ปรึกษาปัญหาสารพัดโรค ด้วยหลักการแพทย์แผนไทย / วิธีฝึกและใช้พลัง(ปราณยาม)ในการรักษาโรค

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 25 มกราคม 2008.

  1. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    แยกเป็นสองกรณี

    กรณีที่ ๑ เรื่องของสิว
    สิว ที่เป็นๆ หายๆ และมีแนวโน้มว่าหัวสิวจะโต และหายยาก
    ทั้งหมดเกิดจากภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ให้ตั้งยากินดังนี

    ๑. เหงือกปลาหมอ ๒ ส่วน (หรือหนัก ๕ บาท)
    ๒. ฟ้าทลายโจร ๒ ส่วน(หรือหนัก ๕ บาท)
    ๓. ใบบัวบก ๒ ส่วน(หรือหนัก ๕ บาท)
    ๔. พริกไทยร่อน ๑ ส่วน(หรือหนัก ๒.๕๐ บาท)
    ๕. ดีปลี ๑ ส่วน (หรือหนัก ๒.๕๐ บาท)

    ทั้งหมด ตากแห้งบดเป็นผง ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าเม็ดในมะยม
    กินครั้งละ ๕-๗ เม็ด วันละ ๓-๔ ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
    งานนี้ต้องกินติดต่อกัน นานนับเดือน(2-3 เดือน) จึงจะหายขาด

    กรณีที่ ๒. เรื่องรอยด่างดำอันเกิดจากรอยแผล(มีมูลจากปิตะกำเริบ) ให้ทำยากินดังนี้

    ๑ ใบบัวบกสด ตำ/ปั่น คั้นน้ำ ๑ แก้ว
    ๒ น้ำตาลทรายแดง ๑ช้อน (ถ้าชอบหวาน และไม่เป็นเบาหวาน ก็สัก ช้อนโต๊ะ ถ้าไม่ชอบหวานก็สักช้อนชา)
    ๓.มะนาวคั้นน้ำ ๑/๒ - ๑ ลูก

    ทั้งหมดผสมกัน (อาจใส่เกลือป่นสักนิด ปรุงดีๆสูตรนี้อร่อยอย่าบอกใคร)
    ทำดื่มบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง(สูงสุดไม่เกินวันละ๒-๓แก้ว)
    สักอาทิตย์หนึ่งก็จะเริ่มเห็นผล
    กินติดต่อกันสัก ๒-๓ อาทิตย์ แล้วหยุด (กินมากร่างกายจะเย็นเกิน แก้ด้วยการดื่มน้ำขิงก่อนนอน)

    หมายเหตุ
    ยาในกรณีที่๑ แม้มีใบบัวบกผสมอยู่ แต่ปริมาณไม่พอแก้อาการในกรณีที่๒
    แต่กินไปนานๆก็พอช่วยได้บ้าง

    ตัวยาหาซื้อได้ที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ หรือที่ เวชพงษ์โอสถ ร้านอยู่ใกล้ๆกัน
    หรือร้านขายยาไทยทั้วทุกหัวระแหง
     
  2. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ลืมบอกอีกอย่าง
    กินใบบัวบกดังกล่าว กินติดต่อกันนานๆ เริ่มแรกผิวจะขาวผ่องเป็นยองไย
    แต่นานไป(มากกว่า ๑-๓ เดือน แต่ละคนเวลาไม่แน่นอน)จะเริ่มแพ้แสงแดด ถูกแดดแล้วผิวจะไหม้ง่าย เกิดรอยด่างดำอีกแบบ
    เขาเรียกฝ้าแดดจะ (ผลิตภันท์จากมะกรูดก็เป็นเช่นเดียวกัน ใช้ไปนานๆ(มาก)ก็แพ้แดดได้เช่นเดียวกัน)

    การกินก็ให้กินติดต่อกันนานพอควร พอได้ผลก็หยุดสักพัก แล้วกินต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2008
  3. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ท่านจึงตั้งคำถาม (ด้วยความรอบคอบ และตั้งบนความไม่ประมาท) ลงบนห้องสมุดคอกลวง(กึ่งกลางคอ, ทันตา, จักระห้า, จุดรวมของอายตนะหก)
    และรวมสิ่งที่รู้ ที่เห็น(input จากอายตนะหก/ภายใน) เข้าประเมินผล ณ จุดกลางตัว(จักรสี่)
    และสิ่งที่รู้ที่เห็นเป็นดังนี้

    การเริงฤทธิ์ของท่านทั้งสี่เกิดมานานนักจนเป็นปกติ พบกันครั้งใดก็จะมีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเสมอ แม้จวบจนปัจจุบันก็ยังมีอยู่
    ฟองแก้ส(ฟองอากาศ) ที่เห็นให้ถอยออกมาดูไกลๆ และเข้าไปดูใกล้ๆ (Zoom out - Zoom in) แล้วพิจารณาสิ่งที่เห็น และรับรู้ความเป็นไป

    เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ
    สิ่งที่เห็น ฟองแก้ส มีลักษณะเฉพาะตัวแบ่งเป็นพวกๆ บ้างกลมกิ๊ก บ้างเป็นเหลี่ยมมุม ฯลฯ มีสีสันแตกต่งกันไป
    เห็นมันเกาะเกี่ยวกันเกาะติดกับสิ่งต่างๆดูคล้ายต้นไม้หรือร่างแห

    สักพักก็คล้ายมีลมร้อนกรรนโชคมาเป็นห้วงๆ
    บางครั้งก็คล้ายมีลม มีน้ำ พัดผ่าน

    เมื่อพวกฟองแก้สเหล่านั้น ถูกลมร้อน(คล้ายเปลวไฟกระโชกผ่าน) ส่วนใหญ่ก็ถูกเผาเป็นจุล พวกที่หลบตามซอกหลืบก็ลอดตัวไป
    และเมื่อถูกสายน้ำ(น้ำกรด)พัดผ่าน บ้างก็หลุดลอยไปตามน้ำ และสลายตัวไป
    พวกที่มีเหลี่ยมมุมเฉพาะตัว ที่เข้ากันได้กับกิ่งก้านของร่างแห ก็ล็อกตัวติดแน่นกับร่างแหนั้น พวกนี้ก็ลอดตัว

    บางครั้งทั้งสายลมเปลวไฟและกระแสน้ำ ก็หมุนวนผ่านมา ฟองแก้สทุกตัวไม่ว่าจะหลบอยู่อย่างไร ก็ล้วนถูกพายุหมุนทำลายเสียสิ้น
    จะเหลือก็เพียงพวกที่เจาะเข้าอาศัยเป็นส่วนหนึ่งของร่างแหนั้น
    แต่ด้วยอานุภาพของพายุหมุนที่รุนแรง และพัดอย่างยาวนานเพียงพอ ไม่ว่าจะเข้าฝังตัวอย่างไรก็ถูกทำลายจนหมดสิ้นทุกซอกมุม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2008
  4. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    และเมื่อถอยออกมาดูไกลๆ(Zoom out)

    ภาพที่เห็นเริ่มรวมตัวกัน
    ภาพที่เห็นเป็นต้นไม้หรือร่างแห ก็เริ่มรวมตัวกันเป็นภาพ ก้อนดิน ก้อนหิน ต้นไม้/ต้นหญ้า สัตว์เล็กสัตว์น้อย
    บ้างก็เป็นสัตว์ใหญ่ แม้แต่มนุษย์ก็ใช่

    และได้คำตอบต่อมาว่า
    ฟองแก้สที่เห็น คือสิ่งที่มนุษย์ตั้งชื่อเรียกว่า "ไวรัส"
    และฟองแก้สที่มีสีสันเป็นสีม่วง,สีทอง,และที่มีรัศมีแพรวพราว พวกนี้จะสามารถมีพัฒนาการแห่งชีวิตที่เป็นเลิศ
    และให้ติดตามดูวิวัฒนาการในช่วง พันปี หมื่นปี แสนปี ฯลฯ
    พวกนึ้สามารถรวมความรู้ในการพัฒนาการจนเป็สัตว์ใหญ่ได้ แม้กะทั่งความเป็นมนุษย์

    สิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้ทำเอาอึ้งไปชั่วครู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2008
  5. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    สิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้ทำเอาท่านผู้เฒ่าอึ้งไปชั่วครู่

    ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หายนะ ตายกันหมดซิ
    ไม่หรอก เอ็งดูตอนที่เข้าไปใกล้ๆซิ สังเกตุเห็นใม๊ มีบางอย่างทำลายฟองแก้สพวกนี้ได้โดยธรรมชาติ
    สายลม เปลวไฟและสายน้ำที่เห็นนะรึ มันคืออะไร?
    พลังชีวิต หรือ ปราณของสิ่งมีชีวิต จะรักษาและทำลายสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นได้

    แล้วทำไมคนยังป่วยตากกันมาก
    ดูให้ดีซิ ตอนปราณพัดผ่าน ยังมีบางพวกรอดอยู่มาก
    มีบางพวกฝังตัวลงในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ(พวกเชื้อโรค,แบคเตรี,เชื้อรา) แล้วเปลี่ยนเป็นทีอาศัยของตน
    บ้างฝังตัวยึดเนื้อเยื่อเชลของชีวิตมนุษย์ด้วย(การตัต่อยีน แล้วแปรไปเป็นเนื้อร้าย และมะเร็ง และการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคต่างๆ)
    พวกนี้ทำให้เกิดโรค และตายกัน

    ดูให้ดีซิ พวกนี้จะถูกทำลายหมดเมื่อปราณพัดรุนแรงเป็นพายุหมุน
    และตายสิ้นเชื้อเมื่อ ลม ไฟ น้ำรวมตัวเป็นพายุหมุนที่รุนแรงและมากพอ
    แล้วพายุนี้ไม่ทำลายเนื้อเยื่อของกายมนุษย์หรือ
    มีบ้าง แต่ไม่มากนัก
    และปราณที่ผ่านการฝึกมาดีแล้วบางส่วนจะทำลายสิ่งแปลกปลอมทั้งปวง
    และบางส่วนจะเสริมขบวนการสร้าง ซ่อมแซมร่างกายให้คืนสภาพ

    โดยปกติในชีวิตทั่วไป ปราณจะไหลไปมาดุจกระแสน้ำ
    ปราณที่ถูกฝึกมาดี จะมีปริมาณมากกว่าปกติ
    การไหลของปราณจะช้าเร็วหรือหมุนวนกลับไปมา ได้คล่องขนาดใหนขึ้นอยู่กับการฝึก
    เห็นใม้มีบางจังหวะปราณ ไหลมาเป็นก้อนโต กระแทกเข้าที่จุดรวมพลของสิ่งแปลกปลอม จนกระจายและสลายจนหมดสิ้น
    น้ำจะกวาดต้อนชะล้างขับออกจากกายทางเหงื่อ ปัสสาวะและอุจาระ

    แล้วเราจะฝึกและบังตับปรารอย่างไร ให้รักษากายนี้ได้
    ฝึกซิ ฝึกปราณ(ยาม)ประกอบลมหายใจ (อาณาปราณสติ)เป็นจุดเริ่มของการฝึกทั้งปวง

    ฝึกยังไง
    ขอวิธีฝึกด้วยน... วิธีใช้ด้วยนะ
    เริ่มต้นนะให้ทำดังนี้..
    ........
    (โปรดติดตามวิธีฝึกและใช้)

    หมายเหตุ
    สายลม = วาตะธาตุ (ประกอบด้วย สุมนาวาตะ,หทัยวาตะ,สัถกวาตะ)
    เปลวไฟ = ปิตะธาตุ (ประกอบด้วย พัทธปิตะ,อพัทธปิตะ,กำเดา)
    สายน้ำ = เสมหะธาตุ (ประกอบด้วย ศอเสมหะ,อุระเสมหะ,คูถเสมหะ)
    ทั้งสามตัวรวมกันเรียกว่า ตรีธาต
    ปราณ(สุมนาวาตะ)เป็นใหญ่กว่าวาตะทั้งปวง เมื่อผ่านการฝึกที่ดี จะเข้าควบคุมตรีธาตุได้ เมื่อนั้นเราอาจควบคุมกายเนื้อให้ดำรงค์ชีวิตได้นานเท่านานตามปรารถนา
    ..
    .
     
  6. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ความรู้ชุดที่ ๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ขอความกรุณาเรื่องลมในลำไส้ด้วยค่ะ
    กราบขอบคุณมากๆนะคะ
     
  8. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    วิธีการฝึกนี้เป็นเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของการฝึกสมาธิและพลัง แบบเกสา โลมาฯ

    การเดินพลังที่ท่านผู้เฒ่าได้ถ่ายทอดไว้
    ท่านให้กำหนดจิตที่ปลายกระดูกก้นกบ แล้วค่อยๆเคลื่อนที่(ไต่)อย่างช้าๆ ขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง
    ผ่านต้นคอทะลุเข้าไปในกะโหลกศีรษะ ไปหยุดที่กลางกระหม่อม
    แล้วให้เคลื่อนที่กลับอย่างช้าๆ ผ่านแนวกระดูกสันหลังมาสิ้นสุดที่ปลายกระดูกก้นกบ
    เรียกว่าโคจรพลังหนึ่งรอบ
    ให้กระทำดังนี้ไปเรื่อยๆจนรู้สึกถึงไออุ่นของพลัง วิ่งไปมาตามแนวแกนสันหลังของร่างกาย
    และฝึกกระจายความอุ่นนี้ไปทั่วร่าง ทั้งแขนและขา

    ท่านผู้เฒ่าได้เล่าถึงการฝึกอีกแบบไว้เผื่อเลือก
    ให้กำหนดจิต สมมุติมีท่อกลวงใส เสียบอยู่ในตัว เสียบทะลุตั้งแต่กลางกระหม่อมจรดก้นกบ
    กำหนดให้จิตวิ่งขึ้น วิ่งลงอยู่ในท่อนี้ เหมือนลูกสูบ
    จะเร็วจะช้าก็ได้ ขอให้มีสติตามให้ทันอย่าให้หลุด

    ตัวข้าเลือกแบบแรก แต่พอฝึกชำนาญขึ้นหน่อยลักษณะกลับเปลี่ยนไปคล้ายแบบที่สอง
    ตอนแรกรู้สึกยาก แต่ภายหลังพอเริ่มรับรู้ถึงการเคลื่อนที่ของพลัง(ปราณ)
    ก็เกิดความรู้สึกสนุกเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ เล่นไม่เลิกทั้งหลับและตื่น เกือบทุกอิริยาบถ
    .
     
  9. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ขอรายละเอียดมากอีกหน่อยครับ
    โดยเฉพาะอาการ

    ลมในลำใส้มีหลายแบบ
    ต้นเหตุก็แตกตางกัน
     
  10. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ทานอาหารเย็นแล้วแน่นหน้าอกบางครั้งอยู่ในท่านอนไม่ได้
    ตอนเช้าจะมีอาการเรอและผายลมอย่างมาก
    ถ้าได้ถ่ายถึงจะรู้สึกดีขึ้น และจะเรอจนกว่าจะได้ทานอาหารมื้อแรกของวัน
    ส่วนใหญ่ไม่ทานเช้า จะทานกลางวันไปเลยค่ะ
    ในบางวันจะมีการขมวดเกร็งและกระตุกในลำไส้ค่ะ
     
  11. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ลมหายใจเป็นส่วนหนึ่งของปราณ แต่ปราณ(ทั้งหมด)ไม่ใช่ลมหายใจ


    การฝึกลมปราณจะประกอบไปด้วย<O:p</O:p<O:p</O:p

    1.ฝึกการเดินลมปราณ การเดินปราณเริ่มแรกจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการหายใจเลย
    เมื่อฝึกการเดินปราณเข้าใจ และปราณเดินได้คล่องแล้ว จึงฝึกข้อที่สอง <O:p</O:p
    2.ฝึกการหายใจ ประสานให้เป็นหนึ่งเดียวกับกระแสปราณ (จุดเริ่มต้นของอาณาปราณสติ แบบลืมตา)

    <O:p</O:p
    การเดินปราณ ดังกล่าวในข้อ 1. จะเป็นการเดินปราณเพียงอย่างเดียว ไม่ใส่ใจการหายใจเลย
    และสามารถกำหนด การเดินปราณ ให้เร็ว ช้า สั้น ยาว
    และมุ่งไปยังจุดต่างๆ <O:p</O:pในร่างกาย หรือนอกร่างได้ตามใจปรารถนา พร้อมกำหนดรู้ทั่วพร้อม คู่ไปกับปราณ

    เมื่อกระทำได้คล่องแล้วจึงกำหนดลมหายใจให้ประสานกับการเคลื่อนที่ของปราณ
    ปราณเคลื่อนที่ยาว สั้น เร็ว ช้า ตื้น ลึก ฯลฯ
    ลมหายใจย่อมยาว สั้น เร็ว ช้า ตื้น ลึก ตามการเคลื่อนที่ของปราณ
    และที่สำคัญ ปราณไปถึงที่ใด ลมหายใจไปถึงที่นั่น
    และปราณไปถึงที่ใด ย่อมรู้ทั่วพร้อมทั่วบริเวณนั้น กระทำให้เป็นปกติวิสัย จนหลอมเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประจำกายธาตุนี้
     
  12. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    มีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วยหรือเปล่าครับ

    มีอาการท้องอืด(แข็ง) ผะอืดผะอม แสบๆ ร้อนๆตรงหน้าอก
    มีอาการคล้ายๆภูมแพ้ทางระบบหายใจ หายใจขัด ไอ
    มีอาการปวดฝ่ามือฝ่าเท้า ขัดข้อมืข้อเท้า

    เวลาอากาสร้อนๆ หรือหลังอาหารกลางวัน ชอบดื่มชาเขียวเย็นๆหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2008
  13. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ในช่วงนี้ เริ่มฝัน
    ช่วงแรกรู้สึกตัวว่ากำลังฝึกโคจรพลังอยู่ สนุก ปิติ

    ขณะกำลังเคลื่อนปราณจากก้นกบขึ้นถึงกลางลำตัว(จิตสั่งดึงปราณขึ้น)
    ได้ยินเสียงว่า
     
  14. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    หลังจากกำหนดรู้ในการฝึกพลัง ดิน ฟ้า อยู่ไม่นาน
    ก็ได้รับรู้ถึง ทรงกลมของพลัง ดิน และฟ้า สองลูกคลุมอยู่รอบตัว
    มีจุดศูนย์กลางร่วมกัน และหมุนวน
     
  15. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ใกล้รุ่งวันหนึ่ง
    ขณะกำลังเดินพลัง โดยใช้จิตกำหนด รู้ดิน กำหนดรู้ฟ้า อยู่
    พลันได้ยินเสียง สั่ง
     
  16. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ทอง 1 ทอง 1 ทอง 1 ทอง 1 ทอง 1
     
  17. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969

    อาการที่คุณ suwi บอกนั้น ถูกเป็นส่วนใหญ่ค่ะ

    -ท้องอืดแต่พอถ่ายหรือเรอลูกใหญ่ๆท้องก็ไม่แข็งแล้ว
    -แสบๆร้อนตรงหน้าอก ใช่ค่ะ
    -มีหายใจไม่เต็มอิ่ม หายใจขัด
    และ่จะอึดอัดมากถ้าอากาศร้อน แต่ไม่มีอาการไอ
    -ปวดมือ เท้า สะบัก คอ ค่ะ
    -ชอบชามะนาว ชาเย็น ชาเขียวมากๆค่ะ โดยเฉพาะชาเขียวดื่มไม่บ่อยค่ะ
    ขอบคุณมากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2008
  18. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    คุณเป็นโรคที่ทางแพทย์แผนไทยเรียกว่า "ธาตุไฟพิการ" คือทำงานผิดปกติ
    โดยเฉพาะธาตุไฟที่ใช้ย่อยอาหาร

    เวลาที่ควรมาก ก็มากไม่พอ (เกิดท้องอืดเฟ้อ จุกอก เกิดจาก น้ำดี-น้ำย่อยไม่พอ)
    เวลาควรน้อย ก็มีมา (เกิดอาการร้อนอก กรดไหลย้อน กระเพาะลำใส้กระตุกเกร็งตัว)
    ฯลฯ

    อาการเหล่านี้หากทิ้งนานไป(จนเรื้อรัง) อาการโรคจะแปรไปเป็น
    -เป็นแผลในกระเพาะอาหาร-เป็นนานๆก็แปรไปอีกเป็น กษัย(กษัยจุก-กษัยปู)
    -และหากปล่อยนานออกไปอีกและมีตัวแปรเข้าแทรก ก็อาจจะแปรเป็นมะเร็ง
    -เป็นหืดไอ มองครอ เกิดจากกรดเกิน และไหลย้อนกลับ ทำให้ร้อนในอก กระทบต่อระบบหายใจและปอดและหัวใจ
    -เป็นโรคเกี่ยวกับตับ และระบบน้ำย่อย-น้ำดีอุดตัน
    -ฯลฯ

    ที่กล่าวมานี้คุณไม่ต้องกังวล ให้มากไป
    กว่าอาการจะแปรไปต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2-5 ปีขึ้นไป ให้รีบรักษาให้หายเสีย
    ให้ระมัดระวังการกิน การอยู่ มีวินัยในการบริโภค (อาหารไม่มากเกิน และน้อยเกิน หรืออดอาหารเลย)
    และให้กินยา ปรับธาตุไฟที่พิการเสียไป ให้ทำงานปกติ ก็หายแล้ว

    ธาตุที่เสียสมดุลย์จะมีสามแบบ(หย่อน, กำเริบ,พิการ)
    ๑ ธาตุหย่อน = มีน้อยไป
    ๒ ธาตุกำเริบ = มีมากไป
    ๓ ธาตุพิการ = ทำงานผิดปกติ (มากบ้าง น้อยบ้าง ไม่คงที่คงวา)

    รอสักครู่เดี๋ยวจะบอกยา และการปรับปรุงตัวให้
     
  19. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ยาปรับ เตโชธาตุ ชื่อ "กาลาธิจร"
    ประกอบด้วย
    ๑ โกฐสอ
    ๒ โกฐพุงปลา
    ๓ ดีปลี
    ๔ แห้วหมู
    ๕ เปลือกมูกมัน
    ๖ ผลผักชี
    ๗ อบเชย
    ๘ สะค้าน
    ๙ ขิง
    ๑๐ ผลเอ็น
    ๑๑ อำพัน

    ใช้อย่างละเท่าๆกัน บดผง (ประมาณอย่างละ ๕ บาทน้ำหนัก-จะกินได้ประมาณ ๑-๒เดือน-คงต้องจ้างบดที่ร้านยาไทย)
    ละลายน้ำร้อน หรือน้ำผิ้งกิน ครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา(พูล)
    วันละ ๒-๓ ครั้ง ก่อนอาหาร

    ระหว่างรอยาที่สั่งบด ให้กิน
    ๑ ขมิ้นชัน ที่ใส่แคบซูลขาย กินครั้งละ ๒-๓ แคบซุล /วันละสามตรั้งก่อนอาหาร
    ๒ หายาหอมที่มีขายในตลาด (แนะนำยาหอมห้าเจดีย์/ยาหอมซามิ้น)) ละลายน้ำร้อน กินพร้อมกับขมิ้นชัน กินครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา/วันละสามครั้ง

    กินไปเรื่อยๆ จะช่วยได้(อาจนานหน่อย เพราะไม่ใช่ยาเฉพาะโรค)

    ขอแก้ไขและเพิ่มเติม
    ขมื้นชัน และยาหอมจะช่วยแก้อาการดังกล่าวได้ดีที่สุด เมื่อมีกระสายยาถูกกับโรค
    ขอให้ทำกระสายยาประกอบดังนี้
    ขิง(แก่) พริกไทยร่อน(ขาว) กระเทียม ดีปลี ใส่น้ำต้มสักพัก
    รินเอาแต่น้ำ ๑ ถ้วย ดื่มพร้อม ขมิ้นชันและยาหอม
    จะช่วยแก้อาการที่เป็นได้ดี

    อัตราส่วนของ ขิง พริกไทย กระเทียม ดีปลี ให้กะๆเอาตามอาการที่เป็น (ปกติใช้เสมอภาค)
    ขิง ให้ความอบอบอุนแก่ร่างกาย (แก้หนาวสะท้าน) แก้อากาศธาตุ
    พริกไทย แก้ปลายมือปลายเท้าชาแข็ง งอแล้วเจ็บ
    ดีปลี แก้ปวดข้อมือข้อเท้า เวลาเคลื่อนไหว(แก้ปัถวีธาตุ)
    กระเทียม ทำให้เลือดเดินสะดวก(แก้ปะระเมหะในเลือด-โคเลสเตอร์ล่อน)

    ขิง พริกไทย ดีปลี ประกอบกัน จะช่วยกันปรับ ปิตะธาตุ สมหะธาตู และวาตะธาตุ ให้สมดุลย์ เสมอกัน และช่วยกันทำให้ลมเดินดีขึน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2008
  20. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    อ้อลืมบอกไป การปรับปรุงตัวเรื่อง วินัยในการบริโภค จะช่วยให้หายขาดเร็วขึ้น

    แฮะๆ เรื่องนี้ ข้าน้อยไม่กล้าแนะนำ

    ชาเขียว แนะนำให้กินร้อน ระหว่างมื้ออาหาร (ช่วง 9.00น - 11.00น / 14.00น -16.00น) ช่วยลดโคเลสเตอร์ลอน/กำจัดอนุมูลอิสระ

    ไม่ควรกินหลังอาหาร เพราะ
    ชาเขียวเป็นยาเย็น กินเป็นประจำจะไปลดการทำงานของธาตุไฟที่ใช้ย่อยอาหาร
    โดยเฉพาะชาเขียวแช่เย็น หากกินหลังอาหารเป็นประจำ(นานๆครั้งไม่ว่ากันจ๊ะ)
    ทำนายได้ว่า ใน ๒-๓ปี มะเร็งกระเพาะอาหารอาจขอย้ายสำมะโนครัวมาขออยู่ด้วยจ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...