียบกันได้กับโยคาวจร ภาวนาพิจารณาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายชัดเจนด้วยปัญญาในขณะนั้นแล้ว จิตปล่อยวางจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หยั่งเข้าสู่ความสงบหมดจดโดยเฉพาะ ไม่มีความสัมพันธ์กับขันธ์ทั้งหลายเลย และขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าไม่ทำงานประสานกับจิต คือต่างอันต่างอยู่ เพราะถูกความเพียรแยกจากกันโดยเด็ดขาดแล้ว ขณะนั้นแลเป็นขณะที่เกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นมาอย่างไม่มีสมัยใด ๆ เสมอเหมือนได้ นับแต่วันเกิดและวันปฏิบัติมา แต่ก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นในเวลานั้น จิตก็ได้ทรงตัวอยู่ในความสงบสุขชั่วระยะกาล แล้วจึงถอนขึ้นมา พอจิตถอนขึ้นมาจากที่นั้นแล้ว ขันธ์กับจิตก็เข้าประสานกันตามเดิม

    แต่หลักความเชื่อมั่นว่าจิตได้หยั่งลงถึงแดนแห่งความสงบอย่างเต็มที่หนึ่ง ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้แยกจากจิตโดยเด็ดขาดในเวลานั้นหนึ่ง ขณะจิตที่ทรงตัวอยู่ในความสงบเป็นจิตที่อัศจรรย์ยิ่งหนึ่ง ความเชื่อทั้งนี้ไม่มีวันถอนตลอดกาล เพราะความเชื่อประเภทอจลศรัทธา ความเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวโยกคลอนไปตามคำเล่าลือ โดยหาหลักฐานและเหตุผลมิได้ และเป็นความเชื่อมั่นประจำนิสัยของโยคาวจรผู้นั้น จากประสบการณ์นั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญต่อไปเช่นที่เคยทำมาด้วยความดูดดื่มและเข้มแข็ง เพราะมีธรรมประเภทแม่เหล็กซึ่งเป็นพลังของศรัทธาประจำภายในใจ จิตก็หยั่งลงสู่ความสงบสุขและพักอยู่ตามกาลอันควร ทำนองที่เคยเป็นมา แต่ยังไม่สามารถทำใจให้ขาดจากความซึมซาบของขันธ์ได้โดยสิ้นเชิงเท่านั้น แม้เช่นนั้น ก็ไม่มีความท้อถอยในทางความเพียรเพื่อธรรมขั้นสูงขึ้นไปเป็นลำดับ
    http://palungjit.org/showthread.php?p=1435576#post1435576
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2008
  16. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    น่าน...ยังไม่หายอีกหรือเนี่ย หุ หุ หุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...