มนุษย์ในสมัยพระพุทธเจ้ามีอายุเป็นเเสนปีเลยจริงหรือครับ ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 9 พฤษภาคม 2008.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,015
    พอดีผมกําลังอ่านหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งของทางวัดเเห่งหนึ่งในอเมริกา เล่มใหญ่มากๆ เห็นมีเกี่ยวกับว่า มนุษย์สมัยก่อนนั้นมีอายุเป็นเเสนปีเลย จริงหรือครับ ? ผมเห้นคนบนโลกเราอายุได้ ร้อยปีก็เเก่เหี่ยวเเทบไม่มีเเรงเดินกันเเล้ว โอ้โห ไม่อยากคิดเลย ถ้าอยู่ถึงเเสนปี ร่างกายเราจะเป็นอย่างไร รบกวนท่านผู้รู้ครับ ขอบคุณครับ
     
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    เหตุ 8 ประการของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน ใน 4 อสงไขยแสนมหากัป
    [SIZE=+2]สรุปมาจาก หนังสือ สัมภารบารมี ของท่านนาคะประทีป[/SIZE]
    [SIZE=+2]1. อายุต่างแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า จากมากไปน้อย[/SIZE]
    [SIZE=+2]100,000 พรรษา มี พระทีปักร พระโกณฑัญญะ พระอโนมทัสสี พระปทุม พระปทุมุตตร พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสิทธัตถ พระติสส[/SIZE]
    [SIZE=+2]90,000 พรรษา มี พระสุมังค พระสุมน พระโสภิต พระนารท พระสุเมธ พระสุชาต พระปิยทัสสี พระปุสส[/SIZE]
    [SIZE=+2]80,000 พรรษา มี พระวิปัสสี[/SIZE]
    [SIZE=+2]70,000 พรรษา มี พระสิขี[/SIZE]
    [SIZE=+2]60,000 พรรษา มี พระเรวต พระเวสสภู[/SIZE]
    [SIZE=+2]40,000 พรรษา มี พระกกุสันธ[/SIZE]
    [SIZE=+2]30,000 พรรษา มี พระโกนาคม[/SIZE]
    [SIZE=+2]20,000 พรรษา มี พระกัสสป[/SIZE]
    [SIZE=+2]80 พรรษา มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดม องค์ปัจจุบัน ส่วนพระศรีอารย เมตตรัยที่จะบังเกิดในอนาคตเบื้องหน้ามี 80,000 พรรษา)[/SIZE]
    [SIZE=+2]2. ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 80 ศอก มี พระทีปังกร พระเรวต พระปียทัสสี พระอัตถทัสี พระธัมทัส สี พระวิปัสสี[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 60 ศอก มี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู พระดิสส[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 40 ศอก มี พระกกุสันธ[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 37 ศอก มี พระสิขี[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 30 ศอก มี พระโกนาคม[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 20 ศอก มี พระกัสสป[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 4 ศอก มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)[/SIZE]
    [SIZE=+2]หมายเหตุ เทียบกับศอกของมนุษย์ปัจจุบัน 1 ศอก = 50 เซนติเมตร[/SIZE]
    [SIZE=+2]3. ความต่างแห่ง เวลาบำเพ็ญทุกกิริยาในพระชาติสุดท้ายทีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา 6 ปี คือ พระโคดม(พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา 10 เดือน คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระสุมน พระอโนมทัสสี พระสุชาต พระสิทธถ พระกกุสันธ[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา 8 เดือน คือ พระสุเมธ พระสุมังคล พระติสส พระสิขี[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา 7 เดือน คือ พระเรวต[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา 4 เดือน คือ พระโสภิต[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา 1 เดือน คือ พระปุสส พระปิยทัสสี พระโกนาคม พระเวสสภู[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา ครึ่งเดือน คือ พระปทุม พระอัตถทัสสี พระวิปัสสี[/SIZE]
    [SIZE=+2]ใช้เวลา 7 วัน คือ พระปทุมุตตร พระนารท พระธัมมทัสสี พระกัสสป[/SIZE]
    [SIZE=+2]หมายเหตุ วันเดือนปีในที่นี้นั้นหมายถึงวันเดือนปี ของยุคนั้นๆ[/SIZE]
    [SIZE=+2]4. ความต่างแห่งพุทธรังสี (เทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน หน่วยวัด 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร)[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล 1,000 โยชน์ คือ พระสุมังคล[/SIZE]
    [SIZE=+2]คำนวณได้ รัศมี 16,000 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(16,000)**2 = 804,556,800 ตรกม.[/SIZE]
    [SIZE=+2]ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก หรือ 15 ม. คือ 1 รูปต่อ 3.1428*15*15 = 707.13[/SIZE]
    [SIZE=+2]ตรม.ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ 804,556,800*1000/707.13 =[/SIZE]
    [SIZE=+2]1,137,777,777 รูป[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล 12 โยชน์ คือ พระปทุมุตตร[/SIZE]
    [SIZE=+2]คำนวณได้ รัศมี 192 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(192)**2 = 115,856.18 ตรกม.[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ คือ พระกกุสันธ (สรีระสูง 40 ศอก)[/SIZE]
    [SIZE=+2]คำนวณได้ รัศมี 160 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(160)**2 = 80,455.68 ตรกม.[/SIZE]
    [SIZE=+2]ถ้าพระภิกษุมีความสูง 40 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 18 ศอก หรือ 9 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*9*9 = 254.57 ตรม.[/SIZE]
    [SIZE=+2]ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 80,455.68*1000/254.57 = 316,046 รูป[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล 6 โยชน์ กับ 400 เส้น คือ พระวิปัสสี[/SIZE]
    [SIZE=+2]คำนวณได้ รัศมี 112 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(112)**2 = 39,423.28 ตรกม.[/SIZE]
    [SIZE=+2]ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก หรือ 15 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*15*15 = 707.13 ตรม.ดังนั้นรังสีของ[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 39,423.28*1000/707.13 = 55,751 รูป[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล 3 โยชน์ คือ พระสิขี[/SIZE]
    [SIZE=+2]คำนวณได้ รัศมี 48 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(48)**2 = 7,241 ตรกม.[/SIZE]
    [SIZE=+2]ถ้าพระภิกษุมีความสูง 37 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 16 ศอก หรือ 8 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*8*8 = 201.14 ตรม.ดังนั้นรังสีของ[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 7241*1000/201.14 = 36,000 รูป[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล 1 วา คือ พระศรีศากยมุนีโคดม[/SIZE]
    [SIZE=+2]คำนวณได้ รัศมี 2 ม. คลุมพื้นที่ 3.1428*(2)**2 = 12.57 ตรม.[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล สุดแต่พระองค์ประสงค์ คือพระพุทธเจ้าที่เหลือ[/SIZE]
    [SIZE=+2]5. ความต่างแห่งตระกุล[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระกกุสันธ พระโกนาคม พระกัปสสป เกิดในตระกุลพราหมณ์มหาศาล[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระพุทธเจ้าที่เหลือ เกิดในตระกุลกษัตริย์[/SIZE]
    [SIZE=+2]6. ความต่างแห่งยานออกมหาภิเนษกรม[/SIZE]
    [SIZE=+2]ยานมีความต่างกัน 5 อย่าง 1 ทรงคชยาน(ช้าง) 2 ทรงรถยาน 3.ทรงอัสวยาน(ม้า) 4. ทรงสีวิกามาศราชยาน 5.ทรงมณเฑียรมหาปราสาท[/SIZE]
    [SIZE=+2]7. ความต่างแห่งไม้ที่ตรัสรู้[/SIZE]
    [SIZE=+2]8. ความต่างแห่งอปราซิตบัลลังก์[/SIZE]
    [SIZE=+2]ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้[/SIZE]
    [SIZE=+2]1. พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8[/SIZE]
    [SIZE=+2]อสังไขยแสนกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร[/SIZE]
    [SIZE=+2]บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)[/SIZE]
    [SIZE=+2]2. พระโกนาคมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8[/SIZE]
    [SIZE=+2]อสงไขยแสนกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร[/SIZE]
    [SIZE=+2]บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]3. พระกัสสปพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8[/SIZE]
    [SIZE=+2]อสงไขยแสนกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร[/SIZE]
    [SIZE=+2]บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4[/SIZE]
    [SIZE=+2]องไขยแสนกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก[/SIZE]
    [SIZE=+2]เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร[/SIZE]
    [SIZE=+2]บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ[/SIZE]
    [SIZE=+2]5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16[/SIZE]
    [SIZE=+2]อสงไขยแสนกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร[/SIZE]
    [SIZE=+2]บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้[/SIZE]
    ที่มา http://www.geocities.com/ss12345_th/602.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2008
  3. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    อายุคนในบางยุค

    (u)


    ถาม...มนุษย์สมัยก่อนนั้นมีอายุเป็นเเสนปีเลย จริงหรือครับ ? :d
    ตอบ.หากอ้างอิงจากพระไตรปิฎก ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ถึงอายุและสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ก็ยืนยันได้ว่า บางยุคโลกมีมนุษย์อายุนับ แสนปีจริง อาธิ...

    (*) องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร
    • องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร
     
  4. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    ไม่ได้กวนหรือปรามาสใดๆนะครับท่านพระที่ 12
    แต่อยากทราบว่า
    พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 100,000ปี
    อายุพระศาสนา 100,000 ปี
    แสดงว่า เมื่อท่านปรินิพพานปุ๊ป ศาสนาหมดปั๊ปเลยเหรอครับ

    สงสัยเพราะว่า องค์ปัจจุบัน พระชนมายุ 80 พรรษา
    อายุศาสนายังยาวต่อมา 5,000 ปี (ตามที่พระไตรปิฏกระบุบอกไว้)
     
  5. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 100,000ปี
    อายุพระศาสนา 100,000 ปี
    แสดงว่า เมื่อท่านปรินิพพานปุ๊ป ศาสนาหมดปั๊ปเลยเหรอครับ
    ----------------------------------------------------


    ไม่ใช่ครับ

    หลังจากพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว
    ศาสนาจะอยู่อีก 100,000 ปี ถึงหมดครับ
     
  6. gucci88

    gucci88 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +23
    ผมเองก็มีความสงสัยเพราะความไม่รู้ในเรื่องที่ได้ยินนี้ มานาน
    และถ้าไปเล่าให้คนในศาสนาอื่นฟัง เค้าก็คงสงสัยมากเช่นกัน
    เพราะเมื่อกล่าวถึงวัตถุนาม ย่อมต้องแลเห็นถึงวัตถุธาต
    แล้วทำไมหลักฐานต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ถึงไม่ถูกค้นพบเลย
    กลับค้นพบแต่ซากไดโนเสาร์ที่เก่าแก่กว่านั้น ซึ่งก็ไม่ค้นพบหลักฐานที่บ่งบอกการมีชีวิตของมนุษย์ในยุคเหล่านั้นเลย
    และที่กล่าวว่าอีก 2500 ปี พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า จะมีพระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร นั้น ถ้ามองในช่วง 2500 ปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีมนุษย์ที่จะมีสรีระ
    อย่างนั้นมาก่อนดังนั้น หลังจากนี้ อีก 2500 ปี ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีร่างกายสูงใหญ่ขึ้นได้ ในขณะที่โลกของเรามีขนาดเล็กลง

    ผมเองก็คิดว่าทุกคนก็คงสงสัย เลยอยากถามผู้รู้จริงๆ ว่าแท้จริงแล้วรูปลักษณ์ภายนอกเหล่านั้น กำลังสื่อถึงอะไรเหรอครับ ทำไมถึงมีคำกล่าวเหล่านั้นด้วย
    ผมเองจนปัญญาที่จะหาคำตอบได้จริงๆ ครับ
     
  7. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ไม่ใช่ 2500 ปีต่อจากนี้หรอกครับ อีกนาน

    พอศาสนาพุทธเสื่อมหายไป ยังมีช่วงที่โลกจะว่างเว้นจากศาสนาพุทธอีกนานมากมาย ตายเกิดไม่รู้กี่เที่ยว จึงจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสอีกองค์หนึ่ง ตอนนั้นแหละครับ มนุษย์อาจจะมีอายุมากมายก็ได้นะครับ และอาจสูงหว่านี้มากมายด้วยครับ
     
  8. นพสร

    นพสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    548
    ค่าพลัง:
    +1,176
    อาจจะ ไม่ใช่ที่โลกก็ได้นะ

    เป็นที่ ดาวดวงอื่นที่อยู่ห่างออกไป จากโลกมาก

    เคยอ่านเจอ พระมหากัสสป ผู้มีฤิทธ์เยอะ

    ท่านถอดจิต แล้วเดินทางไปไกลมากๆ จนไปเจอพระพุทธเจ้าอีกองค์ ที่โลกอื่นไม่ใช่ในโลกนี้ ในตำราเขาเรียกว่าอีก โลกหนึ่ง
    แต่ไมได้บอกว่า ถอดจิตไป อวกาศนะ แต่ไปในอีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่โลกใบนี้




    อย่าพึ่งคิดว่าเราบ้านะ แต่เราคิดว่า มันอาจจะเป็นคนหล่ะมิติ ไม่ก คนหล่ะดาวกับเราเลยก็ว่าได้

    รู้ไหมว่า เราไม่เชื่อ เรื่อง จักรวาลคู่ขนานเลยนะ

    แต่มันมีอะไรบางอย่างที่แปลกมากๆ เกิดขึ้น ทำให้เราเชื่อว่า จักรวาลคู่ขนานมีจริงๆ
     
  9. นพสร

    นพสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    548
    ค่าพลัง:
    +1,176
    สัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก คือ เต่า บางตัวอายุเป็น 100ๆ ปี ในอดีตกาลอาจจะมีอายุยืนเป็น 1000 ปีก็ได้

    ช้างก็มีอายุ เยอะกว่าคน ถ้าใจจักรวาลมี คนอายุขัยเยอะขนาดนั้นต้องดูก่อนนะว่า

    ใน 1 วันในโลกของเขา มี 24 ชั้วโมงไหม

    สมมุติ

    ถ้ามนุษย์ดาว ไซย่า มีอายุขัย 200 ปี มีช่วงเป็นหนุ่มยาว นานกว่าโลกเพราะเป็น ดาวนักรบ

    ก็ต้องไป คำนวณก่อนว่า ใน1 วันมีกี่ชั่วโมง ถ้าใน 1 วันมี 18 ชั่วโมง กลางคืน 9 ชั่วโมง

    คิดมาเทียบ สมการกับ ชาวโลกแล้ว ถ้าชาวไซย่ามา อาศัยในโลก ก็อาจจะมีอายุขัยประมาณ 170 ปีเท่าน้าน

    555555555555
     
  10. atomdekst

    atomdekst Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +79
    ครับผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า กระดูกของคนในยุคก่อนๆ
    ไปไหนหมด ที่ว่าตัวใหญ่ๆอะครับ ไม่ได้ลบหลู่นะครับ
    สงสัยจริงๆ

    จะว่าไฟบรรลัยกัลป์ เผาผลาญไปหมดก็คงไม่ใช้เพราะ
    กระดูกไดโนเสาร์ยังอยู่ งง
     
  11. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    นานยิ่งกว่าไดโนเสาร์อีกครับ ลองเทียบดุนะครับด้านล่าง

    การแบ่งกัปในทางพระพุทธศาสนา

    การแบ่งกัปในทางพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
    1. สุญญกัป คือ กับที่ว่างจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ
    2. อสุญญกัป คือ กัปที่ไม่ว่างจากผู้มีบุญโดยเฉพาะพระพุทธเจ้า มี 5 กัปคือ
      1. สารกัป คือกัปที่เป็นแก่นสาร มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 1 พระองค์
      2. มัณฑกัป คือ กัปที่ผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 2 พระองค์
      3. วรกัป คือ กัปที่ประเสริฐ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 3 พระองค์
      4. สารมัณฑกัป คือกัปที่เป็นแก่นสารและผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 4 พระองค์
      5. ภัทรกัป คือกัปที่เจริญ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์. กัปปัจจุบันเป็นภัทรกัปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตมะ พระศรีอริยเมตไตร
    3. ที่มา :http://th.wikipedia.org/ (กัป)
    [FONT=&quot]1 กัป ประมาณหรือมากกว่า สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้าน ปี[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ประมาณหรือมากกว่า [FONT=&quot]3.3 X 10**24[/FONT] ปี (327,680,000,000,000)[FONT=&quot]
    [/FONT]
    แต่ค่าที่ได้นี้จะไปขัดแย้งกับค่า[FONT=&quot] 1[/FONT] ปทุมะ ที่เป็นอายุขัยสูงสุดของสัตว์ในอเวจีนรก ซึ่งมีค่าประมาณหรือมากกว่า[FONT=&quot] 2.62 X 10**26[/FONT] ปี[FONT=&quot]
    [/FONT]
    จึงต้องขยับตัวเลข [FONT=&quot]1[/FONT] กัปป์ เป็น [FONT=&quot]1[/FONT] กัปป์ ประมาณหรือมากกว่า [FONT=&quot]3.3 X 10**26[/FONT] ปี จึงดูใกล้เคียงมากกว่า[/FONT][FONT=&quot]
    ที่มา : http://www.vichadham.com/kup.html


    [/FONT]
    1. เวลา 1 กัป ประมาณ สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้านล้าน ปีประมาณ 3.3 X 10 ยกกำลัง 30 ปี (อันนี้นานกว่าข้างบนอีก)
    2. 1 อสงไขยกัปมีกี่กัปนั้นเป็นจำนวนที่แน่นอน คือ 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว หรือ 1 X 10 ยกกำลัง140 กัป
    ที่มา : http://th.wikipedia.org
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2008
  12. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    ยืนยันอีกครั้ง

    จาก หนังสือ สัมภารบารมี ของท่านนาคะประทีป

    (*) อายุต่างแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า จากมากไปน้อย
    100,000 พรรษา มี พระทีปักร พระโกณฑัญญะ พระอโนมทัสสี พระปทุม พระปทุมุตตร พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี
    พระสิทธัตถ พระติสส
    90,000 พรรษา มี พระสุมังค พระสุมน พระโสภิต พระนารท พระสุเมธ พระสุชาต พระปิยทัสสี พระปุสส
    80,000 พรรษา มี พระวิปัสสี
    70,000 พรรษา มี พระสิขี
    60,000 พรรษา มี พระเรวต พระเวสสภู
    40,000 พรรษา มี พระกกุสันธ
    30,000 พรรษา มี พระโกนาคม
    20,000 พรรษา มี พระกัสสป
    80 พรรษา มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดม องค์ปัจจุบัน ส่วนพระศรีอารย เมตตรัยที่จะบังเกิดในอนาคตเบื้องหน้ามี 80,000 พรรษา)


    (*) ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า
    พระสรีระสูง 80 ศอก มี พระทีปังกร พระเรวต พระปียทัสสี พระอัตถทัสี พระธัมทัส สี พระวิปัสสี
    พระสรีระสูง 60 ศอก มี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู พระดิสส
    พระสรีระสูง 40 ศอก มี พระกกุสันธ
    พระสรีระสูง 37 ศอก มี พระสิขี
    พระสรีระสูง 30 ศอก มี พระโกนาคม
    พระสรีระสูง 20 ศอก มี พระกัสสป
    พระสรีระสูง 4 ศอก มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)
    หมายเหตุ เทียบกับศอกของมนุษย์ปัจจุบัน 1 ศอก = 50 เซนติเมตร

    (*) ความต่างแห่ง เวลาบำเพ็ญทุกกิริยาในพระชาติสุดท้ายทีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ใช้เวลา 6 ปี คือ พระโคดม(พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)
    ใช้เวลา 10 เดือน คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระสุมน พระอโนมทัสสี พระสุชาต พระสิทธถ พระกกุสันธ
    ใช้เวลา 8 เดือน คือ พระสุเมธ พระสุมังคล พระติสส พระสิขี
    ใช้เวลา 7 เดือน คือ พระเรวต
    ใช้เวลา 4 เดือน คือ พระโสภิต
    ใช้เวลา 1 เดือน คือ พระปุสส พระปิยทัสสี พระโกนาคม พระเวสสภู
    ใช้เวลา ครึ่งเดือน คือ พระปทุม พระอัตถทัสสี พระวิปัสสี
    ใช้เวลา 7 วัน คือ พระปทุมุตตร พระนารท พระธัมมทัสสี พระกัสสป


     
  13. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881

    เวลากัปหนึ่งยาวนานกว่าที่คิดมากนะครับ เทียบแล้วเวลาเพียงแค่ยุคไดโนเสาร์นี่ถือว่าจิ๊บจ๊อยไปเลย ซึ่งเวลากัปหนึ่งนี่โลกอาจจะเกิดดับไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ได้

    กัปหนึ่งมีถึง 256 อันตรกัป
    แค่ 1 อันตรกัป นี่ก็นานกว่ายุคไดโนเสาร์มากโขเลย
    1 อันตรกัป นานมากยิ่งกว่า เลข 1 ตามด้วยเลข 0 ถึง 140 ตัวเสียอีก (เป็นจำนวนปี)

    พระศรีอาริย์ท่านจะมาตรัสไม่ใช่อีก 2500 ปีนะครับ จำได้ว่าท่านจะมาตรัสในอันตรกัปถัดไป คิดเป็นเวลาแล้วก็มากจนไม่สามารถประมาณเป็นจำนวนปีได้เช่นเดียวกันครับ

    <!-- / message -->
     
  14. gucci88

    gucci88 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +23
    ขอบคุณครับ ที่มีผู้ให้ความรู้มากมาย
    ผมเองก็แค่ทำตัวเป็นกลาง แล้วก็ถามตามความรู้จากที่ได้ยินมา
    ไม่ได้คิดลบล้างสิ่งใดๆเลย
    เพราะ เวลาได้ยินเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ที่เค้าบอกว่าโลกของเรามีอายุ
    5000 พันล้านปี และจะมีอายุได้อีก กี่ปี ก่อนที่จะดวงอาทิตย์ จะหมดอายุขัย
    ก่อนที่โลกของเราจะถูกไฟจากดวงอาทิตย์เผาใหม้เป็นจุลไป

    ถ้าคำนวนเวลาที่กล่าวมา ก็คงสรปได้อย่างเดียวว่า สิ่งที่เกิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่นี้
    ที่ๆ เรายึดมั่นถือมั่นกันมากเกินไป ผมเองก็ยังปฏิบัติและเชื่อในสิ่งที่พระพุธเจ้าสอนอยู่ดี เพราะ ผู้ที่ไม่เชื่อ อะไรจนกว่าจะได้พิสูจน์ เองนั้นอย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า ทำไมคนเราถึงไม่ควรยึดติดมากเกินไป เพราะมันไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเอง
     
  15. firsthand

    firsthand สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +7
    <center>
    สาเหตุที่อายุมนุษย์ลดลงหรือเพิ่มขึ้นนั้น
    มาจากศีลธรรมนั่นเองครับ ดังที่ได้ปรากฏในพระไตรปิฎก

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค</center> <table align="center" background="" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"> <tbody><tr><td>[​IMG]</td> </tr><tr><td vspace="0" hspace="0" bgcolor="darkblue" width="100%">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    <center>๓. จักกวัตติสูตร (๒๖)

    ...

    </center>

    [๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดให้ประชุมอำมาตย์ราช-
    *บริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้าเป็นต้น จนคนรักษา
    ประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา แล้วตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ เขา
    เหล่านั้นอันท้าวเธอตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแก้ถวาย
    ท้าวเธอ ท้าวเธอได้ฟังคำทูลแก้ของพวกเขาแล้ว จึงทรงจัดการรักษาป้องกัน
    และคุ้มครอง อันชอบธรรม แต่ไม่ได้พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์
    เมื่อไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนจึงได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย บุรุษคนหนึ่งจึงขโมยทรัพย์ของคนอื่น
    ไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว แสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า
    พระพุทธเจ้าข้า บุรุษคนนี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
    เขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้
    ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ ฯ
    บุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
    ร. เพราะเหตุไร ฯ
    บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขา
    แล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษ เธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยงมารดาบิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา
    จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณาที่มีผลในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่สวรรค์
    มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยทรัพย์นี้เถิด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้บุรุษอีกคนหนึ่งก็ได้ขโมยทรัพย์ของคนอื่นไป เขา
    ช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้วจึงแสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
    บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูล
    อย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมย
    เอาทรัพย์ของคนอื่นไป จริงหรือ ฯ
    บุ. จริงพระพุทธเจ้าข้า ฯ
    ร. เพราะเหตุไร ฯ
    บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขา
    แล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษ เธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยงชีพมารดาบิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา
    จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณาที่มีผล ในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่
    สวรรค์ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยทรัพย์
    นี้เถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังมาว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย
    ได้ยินว่า คนขโมยทรัพย์ของคนพวกอื่นไป พระเจ้าแผ่นดินยังทรงพระราชทาน
    ทรัพย์ให้อีก เขาได้ยินมา จึงพากันคิดเห็นอย่างนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย แม้เรา
    ทั้งหลายก็ควรขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นบ้าง ฯ
    [๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของ
    คนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า
    พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
    เขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้
    ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ ฯ
    บุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
    ร. เพราะเหตุไร ฯ
    บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเรา
    จักให้ทรัพย์แก่คนที่ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นเสมอไป อทินนาทานนี้จักเจริญทวี
    ขึ้นด้วยประการอย่างนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจะให้คุมตัวบุรุษผู้นี้ให้แข็งแรง จะทำ
    การตัดต้นตอ ตัดศีรษะของบุรุษนั้นเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอ
    ตรัสสั่งบังคับราชบุรุษทั้งหลายว่า แน่ะ พนาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเชือก
    เหนียวๆ มัดบุรุษนี้ให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น
    แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตู
    ด้านทักษิณ จงคุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้นเสีย นอก
    พระนครทิศทักษิณ ราชบุรุษทั้งหลายรับพระราชดำรัสของเธอแล้ว จึงเอาเชือก
    เหนียวมัดบุรุษนั้นให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น แล้วพา
    ตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตูด้านทักษิณ
    คุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้น นอกพระนคร
    ทิศทักษิณแล้ว ฯ
    [๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังมาว่า ดูกรท่านผู้เจริญ
    ทั้งหลาย ได้ยินว่า พระเจ้าแผ่นดินให้คุมตัวบุคคลผู้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่น
    อย่างแข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะพวกเขาเสีย เพราะได้ฟังมา พวกเขา
    จึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย แม้พวกเราควรให้ช่างทำศัสตรา
    อย่างคม ครั้นแล้วจะคุมตัวบุรุษที่เราจักขโมยเอาทรัพย์ให้แข็งแรง จักทำการตัด
    ต้นตอ ตัดศีรษะพวกมันเสีย พวกเขาจึงให้ช่างทำศัสตราอย่างคม ครั้นแล้ว
    จึงเริ่มทำการปล้นบ้านบ้าง ปล้นนิคมบ้าง ปล้นพระนครบ้าง ปล้นตามถนน
    หนทางบ้าง คุมตัวบุคคลที่พวกเขาจักขโมยเอาทรัพย์ไว้อย่างแข็งแรง ทำการตัด
    ต้นตอ ตัดศีรษะบุคคลนั้นเสีย ฯ
    [๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึง
    ความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่
    หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุ
    ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก
    อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีก็มีอายุ
    ถอยลง เหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี
    บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดง
    แก่พระราชาผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกพร้อมด้วยกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
    บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่าง
    นี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของ
    คนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูล คำเท็จทั้งรู้อยู่ว่า ไม่จริงเลยพระพุทธเจ้าข้า ฯ
    [๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึง
    ความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่
    หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุ
    ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก
    อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี ก็มี
    อายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปีี บุรุษคนหนึ่งขโมย
    เอาทรัพย์ของคนอื่นไป บุรุษอีกคนหนึ่งจึงกราบทูลแก่พระราชาผู้กษัตริย์ซึ่งได้
    มูรธาภิเษกเป็นการส่อเสียดว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษชื่อนี้ ขโมยเอาทรัพย์
    ของคนอื่นไป ฯ
    [๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
    วรรณก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง
    บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐,๐๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปสัตว์บางพวกมีวรรณะ
    ดี สัตว์บางพวกมีวรรณะไม่ดี ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีวรรณะไม่ดี
    ก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น ฯ
    [๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
    *กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
    หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
    กาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
    วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง
    บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕,๐๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ธรรม ๒ ประการคือ
    ผรุสวาจาและสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความ
    แพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวก
    เขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ
    ๕,๐๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๐๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี อภิชฌาและพยาบาท
    ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุของ
    สัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุ
    บ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลง
    เหลือ ๑,๐๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ๑,๐๐๐ ปีมิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความ
    แพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย
    แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
    บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕๐๐ ปี ธรรม ๓ ประการคือ
    อธรรมราคะ <sup>๑-</sup> วิสมโลภ <sup>๒-</sup> มิจฉาธรรม <sup>๓-</sup> ก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อธรรม
    ๓ ประการถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็
    เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตร
    ของมนุษย์ที่มีอายุ ๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๕๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอาย๒๕๐ ปีธรรมเหล่านี้คือ ความ
    ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ
    ความไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้
    ถึงความแพร่หลาย ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
    พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย
    เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
    อทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความ
    แพร่หลาย ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย
    มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้
    ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความ
    แพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการคือ ผรุสวาจา
    และสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย
    อภิชฌาและพยาบาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความ
    แพร่หลาย มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย
    ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    <small>@(๑) ความกำหนัดในฐานะอันไม่ชอบธรรม (๒) ความโลภไม่เลือก (๓) ความ</small>
    <small>@กำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา</small>
    เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้ คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน
    มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ความไม่ปฏิบัติ
    ชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
    วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อสัตว์เหล่านั้นเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
    บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐๐ ปี
    [๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ใน
    เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง
    น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ
    ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ <sup>๑-</sup> จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก
    ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้นเหมือนกัน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไปหมด
    สิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๑๐ ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติ
    ชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่
    ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ
    ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติ
    ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
    ตระกูล ในบัดนี้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพ
    ยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา
    ของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน
    แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความ
    คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับ
    บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิดความ
    อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพราน
    เนื้อเห็นเนื้อเข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า
    อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
    [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัป
    สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง
    หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม
    นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี
    ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา อย่ากระนั้น
    เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้
    และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้
    ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด
    ๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ
    ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม
    ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา
    ถึงความสิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระ
    นั้นเลยเราควรทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน
    กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศล
    ธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง
    จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตร
    ของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา
    เจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า
    กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก
    อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น
    จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท
    ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม
    อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบ
    ในสมณะ ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
    ตระกูล ควรสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา
    ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ
    อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ
    เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วย
    วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคน
    ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปีบุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุ
    เจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตร
    ของคนผู้มีอายุ ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปีจักมีอายุเจริญขึ้นถึง
    ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร
    ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ
    ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ
    ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี
    อายุ ๕๐๐ ปี จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑
    ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก
    มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก จักยัดเยียดไป
    ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก
    เป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน
    คับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
    ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง ๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักร-
    *พรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรง
    ธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต
    ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑
    ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น
    ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์
    สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง
    ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง
    พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง
    โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี
    ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้
    เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้
    เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง
    โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
    ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
    เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้
    แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณ-
    *พราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก
    มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์
    พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
    เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
    ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
    บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
    งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
    บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร
    ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ

    ...

    <table align="center" background="" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"> <tbody><tr><td>[​IMG]</td> </tr><tr><td vspace="0" hspace="0" bgcolor="darkblue" width="100%">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    <center>
    </center>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2008
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE class=tborder id=post1265827 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] เมื่อวานนี้, 02:04 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>wellrider<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1265827", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 05:46 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2007
    ข้อความ: 1,968
    Groans: 0
    Groaned at 6 Times in 5 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 0
    ได้รับอนุโมทนา 14,107 ครั้ง ใน 1,528 โพส
    พลังการให้คะแนน: 1250 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1265827 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->พุทธศาสนาในมุมมองของแม่ชีฝรั่ง
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]

    พุทธศาสนา
    ในมุมมองของ...แม่ชีฝรั่ง


    “ศาสนาพุทธในสายตาของฉันนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ยังเป็นปรัชญาชีวิต เราไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป แต่ชีวิตเป็นของเรา เราสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ หรือไม่ดีก็ได้ อยู่ที่การทำตัวของเราเอง เราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา” และนี่เป็นมุมมองเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของ “บริจิต” เป็นแม่ชีชาวออสเตรเลีย

    หลักธรรมของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งที่แม่ชีบริจิต บอกว่า แตกต่างจากหลักธรรมของศาสนาอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง คือ พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฏิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฏิบัติให้รู้จริงด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. adisak007

    adisak007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +699
    มันส์ดีน่ะ มองคนละมุมนี่.... เอาเป็นว่า ปฏิบัติให้ได้เยอะๆ แล้วไปถามเหล่าเทวดา หรือพรหม หรือผู้ที่ภพภูมิสูงกว่า เห็นอะไรมามากกว่า จะได้เคลียร์ๆ ไป ...เฮ้อ...ปฏิบัติให้ได้ แล้วไปถามซะน่ะจ๊ะ ......... สาธุ
     
  18. กตัญญุตา

    กตัญญุตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +109
    เราห่างไกลจากความเป็นตัวเองออกไปทุกที ทุกที หันกลับมามองเถอะ ทุกสิ่งทุอย่างอยู่ในตัวเองทั้งนั้น....เจริญในธรรมครับ สาธุ
     
  19. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ก็ไม่แน่นะ แล้วช่วงเวลานั้น 1 ปีมีกี่วันล่ะ แล้วช่วงเวลานั้น 1 วันมีกี่ชั่วโมงและ 1 ชั่วโมงมีกี่นาที...
     
  20. ธรรมจริยา

    ธรรมจริยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +192
    ถ้าว่ากันทางวิทยาศาสตร์ เป็นไปได้ไหมว่า ดวงอาทิตย์และระบบสุริยะของเราดับแล้วเกิดใหม่อีกหลายรอบ จนถึงเวลาที่จะมีมนุษย์เกิดในโลกใบใหม่ ซึ่งรูปร่างหน้าตาอาจเหมือนหรือไม่เหมือนในปัจจุบันก็ได้ เชื่อว่าผู้ที่รู้ก็คงจะมีแต่ผู้ที่เข้านิพพานแล้วเท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...