ทำความเข้าใจ ในเรื่อง นิพพาน ก่อนถึง นิพพาน

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย Saint Telwada, 29 เมษายน 2008.

  1. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    มาทำความเข้าใจ ในเรื่องนิพพาน ก่อนถึงนิพพาน
    นิพพาน หรือ ปรินิพพาน เป็นชื่อชั้นการฝึกปฏิบัติธรรม ในทางศาสนาพุทธ ขั้นสูงสุดผู้จะเข้าถึงนิพพาน ได้ ต้องผ่าน ระดับชั้น การฝึกปฏิบัติ ตั้งแต่ ระดับ โสดาบัน ฯ เป็นต้นมา
    ก่อนที่จะสำเร็จธรรมในชั้นต่างๆนั้น ล้วนต้อง บรรลุถึง ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงจะเข้าสู่ชั้นสำเร็จ ในชั้นนั้น
    ข้าพเจ้าได้ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และได้ฝึกปฏิบัติ จนได้ผลอย่างชัดแจ้งแล้วว่า
    ชั้นการฝึกปฏิบัติธรรม ในทางพุทธศาสนานั้น มีจริง เป็นจริง ซึ่งในแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นโสดาบันฯ เป็นต้นไป จนถึงระดับ อรห้นต์ และ นิพพานนั้น ล้วนมีปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกายที่แตกต่างกันไป คำว่า ปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกาย ย่อมหมายรวมถึงสภาพสภาวะจิตใจด้วย
    ผู้บรรลุนิพพานนั้น จะเปรียบได้กับเป็นผู้ชนะต่อสรรพสิ่งทั้งมวล ไม่ว่าจะชนะ กิเลส ในตัวเอง ยังสามารถชนะ กิเลสในตัวผู้อื่นที่แสดงออกมาอีกด้วย
    คำว่า ผู้ชนะนั้น ไม่ได้เหมือนการชนะในการแข่งขันกีฬา หรืออื่นๆทั่วๆไป
    เพราะการชนะในทางศาสนานั้น หมายถึงสามารถขจัด ควบคุม ป้องกัน สิ่งที่เรียกว่ากิเลสทั้งมวล และยังอาจหมายรวมถึง สภาพการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกด้วย
    การบรรลุนิพพานนั้น ยังเป็นเพียงการบรรลุ ยังไม่ถึงขั้นสำเร็จ เพราะการจะสำเร็จนิพพานนั้น จำเป็นต้องสละทุกอย่าง ถึงแม้ไม่บวช ก็สำเร็จได้ ขึ้นอยู่กับ สภาวะจิตใจ และความต้องการของบุคคลนั้นๆว่า จะสละ หรือขจัดทุกอย่างหรือไม่
    การบรรลุถึงนิพพานนั้น สรีระร่างกาย ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานนิวเคลียส ที่มีทั้งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คือความเป็น อัตตา คือมีตัวมีตน สามารถมองเห็นเป็นรูปร่าง แต่โปร่งแสง มีฉัพพรรณรังสี เปล่งออกมาตลอดเวลาที่มีการแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกาย
    การบรรลุนิพพาน อีกรูปแบบหนึ่งนั้น สรีระร่างกาย ก็จะแปรเปลี่ยน เป็นธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ มนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    การแปรเปลี่ยนของสรีระร่างกายนั้น หมายถึง การแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้แหละ แปรเปลี่ยนไปตามที่ได้อธิบายไป การแปรเปลี่ยนอย่างหลังนี้ เรียกว่า "อนัตตา" คือ ความไม่มีตัว ไม่มีตน
    การบรรลุนิพพานที่ เรียกว่า "อัตตา"นั้น สาเหตุ ก็เพราะ มีความหลง หรือความห่วง อะไรบางอย่าง อันเป็นอย่างละเอียด สุด จึงยังคงรูปให้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สรีระร่างกายก็แปรเปลี่ยน จากมนุษย์ ไปสู่อีกมิติหนึ่ง
    ส่วน การบรรลุนิพพาน ที่เรียกว่า "อนัตตา"นั้น หมายถึง ไม่หลง ไม่ห่วง หลุดพ้นจากวัฏจักร อย่างสิ้นเชิง สรีระร่างกาย จะแปรเปลี่ยน เป็นอากาศธาตุ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    แต่ยังคงมีรูป อันเป็นรูปที่มนุยษ์มองไม่เห็น
    การแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกาย เมื่อบรรลุนิพพานนั้น จะแตกต่างจาก รูปร่างหรือสรีระร่างกายของ โอปปาติกะ เช่น เทวดา รุกขเทวา เจ้าที่ ฯลฯ เพราะ รูปร่าง ของโอปปาติกะ นั้น มีธรรมอยู่น้อย
    แต่ผู้บรรลุนิพพาน สำเร็จด้วยธรรม จึงสามารถ กำหนดได้ คือ ที่ว่า เป็น "อนัตตา"นั้น จะกำหนดให้เห็นเป็นรูปร่าง ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ได้ เช่นกัน
    อธิบายมาพอสมควร เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่าน ก็โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และคิดพิจารณาด้วย ขอรับ
    เพราะข้าพเจ้าไม่ท้าให้พิสูจน์ตัวข้าพเจ้า ขอรับ<O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2008
  2. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ยินดีด้วยครับที่คุณลุงยังวิริยะในธรรมอย่างต่อเนื่อง ถึงท่านบรรลุแล้วหรือไม่ก็ตามก็ขอให้แน่วแน่อยู่ในศีลในธรรม มี ทาน ศีล ภาวนะให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ จะได้เป็นแบบอย่างที่ดีครับ สาธุ
     
  3. pummuq

    pummuq เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +352
    คุณๆเห็นคุณเขียนเกียวกับโปรงใสโปร่งแสงอะไรของคุรอยุ่ทีนุงแล้ว
    คราวนี้เอาอีกแล้วเหรอ
    ตัวเองเข้าใจแล้วเหรอมาสอนคนอื่น
    คนไม่รู้เรืองพอมาอ่านก็สาธุๆๆๆ
    อะไรวะ
    คนที่ทำตัววิปริตจากพระธรรมวินัยก็บาปแล้วนะ แต่คนที่ทำให้พระธรรมวินัยวิปริตจะหนักแค่ไหน
    อ่านแล้วล่ะที่คุณเขียนน่ะ
    ไม่รู้จะว่ายังงัย ตั้งสติหน่อยนะ
    โอว
    ถ้าไม่รู้จริงอย่าเอาอะไรมาเขียนแพร่ให้คนอื่น
    คนอื่นเค้าไม่รู้นึกว่าจริงจะกลายเป็นมิจฉาทิฐถิ
    เลิกพูดได้แล้ว
    เอาสั้นๆนะ หลวงตามหาบัวเคยกล่าวทำนองว่า
    ร่างกายนี้ไม่มีในพระอรหันต์พระอรหันต์ไม่มีในร่างกายนี้
    จำคำพูดที่แน่ๆไม่ได้ไปหาอ่านเอา
    มาพูดอัตตา อนัตตา อะไรของคุณก็ไม่รู้ คนมาอ่านจะเข้าใจไปถึงไหนเนี่ย
    เอาแค่นี้ก่อนนะขี้เกียจพูดกับคุณ แต่เห็นสองทีนี่แล้วปล่อยไปเดียวคนจะมาสาธุๆๆๆ คนปฏิบัติธรรมๆอย่าให้ใครเค้าตำหนิสิ ทำให้เหมือนคนมีครูบาอาจารย์หน่อย
     
  4. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    คุณ pummuq
    ข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าเขียนภาษาไทยได้ดีพอสมควร
    และในกระทู้ของข้าพเจ้า ก็บอกไว้แล้วว่า
    ข้าพเจ้า ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และฝึกปฏิบัติ จนได้ผลเป็นที่ช้ดแจ้งแล้ว

    คงไม่ถึงกับท้าให้คุณมาพิสูจน์ตัวข้าพเจ้าดอกนะ

    สิ่งที่ข้าพเจ้าเผยแพร่ มาเป็นเวลากว่า 5 ปีเห็นจะได้ ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริง สามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้ว และก็ท้าให้พิสูจน์นับครั้งไม่ถ้วนอยู่แล้ว
    แต่ครั้งนี้ไม่ท้าใครพิสูจน์นะขอรับ เพราะข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากสอน เพราะก็อยากจะพิสูจน์ให้ได้รู้กันว่า ถ้าไม่สอนอะไรจะเกิดขึ้น
    แต่ก็ฝืนความรู้สึกตัวเองไม่ได้ มีเมตตามากเกินไป จึงต้องเข้ามาสอนอย่างเร่งด่วน แม้จะสายไปหน่อย แต่ก็ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
    แล้วคุณก็ไม่ต้องเอา พระสงฆ์มาล่อหลอกให้ข้าพเจ้ากล่าวถึงดอกนะ
    พระสงฆ์ ก็อยู่ส่วนพระสงฆ์
    ข้าพเจ้าได้แต่เตือนเหล่าพระสงฆ์บางรูปว่า
    อย่าได้อวดอุตริฯ ถ้าไม่บรรลุธรรม ก็อย่าสอน สอนในสิ่งที่มีในตัวเอง
    ซึ่ง ก็สอนได้อยู่แล้ว
    แต่เรื่อง อริยะบุคคล ในระดับต่างๆนั้น อย่าได้อวดอุตริฯ เพราะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครฝึกได้ดอกนะคุณ ผู้ใช้ชื่อว่า pummuq
    แล้วคุณอย่าคิดว่า ข้าพเจ้าวิปริต จากอะไรของคุณนั่น
    ขอถามตัวคุณสักหน่อยว่า คุณฝึกตามสิ่งที่คุณคิดว่าวิปริตนั้น คุณฝึกได้แค่ไหนกันละคุณ
    แล้วคุณอยากจะฝึกตามหลักธรรมศรีอาริย์ ไหมละ
    หลักธรรมศรีอาริย์ ก็เป็นหลักธรรมศาสนาพุทธ เหมือนกัน
    ถึงแม้จะมีหลักธรรมแตกต่างจากที่มีอยู่เดิม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ดอกนะคุณ อยากลองไหมละ

    แล้วคุณก็อย่าตำหนิติเตียนผู้อื่น อิจฉาข้าพเจ้าหรืออย่างไร
    ครู อาจารย์ ของข้าพเจ้าก็มี แต่ข้าพเจ้า เป็นลูกศิษย์ที่ครูอาจารย์ สั่งให้ค้นหาความจริงทางศาสนา เพื่อคนไทย
    และปัจจุบัน ข้าพเจ้านี้แหละก็คือ อาจารย์ ระดับ ปรมาจารย์ หรือจะเรียกง่ายๆว่า "ศาสดาแห่งศาสนา" ก็ได้นะคุณ

    อีกประการหนึ่ง คุณกล่าวว่าข้าพเจ้าเอาอะไรมาเขียน คุณกลับไปอ่านกระทู้ให้ดีขอรับว่า ข้าพเจ้าเอาอะไรมาเขียน
    มีใครบ้าง ในแวดวงศาสนาพุทธ ที่เขียนว่า บรรลุ โสดาบันเป็นอย่างนั้น บรรลุ สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอย่างนั้น
    ที่เขียน ก็เป็นพวกอวดอุตริฯ คือไม่ได้ฝึกสำเร็จอะไร พวกอวดอุตริฯซิ ถึงจะเรียกว่า เอาอะไรมาเขียน
    พิสูจน์ไม่ได้ ยังดันทุรังเขียน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ อยู่นั่นแหละ รู้ตัวบ้างหรือเปล่าละคุณ
    หรือว่า จะต้องท้าให้คุณมาพิสูจน์ตัวข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกายดังที่เขียนไว้หรือไม่
    จะมาดูไหมละคุณ ,,,,,,(ไม่ได้ท้านะคุณ เขียนถามเฉยๆ)
     
  5. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    แล้วคุณก็อย่าตำหนิติเตียนผู้อื่น อิจฉาข้าพเจ้าหรืออย่างไร
    ครู อาจารย์ ของข้าพเจ้าก็มี แต่ข้าพเจ้า เป็นลูกศิษย์ที่ครูอาจารย์ สั่งให้ค้นหาความจริงทางศาสนา เพื่อคนไทย
    และปัจจุบัน ข้าพเจ้านี้แหละก็คือ อาจารย์ ระดับ ปรมาจารย์ หรือจะเรียกง่ายๆว่า "ศาสดาแห่งศาสนา" ก็ได้นะคุณ


    ถ้าจะเทียบถึงศาสดานี่ผมขอละกันนะอย่าเลย แรงไปนะครับ
    แต่ถ้าเก่งอย่างนั้นจริงๆ ช่วยเมตตาผมหน่อย มาปรากฏตัวแบบพิศดารให้ผมเห็นหน่อย เหาะเหิน เดินอากาศหรือไงก็ได้ที่วิเศษๆนะ อยากเห็น ชอบเรื่องแปลก...เงอะๆๆ
     
  6. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    ข้าพเจ้าเองก็อยากจะถามคุณสักหน่อยว่า ทำไมคุณถึงอยากจะให้ข้าพเจ้าแสดงฤทธิ์ เหาะเหิน เดินอากาศ มันทำให้คุณ หลุดพ้นจากความทุกข์ได้หรืออย่างไร มันทำให้เหตุวิปริตทางธรรมชาติลดน้อยลงไปหรืออย่างไร
    การที่ข้าพเจ้าเข้ามาสอน ก็เป็นฤทธิ์ รูปแบบหนึ่งแล้ว อย่างน้อย ถึงแม้จะช่วยได้ไม่ทันกาล ก็ยังผ่อนหนักเป็นเบาได้
    แล้วการเป็น"ศาสดาแห่งศาสนา" นั้น มันแปลกปลาดที่ตรงไหน ข้าพเจ้าก็ประกาศตัวว่า คือ "ศรีอาริยเมตไตรย" มากกว่า 7 ปี แล้ว ไม่เป็นแปลกปลาด อะไรเลย
    ถ้าข้าพเจ้า เหาะเหิน เดินอากาศไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ใช่ศาสดาแห่งศาสนาอย่างนั้นหรือ
    และถ้าข้าพเจ้า เหาะเหิน เดินอากาศได้ ก็จะมีคนนับถือว่า ข้าพเจ้าคือศาสดาแห่งศาสนากระนั้นหรือ
    ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่มีใครสนใจดอกคุณ ความคิดอย่างคุณนะ
    มีแต่ เขาอยากให้ข้าพเจ้าดลบันดาล ให้ทุกคน มีกินมีใช้ มีเงินมีทอง ไม่ขัดสน ไม่ลำบากจนเกินตัวกันทั้งนั้น แล้วทำไมคุณถึงได้มีความคิดวิปริตอย่างนั้นละคุณ
    ฤทธิ์ หรือ อำนาจอันศักสิทธิ์ หรือ อภิญญา นั้น ใช่ว่าจะไม่ประโยชน์ แต่ประโยชน์ของ อภิญญา หรือฤทธิ์ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับเหตุ ขึ้นอยู่กับการใช้ ขึ้นอยู่กับว่า ควรใช้หรือไม่ควรใช้
    ใช้ไม่เกิดประโยชน์ ใช้แล้วเกิดความหลง ไม่ใช้ดีกว่านะคุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  7. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    คุณลุงครับ ผมเคยคิดเอาเองด้วยปัญญาน้อยนิดของผมว่า ก่อนสอนให้มีเมตตา ขณะสอนให้สอนด้วยเมตตา และสอนเสร็จแล้วด้วยเมตตา ถ้าผมคิดเอาเองอย่างนี้ผมคิดได้ถูกหรือยังนะครับ โปรดชี้แนะผู้ไม่รู้ครับ
     
  8. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    เฮ้อ/...........นึกไม่ถึงว่ายังไม่หมดศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ก็มีคนเร่งร้อนประกาศตัวเป็นศาสดาแห่งศาสนาซะแล้ว อ่านๆดูก็มาจากหลักคำสอนของพระสมณโคตมะในพระไตรปิฎกทั้งนั้น ใช้วาทะของตนข่มวาทะของคนอื่นก็ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง
     
  9. อัฑฒเศรษฐ์

    อัฑฒเศรษฐ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +21
    "อีกประการหนึ่ง คุณกล่าวว่าข้าพเจ้าเอาอะไรมาเขียน คุณกลับไปอ่านกระทู้ให้ดีขอรับว่า ข้าพเจ้าเอาอะไรมาเขียนมีใครบ้าง ในแวดวงศาสนาพุทธ ที่เขียนว่า บรรลุ โสดาบันเป็นอย่างนั้น บรรลุ สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอย่างนั้น ที่เขียน ก็เป็นพวกอวดอุตริฯ คือไม่ได้ฝึกสำเร็จอะไร พวกอวดอุตริฯซิ"
    "ข้าพเจ้านี้แหละก็คือ อาจารย์ ระดับ ปรมาจารย์ หรือจะเรียกง่ายๆว่า "ศาสดาแห่งศาสนา" ก็ได้นะคุณ"
    "มันแปลกปลาดที่ตรงไหน ข้าพเจ้าก็ประกาศตัวว่า คือ "ศรีอาริยเมตไตรย" มากกว่า 7 ปี แล้ว ไม่เป็นแปลกปลาด อะไรเลย"
     
  10. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    ตอบ......
    คำถามของคุณ หรือข้อคิดเห็นของคุณ นับได้ว่ามีประโยชน์ต่อ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เป็นอย่างมาก เป็นคำถามที่ดีมากขอรับ เพราะสามารถนับเข้าในวิชาสาขา จิตวิทยา ได้อย่างเหมาะเจาะและลงตัว เป็นที่สุด เพราะ
    อันธรรมดา ของมนุษย์ และสัตว์ ล้วนย่อมมีพฤติกรรม หรือการกระทำ หรือดำรงชีวิต ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ อาจเหมือนกัน หรืออาจแตกต่างจากกัน ในแต่ละบุคคล(หมายเอาเฉพาะมนุษย์) เงื่อนไขในการสร้างความคิด สร้างความรู้ สร้างความเข้าใจ ให้เกิด ต่อบุคคลอื่นนอกเหนือจากตัวเองนั้น บ้างก็มีเงื่อนไข หรือสามารถใช้เงื่อนไขแบบเดียวกันได้ แต่บ้าง ก็ต้องใช้เงื่อนไข หรือสามารถใช้เงื่อนไข ที่แตกต่างกันออกไป
    หรือบางครั้ง ก็ไม่สามารถใช้เงื่อนไข ใดใด กับบุคคลคนบางจำพวกได้เลย นั้นขึ้นอยู่กับ ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และความต้องการของบุคคลเหล่านั้นๆ

    เงื่อนไขในการใช้สร้างความคิด สร้างความรู้ สร้างความเข้าใจ ฯลฯ ต่อบุคคลใดใด ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพการครองเรือนของผู้ใช้ เช่น บิดา มารดา สร้างเงื่อนไข ต่อบุตร เพื่อให้เกิดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อฟัง แตกต่างกันไป อันขึ้นอยู่กับ พฤติกรรม หรือการกระทำของ บุตร อันประกอบไปด้วยปัจจัย ด้านเวลา สถานที่ และโอกาส
    บิดา มารดา บางคน ก็ต้องดุด่า เฆี่ยนตี บุตร ตามความจำเป็น และพฤติกรรมของ บุตร อันเป็นเงื่อนไขเพื่อจะทำให้บุตร หลาบจำ ไม่ประพฤติอีก ซึ่ง การสร้างเงื่อนไขของบิดา มารดา ด้วยการ ดุด่า ว่ากล่าว หรือเฆี่ยนตีบุตร นั้น ก็ย่อมเป็นไปด้วยสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า "เมตตา"
    เพราะคำว่า "เมตตา" นั้น มีความหมาย ในพฤติกรรม หรือการกระทำ อย่างกว้างขวาง มิได้มีความหมาย เพียงตามที่คุณเข้าใจอยู่ อย่างนี้เป็นต้น
    บิดา มารดา บางคน ก็จะสอนบุตร ด้วยมธุรส วาจา ด้วยเหตุ ด้วยผล อันเป็นการใช้เงื่อนไข เพื่อทำให้บุตร เชื่อฟัง ประพฤติตนอยู่ในกรอบ ที่บิดามารดาต้องการ ซึ่ง ล้วนขึ้นอยู่กับ สิ่งแวดล้อม ทางสังคม วัฒนธรรมจารีต ประเพณี และ กรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งเงื่อนไขของบิดามารดา ผู้ใช้เงื่อนไข ด้วยมธุรส วาจา ด้วยเหตุด้วยผล ก็เป็นการใช้เงื่อนไข ด้วยสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า "เมตตา"ด้วยเช่นกัน แต่เป็นพฤติกรรมแห่งการกระทำอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต้องการผลเช่นเดียวกัน คือเพื่อ บุตร หรือ เพื่อ ปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของบุตร ให้อยู่ในกรอบตามที่บิดามารดา ต้องการ ฯลฯ
    แต่จะแตกต่างกันที่สภาพสภาวะจิตใจของบุตรผู้ถูกกระทำ ดังนี้เป็นต้น
    ที่ได้อธิบายมาพอสังเขป คงเพียงพอต่อการทำความเข้าใจ ในเรื่องที่คุณถามมา นะขอรับ
    ,,,ขอให้เจริญในความคิด,,,ขอรับ
     
  11. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    ก่อนที่จะถึงนิพพานได้นั้น ท่านทั้งหลายควรได้รู้ว่า ผู้ปฏิบัติ ย่อมต้องบรรลุ โสดาบัน(ชื่อชั้นอันเป็นผลจากการปฏิบัติ หรือการฝึกตน ในทางพุทธศาสนา) เป็นอันดับแรก
    ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่า บรรลุโสดาบันหรือไม่ หรือยัง

    ผู้บรรลุโสดาบัน ต้องประกอบไปด้วยหลักธรรม หรือหลักวิชชา ทางศาสนา คือต้องรู้ต้องเข้าใจ หลักธรรมทั้งหมด อีกทั้งยังต้องมีสมาธิที่ดี มีความสามารถแยกแยะรายละเอียด ในข้อธรรมะต่างๆ ได้ดีพอสมควร ตามแต่กำลังสมองสติปัญญา และความขยันหมั่นเพียร รวมไปถึงปัจจัยในเรื่องของเวลา อันจะเป็นทั้ง ตัวช่วย และอาจจะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ถึงซึ่งความสำเร็จได้เช่นกัน
    ในยุคสมัยนี้ สภาพสภาวะทางจิตใจ เป็นเรื่องสำคัญในการฝึกปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง หากท่านทั้งหลาย ยังครองเรือนอยู่ในเพศฆราวาส ยิ่งต้องรู้จักการบริหารเวลา เพื่อได้มีเวลาว่างสำหรับ คิดทบทวน พิจารณา เทียบเคียง ฯลฯ ในการดำรงชีวิต ตามวิถีชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในหลักธรรม จะเรียกว่า การดำรงชีวิตตามวิถีชีวิตประจำวัน ล้วนทำให้เกิด "ญาณ" อันนับเข้าในวิปัสสนาได้
    ผู้บรรลุโสดาบัน เป็นอย่างไรกันละ
    ผู้บรรลุโสดาบัน ก็คือ ผู้ที่สามารถเข้าใจ และรู้ รวมไปถึงการจดจำ เหตุ และ ผล หรือเข้าใจ และรู้ รวมไปถึงจดจำ มรรค และ ผล
    ในการดำรงชีวิต ตามวิถีชีวิตประจำวัน ได้อย่างมากมายไม่รู้จบ
    ถ้าจะเรียกตามศัพท์ภาษาทางศาสนาก็เรียกว่า "โสดาบัน ปฏิมรรค ,โสดาบัน ปฏิผล"
    ในระดับผู้บรรลุโสดาบันนี้ บุคคลนั้นๆจะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลส ได้เป็นบางเรื่องบางอย่าง อาจสามารถขจัดได้ในทันทีที่สัมผัส หรืออาจต้องใช้เวลาในการขจัด ซึ่ง ย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และสภาพแห่งสรีระร่างกาย เป็นสำคัญ
     
  12. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขาเรียกว่า ไม่เห็นโลง ไม่หลั่งน้ำตา ทำเป็นยุยงเย้าแหย่
    ไม่เป็นไร
    ข้าพเจ้าจะเย้าแหย่บ้างนะ

    ท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง ถ้าบุคคลผู้ใช้ชื่อว่า "iofeast" ยังลอยนวลอยู่ได้ หรือเข้ามาก่อกวนได้
    ภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะรุนแรงเพิ่มขึ้น อย่างแน่นอน ปกติในปีนี้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็เริ่มมีความรุนแรงให้เห็นผิดปกติอยู่แล้ว
    แต่ถ้า มันผู้ใช้ชื่อว่า "iofeast" เข้ามาก่อกวน หรือยุยงยุแหย่ อีก ภ้ยพิบัติทางธรรมชาติ จะรุนแรงขึ้น นี้เป็นเพียงคำเตือนเล็กน้อย
    ถ้ายังขัดขืน ข้าพเจ้าก็จะยุแหย่ยุยงว่า ถ้า ผู้ใช้ชื่อว่า "iofeast" ยังมีชีวิตอยู่ในโลก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะรุนแรงเป็นทวีคูณ และไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่า มันผู้ใช้ชื่อว่า "iofeast" จะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้เท่านั้น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จึงจะทุเลาเบาบางลงไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
    อยากลองก็เอาอีกนะคุณ
     
  13. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    เง่อ ต้องเข้าใจเรื่องนิพพานก่อนถึงนิพพานด้วยหรอเนี่ย มีงี้ด้วย -*-
     
  14. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    ก่อนจะตอบข้อซักถามของพวกคุณ
    ข้าพเจ้า ต้องกราบขอขมาต่อพระไตรปิฏก และต่อองค์พระสมณโคดม ไว้ก่อนเป็นการล่วงหน้า แล้วจะได้ตอบแบบ ไม่ต้องไว้หน้าใครทั้งนั้นว่า

    พวกคุณ เอาอะไรที่ไหนมาเขียน พวกคุณอ้างเอาในตำราหรือพระไตรปิฎก มากล่าว
    "แล้วพวกคุณฝึกปฏิบัติได้ผลดีแล้วหรือถึงได้นำมาเขียนเป็นตุเป็นตะ"
    ในตำราหรือพระไตรปิฎก เป็นเพียงเรื่องบอกเล่า จากคำบอกเล่าของใครก็ไม่รู้ พวกคุณพิสูจน์แล้วหรือว่า มีจริงเป็นจริง

    ข้าพเจ้าไม่ได้ศึกษาจากตำรา หรือพระไตรปิฎก ข้าพเจ้าศึกษา จากธรรมชาติทั่วไป ทั้งยังฝึกปฏิบัติ จนได้ผลชัดแจ้งแล้ว
    อะไรของพวกคุณ นิพพาน มีตัวตน หรือนิพพานไม่มีตัวตน หรือไม่ตัว ไม่ใช่ตน พวกคุณเข้าใจกี่มากน้อย

    "ข้าพเจ้าบัญญัติ ศาสนาพุทธ และหลักธรรม หรือหลักการ ศรีอาริยเมตไตรย ขึ้นมา ข้าพเจ้า ก็ต้องสอนตามแนวทางของข้าพเจ้า "
    พวกคุณไปเอาอะไรมาสอน พิสูจน์ได้ไหม ฝึกปฏิบัติกันได้ตามที่พวกคุณนำมากล่าวได้แล้วหรือ
    ด้วยเหตุนี้แหละข้าพเจ้าจึงเตือน เหล่าพระสงฆ์ เป็นนักเป็นหนา ว่าอย่า อวดอุตริฯ สอนเรื่อง โสดาบันบ้าง อรหันต์บาง นิพพานบ้าง เพราะ มันเป็นการสอนธรรมที่ไม่มีในตน
    เรื่องอื่นก็ไม่ว่า เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นธรรมที่มีอยุ่ในตนอยู่แล้ว

    ข้าพเจ้าไม่ต้องท้าให้พวกคุณมาพิสูจน์ดอกนะ เพราะท้ามาเป็นพันครั้งเห็นจะได้
    ไปพิจารณาดูเถิด
    แล้วก็จงคิดดูซิว่า ใครที่ไม่มีความเข้าใจในศาสนา แถมยังทำลายศาสนา โดยที่รู้เท่าไม่ถึงกาล ดันอ้างเอาตำรายกมากล่าว แล้วตัวคุณปฏิบัติไม่ได้ เขาเรียกว่าอะไรหรือคุณ
     
  15. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    คุณ ใบไม้นอกกำมือ แล้วคุณตั้งกระทู้ โอ้อวด ว่า สยบพระองค์นั้นองค์โน้น เรื่องนิพพาน เป็น อัตตา ไม่ใช่เป็นอนัตตา อะไรของคุณ กันละ คุณรู้จักพุทธศาสนามากน้อยแค่ไหน หรือว่า รู้แค่อ่าน ตำรา แล้วก็เอามาโอ้อวด โดยไม่ได้รู้ความหมาย ได้ฝึกปฏิบัติสักนิดเดียวเลยหรือ

    และการรู้จักเรื่องของนิพพาน ก่อนที่จะถึงนิพพาน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะการได้รู้จุดหมายของพฤติกรรม หรือการกระทำใดใด ย่อมเป็นบรรทัดฐาน มิให้ผู้ปฏิบัติ หลงผิด หรือเข้าใจ หรือบ้า คิดว่าตัวเองรู้อย่างนั้นอย่างนี้
    คุณปฏิบัติธรรมจน มีฉัพพรรณรังสีไหมละ ทำมาเป็นวางฟอร์มว่า แย้งเพราะสอนให้รู้จักโลกุตรธรรม คุณมีความรู้เรื่องธรรมะกี่มากน้อย
    คุณว่าหลักการทางศาสนา มีการแบ่งแยก ว่าเป็นทางโลก ทางธรรมด้วยหรือ
    ถ้าหลักการทางศาสนามีการแบ่งแยก
    ขอถามหน่อยซิ เห็นอวดรู้ ว่า
    ในหลักการทางศาสนา ทางโลก คือ พฤติกรรมใด บ้าง ของมนุษย์
    แล้วในทางธรรม คือ พฤติกรรมใด บ้างของมนุษย์
    ไหนลองโปรดสัตว์โลก อย่างข้าพเจ้าหน่อยซิ
    คุณใบไม้นอกกำมือ
     
  16. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    ขออภัยต่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะตอบโต้ คุณ ใบไม้นอกกำมือ
    แบบอาจใช้ศัพท์ภาษา ที่อ่านแล้วออกจะรู้สึกว่า เป็นการดูหมิ่น
    ขอให้ท่านทั้งหลายที่ได้เข้ามาอ่าน ได้คิดและรู้ว่า เป็นเพียงที่ข้าพเจ้า จะสบย แมลงป่องตัวหนึ่ง ที่ชูหางเองอ้า อวด อ้างฤทธี

    ฮ่า ฮ่า ฮ่า
    คุณใบไม้นอกกำมือ ความรู้ของคุณ ยังน้อยนิด แค่คุณเขียนอธิบาย เรื่อง อัตตา กับอนัตตา มาพอสังเขปนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า คุณไม่ได้รุ้เรื่องอะไรที่ลึกซึ้ง ไปกว่า การได้อ่านจากตำรา แถมยังอ่านแบบไม่ใช้การคิดพิจารณา
    ในตำรา เขาเขียนให้คนที่ยังไม่บรรลุธรรมอะไรเลยได้อ่าน
    อีกทั้งในยุคสมัยนั้น ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง ฟิสิกซ์ ไฟฟ้า อะไรเลย
    ในความคิดของคุณ คงคิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา คือ ความ ไม่ใช่ตน ไม่ตัว คุณคิดผิด ทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีตัว มีตน ทั้งสิ้น แต่คุณไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าดอกนะ
    สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วน อยู่ในรูปแบบ ของคลื่นไฟฟ้า อันอยู่ในเซลล์ หลายเซลล์ รวมกันเ ป็นอวัยวะ สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ ล้วนมีรูป คือ ความมีตนมีตัวทั้งสิ้น คุณไปศึกษา เรื่องเคมี ฟิสิกซ์ เพราะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ อันเป็นความรู้ที่พิสูจน์ได้ว่ามีจริงเป็นจริง ในทางที่คุณคิดว่า สิ่งที่ได้กล่าวไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์นั้น ความจริง มันก็เที่ยงของมันอยู่แล้ว จะว่ามันแปรปรวน ก็ไม่ได้ จะว่ามันไม่แปรปรวนก็ไม่ได้ เพีราะคุณมองไม่เห็นรูปลักษณะของมัน ว่ามันจะแปรปรวนหรือไม่แปรปรวน เปรียบไปกับ การมองรูปภายนอกนั่นแหละคุณ
    แล้วก็อย่าคิดว่า เวลาเขาโกรธ รัก ชอบ หลง อะไรนั้น เขาแปรปรวนนะ ถ้าคิดอย่างนั้น คิดผิด มันเป็นเรื่องปกติของสภาพคลื่นไฟฟ้าที่จะไหลไป เคลื่อนที่ไป ไม่ใช่การแปรปรวน เพราะการแปรปรวนนั้น หมายถึงการขาดสติ สัมปชัญญะ ซึ่ง ถ้าเป็นรูปร่างภายนอก ที่คุณคิดว่าเป็นอัตตานั้น ก็มีความแปรปรวนได้เช่นกัน แต่ไม่บอกนะ เวลาจะหมด ฮ่า ฮ่า ฮ่า
    ส่วนคำว่า อัตตา มีความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ พระธรรมปิฏกว่า "ตัวตน, อาตมัน; ปุถุชนย่อมยึดมั่นมองเห็นขันธ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมดเป็นอัตตา หรือยึดถือว่าอัตตาเนื่องด้วยขันธ์ ๕ โดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง; เทียบ อนัตตา "
    นั้นย่อมหมายถึงรูปร่าง ทั้งหมด ของบุคคลใดใดบุคคลหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ล้วนเป็นสิ่งที่มีตัวตน หรือเคยมีตัวตนอยู่
    นิพพาน ย่อมเป็นได้ ดัง อนัตตา และ อัตตา
    พอก่อนนะ เอาพอหอมปากหอมคอ ที่เหลือกลับไปอ่านกระทู้ใหม่ แล้วพิจารณาดูให้ดี จะได้เกิดความเข้าใจ หรือเกิดปัญญา อย่างถ่องแท้ อย่าหลงตัวเองอยุ่เลยนะคุณ ฮ่า ฮ่า อ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2008
  17. Saint Telwada

    Saint Telwada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +5
    ก็ถามแบบให้คุณตอบตามที่คุณเรียนมาจากตำรานั่นแหละว่า โลกุตตรธรรม ที่คุณกล่าวถึงนั้น มันมีพฤติกรรมแตกต่าง กับสิ่งที่ไม่ใช่โลกกุตตรธรรม อย่างไรกันละ
    แล้วคุณรู้และฝึกปฏิบัติ ได้แล้วหรือ ตอบหน่อยน่า
    อย่าทำเป็นใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวอยู่เลย ผู้คนที่ได้เข้ามาอ่าน จะได้รู้ว่า ไอ้ที่ว่ารู้ในตำรานั้น มันรู้จริงรู้แจ้งแค่ไหนกัน
     
  18. MegaFM

    MegaFM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,446
    หุหุ ไม่ได้เข้ามาชมนานเลย เดี๋ยวนี้ลุงเทวดามาเวอร์ชั่นใหม่แระ มีเซ็นต์นำหน้าด้วย เท่ไปอีกแบบ

    เพิ่งรู้นะครับว่าเดี๋ยวนี้คุณลุงเทวดากับคุณใบไม้เข้ามาถกธรรมกันแล้ว

    งานนี้ยาวแน่
    หุหุ
     
  19. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ดูดิ เรืองแสง วิ๊งงงงงงง งง
     
  20. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334

    เอ๋า.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...