ถ้าไม่มีการสะสมสูตรเหล่านี้จะมีทางเข้าใจ ความจริงด้วยตัวเองได้เลยคับ หู เมื่อมีมาเสียงกระทบ จิตได้ยิน" เกิด เพื่อ" จิตได้ยิน"ดับ (ไม่ใช่เราได้ยิน) แต่เมื่ออวิชชาเกิด กลายเป็นเราได้ยิน และปรุงต่อเป็นปัจจัยให้ " ทุกขเวทนาเกิด เพื่อทุกขเวทนาดับ" หรือ" สุขเวทนาเกิด เพื่อเวทนาดับ" แต่อวิชชาจะทำให้ทุกข์เวทนาคือเราทุกขํ สุขเวทนาคือเราสุข เนื่องจากการมีเราเข้าไปยึด ฉะนั้น จิตได้ยินจะเกิดหรือไม่ จะไม่เกิดเมื่อหรั่ย ใครก็ไม่อาจสั่งได้ (อนัตตาธรรม)เป็นไปตามชื่อกะมู้ว์ ฮับ
รูปกายเวลาจิตละออก ละเยอะมาก ไม่ใช่ละน้อยๆ หรือละแค่พื้นผิว นี่ตา จมูก ลิ้น แต่เข้าอวัยวะข้างในด้วย ยืนเดินนั่งนอน หยิบจับอะไรไม่ใช่เราแม้สักนิด รูปมันแค่บ้านเช่า ครอบครองไม่ได้จริง ..ทุกครั้งที่จิตละรูป ร่างกายคนอื่นจะถูกละออกเสมอกันกับจิตเราที่ปล่อยวางได้ด้วย.. ลดความอาลัยรักในครอบครัว ของรักออกด้วย หากเกิดการสูญเสีย จิตมันยอมรับอนัตตา ว่าเราครอบครองกันจริง ๆ ไม่ได้ ไปชาติไหนๆก็วนลูปเดิมๆ แบบนี้ คือพลัดพรากตลอด เหมือนใส่เสื้อกลับด้านไปมา..แล้วจิตละจนรวยออกไปด้วย.... สุดท้ายจิตมันก็มองทุกอย่างเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง แล้วมุ่งออกจากภพ จิตไม่ใช่เรา มันไม่ใช่หรอก ถ้าใช่วิถีจิตก็ไม่มีการเกิดดับ มันก็เป็นวิถีเดียวเกิดไม่ดับ วิถีจิตเกิดดับก็บอกอยู่ตลอดอยู่แล้ว ว่าจิตไม่ใช่เรา จิตจริงๆ มันดูดอะไรติดที่ไหน มีแต่ธรรมชาติเดียวคือเฉยๆ ไม่มีความวุ่นวาย แต่อวิชชานี่ดูดติด เหมือนแม่เหล็ก เกิดการกระทำอะไร ๆ ก็ดูดเข้ามาเก็บสะสมไว้ตลอด มีหลายอารมณ์วุ่นวายมาก ไม่เห็นต้องไปอาศัยความคิดใครมารู้พวกนี้เลย ฝึกจากกรรมฐานกองไหนก็รู้ได้ พวกเนี้ยะนู๋สะสมจากการฝึก แล้วรู้ด้วยตัวเอง
พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า สอน อริยสัจ 4 ทุกข์=ทุกข์กายทุกข์ใจ สมุทัย=เหตุแห่งทุกข์ใจเหตุแห่งทุกกาย มรรค=วิธีทางดับทุกข์กายดับทุกข์ใจ นิโรธ=ทุกข์ใจทุกข์กายดับสนิทสิ้นเชื้อ สิ่งใดเกิดเอง สิ่งนั้นย่อมดับเอง เป็นอธรรมไม่ใช่ธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ลุงแมวแกพูดนิพพาน ไม่ใช่จิตอวิชชา ด้วยวัย ด้วยอายุ แกก็ต้องหาทางลัดสั้นสุดๆ ให้ตัวเองแหล่ะ นี่สภาวะนิพพาน มันไม่มีเกิดดับที่สภาวะนั้น
ถ้าย้อนไปอ่านโพสแรกๆเมื่อ 7 ปีก่อน คุณจะเห็นว่าบรรลุธรรมด้วยอานาปานสติ ... ส่วนการฟังธรรมแล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งโดยการฟังธรรมจากอ.ประเสริฐ เป็นครั้งที่ 2 ที่เกิดสภาวะ... และโพสแรกๆที่อธิบายการเห็นแจ้งนั้น มาจากอานาปานสติล้วนๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 2 ... ของการทำอานาปานสติ ... ถ้าจะบอกว่าตนเองมีวาสนา... มันคงเป็นการกำเงิน 15 บาทเข้าร้านเน็ตวันนั้น ที่ได้เจอ อานาปานสติ การใช้คำของพระพุทธองค์ไม่กี่ประโยค นำทางในภาวนา ไม่เคยถามใคร แต่ระหว่างภาวนามีการวิจัยธรรม พลิกแพลงกับจริตเดิมของตัวเอง https://pantip.com/topic/31612912 มาถึงยกสุดท้าย ที่จิตตัดสินผล มีการบังคับให้จิตอยู่ที่ลมไม่ให้เคลื่อนไปไหน... ขณะที่จิตจดจ่อที่ลมแบบเต็มที่พยายามไม่ให้จิตเคลื่อนไปไหน...(เกิดความตั้งมั่นของจิต)(เกิดฌาน) แล้วสภาวะต่อมา คือการเห็นความจริง เพราะไม่ว่าจะพยายามยามปักจิตลงที่ลมมากแค่ไหน จิตก็เคลื่อนไปรู้สิ่งอื่นอยู่ดี .... จิตจึงโพล้งมา ณ ขณะนั้น .... และเหตุที่จิตเห็นแจ้งขึ้นมานั้นเพราะ...กำลังความตั้งมั่นของจิตที่เกิดจากการพยายามรู้ลมเพียงที่เดียว+ ความจริงที่แสดงให้เห็น...ถึงสิ่งที่มันบังคับไม่ได้ ถึงสิ่งที่ไม่คงที่ ... ที่ผมต้องอ้างอิงการภาวนาตัวเอง ไม่ใช่เพื่อจะโชว์ คิดว่าคนไหนมีไหวพริบ จะลองพิจารณาเทียบเคียงกับการภาวนาของตน มีอะไรที่ขาดไป หรือเกินไป ถ้าการภาวนาเอาแต่รู้ แล้วสำคัญว่ารู้ โดยขาดความตั้งมั่นของจิต ... คิดว่ากลัวจะไปติดเพ่ง ... โดยการเชื่อมาผิดๆว่าการเพ่ง ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ... ถ้าอย่างนั้นปัจจัยที่จิตตั้งมั่นพอที่จะตัดสินธรรมได้จะมาจากไหน ... วันที่หลวงตามหาบัวท่านบรรลุธรรม ... ก็เกิดจากการอยู่กับคำภาวนาพุทโธ ... จิตจดจ่ออยู่ตรงนั้นพยายามจะไม่ให้เคลื่อน .... ที่สุดจิตก็เคลื่อนไปรู้อย่างอื่น .... ท่านจึงเกิดการเห็นแจ้งขึ้นมาได้ .... เห็นอะไรในสิ่งที่ผมจะบอกไหม ... มันจะมีคนสองกลุ่ม คนบางคน จะหมั่นใส้ อิจฉา กับคนบางคน จะครุ่นคิดอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้คนๆหนึ่งเห็นแจ้ง ... แล้วสร้างเหตุปัจจัยนั้น ... อย่างนี้จึงเกิดประโยชน์ ... ผมอาจเป็น AI หรือแอนดรอย ที่ไม่มีตัวตน สักอย่างก็ได้ จึงเสียเวลาที่บางคนจะมาอิจฉา หรือหมั่นใส้ที่บอกเล่าสภาวะธรรม... แต่ควรเก็บเกี่ยวประโยชน์ไปให้ได้ว่าเราขาด เกินสิ่งไหน ควรระวังอะไร เพื่อวันนึงจะเกิดการเห็นแจ้งได้เหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย
คุณนู๋บีมครับ พระอริยสงฆ์สาวก ย่อมสามารถแสดงอริยสัจสี่ ตามภูมิธรรมของขั้นอริยสาวก อย่างชัดแจ้งได้ครับ นิพพานมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่หลุดพ้นเองแบบไม่รู้เรื่องอะไร
เคยไปฟัง ลต.ท่านพูด ท่านสอนประมาณนี้แหล่ะ แต่ไม่ใช่ท่านหลุดพ้นแบบไม่รู้อะไร ท่านรู้ แต่ท่านสอนคล้ายๆ จะโหมดของท่าน คือนิพพานเลย สอนสูงมาก ปกติพระ ลป. ลพ. จะสอนในโหมดคนฝึก คือไปตามสเต็ป เป็นลำดับๆ ว่าคนฝึกอยู่ระดับประมาณไหน อันนี้จะฝึก ก็พินาตามความสามารถทางจิตเราละกัน
พระองค์จะใช้คำว่าไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ตัวอย่างนางวิสาขา เห็นประตูอมตะ เห็นวิชชา แจ้งแก่จิตไปแล้ว ยังกลับมาวนเวียนโลกมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง หลานตายก็ร้องไห้ การทำงานของอวิชชา มันซับซ้อน โสดา ยังโดนหลอกให้วนเวียนเสพกามอยู่สูงสุดตั้ง 7 ชาติ ทั้งๆที่เห็นอมตะธาตุที่หาที่เปรียบไม่ได้ไปแล้วด้วยซ้ำ สมแล้วที่พระองค์กล่าว (ก้อปวาง) นานจริงหนอ ที่เราถูกจิตนี้คดโกง หลอกลวง ปลิ้นปลอก; จึงเราเมื่อยึดถือ ก็ยึดถือเอาแล้ว ซึ่งรูป, ซึ่ง เวทนา, ซึ่งสัญญา, ซึ่งสังขาร, และซึ่งวิญญาณ นั่นเทียว : โสดายังโดนต้มซะเปื่อย
ชอบอันนี้นะหมูไหม้ที่ชอบไม่ใช่ชอบพระนั่นคือถูกนะ ที่จริงมันก็ไม่ได้ผิดนะเพียงแต่มีอะไรหายไป เหมือนกับใช้การเดินเครื่องไฮเปอร์สเปซร์ จั้มจากจักรวาลหนึ่งไปอีกจักรวาลหนึ่งโดยไม่รู้ว่า จั้มผ่านอะไรไปบ้าง ถ้าเทียบยานอวกาศก็คล้ายๆ พวกนำร่องมันชำรุดอะไรทำนองนั้น โดยมากถ้าระบบนำร่องชำรุด จุดอ้างอิงต่างๆในเอกภพ มันก็ไม่มีความหมาย ดังนั้น ที่จะไปดาวเคราะห์ NRX-785 ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ อาจจะไปตกในจักรวาลไหนก็ได้ ทีนี้กลับมาที่ เรื่องของการกำหนดลมหายใจก่อน ยอมรับไหมว่านั่นคือการเจริญสมาธิเพื่อสร่างสติ เพื่อมองเห็นความเป็นไปบางอย่างในภาวะทั้งหมดแต่ตั้งต้นที่ กำหนดลมหายใจ มันแลดูวาปนะ เพราะว่า ถ้าเติมบางสิ่งเข้าไปในข้อความนี้ก่อนจะเห็นไตรลักษณ์เห็นอะไร เพราะถ้าเห็นว่างแสดงว่ายังไม่เห็น อันนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตุ มันอาจเร็วมากจนหมูไหม้มองไม่เห็นหรือไม่ก็ไม่อย่ากจะมอง หรือไม่ก็ไม่มีให้มองมาแต่แรกแล้ว จึงจะพอเป็นเรื่องเป็นราวน่าฟังหน่อยและคุ้มค่าเงิน 15 บาท แต่จะคุ้มๆๆมากไปอีกถ้าจะไม่พลาดที่จะมองสิ่งที่ไม่ได้มองมัน แลั้วจั๊มข้ามไปเลย โผล่มาอีกที บรรลุแล้ว ลักษณะนี้มันก็อาจเป็นได้หลายแบบ ที่ท่านไว้ก็มีวิปัสสนูกิเลส อันนี้ในกรณีมีการเจริญสมาธิเพื่อสร้างสติมานะ ถ้าสร้างสติเลยมันจะไม่จั๊ม แต่มันจะโผล่เลยทันทีที่คิดว่าใช่ มันจึงต้องพิจารณาซ้ำไปมาและมองหาสิ่งที่ไม่ได้มองเช่นกัน ฟังก็ได้ไม่ฟังก็ได้ แต่ว่าขอให้ฟังพระอริยะเจ้าที่เคารพศรัทธา อย่าหลงตัวตนเอง
เข้ามหาลัยแล้วบวกเลขไม่เป็น มันใช่หรือคุณนู๋บีมครับ พระอริยย่อมบอกเหตุปัจจัย ที่ทำให้เข้าถึงความเป็นพระอริยได้ครับ
ครั้งที่สอง เพราะจิตมีวิหารธรรมแล้ว ในชีวิตประจำวัน หรือขับรถก็มักอยู่กับลมหายใจ และช่วงนั้นขับรถไปต่างจังหวัด มีการรู้ลมไปด้วยขับรถไปด้วย ในรถก็เปิดซีดีเพื่อฟังธรรม แล้วก็เกิดอย่างที่ zero2zero บอกไว้แบบนั้น... เพราะจิตที่อยู่กับลมหายใจ จึงมีความตั้งมั่น บวกกับธรรม ที่ได้ยินของอ.ประเสริฐ จิตมันน้อมพิจารณาไปตามคำที่ได้ฟัง จึงเกิดสภาวะอีกครั้ง
ลุงแมวโง่งมโข่งมานานกว่า 40 ปีเพิ่งจะเห็นแสงสว่าง ถ้าจะมีคนโง่แค่ 10 ปี 20 ปี มาแสดงธรรม โชว์ถูกบ้างผิดบ้างก็เป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องเสียหายต่อสัจธรรม หรือพระสัทธรรม คับ
อันนี้ไม่รู้ ลต.ท่านสอนสไตล์นี้ แต่ลุงแมวแกเข้าใจ ส่วนตัวก็ฟังเข้าใจ เพราะอยู่สายฝึกพวกรูปนามมาก่อน ลต.ท่านฝึกอสุภะมาด้วย บวชตอน59 แต่ก็ทะลุธรรมได้ตอนอายุมาก น่าจะเพ่งมาก่อน แต่สอนธรรม ปชช. แบบไม่เพ่ง
ผิดตั้งแต่คิดว่าโชว์แล้ว แสดงว่า ดูแคลน ดูเบา หรือ ไม่ดูไม่สน คิดว่าแค่นี้เอง ไม่เป็นไร มันได้เฮ้อแบบนี้ น่าสังเวชใจแทนครูบาอาจารย์จริง จริ้ง จิง จิง
อ้างอิงจากที่คุณโพสต์ระบุไว้ว่า ... สิ่งใดเกิดเอง สิ่งนั้นย่อมดับเองเป็นอธรรมไม่ใช่ธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ขออนุญาตให้ข้อมูลเสริมแก้ไขในประเด็นที่คุณโพสต์ระบุไว้นั้นนิดนึงครับ เพราะเดี๋ยวท่านอื่นมาอ่านแล้วจะสับสนและเข้าใจผิดครับ มาจากการแสดงปฐมเทศนา ในวันอาสาฬหบูชาครับ พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันคือสารนาถ พระธรรมที่ทรงแสดงคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เมื่อเทศนาจบ ท่านโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม มีความเห็นแจ้งชัดว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา” เป็นพระพุทธศาสนสุภาษิตที่สำคัญ (สํ.มหา. ๑๙/๕๓๑) ปกิณณกวรรค หรือ หมวดเบ็ดเตล็ดครับ พระพุทธเจ้าตรัสถึงปัญญาของพระอัญญาโกณฑัญญะ ที่มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน หลังจากพระองค์แสดงปฐมเทศนาธรรม… นี่เป็นความรู้ ความเข้าใจ ที่เกิดขึ้นครั้งแรกกับท่านโกณฑัญญะ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน…ท่านโกณฑัญญะ รู้อะไร? รู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา สิ่งอะไรที่เกิดขึ้น สิ่งอะไรที่ดับไป…ขันธ์ 5 …รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน… …ความรู้ในขันธ์ 5 ว่ามันไม่เที่ยง เป็นสัมมาทิฎฐิ เป็นผู้ถึงกระแส… กระแสแห่งนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า…บุคคลที่เป็นผู้ถึงกระแสแห่งธรรมแล้ว เขาจะเห็นจริงๆ ว่า สิ่งนี้เป็นที่พึ่งไม่ได้ เห็นชัดเจนว่า ถ้าอะไรเกิด มันดับแน่ ถ้าอะไรดับ มันไม่เที่ยง อะไรไม่เที่ยง เราจะเอามาเป็นตัวเรา ของเราไม่ได้เลย… ต้องหาทางขึ้น (พระนิพพาน) ฝั่งให้ได้ เพื่อพ้นจากกระแสแห่งตัณหาที่มารัดรึง… ประมาณนี้ครับ
หมูไหม้เข้าใจสมุทเฉทกับสุญญตาใช่ป่ะ มันคนละอัน ไอ้ที่เห็นดิ้นรน ไม่มี จข ทั้งเราทั้งคนอื่น นั่นสมุทเฉท ที่เห็นไม่มีตัวตน ไม่มีบุญบาป สูงต่ำดำขาว นั่นสูญญตา คือเห็นสมุทเฉทกับสุญญตาติดๆ กัน2 รอบแบบนี้หรอ
สอนสูงขนาดไหนก็ต้องปฏิบัติจิต ประกอบมรรค 8 ให้เกิดขึ้นอยู่ดี ยังงัยก็ต้องนำขบวนด้วย สัมมาทิฏฐิ ท้ายขบวนต้องมีสัมมาสมาธิมา ประกอบการปฏิบัติ.จึงจะเป็นสัมมามรรค คับ