555 ไม่คับผมไม่เหมือนเลย ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ผมเห็นแต่ความรกรุงรังไปเสียหมด เดี้ยวอันนี้มาเดี้ยวอันนี้ไป รกจนบางทีอยากจะเอาอะไรไปโกนออก แต่เอะ มันใช้อะไรที่ว่าโกนออกไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เส้นๆ หรือจะเอาอะไรมาตักออกไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ผงๆ เลยไม่รู้ นั่งดูมันไปก่อน ยังไม่ฆ่าตัดตอนมัน เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ นี่ผมไม่ได้บรรลุไหรือทะลุธรรมนะ 555 ผมอะมันยังอ่อน ที่ไม่สามารถหาอะไรไปครอบมันไว้ได้ ทำให้มันหยุดนิ่งไปเรื่อยๆอย่างนั้นได้ ตัวผมนี้มันช่างอ่อนเสียจริงที่ไม่สามารถรับรู้ความเป็นไปอันเป็นธรรมชาติของมันได้และก็ไม่อาจเอาอะไรไปบล็อคมันไว้ได้แม้แต่เหนี่ยวรั้งมันไว้ได้ แม้แต่ทำให้มันอยู่นิ่งๆ ได้อย่างแท้จริง สรุปคือ ผมอะมันอ่อน ที่ทำไม่ได้รู้ไม่ได้ว่า แท้จริงมันเป็นอย่างไร 555 ขำตัวเอง 555
เข้าใจผมผิดแล้ว ... นี่คือการชี้กรรมฐานเฉพาะคุณ และคนที่เดินอยู่แบบนี้ ... ว่าขาดส่วนใด เกินส่วนใด ... ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดี... กลับไปสังเกตุ บอกอยู่ตลอด จะเดินมรรค จะเอาธรรมมาใคร่ครวญ หรือจะฟังธรรม ก็ล้วนถึงธรรมได้ทั้งนั้น.. แต่กรณีของคุณ สะกิดให้คุณดูว่าพลาดอะไรไป ... ชี้ให้ดูเหตุการเกิดของความตั้งมั่นของจิต ...ชี้ให้คุณระวังอุปทานที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าไปดูเข้าไปรู้ ... ชี้ให้คุณดูวิหารธรรมมีความจำเป็นในการที่คุณจะไปดูจิต มันทำให้หลงก่อตัวตนได้ หากไม่มีวิหารธรรม.... ชี้ให้คุณดู การรู้ไปเรื่อยๆยังไม่ใช่การเห็นแจ้ง... มันมีทั้งส่วนที่คุณขาดเกิน ถ้าน้ำไม่เต็มแก้ว คุณคงได้ประโยชน์บ้างจากการชี้ให้ ... แต่ดูแล้วน้ำมันเต็มเเก้ว... สภาพรู้ธรรมดาๆ คุณยังสำคัญมันได้ ... แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย
มันไม่ใช่การเอาแต่กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ... มีสิ่งที่คุณขาด สิ่งที่เข้าใจผิด สิ่งที่คุณแอนตี้อยู่ลึกๆในใจคืออะไร ล้วนเป็นสิ่งขัดขวาง และทำให้เหตุยังไม่สมบูรณ์ คุณจะเจริญแต่วิปัสสนา โดยขาดสมถะไม่ได้ จิตมันไม่อาจตัดสิน และสมถะไม่ใช่การแยกไปนั่งสมาธิสวดมนต์ที่ไหน ... แต่เกิดจากจิตที่อยู่กับวิหารธรรมจึงตั้งมั่น... ตั้งมั่นแล้วจึงเห็นความจริงของรูปนามนี้... ไม่ใช่การรู้ลอยๆ ไปเรื่อยๆ และการที่รู้ลอยๆไปเรื่อยๆโดยขาดหลักยึด อดไม่ไม่ที่จิตจะก่ออุปทานซ้อนขึ้นในรู้นั่นล่ะ
คุณก็ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล น้องชมพูนี่ก็มีอาศัยวิหารธรรมให้จิตตั้งมั่น แล้วเห็นความจริงของรูปนาม... หรือถ้าไปดูหลวงตา หลวงปู่ท่านเหล่านั้นล้วนอาศัยวิหารธรรมทั้งสิ้น... คุณไม่เอ๊ะใจบ้างหรือว่าเพราะอะไร? ทำไมเขาเหล่านั้นไม่วิปัสสนาไปอย่างเดียวก็พอ ... เคยมีคำถามแบบนี้ถามตัวเองบ้างไหม?
ขออนุญาตท่านเค็น นี้ใช้เครื่องอยู่ของจิตที่ใช้อารมย์นิพพาน หรือไม่คับ เช่น ลต.ให้โยนิโสไว้ในใจไม่ลืมเลือนว่า "ไม่ว่าอาการอะไรผุดขึ้นใจน้อยนิดเพียงไร ที่กระเพื่อมขึ้นมาแม้ปรมณูเดียว.ย่อมไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นนิพพาน" เพราะ สภาพธรรมนิพพานจะไม่สามารถเกิดและดับได้ ยังเงี้ยะอ่ะคับ
คุณนั่งสมาธิเพ่งตลอด 24 ชม หรอ ระหว่างวันไม่ทำไรเลยหรอคุณ ระหว่างวันก็ไม่เคยปล่อยให้เสียเปล่า ทุกคนสามารถฝึกกำหนดรู้ได้อยู่เนืองๆตามจริตนิสัย กำหนดรู้ตรงไหนเกิดกุศล ไม่อึดอัดไม่บีบเค้น ก็ทำแบบนั้น มันไม่ต้องมาหามุมสงบหาที่นั่งจัดท่าทางอะไรเลย ภาวนาเหมือนคนไม่ภาวนาเยี่ยแหล่ะ คือคนภาวนาเป็น ไม่ใช่ต้องทำตัวเคลิ้มเพ่งนิ่งตลอดเวลา
พี่เเนนครับ ผมว่ายังไงก็ต้องมีวิหารธรรมนะครับ ลองคิดดูว่า วันนึง 24 ชม.เนี่ย มันก็สลับอยู่เเค่รู้กับหลง คือพอหลงก็รู้ รู้เเล้วก็หลง มันสลับอยู่อย่างนี้ ธรรมชาติของจิต มันไม่มารู้ตลอดเวลา ยังไงไม่นานมันก็หลงไปคิด หลงไปนู่นนี่นั่น ต่างๆนาๆ เเต่คำถามคือ ตอนที่มันรู้ จิตจะไปตั้งอยู่ตรงไหนครับ หากปราศจากวิหารธรรม ก็จะขาดความตั้งมั่นของจิตไป เพราะความตั้งมั่นคือสมาธิ มันจำเป็นต้องมีวิหารธรรม มีสติรู้เฉยๆเเต่ไม่มีความตั้งมั่น รู้เป็นเเสนเป็นล้านก็ไม่บรรลุนะครับ คือ พอมีสติรู้ ก็กลับไปอยู่วิหารธรรม เกิดความตั้งมั่นขึ้น เเต่ถ้าไม่มีวิหารธรรม เเล้วพอรู้ เเล้วไปไหนต่อหละครับ? เมื่อไม่มีที่ตั้งให้จิต เเล้วเอาความตั้งมั่นมาจากไหนได้ครับ สติก็อย่างนึง สมาธิก็อย่างนึง เเละการให้จิตมาอยู่กับวิหารธรรม มันก็ไม่ใช่การฝืนบังคับอะไรด้วยครับ มันเป็นธรรมชาติของจิตที่ทำให้เกิดสมาธิ เเละมันเป็นของจำเป็น ที่จะให้เกิดสัมมาสมาธิ หรือความตั้งมั่นของจิต เท่านั้นเองครับ
พี่หมูไม้ เค้าไม่ได้หมายถึง การต้องไปทำสมาธิตลอดวันนะครับ พี่เเนนเข้าใจผิดเเล้ว เเต่ตอนที่มีสติไปรู้ มันต้องตามด้วยความตั้งมั่นของจิตถึงจะเป็นเหตุให้บรรลุได้ครับ เเละตอนที่มีความตั้งมั่น จิตมันอยู่กับวิหารธรรม เเต่มันอยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็หลงไปอีก พอหลงไป เดี๋ยวก็กลับมารู้อีก เกิดความตั้งมั่น มาอยู่กับวิหารธรรม เห็นความไม่เที่ยงของนามธรรม ทั้งวัน สลับเเค่ หลงกับรู้
เเต่คนทั่วๆไป ที่ไม่รู้จักธรรมะของพระพุทธองค์ เวลาหลง ก็หลงต่อ หลงกับหลง ไม่มีหลงกับรู้ คือทั้งวันมีเเต่หลง ไม่มีรู้ เเต่คนฝึกตามพระพุทธองค์ จะเป็นหลงกับรู้ สลับกันครับ
คนที่เริ่มฝึกเนี่ยมันจะต้องอาศัยพุธโธ คำบริกรรมมาเกาะ เพื่อเหลาให้จิตมันไม่ติดฟุ้ง พอฝึกไปสักพักจิตมันจะไม่ต้องฝืนมันจะมาอัตโนมัติ คำบริกรรมก็ไม่ต้องนึกแล้ว จิตมันมาเอง เมื่อมันมาเองจิตที่เคยขุดคลองไว้ที่ไหนมันจะวิ่งมาเอง อย่างคนที่ดูจิตเนี่ยจิตมันไม่ได้วิ่งไปรู้ที่จิตอย่างเดียว มันมักจะมีวิ่งมาที่กายด้วย แต่เมือ่ไหร่จิตกระเพื่อม มันจะวิ่งมาที่จิตมันจะเห็นจิตชัด พอมันคุ้นเข้า มันจะวิ่งมาที่จิตถี่ขึ้น จนมีกลางอกเป็นจุดประจำการ เมื่อเห็นได้ถี่ขึ้น จิตมันจะตามเห็นไม่หยุด ไม่ว่าความคิดไรเกิดมันจะผุดตรงนี้เสมอ ดังนั้นถ้าจะบอกว่าคนดูจิตไม่มีวิหาร มันก็ไม่ใช่ วิหารไม่ได้มีแค่ส่วนกายอย่างเดียว ความตั้งมั่นเกิดขึ้นหลังจากสตินั้นตามจับความแปรปรวนตามเห็นความแปรปรวรกายใจได้เนืองๆ จนมันพ้นจากความเป็นเรา นั่นคือจุดที่เกิดสภาวะแยกขันธ์เกิดขึ้น เคยรู้จักมั้ยคะว่าสภาวะแยกขันธ์เป็นยังไง ถ้าเกิดตอนลืมตาอยู่ จะเห็นจิตถอยออกมาจากกายเรื่อยๆ เห็นกายเป็นสิ่งอื่นไปแล้ว ใจก็ส่วนนึง จิตเป็นผู้สังเกตุ จิตวิ่งไปโน่น ดับที ไปนี่ดับที ปิติอิ่มเอิบเกิดขึ้น จิตมันไม่เอามันต้องข้ามตรงนี้ด้วย ถ้าไปคว้าเอามันก็จะไปเคลิ่มสุขแบบโลกๆ ข้ามปิติมาได้ จะเจอสงบ แม้แต้สงบ จิตมันก็สลัดคืน เนี่ยแหล่ะถึงตะเจอสมาธิของจริง เพราะจิตไม่แส่สายกับของโลกๆอะไรอีกเลย เด่นดวงตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น พอละไม่พูดซ้ำ เด่วเอาไปจินตนาการไปไกลอีก ทำไมถึงแยกกันล่ะ สติเป็นส่วนนึงที่เป็นพื้นฐานสำคัญของสมาธิ แทบแยกกันไม่ออกนะคะ ที่เราฝึกหาวิหารธรรมนั้นเหมือนวอร์มร่างกาย แต่ของจริงมันคือจังหวะไหนคนที่ถึงธรรมแล้วคงไม่ต้องให้ไก่อ่อนอธิบาย
ทำไมชอบแก้ตัวแทนเขาคะ ถ้าเขามั่นใจให้เขาตอบพี่เอง ไม่ต้องให้คนอื่นตอบแทน แล้วตอนจิตตั้งมั่นเนี่ย จิตมันพ้นตัวเราไปแล้วค่ะ วิหารอะไรมันจะเกาะที่ไหน เรื่องของจิต ไม่ใช่งานของเรา งานของเราจบแล้วตั้งแต่ที่มันข้ามเข้ามาทำเองจนตั้งมั่น แล้วมันก็พูดอยู่ขั้นฝึกวนเวียน ใครจะขุดคลองมาแบบไหน ขุดไป กาย เวทนา จิต ธรรม ขุดตามสบาย ไม่มีใครไปกะเกณฑ์บังคับว่าต้องขุดกายเท่านั้น ท่านี้เท่านั้น สามารถตรงไหน ถนัดตรงไหน ถ้าขุดแล้วสติเกิดได้ดี เกิดการระลึกได้เนืองๆนั่นคือถูก หลงบ้างเห็นบ้าง อย่ากังวล ทำจนสติถี่ขึ้นได้เอง นัก_าวนามักกังวลกับท่วงท่า ว่าตะถูกมั้ย ทำไปจะเป็นไรมั้ย มันไม่เป็นอะไรเลย ตราบใดที่ไม่ลืมที่กำหนดรู้ ไม่ไปหลงของนอกๆที่ดึงไป หรือเพ่งจนไม่เห็นอะไรไหวๆเลย
ก็จังหว่ะนี้คือมันพ้นการบังคับบัญชา ทำไมยังต้องไปคว้ามันวนเวียนอยู่กับวิหาร ถ้ามันจะพ้นจากวิหารเพื่อไปรื้อค้นจิต ทำไมไม่ปล่อยมันไปล่ะ กลัวอะไร ถ้ามันตั้งมั่นไปแล้ว
ผมไม่ได้เเก้ตัวเเทนใครครับ เเต่ผมเเค่เห็นว่าพี่เเนนเข้าใจสิ่งที่หมูไม้เค้าเค้าต้องการจะสื่อผิด เลยอธิบายให้เข้าใจถูกครับ+ออกความเห็นในมุมผมด้วย ถ้าพี่หมูไม้เค้าบอกอะไรผิดๆมา ผมก็พร้อมเเย้งเหมือนกันครับ
ตรงนี้เข้าใจที่พี่สื่อครับ คือ ในเมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิมันตามมาิยู่เเล้ว ไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องวิหารธรรมตรงนี้ผมเข้าใจ เเต่ว่าที่ผมต้องการจะบอก บวกกับที่พี่หมูไม้เค้าจะบอก คือ เราปฏิเสธวิหารธรรมไม่ได้ครับ เพราะมันเป็นเหตุให้เกิดความตั้งมั่นของจิต ส่วนที่พี่จะบอกว่าไม่ต้องมีวิหารธรรม จิตก็ตั้งมั่นได้ อันนี้ผมขอไม่เเย้งครับ เพราะผมไม่เข้าใจ
ขั้นฝึกเนี่ยไม่ต้องไปยังคับใครเขาเลย จริตอต่ละคนแตกต่าง วิหารธรรมใครจะเลือกจุดไหน ฟรีดอม ตราบใดที่ม้วนตัวเองจนพามาถึงการพ้นเจตนา มันจะไม่มีการไปตีกรรมฐานคนอื่นเลย มันจะเห็นทุกองค์กรรมฐานเท่าเทียม