วิธีแผ่เมตตาให้เป็นฌาน ต้องทำยังไงครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สายลมพัดโบก, 3 พฤษภาคม 2020.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  3. สายลมพัดโบก

    สายลมพัดโบก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2020
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +9
    เอ่อ...
    ผมต้องการวิธีแผ่เมตตานะครับ
    ไม่ได้ต้องการดูมวยคู่เอก ชิงแชมป์เปี้ยน :(

    ตอนนี้เท่าที่ผมทำได้คือ
    ถ้าผมเอาราคะขึ้นหน้า โทสะจะหายไปทันที
    แต่ผมคิดว่าน่าจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองเท่าไหร่นัก
    ก็เลยอยากจะมีจิตเมตตาจนเป็นฌานให้ได้
    จะได้ไม่ต้องพึ่งราคะอีก

    ยังไงก็ขอบคุณเพื่อน ๆ กันด้วยนะครับ
    ค่อย ๆ พูดกันครับ อย่าทะเลาะกันดีที่สุด
     
  4. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    รู้อารมณ์ตัวเอง รู้แก้อารมณ์ตัวเองด้วยอารมณ์อื่นได้ แต่ไปเลือกราคะ..
    เกือบดีละ เดี๋ยวมีคนนมาบอกวิธีไปต่อเอง
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ครูบาอาจารย์ท่านสอน แผ่เมตตานั้น ..แผ่กว้างออกไป กว้างออกไป เบื้องบนสูงสุดถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ครับ

    ใครว่าการแผ่เมตตา เป็นมิจฉาทิษฏิเต็มใบ ก็ปล่อยเค้าไปตามกรรม ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2020
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แผ่เมตตา
    ถาม
    : ที่เมื่อสักครู่บอกว่า อุทิศส่วนกุศลให้กับคนเป็น ผมอ่านในหนังสือหลวงพ่อบอกว่า คนที่เป็นศัตรูกับเรา ที่ไม่ถูกกันอยู่ตลอดเวลา เราก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วเขาก็จะดี ทีนี้เขาก็ไม่ได้มาโมทนา แล้ว..?
    ตอบ : ลักษณะนั้นเขาเรียกว่า "แผ่เมตตา"

    แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลเป็นคนละอย่างกัน

    อุทิศส่วนกุศล คือ เราทำความดีอะไร เราตั้งใจขอให้เขามีส่วนในบุญนั้นด้วย
    แผ่เมตตา คือ การส่งกำลังใจที่ประกอบด้วยความดีถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ขอให้อย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

    ลักษณะเหมือนกับว่า เอาของเย็นไปดับของร้อน ดับไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าของเย็นมีกำลังสูง ของร้อนก็จะเย็นลงไปเอง เขาก็จะกลับมาดีกับเรา

    จะเห็นว่าเป็นคนละอย่างกัน อุทิศส่วนกุศล คือทำบุญอะไรแล้วอยากให้เขาได้ด้วย ส่วนแผ่เมตตาคือ ตั้งจิตที่ประกอบด้วยกรรมดีไปถึงเขา

    ถาม : พูดออกไปเลยใช่ไหมคะ ว่าเราขอแผ่เมตตา ?
    ตอบ : ไม่ใช่..การพูดเป็นแค่คล่อง ๆ ปาก จะต้องจากความรู้สึกที่แท้จริงจากใจของเรา

    นึกด้วยความหวังดี ปรารถนาดี ขอให้เขาอยู่เย็นเป็นสุข อย่าได้มีความทุกข์เลย ขอให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

    ที่เขาท่องกันปาว ๆ นั้นมีผลน้อย เพราะบางครั้งใจของเราไม่ได้มุ่งดีต่อเขา เรื่องของการแผ่เมตตาให้ได้ผล ต้องเป็นความหวังดีอันเกิดจากกำลังใจที่แท้จริงของเราเท่านั้น


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2328
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : การเจริญเมตตา ?
    ตอบ : ต้องเจริญเมตตาให้แก่คนที่เรารักก่อน พอทำได้คล่องตัวแล้วก็ให้กับคนที่เรารักรอง ๆ ลงไป แล้วให้แก่ไม่รักไม่เกลียด พอคล่องตัวแล้ว ก็ให้คนที่เราเกลียดน้อย หลังจากนั้นถึงให้คนที่เกลียดมากได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอยู่ ๆ ไปให้คนที่เราไม่ชอบขี้หน้าเลยก็เด้งกลับ

    มีหลายคนที่บอกว่าไม่โกรธ ๆ แต่กูไม่พูดกับมึง..! นั่นยังโกรธอยู่เต็ม ๆ เลย ผูกโกรธด้วย แต่คิดว่าตัวเองวางได้แล้ว เพราะฉะนั้น...ต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น

    ถาม : แผ่เมตตาแล้วมีผลย้อนกลับที่ดี ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วการแผ่เมตตาจะอยู่ลักษณะให้ผลดีโดยส่วนเดียว ผลที่กลับมาไม่ดีเกิดจาก ๒ อย่าง อันดับแรกก็คือเมตตาของเราไม่บริสุทธิ์จริง ประการที่สองก็คือผลกระทบมาจากเรื่องอื่น บังเอิญเราไปทำเรื่องเมตตาพอดี เราก็เลยคิดว่าเป็นเพราะเรื่องนี้

    ถาม : ขณะที่แผ่ไปยังศัตรูได้ แสดงว่ากำลังใจดีมากใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : ต้องเห็นตามความเป็นจริงว่าไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร ทุกอย่างล้วนเป็นสมมติทั้งสิ้น มีแต่เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ายังทำไปถึงระดับนี้ไม่ได้ก็ยังแผ่ให้ศัตรูไม่สำเร็จหรอก ถ้าไม่เห็นว่ามีใครเป็นศัตรู กำลังใจระดับนั้นแล้วก็เอาเถอะ จะแผ่ให้ใครสักเท่าไรก็ได้

    ถาม : การแผ่เมตตาให้กับคนทั่วไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราผ่านตรงนี้ได้แล้ว ?
    ตอบ : ทำให้เป็นปกติของเราจนกระทั่งไม่มีความหนักใจแล้ว มั่นใจว่าได้แล้ว ทำไปแล้วเป็นเหมือนหน้าที่ซึ่งต้องทำ พอถึงเวลาก็นึกว่า เอ...ยังไม่ได้ทำนี่ ? แล้วก็จัดการทำต่อไป ถ้าหากว่าถึงระดับนี้ขึ้นมา สำหรับคนทั่วไปก็ถือว่าเราผ่านได้แล้ว เพราะว่าสามารถให้เขาเป็นปกติได้ทุกวัน

    ถาม : ระดับที่เราแผ่เมตตาได้ แสดงว่าศีลเราทรงตัว ?
    ตอบ : ถ้าแผ่เมตตาศีลก็ทรงตัวเป็นปกติอยู่แล้ว เรื่องของการแผ่เมตตาเป็นส่วนของธรรม ถ้าจะให้ศีลและธรรมสมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมกันก็หายาก ตอนแรกก็ต้องเอาศีลก่อน พอกำลังของศีลทรงตัวก็ทำได้เอง

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙
    ที่มา : วัดท่าขนุน
     
  8. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ยังไม่เข็ดเนาะ สงสัยอยากโดนด่า ไอ้ตาเล็กอะนะ ที่ให้พวกเพศที่ 2.5 บวช? พระพุทธเจ้าห้ามพวกบัณเฑาะว์บวชไปนี่ยังไม่เข็ด ? เคยถกกันเป็นวันแล้วเอ็งก็แถไปเรื่อยๆ เป็นไงเอาตาเล็กมาให้โดนด่าอีก รักครูบาอาจารย์จริงก็อย่าพูดมั่วๆไปเนาะ พูดด้วยตัวเองเลย
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ๗. การปฏิบัติพระกรรมฐาน


    ครั้งนี้เราเท่ากับว่า เริ่มกรรมฐานรอบใหม่ของปีใหม่ ทิ้งกันไปหลายวันให้ทำกันเอง กำลังใจก็ไม่ทรงตัว พวกเราทุกคน จำเป็นที่จะต้องรักษากำลังใจ ให้ทรงตัวให้ได้ เพราะว่าการเกาะในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเกาะในครูบาอาจารย์ ขอให้เกาะให้ถูกต้อง
    ถ้าตราบใดที่เรายังต้องอาศัยท่านอยู่ โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ที่มีกายเนื้อ ตราบนั้นเรายังเอาตัวรอดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ถ้าหากว่าเรายังไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
    ต่อไปถ้าหากว่าสิ้นท่านไป เราก็จะเคว้งคว้าง หาที่เกาะไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ว่า ขอให้มีตัวเองเป็นเกาะ ขอให้มีตัวเองเป็นฝั่ง เพื่อที่จะให้ข้ามวัฏฏะสงสารนี้ให้ได้ การมีตัวเองเป็นเกาะ คืออย่างน้อย ๆ ต้องสร้างศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัว
    เพื่อว่าเราซึ่งอยู่ท่ามกลางทะเลทุกข์นี้ ถ้าเรามีเกาะเป็นเครื่องอาศัย เราก็จะทุกข์น้อยกว่าคนอื่น หรือว่ามีตนเองเป็นฝั่ง คือเราจะสามารถก้าวล่วงทะเลทุกข์นี้ขึ้นสู่ฝั่งได้ อันนี้ก็ถือว่าประเสริฐที่สุด
    การปฏิบัติทุกครั้งอย่าลืม เริ่มต้นที่ลมหายใจเข้าออก สติทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้ารู้อยู่ หายใจออกรู้อยู่ หายใจเข้ากระทบจมูก กระทบกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้องให้รู้ตลอดไป หายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มากระทบปลายจมูกให้รู้อยู่ตลอดไป
    สติมันเคลื่อนไปสู่อารมณ์อื่นเมื่อไหร่ ให้ดึงมันกลับมา อยู่กับลมหายใจเข้าออกเมื่อนั้น ถ้าเราหมั่นทำอย่างนี้บ่อย ๆ กำลังใจจะทรงตัวได้ง่าย ก้าวถึงระดับของฌานสมาบัติได้ง่าย
    มันมีอยู่จุดหนึ่งที่อยากจะเตือนคือว่า พวกเราพอก้าวถึงความมั่นคงระดับหนึ่งแล้ว มันผ่านขั้นตอนอะไรมา เรามักจะไปตามดู ตามจี้มันอยู่ตรงนั้น ซึ่งอันนี้ผิด อย่างการทรงปฐมฌาน มันจะผ่านอารมณ์วิตก คือนึกอยู่ว่าภาวนา วิจารณ์คือ รู้อยู่ว่าตอนนี้ภาวนาอยู่
    ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาว่าอะไรรู้อยู่ ปีติ มีอาการ ต่าง ๆ ๕ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง ร่างกายลอยขึ้น หรือว่าตัวพองตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรูมาก ๆ หรือว่าแตกระเบิดไปเลย
    ถัดไปคือสุข ความเยือกเย็นใจ เนื่องจากกำลังใจทรงตัวอยู่เฉพาะหน้า ทำให้รัก โลภ โกรธ หลง ที่แผดเผาเราอยู่ ต้องดับลงชั่วคราว มันเย็นกายเย็นใจบอกเป็นภาษาคนไม่ถูก อันดับสุดท้ายคือเอกัคตา อารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ไม่เคลื่อนคล้อยไปที่อื่น
    พอขั้นตอนต่าง ๆ นี้เกิดขึ้น เราจำมันได้ พอถึงเวลาก็นี่วิตกนะ นี่วิจารณ์นะ นี่ปีตินะ เดี๋ยวมันจะต้องสุข เดี๋ยวมันจะต้องเป็นเอกัคตา ถ้าเราไปตามจี้มันอยู่ในลักษณะนี้ อารมณ์มันจะไม่ทรงตัว
    เพราะอารมณ์ใจนั้น มันประกอบด้วยความอยากมากเกินไป มันเป็นอารมณ์ของอุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านของใจเราเอง ความฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ คือกิเลสที่หยาบ ถ้าตราบใด กิเลสหยาบห้าตัวตัวใดตัวหนึ่งอยู่ในใจของเรา ตราบนั้นกำลังใจจะไม่ทรงตัว
    ดังนั้น ให้เรากำหนดภาวนาเฉย ๆ กำหนดรู้ลมเฉย ๆ เรามีหน้าที่ภาวนา เราภาวนาของเราไป มันจะเป็นฌาน หรือไม่เป็นฌาน เป็นเรื่องของมัน สิ่งที่ต้องระวังอีกจุดหนึ่งก็คือเมื่อก้าวเข้าถึงตัวปีติ อารมณ์ใจมันจะไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่หน่ายในการปฏิบัติ ต้องระมัดระวังไว้
    ให้ตั้งเวลาการปฏิบัติไว้ เอาประมาณครึ่งชั่วโมง หรืออย่าให้เกินหนึ่งชั่วโมง เหตุที่ต้องตั้งอารมณ์ปฏิบัติเอาไว้ เพราะว่าถ้าไปทุ่มเทมันมาก ๆ ก็เหมือนกับคนที่โหมทำงานหนัก ถึงเวลามันจะทรงตัวได้แค่ครั้งเดียว รุ่งขึ้นทำงานหนักอย่างเดิมไม่ได้
    ขณะเดียวกัน การปฏิบัตินั้น ถ้าเราไม่ถอนอารมณ์ใจออกมา มันจะข้ามวันข้ามคืน โดยไม่รู้ตัว ร่างกายทนไม่ไหว ประสาทร่างกายมันชำรุดลง อันตรายมันจะเกิดขึ้น คืออยู่ในลักษณะที่เรียกว่ากัมมัฏฐานแตก สติแตก หรือบางคนก็ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ทำให้เป็นบ้าไป
    จริง ๆ แล้วกรรมฐานช่วยให้หายบ้า ที่ทำแล้วเป็นบ้าเพราะว่าทำมากเกินไป ไม่รู้จักประมาณ เมื่อเราตั้งเวลาไว้ครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงแล้ว เมื่อเลิกจากนั้นให้ประคับประ คอง รักษาอารมณ์ของเราให้อยู่ตลอด เปลี่ยนอิริยาบถอื่น ไปทำการทำงาน จากนั่งเป็นยืน เป็นเดิน เป็นนอน การเปลี่ยนอิริยาบถ ร่างกายจะได้พักผ่อน มันจะได้ไม่ตึงจนเกินไป
    ส่วนอีกจุดหนึ่งก็คือ เมื่ออารมณ์ใจเริ่มก้าวสู่สมาธิที่สูงขึ้น ลมหายใจเข้าออกมันจะเบาลงโดยอัตโนมัติ ละเอียดลงโดยอัตโนมัติ บางทีคำภาวนาก็หายไป บางทีลมหายใจพร้อมกับคำภาวนา ก็หายไปด้วยกัน
    บางคนรู้สึกตกใจว่า เอ๊ะ..เราไม่ได้หายใจ เอ๊ะ..เราไม่ได้ภาวนา แล้วก็รีบตะเกียกตะกายหายใจใหม่ ภาวนาใหม่ อันนั้นทำให้กำลังใจ ถอยกลับมาสู่จุดแรกเริ่ม เขาให้กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ให้รู้ว่าตอนนี้ลมหายใจมันเบา ตอนนี้คำภาวนามันหายไป รู้ไว้เฉย ๆ
    ไม่ต้องไปตกอกตกใจ ไม่ต้องไปอยากมัน ไม่ต้องไปสนใจว่าขั้นตอนต่อไปมันจะเป็นอย่างไร รักษาอารมณ์ให้ทรงตัวให้เป็นปกติ เมื่อถึงเวลามันก็จะก้าวข้ามไป
    เมื่อลมหายใจเบาลง หลังจากนั้น กระทั่งลมหายใจและการภาวนาก็หายไป ร่างกายเหมือนกลายเป็นหินไป ความรู้สึกรวมอยู่จุดเดียว สว่างโพลงเฉพาะหน้าไม่สนใจอารมณ์อื่น
    ให้กำหนดใจว่า เราจะอยู่ในอารมณ์นี้ ประมาณครึ่งชั่วโมงหรือประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วก็ถอยออกมา จิตมันมีสภาพจำ เมื่อถึงเวลา มันจะถอยออกมาของมันเอง จะได้ไม่เผลอ ข้ามคืนข้ามวันไปโดยไม่รู้ตัว
    สมาธิยิ่งลึกเท่าไหร่ เวลาก็ผ่านไปแบบไม่รู้ตัวมากเท่านั้น เรารู้สึกว่าแป๊บเดียวบางทีผ่านไปครึ่งค่อนวัน ข้ามคืนไปแล้วก็มี พวกขั้นตอนเหล่านี้เราต้องจดจำให้ขึ้นใจ ถึงเวลาถึงวาระ อารมณ์ใจอะไรเกิดขึ้น เราจะต้องรับมือมันได้ตามขั้นตอนที่ว่ามา จะได้ไม่เสียประโยชน์ของเราเอง
    ตัวผมเองติดอยู่ในขั้นตอนเหล่านี้ แค่อารมณ์ปฐมฌาน ผมติดอยู่ตั้ง ๓ ปี เพราะว่ารู้ขั้นตอนมันหมด ก็เลยตามดู ตามจี้มันอยู่ตลอด โดยที่ไม่รู้ว่าตัวนั้นเป็นอารมณ์ฟุ้งซ่าน จนกระทั่งวันหนึ่งทำใจไว้ว่า ต่อไปนี้มันจะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างเถอะ เราภาวนาก็แล้วกัน คิดแค่นั้นอารมณ์ทรงตัวทันที
    ดังนั้น พวกเราอย่าก้าวข้ามขั้นตอนไป หรือว่าอย่าไปตามจี้ขั้นตอนของมัน อารมณ์ใจของเราเป็นอย่างไร ให้เราเอาสติกำหนดรู้เท่านั้น อีกอย่างหนึ่งคือตัวเมตตา ตัวพรหมวิหาร ๔ เป็นตัวที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้เยือกเย็น หล่อเลี้ยงกรรมฐานให้เจริญยั่งยืนได้
    แต่ละวันพยายามแผ่เมตตา โดยให้อารมณ์ใจทรงตัว ในลักษณะที่เคยสอนไปให้มากที่สุด การที่เราแผ่เมตตาออกไป นอกจากจะทำให้คนและสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งสิ่งที่เราไม่เห็นตัว คือเหล่าอทิสมานกายต่าง ๆ เป็นมิตรกับเรา มีความรักใคร่ ให้การสงเคราะห์กับเราแล้ว
    กำลังใจที่ทรงตัว ด้วยอารมณ์ของพรหมวิหารนั้น จะก้าวขึ้นสู่ระดับความเป็นพระอริยเจ้าง่ายมาก เพราะว่าจิตที่มีเมตตา ไม่คิดเบียดเบียนใคร อารมณ์ใจที่ทรงไว้อยู่อย่างนั้น ศีลทุกข้อจะรักษาได้โดยอัตโนมัติ
    เรารักเขา เราสงสารเขา เราก็จะไม่ฆ่าเขา เรารักเขา เราสงสารเขา เราก็ไม่ลักขโมยเขา เรารักเขา เราสงสารเขา เราก็ไม่ละเมิดในคนที่เขารัก เรารักเขา เราสงสารเขา เราอย่าไปโกหกเขา เราอยากมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ อยากเห็นคนอื่นมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราก็ไม่ดื่มเครื่องดองของเมา และก็ไม่แนะนำให้คนอื่นทำเช่นนั้นด้วย
    ดังนั้น การปฏิบัติของเราทุกครั้ง ลมหายใจเข้าออก เป็นหลักสำคัญประการที่หนึ่ง ประการที่สองก็คือ ต้องแผ่เมตตา จนอารมณ์ใจของเราทรงตัว ประการสุดท้ายก็คือพยายามพิจารณา ให้เห็นสภาพร่างกายของเรานี้
    ให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ให้เห็นว่า ถ้าหากเรายึดถือมั่นหมาย ยึดเกาะติดอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นส่วนหยาบ ส่วนละเอียด มีรูปหรือไม่มีรูป ล้วนแล้วแต่พาให้เราทุกข์
    โดยเฉพาะการอยู่กับร่างกายนี้ มีแต่ความทุกข์ การดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้มีแต่ความทุกข์ พยายามหลีกหนีมัน ไปให้พ้นให้ได้ อีกอย่างหนึ่ง ที่ต้องดูให้เห็นชัดเจนก็คือ ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    มันเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบขึ้นมาให้เราอาศัยอยู่เท่านั้น เมื่อถึงวาระ ถึงเวลา มันพังสลายลงไป เราก็ต้องแยกจากมันไป ต้องดูให้เห็นให้ชัดเจน เพื่อที่จิตจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราเอง จะได้ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นเขา
    เห็นทุกอย่างให้ไม่เที่ยง เห็นทุกอย่างให้เป็นทุกข์ เห็นทุกอย่างว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา โดยเฉพาะอารมณ์กระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องระมัดระวังให้จงหนัก สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ต้องหยุดมันไว้ให้ทัน ให้มันอยู่แค่ตรงที่สัมผัสนั้น อย่าให้มันเข้ามาในใจ พอมันเข้ามาในใจ จิตสังขารก็เริ่มนึกคิดปรุงแต่ง ชอบหรือไม่ชอบเป็นโทษทั้งสิ้น ชอบเป็นราคะ ไม่ชอบเป็นโทสะ ทันทีที่เราปรุงแต่ง ราคะ โทสะ โมหะ มันจะเจริญงอกงามทันที ต้องระวังมันไว้ให้ทัน หยุดมันไว้ให้ทัน
    ถ้าสติของเรา อยู่กับลมหายใจเข้าออก สติจะแหลมคม ปัญญาจะกระจ่าง จะสามารถรู้เท่าทัน และหยุดมันเอาไว้ได้ ดังนั้น เราทิ้งลมหายใจเข้าออกไม่ได้ ไม่ว่าการปฏิบัติในระดับไหนก็ตาม ลมหายใจสำคัญที่สุด
    ตามมาด้วยเครื่องหล่อเลี้ยง คือเมตตาพรหมวิหารทั้ง ๔ ข้อ และการพิจารณาให้เห็น สภาพความเป็นจริงของร่างกาย โดยเฉพาะจุดสุดท้าย ให้ทุกคนส่งกำลังใจเกาะพระนิพพานเอาไว้ เกาะพระนิพพานตามกำลังของมโนมยิทธิก็ดี ตามกำลังของอภิญญาสมาบัติก็ดี
    หรือกำหนดภาพพระขึ้นตรงหน้า ตั้งใจว่านั่นเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่เฉพาะพระนิพพานเท่านั้น เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน
    ให้ตั้งใจรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตาย ตายเมื่อไหร่ เราต้องไปพระนิพพานให้ได้ ไม่อย่างนั้นทุกข์โทษเวรภัยต่าง ๆ ที่เราทำสร้างเอาไว้ในอดีต มันจะลงโทษเรา ให้ตกนรก ลำบากอย่างไม่รู้จบ แทบจะไม่เห็นว่ามันจะสิ้นสุดลงตรงไหน
    จะต้องเกิดเป็นเปรต อดอยากหิวโหย อยู่ในระยะเวลาอันเนิ่นนานเหลือเกิน จะต้องเกิดเป็นอสุรกายหลบ ๆ ซ่อน ๆ หากินไม่เต็มปากเต็มท้อง จะต้องเป็นสัตว์เดรัจฉาน ลำบากด้วยการหากินไม่ได้อย่างใจ ปรารถนาอย่างหนึ่งอาจจะได้อย่างหนึ่ง ตกอยู่ในภัยอันตรายตลอดเวลา
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องพิจารณาให้เห็น ถ้าเราไปนิพพานไม่ได้ เราต้องพบกับมันแน่ ๆ ดังนั้น มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ส่งกำลังใจเกาะนิพพานไว้ให้เป็นปกติ ตั้งใจแผ่เมตตา เห็นหมู หมา กา ไก่ ก็ดี เห็นคนก็ดี ให้มีจิตประกอบไปด้วย เมตตาพรหมวิหารอยู่เสมอ เห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

    http://www.grathonbook.net/book/grammathan40/03.html
     
  10. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    โทษะ ถ้าแปล ตามภาษาไทย ก้แปล ว่าโกรธ โมโห ไรทำนองนี้

    แต่ ถ้าเป็นภาษาธรรม โทษะ แปลว่า เร็ว เรียกว่า เป็น คนใจเร็ว ตัดสินด้วยความเร็ว แล่นไปด้วยความเร็ว ประมาณนี้

    เรื่องกรรมฐาน มันเป็นเรื่องของความ ขยันหมั่นเพียร เฉพาะตนครับ

    ต้องหมั่นฝึกฝน จนเป็น

    เมตตาเจโต วิมุตติ
    อาเส วิตายะ ภาวิตายะ ( อันบุคคลบำเพ็ญแล้ว ภาวนาแล้ว )
    พะหุลีกะตายะ ( เจริญให้ชำนาญมากแล้ว )
    ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ ( ทำให้เป็นเครื่องดำเนินของใจ )
    อนุฏฐิตายะ ( ยึดเหนึ่ยวทางใจ )

    ฉะนั้น ไม่มีอะไรมากครับ สำหรับ วิธี
    จะยากก้คือ การทำจิต ให้เป็นฌาน เป็นสมาธิ อุปสรรค คือ ความขี้เกียจ

    ขันติ จะเป็นประธานของความสำเร็จ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2020
  11. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,901
    ค่าพลัง:
    +994
    กระเทยที่เค้าห้ามบวชคือกระเทยที่ตัดไข่แล้ว
    มะโนไปเรื่อยแท้ๆๆ
     
  12. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,907
    ค่าพลัง:
    +2,252
    เอ้า !!! ทีหลังก็ ถามแบบนี้ จิฮับ

    เอา ปรมัตถ์อารมณ์ มาถาม ถึงจะถูก

    นี่ ปัญญามันเลย เมตตาเจโตวิมุตติ
    ไปปีมะโว้แล้ว ถ้า กลับไปทำ เมตตา
    อัปปมัญญา จะถือว่า ถอยกลับไปภาวนา
    เมื่อ 19999 กัปก่อนโน้น ก่อนยังไม่
    พบพระพุทธศาสนา

    ทำไม กล่าวแบบนั้น

    เพราะ จขกท หยิบ ปรมัตถ มากล่าว

    ไม่ได้ หยิบเรื่อง สรรพสัตว์ต้องได้
    รับความเมตตาไม่มีประมาณ

    บุคคลที่ หยิบ เอา ปรมัตถธรรม มากล่าว
    อันนี้ จะถือว่า ปากมีศรี หรือ เป็ยบุคคล
    ที่เกิดมาพร้อม "ปัญญาเจตสิก"

    พูดอีกแง่คือ ภาวนาสติปัฏฐานมาหลาย
    กัปแล้ว ( 20000 กัป เป็นตัวเลข เอทัคค
    จะต้องใช้ในการ เวียนว่ายตายเกิด ภาวนา
    มาเท่านั้น เท่านี้ชาติ เป็นธรรมนิยาม)

    นะ

    ปรมัถต์ คือ โทษะ ราคะ

    แต่ที่ขาดไปคือ "เมตตา เจตสิก" ยังมะงุม
    มะงาหราอยู่ว่า มันคือ จั๋งใด

    แต่ จขกท มีความรู้ชัด เมตตา ที่ตนใช้นั้น
    มันออกแนว "ราคะ" คือ มันเหมือนมี บ่วง
    มารัด มันเหมือนมี สิ่งเข้าไปพันผูกอีรุงตุง
    นัง ทั้งอำเภอ อยากเมตตาเธอคนเดียว อะลูหม่าย...

    นะ

    เมตตา พุทธ มันจะยากนิดนึง มันจะต่างกับ
    เมตตา มุ่งรัด ที่ ฤาษี ชีไพร อรหันต์มิจฉาวิมุตติรู้จัก

    แต่ มันไม่ได้ไกล อะไร

    จขกท สังเกตดีๆ ตอน พยายามจะเฝ้นเห็น
    สัจจญาณ กิจญาณ และ กตญาณ ของตัว
    ราคะเจตสิก ที่ จขกท เห็นแล้ว นั่นแหละ

    สัจจญาณ จขกท รู้ภายใน หาก สภาวะแบบนี้ๆ
    มันมีรส บัญญัติเรียกว่า ราคะ

    กิจญาณ เมื่อเอามันนำหน้า มันก็ทำให้พ้นโทษะ
    เป็นกิจ แต่มันชั่วคราว

    กตญาณ ...... หน้าที่ของมัน ผลของ ราคะ มัน
    ค้างเป็นเขม่า แอบฝังลงในจิตอย่างไร จขกท
    ก็ทราบ หยั่งรู้ได้ว่า ม่ายดีแน่ๆ มันไม่พ้นบางอย่าง

    ทีนี้

    เมตตา ก็จะ ผลิกจากตรงนั้นแหละ ฮับ

    คือ การเห็นอาการเข้าไปติดข้อง ผัสสะ นิทาน
    นามรูป วิญญาณ เวทนา กับ ราคะ(เจตสิก)ที่
    จขกท กำหนดรู้แล้ว

    ว่าถ้าเข้าไปสู่ความเป็นอย่างนั้นบ่อยๆ มันจะมี
    "สิ่งตามนอน" นอนตีพุงรอวันกระโจนลาก จขกท
    ไป ทั้งอำเภอ อยากเมตตาเธอคนเดียว อะลูหม่าย...

    พอเห็น อาการกระทบ เห็นเหตุ เห็นความเป็น
    ปัจจัย เห็นการเข้าไปข้องติด .......

    ผลิกอีกนิดเดียว คือ บุคคลที่ขาดการสดับ ไม่ได้
    ภาวนามา 19999 กัป ไม่เคยกำหนดรู้ .....ได้อย่าง
    จขกท

    นะ

    ถ้า ทำการเห็นได้ถูกต้อง จะเกิด เมตตาเจตสิก
    แบบพุทธ หนึ่งขณะ แล้ว ดับ

    เน้นนะว่า ดับ

    เมตตา พุทธ สำคัญมาก ต้องดับ

    เมตตา มิจฉาวิมุตติ จะค้างเติ่ง ยกก้นตนเป็น เจ้า
    เป็นต้นธาตุ หนักกว่า ทั้งอำเภอ อยากเมตตาเธอ
    คนเดียว อะลูหม่าย...( เพราะ มันจะ ลากเอาหมด
    ทั้ง 3โลก ไปเป็นของมันคนเดียว )

    พอ เมตตา พุทธดับ วิมุตติ จะเกิด นิพพาน จะอยู่
    ตรงนั้น ขณะนั้น ขณะที่ เมตตา ดับสนิท

    แล้ว สลดสังเวช ครอบสามโลกธาตุ

    ส่วน กรุณา จะเกิดหรือไม่ อันนี้ต้องดูกันอีก หาก
    เกิด กรุณาขึ้นมา มันก็จะเหมือน หันหลังกลับไป
    หาโลก ทิ้งนิพพาน ไปเสีย

    แต่ถ้า กรุณาเกิด แล้วก็ดับด้วย อันนี้ ไม่มีหันหลัง
    กลับไปอยู่กับโลก พ้นโลกเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
    ไม่มี ต่อกลับได้อีก

    แต่..การดับของเมตตา กับ การดับของกรุณา จะเป็น
    การดับของ คนมีเมตตา กรุณามหาศาล

    ไม่ใช่ แบบฤาษี ชีไพร หรือ สาวกมิจฉาวิมุตติ เรียก
    คนั้นคนนี้ลูก เรียกตนว่าพ่อ แต่ เฮียส่งมาเกิด ไม่มี
    เมตตา กรุณา ที่แท้จริง นำพา ชี้ทาง ให้ประโยชน์
    คือ นิพพานให้แก่ผู้อื่นได้จริง อย่างมากสร้างเมือง
    ขวดมาล่อ

    ====================

    "สิ่งตามนอน" บาลีเรียกว่า นิสัย อนุสัย ..สัย คือ นอน
    อนุ คือ ตาม ....ภาวนาแผ่ "ราคะเจตสิก" มันทำให้พ้น
    โทษะ(เป็นกุศล) แต่มันทำให้เกิด อนุสัย บางอย่าง
    แฝงในจิต เป็น ทั้งอำเภอ อยากเมตตาเธอคนเดียว
    อะลูหม่าย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2020
  13. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    รู้ป่าว ว่าขนาดเรื่องนี้เซเบอร์มันยังไม่เถียงเลยเพราะมีการไปหาหลักฐานมาทั้งอุโต ทั้งบัณเฑาะว์ และอีกมาก ซึ่งผมไม่คิดจะให้อาหารควายโดยการหาลิ้งกระทู้นั้นใหันะอยากเถียงก็ไปหาเอง

    แถมเอ็งก็ไม่ได้มีการค้นหาอะไรมาวางเลย มโนเอาเองมาตอบเพราะคิดว่าตัวเองรู้ ลองไปเสิร์ชอ่านเอาเองเด้อ(คุ้นๆมะคำพูดที่พูดเองก็สอนตัวเองด้วยเด้อ)
     
  14. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,901
    ค่าพลัง:
    +994
    บังเอิญผมไม่เคยเชื่อใคร
    เลี้ยงควายไว้ใช้งานนะดินิสัยแบบนี้
     
  15. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    แน่สิก็เอ็งมโนไปเรื่อยไม่เชื่อใครนอกจากมโนตัวเอง อุ้ยมโนไปเรื่อยแท้ๆ
     
  16. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,901
    ค่าพลัง:
    +994
    กะแน่นอนอยู่แล้ว55
     
  17. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,901
    ค่าพลัง:
    +994
    จะมานั่งประสาทเทียทำมัยแบบนี้คนปกติ55
     
  18. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    พูดไรอะ ประสาทเทีย? พิมพ์ให้ชัดๆก่อนอย่าพึ่งประสาทเสียเด้อ
     
  19. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,901
    ค่าพลัง:
    +994
    มันชัดเจนในความไม่ชัดเจนอยู่แล้ว
     
  20. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ข้างล่างๆนะจ้ะบอกไม่แจกจ่าย
    อ่าวไม่คุยเล่นเลยจ้า


    อุ้มันชัดเจนในความไม่ชัดเจน ทำเป็นปรัชญายังคุยคนละเรื่องอยู่เลย เมากาวอะป่าวนาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...