พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คุณตั้งจิต โทร.มาแจ้งผมว่า ได้มาถึงกรุงเทพฯแล้ว แถมตั้งตำแหน่ง "ท่านจ้าว-เมือง"ให้อีกด้วย บอกผมว่า ต้องโทร.มารายงานให้ท่านจ้าวเมืองทราบ

    อ่า นอกจากตำแหน่ง "ท่าน ปา-ทาน"แล้ว คุณตั้งจิตได้ตั้งตำแหน่ง "ท่าน จ้าว-เมือง"อีกตำแหน่งนึง สงกะสัยว่า น่าจะมีตำแหน่งอื่นๆอีกแน่เลย เช่น "ท่าน ปา-กิน" หรือ "ท่าน ปา-รับทาน" หรือไม่ก็ "ท่าน จ้าว-ตำบล" หรือ "ท่าน จ้าว-หมู่บ้าน"

    กลัวอยู่ตำแหน่งเดียว ที่ไม่กล้ารับ คือตำแหน่ง "อา-ชาม" ไม่กล้าวัดรอยกับ อา-ชามchaipat"ครับ หุหุหุ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านถ่อมตัวนะท่าน
    ข้าน้อยขอซูฮก และขอคารวะ "ท่าน อา-ชาม" chaipat

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งานบุญ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่ 1890-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ
    ผมขอนำรูปพระพิมพ์ที่ผมจะนำมามอบให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญทุกท่านทราบก่อน ส่วนเรื่องของจำนวนเงินที่จะร่วมทำบุญและจำนวนพระพิมพ์ ไว้ผมจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้ง

    ชุดพิเศษ 2

    1.ครั้งแรกในเดือน มกราคม 2550
    ผมนำเข้าพิธีพุทธาภิเษก การอาราธนาพระบารมี พระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุทเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า และหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    ซึ่งผมเรียกพระพิมพ์ที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกในครั้งนี้ว่า พระพิมพ์ชุดพิเศษ 2


    2.ครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ์ 2550
    ผมนำพระพิมพ์เข้าพิธีพุทธาภิเษก การอาราธนาพระบารมี พระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุทเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า และหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์
    ซึ่งผมเรียกพระพิมพ์ที่นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกในครั้งที่สองว่า พระพิมพ์ชุดพิเศษ 2


    [​IMG]
    พระปิดตาวังหน้า(หลังแบบ)

    [​IMG]
    พระสมเด็จวังหน้า

    [​IMG]
    พระสมเด็จวังหน้า

    [​IMG]
    พระสมเด็จหลังเบี้ย

    [​IMG]
    พระสมเด็จไกเซอร์

    [​IMG]
    พระเก๋งจีนไตรโลกอุดร(เนื้อกรมท่า)

    [​IMG]
    พระเก๋งจีนไตรโลกอุดร(เนื้อปัญจสิริ)

    [​IMG]
    พระสมเด็จ(เนื้อปัญจสิริ)

    [​IMG]
    พระปิดตาวังหน้า(สองหน้า)

    [​IMG]
    พระปิดตาสี่กร (เนื้อปัญจสิริและเนื้อกรมท่า)

    [​IMG]
    พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า (รักแดงหรือชาด)




    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คุณตั้งจิต โทร.มาแจ้งผมว่า ได้มาถึงกรุงเทพฯแล้ว แถมตั้งตำแหน่ง "ท่านจ้าว-เมือง"ให้อีกด้วย บอกผมว่า ต้องโทร.มารายงานให้ท่านจ้าวเมืองทราบ

    อ่า นอกจากตำแหน่ง "ท่าน ปา-ทาน"แล้ว คุณตั้งจิตได้ตั้งตำแหน่ง "ท่าน จ้าว-เมือง"อีกตำแหน่งนึง สงกะสัยว่า น่าจะมีตำแหน่งอื่นๆอีกแน่เลย เช่น "ท่าน ปา-กิน" หรือ "ท่าน ปา-รับทาน" หรือไม่ก็ "ท่าน จ้าว-ตำบล" หรือ "ท่าน จ้าว-หมู่บ้าน"

    กลัวอยู่ตำแหน่งเดียว ที่ไม่กล้ารับ คือตำแหน่ง "อา-ชาม" ไม่กล้าวัดรอยกับ อา-ชามchaipat"ครับ หุหุหุ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chaipat [​IMG]
    ผมไม่รู้เรื่องครับ

    สาธุครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    ท่านถ่อมตัวนะท่าน
    ข้าน้อยขอซูฮก และขอคารวะ "ท่าน อา-ชาม" chaipat

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ข้าน้อย ขอคารวะ
    (evil)
    .
     
  4. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    พี่หนุ่มท่านเป็นท่าน-เจ้า-(เ)มือ(ง) ขอรับ เจอใครเป็นเลี้ยงตลอด จนได้อีกชื่อว่าพ่อเลี้ยงหนุ่ม
    ปล.ห้ามแย่งจ่ายนะครับเดี๋ยวมีเคือง (ฮิฮิ อร่อยจังตังอยู่ครบ)
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01lif02310351&day=2008-03-31&sectionid=0132

    วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10978

    ร้อนจัดเสี่ยง"โรคลมแดด" สธ.แนะดื่มน้ำวันละ2ลิตร




    นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สภาพอากาศในประเทศไทยร้อนมาก เป็นผลพวงมาจากสภาวะโลกร้อน ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหลายโรค เช่น โรคในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป ซึ่งเกิดบ่อยที่สุด แต่ยังมีโรคที่ไม่ค่อยพูดถึงคือ โรคลมแดด มักเกิดในช่วงที่สภาพอากาศร้อนจัด

    นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า อาการผิดปกติที่เกิดจากความร้อนมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับที่ไม่เป็นอันตราย ที่รู้จักกันทั่วไปคือ เป็นลม มีอาการหน้ามืด เป็นตะคริว หมดแรงจากความร้อน อาจมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียนด้วย แต่ที่อันตรายที่สุดคือการเป็นลมแดด (Heat stroke) เป็นภาวะวิกฤตของร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ เกิดจากการได้รับความร้อนหรืออยู่มากเกิน ทำให้สมองไม่ทำงาน ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ และการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งต้องให้การรักษาอย่างรีบด่วน

    "สัญญาณสำคัญของโรคฮีทสโตรก ก็คือ ไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่วๆ ไป ที่จะพบว่ามีเหงื่อออกด้วย หากเกิดอาการดังกล่าวจะต้องหยุดพักทันที โดยให้ผู้ป่วยเข้าที่ร่ม นอนราบ ยกเท้าทั้งสองข้างให้สูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงที่สมอง ถอดเสื้อผ้าออกระบายความร้อน ให้พัดลมช่วยเป่า ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศีรษะ หรือเทน้ำเย็นราดลงบนตัวเลย เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด ส่วนในรายที่อาการยังไม่มาก ควรให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว" นพ.ปราชญ์กล่าว
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คุณตั้งจิต โทร.มาแจ้งผมว่า ได้มาถึงกรุงเทพฯแล้ว แถมตั้งตำแหน่ง "ท่านจ้าว-เมือง"ให้อีกด้วย บอกผมว่า ต้องโทร.มารายงานให้ท่านจ้าวเมืองทราบ

    อ่า นอกจากตำแหน่ง "ท่าน ปา-ทาน"แล้ว คุณตั้งจิตได้ตั้งตำแหน่ง "ท่าน จ้าว-เมือง"อีกตำแหน่งนึง สงกะสัยว่า น่าจะมีตำแหน่งอื่นๆอีกแน่เลย เช่น "ท่าน ปา-กิน" หรือ "ท่าน ปา-รับทาน" หรือไม่ก็ "ท่าน จ้าว-ตำบล" หรือ "ท่าน จ้าว-หมู่บ้าน"

    กลัวอยู่ตำแหน่งเดียว ที่ไม่กล้ารับ คือตำแหน่ง "อา-ชาม" ไม่กล้าวัดรอยกับ อา-ชามchaipat"ครับ หุหุหุ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ท่านถ่อมตัวนะท่าน
    ข้าน้อยขอซูฮก และขอคารวะ "ท่าน อา-ชาม" chaipat

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โอ้โห ยังคมเหมือนเดิมเลยน๊ะ

    ว่าแต่ว่า องค์ที่เหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อ เมื่อไหรจะให้ซะที เห็นบอกว่าจะให้นานแล้ว หุหุหุ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=21054

    ธูป 1 ดอก นิยมใช้ไหว้ศพ เจ้าที่ เจ้าทาง ภูมิ ผี ต่างๆ กล่าวคือวิญญาณธรรมดาที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นชั้นเทพ
    <O:p</O:p
    ธูป 2 ดอก ไม่ปรากฏนิยมใช้
    <O:p</O:p
    ธูป 3 ดอก นิยมไหว้พระพุทธ อันมีความหมายถึง พระรัตนตรัย หรือแม้แต่การไหว้เทพก็มีผู้ไหว้ 3 ดอก เช่นกัน อันมีความหมายถึงพระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม
    <O:p</O:p
    ธูป 4 ดอก ไม่ปรากฏนิยมใช้
    <O:p</O:p
    ธูป 5 ดอก มีผู้นิยมใช้ไหว้ตี่จูเอี้ย โดยปักที่กระถางธูป 3 ดอกและข้างประตู ข้างละ 1 ดอก นอกจากนี้ก็มีผู้นิยมไหว้พระรูปรัชการที่ ๕ คงมีคติมาจากรัชการที่ ๕ ก็ใช้ 5 ดอก การไหว้ท้าวจตุโลกบาลก็นิยมใช้ธูป 5 ดอก เพราะหมายถึงทิศใหญ่ทั้ง 5 อันมี ตะวันตก ตะวันออก เหนือ ใต้ และทิศกลาง ตามความเชื่อของชาวจีน รวมทั้งเทพอื่นๆ ก็เห็นมีปรากฏ
    <O:p</O:p
    ธูป 6 ดอกไม่นิยมใช้
    <O:p</O:p
    ธูป 7 ดอก นิยมไหว้พระภูมิไชยศรี นอกจากนี้ก็มีผู้ที่เคารพบูชาพระอาทิตย์ก็นิยมไหว้ ซึ่งความหมายของธูป 7 ดอก ก็หมายถึงความคุ้มครองวันทั้ง 7 ในหนึ่งสัปดาห์
    <O:p</O:p
    ธูป 8 ดอก ชาวฮินดูนิยมใช้ธูป 8 ดอก ในการไหว้เทพแทบจะทุกองค์ ที่เป็นเทพชั้นสูง อันได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม พระแม่อุมา พระลักษมี พระสุรัสวดี พระพิฆเนศ พระขันธกุมาร ร่วมไปถึง พระราม พระกฤษณะ ด้วยจะพบว่า กล่องธูปที่ใช้บรรจุธูปหอมของอินเดียกล่องหนึ่งจะมีธูป 8 ดอก ให้บูชาครั้งละ 1 กล่องเล็ก นอกจากนี้ก็มีความเชื่อว่า การไหว้พระราหู ก็นิยมใช้ธูป 8 ดอกเช่นกัน
    <O:p</O:p
    ธูป 9 ดอก นับเป็นจำนวนธูปที่นิยม ใช้ในการไหว้ทั้งพระทั้งเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยคนไทยถือว่าเลข 9 เป็นเลขมงคล หมายถึงความเจริญก้าวหน้า หากแต่ในประเทศอื่นเขาไม่ได้นิยมเช่นคนไทย
    <O:p</O:p
    ธูป 10 ดอก สำหรับชาวจีนดั้งเดิมแล้วนิยมใช้เลขนี้ในการจุดธูปเช่นเดียวกันคนไทยนิยมเลข 9 เลขสิบนับเป็นเลขเต็ม และความหมายของสิบ (ภาษาจีนคือจั๊บ)นั้นหากจะประดุจนิ้วมือก็หมายถึงการจับได้เต็มไม้เต็มมือ ได้อะไรที่เต็มมือ ได้อะไรที่เต็มสิบก็คือความสมบูรณ์เต็มที่
    <O:p</O:p
    ธูป 11 ดอก ไม่ปรากฏความนิยม
    <O:p</O:p
    ธูป 12 ดอก ชาวจีนนิยมไหว้เจ้าแม่กวนอิม บางคนใช้ 13 ดอก แต่จะไหว้เฉพาะในช่วงเดือน 12 เท่านั้น
    <O:p</O:p
    ธูป 14, 15 ดอก ไม่ปรากฏความนิยม
    <O:p</O:p
    ธูป 16 ดอก นิยมใช้ในพิธีบวงสรวงบูชาเทพ บูชาครู หรือพิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดาที่สำคัญต่างๆ 16 ดอก หมายถึง สวรรค์ 16 ชั้น<O:p</O:p
    นอกจากนี้ที่ได้สืบเสาะมาก็มี 31 ดอก และ 32 ดอก<O:p</O:p
    ที่นิยมใช้ในการบวงสรวง เช่นเดียวกันกับ 16 ดอก
    <O:p</O:p
    โดย ธูป 31 ดอก หมายถึงการเชิญเทพทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ต้องเป็นการบวงสรวงเครื่องบัดพลีใหญ่
    <O:p</O:p
    หรือ ธูป 32 ดอก หมายถึง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน และบนโลกมนุษย์ อีก 1 จะนิยมใช้ในการบวงสรวงใหญ่เท่านั้น เพราะเครื่องบวงสรวงต้องมากเพียงพอกับการอัญเชิญด้วย
    <O:p</O:p
    เจ้าคุณอมร วัดบวรนิเวศ กรุงเทพฯ ท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจมากคือ จำนวนเท่าไร มันอยู่ที่ใจ มนุษย์ตั้งกันขึ้นมาเอง ตามความพอใจ ซึ่งที่จริงแล้วหากใจเป็นสมาธิศรัทธาจริง มือเปล่า ใจเปล่า ก็ศักดิ์สิทธิ์ ได้<O:p</O:p
    ผู้เขียนเองก็มีความเห็นตรงกันเพราะเวลาเราฟังเทศน์ ฟังธรรม หรือจบมือขึ้น สาธุ อนุโมทนากุศลนั้น ท่านเชื่อไหมว่า อานิสงส์แรงนักแล แค่เอามือเปล่าจบขึ้นเหนือหัวตั้งจิตให้มั่น กล่าวคำว่า สาธุ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนบทความนี้ ซินแสน้อย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ***** คนเราทุกวันนี้ ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้าแต่เพียงด้านเดียว <O:p</O:p
    ให้เอากระจกหกด้าน มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง<O:p</O:p
    สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) *****<O:p</O:p
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14369

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row1 vAlign=top align=middle rowSpan=2>สี บุญมา
    บัวผลิหนอ
    [​IMG]


    เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
    ตอบ: 64

    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=postdetails>[​IMG]ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:12 pm</TD><TD vAlign=top noWrap align=right>[​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>อย่าเอากระพี้ให้มากนัก พยายามหาแก่นไม่ดีกกว่าหรือ

    ไม่ใช้ว่าไม่ให้มีเปลือกนะ แต่ให้มันบางลงหน่อย ท่านจะยึดติดอะไรนักหนา แล้วถ้าท่านไม่มีธุป เทียน เครื่องบุชาละท่าน จะทำอย่างไร

    อีกทั้งถ้าเป็นคนจนละท่าน จะให้เขาทำอย่างไร

    ที่ทั้งกล่าวมานั้นมันเป็นส่วนประกอบ ที่สั่งสมจนเป็นค่านิยมความเชื่อ แล้วยังระบาดหนักเข้าสู่เขตวัดวาอาราม สังเกตุในวัด ในโบสถ์จะมีที่ขายของจำพวกนี้อยู่ ก็เพราะอาศัยกระพี้นี้แหละในการหากินของวัดบางวัด พระบางรูป บางคน

    หวังว่าท่านทั้งหลายจะค้นหาแก่นของพุทธให้เจอ หรือพยายามถากกระพี้ให้เบาบาง แล้วท่านจะไปสู่ความสงบสูข สาธุ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle colSpan=2>พบ 64 รายการ</TD></TR><TR><TD class=nav width="100%">ลานธรรมจักร » ค้นหา » พบ 64 รายการ</TD><TD class=nav noWrap>ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ถัดไป</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TH width=150>ผู้ตั้ง</TH><TH width="100%">ข้อความ</TH></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: บวชชีปลงผม กับ ชีพราหมณ์ต่างกันอย่างไร</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 2
    อ่าน: 297
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 10:23 pm เรื่อง: บวชชีปลงผม กับ ชีพราหมณ์ต่างกันอย่างไร</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ไม่ต่างกันเลยท่าน

    จะว่าไปแล้วก็ต่างนะ เพราะหัวโล้นกับมีผม

    ใจซิท่าน หัวโล้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็เข้าถึงแก่นได้
    หัวฟู ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็เข้าถึงแก่นได้

    อย่ายึดที่ภายนอก เห็นแต่งตัวดี ผ้ ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: คนที่ตกนรกและได้มาเกิดเป็นคน คือคนที่ใช้กรรมหมดรึยังค่ะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 6
    อ่าน: 460
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 10:15 pm เรื่อง: คนที่ตกนรกและได้มาเกิดเป็นคน คือคนที่ใช้กรรมหมดรึยังค่ะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ท่านกระต่าย แก้ท่านรารม นิดหนึ่งนะ(อย่าโกรธกัน)

    กรรมที่ชดใช้ในนรกนั้นยังคงไม่หมดหรอกยังคงมีเศษที่เหลือ แต่ไม่แรงพอที่จะเกิดเป็นเปรต ไม่แรงพอที่จะเกิดเป็นสัตว์ จึงเกิดได้แค่เป็นคน เพราะบุญท่านก็ไม่แ ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: เพื่อนของหนูมีปัญหา ช่วยหน่อยนะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 3
    อ่าน: 250
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 10:00 pm เรื่อง: เพื่อนของหนูมีปัญหา ช่วยหน่อยนะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ก็แปลกนะเป็นเกย์แล้วไง

    สภาพที่เกิดนั้นมันเป็นกรรมเก่าของเขานิ เขาก็ต้องยอมรับกรรมนั้นไป คือความทุกข์ใจนั้นแหละ ถ้าเขาทุกข์พอแล้ว ก็ยอมรับตัวเองซะว่าตัวเองเป็นเกย์ อย่างน้อยๆความทุกข์ในใจจะคลายลงบ้ ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: พูดเล่าเรื่อง...ของเน่า เน่า นะจ้ะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 3
    อ่าน: 160
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:48 pm เรื่อง: พูดเล่าเรื่อง...ของเน่า เน่า นะจ้ะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ขี้เกียจอ่านนะท่าน</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: พาแฟนไปทำแท้ง</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 10
    อ่าน: 452
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:46 pm เรื่อง: พาแฟนไปทำแท้ง</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ช้าก่อนท่าน จะรอหาเวลาอะไรอยู่ ไม่ต้องรอไป ให้ท่านทำเลย ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่ส่วนกุศล เอาให้หนักเลย ท่านรอไม่ได้ ถ้าท่านตายวันนี้ พรุ่งนี้ละ จะเป็นอย่างไร ทำเลย นั่งสมาธิ วิปัสนากรรมฐาน ทำได้ที่บ้าน พุ ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: กิเลส</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 4
    อ่าน: 239
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:33 pm เรื่อง: กิเลส</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ก็ตอนนี้มีแต่พวกมีกิเลสเท่านั้นแหละท่านที่มาสนทนากันอยู่ เพื่ออะไรต่างหากท่าน
    ส่วนข้าพเจ้าแล้ว การพูดคุยก็เพื่อถากเปลือกเข้าหาแก่นนะท่าน ถ้าไม่มีใครแนะใครนำ ท่านจะทำได้หรือ มีทำได้ไม่กี่คนที่พอรู้ สม ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: ถ้าไม่ทำตามที่พ่ออยากให้ทำจะบาปไหมค่ะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 5
    อ่าน: 258
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:27 pm เรื่อง: ถ้าไม่ทำตามที่พ่ออยากให้ทำจะบาปไหมค่ะ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ข้าพเจ้าดูๆ สถานการณ์แล้ว (จินตนาการ) ท่านคงมีอะไรที่มากกว่าที่ท่านเขียนมาแน่ๆ มันง่ายไปที่ท่านบอกว่าจะไปเพราะไม่ได้เอาเงินพ่อเรียน ท่านจะไปเพราะพ่อมีคนช่วยอยู่แล้ว

    หรือว่า ท่านอยากไปเพราะอย่างอื่น ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: นี่ใช่พระบรมสารีริกธาตุป่าวครับ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 2
    อ่าน: 208
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:20 pm เรื่อง: นี่ใช่พระบรมสารีริกธาตุป่าวครับ</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>ถ้ามีใครทั้งที่รู้ไม่รู้มาตอบแบบฟันธงว่า ใช่
    ถ้าท่านมีในครอบครองท่านจะเป็นปลื้ม ยินดี

    ถ้าเกิดเขาตอบว่าเป็นเพียงเศษก้อนกรวด
    ถ้าท่านมีครอบครองท่านจะรู้สึกไม่ชอบใจ แน่นอน

    ถ้า ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 9
    อ่าน: 941
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:13 pm เรื่อง: ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>อย่าเอากระพี้ให้มากนัก พยายามหาแก่นไม่ดีกกว่าหรือ

    ไม่ใช่ว่าไม่ให้มีเปลือกนะ แต่ให้มันบางลงหน่อย ท่านจะยึดติดอะไรนักหนา
    แล้วถ้าท่านไม่มีธูป เทียน เครื่องบูชาละท่าน จะทำอย่างไร

    อีกทั้งถ้าเป็นคนจ ...</TD></TR><TR><TD class=cat colSpan=2>หัวข้อ: ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top width=150 rowSpan=2>สี บุญมา

    ตอบ: 9
    อ่าน: 941
    [​IMG] </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%">[​IMG]Forum: กระดานสนทนาธรรม ตอบเมื่อ: 19 ม.ีค.2008, 9:12 pm เรื่อง: ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า</TD></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top>อย่าเอากระพี้ให้มากนัก พยายามหาแก่นไม่ดีกกว่าหรือ

    ไม่ใช้ว่าไม่ให้มีเปลือกนะ แต่ให้มันบางลงหน่อย ท่านจะยึดติดอะไรนักหนา แล้วถ้าท่านไม่มีธุป เทียน เครื่องบุชาละท่าน จะทำอย่างไร

    อีกทั้งถ้าเป็นคนจนล ...</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. นายคัง

    นายคัง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +2
    เรียนพี่เพชรเรื่องพระธาตุที่จะส่งให้ผม ผมขอไปรับที่บ้านปู่ประถมครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ทั้งเห็นด้วยและก็ไม่เห็นด้วยครับ ที่ไม่เห็นด้วยก็คือไม่ใช่ว่าทำงานหนักแล้วจะได้ผลดีตามนั้น เพียงแต่ถ้าทำงานหนักแล้วยังไม่ดีขึ้น...ต้องทำหนักมากขึ้นครับ ที่เห็นด้วยก็คือสุขทุกข์หนักเบา ใจกำหนดครับ(^)
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    5555แค่นี้คุณก็ล้ำหน้าจากปีที่แล้วที่เจอกันแล้วครับ เข้าใจว่าไม่นานก็คงไปถึงจุดที่น้องไม่คาดคิดมาก่อนครับ ว่าไปแล้ว ท่านเจ้าเมืองนี่มองการณ์ไกลจริงๆครับ;)
     
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    555ต้องบอกว่าผมยังงงเลยเอะพระพิมพ์ดีนี่แต่ทำไมเราไม่มีหว่า(tm-love)
    ว่าแต่ไปๆมาๆคอจานเริ่มเต็มนะ ผมลืมแซวไปครับ
     
  16. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    กะกระเซ้าคุณเพชรเล่น ไม่เป็นไรนะคะ เก็บท่านไว้เถิดค่ะ
    ขอบคุณสำหรับไมตรีที่มีให้เสมอนะคะ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chaipat [​IMG]
    ขอขอบคุณพี่อาจารย์น้องหนู๋ครับ

    วันนี้ผมได้คิดอยู่ 3 เรื่อง

    1. อยากได้ดีๆ ก็ต้องทำดีๆ
    2. ก็ต้องทำดีๆ มาจากคิดดีๆ
    3. คิดดีๆ มาจากใจคิดและรับให้เป็น (ไม่ใช่สมองคิด)

    สำหรับส่วนขยาย คือ สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวที่กำหนดได้ และกำหนดไม่ได้

    ผมไม่ได้เรื่องอธิบายเลยครับ แกนๆ ก็ประมาณนั้นครับ

    อีกสิ่งก็ขอขอบคุณพี่ปาทาน ที่ทำให้ผมได้มอบพระดีๆ ให้ผู้ร่วมบุญ

    หากไม่เอ่ย ก็คงไม่รู้ซึ้งครับ หากไม่ได้พี่อาจารย์ ก็จะไม่รู้

    และจะยินดีมาก หากได้หลายท่านช่วยลงความเห็นกันครับ

    สาธุครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เป็นเพราะ "ท่านอาชามchaipat" อีกทั้ง"คุณเพชร"และ"คุณnongnooo" ที่ช่วยเหลือ "ท่านอาชามchaipat" ครับ

    (||) (||) (||) (||) (||)
    (evil) (evil) (evil) (evil) (evil)
    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    02 อานิสงส์ปัญญาบารมี
    http://www.84000.org/anisong/02.html

    ในสมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ชั้นดาวดึงส์เทวสถาน

    ท้าวอมรินทราธิราช ได้ทูลถามถึงธรรมอันประเสริฐ ที่จะสามารถอำนวยมรรคผลให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติ ขจัดเสียซึ่งภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นจากหมู่มนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไปด้วย อำนาจอานุภาพ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติท่องบ่นสาธยายทรงจำไว้ ซึ่งธรรมจะมีอยู่หรือพระพุทธเจ้าข้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรมหาราช ธรรมที่ยังผู้ปฏิบัติให้ประสบสุขเช่นนั้นมีอยู่ท้าวอมรินทราธิราชจึงทูลถามต่อไปว่าธรรมนี้ชื่ออะไร พระพุทธเจ้าข้าพระบรมครูจึงตรัสว่า พระธรรมนี้ชื่อว่าปัญญาบารมี

    ท้าวอมรินทราธิราช ทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรมนี้

    พระบรมศาสดาทรงแสดงซึ่งปัญญาบารมี ที่พระองค์ได้เคยสร้างมาแล้วในอนันตะชาติว่าปัญญาบารมี 30 ทัศนี้ เป็นยอดแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างเต็มเปี่ยม จึงได้ตรัสเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลใดได้เขียนไว้สักการบูชาก็ดี ได้สดับฟังทุกวันก็ดี ผู้นั้นจะเป็นผู้มีสมบัติข้าวของมาก ผู้ใดได้ท่องบ่นทรงจำไว้สาธยายทุกวัน ผู้นั้นจะพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง ปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความมุ่งหมาย เป็นที่รักแก่เทวดาและมนุษย์ ทั้งปวง เทวดาย่อมให้พรและตามรักษาบุคคลนั้น ผู้ใดได้ประพฤติบารมี 30 ทัศนี้ ให้บังเกิดมีแก่ตนย่อมประสบสมบัติ 3 ประการคือ

    มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติแม้จะปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะสำเร็จพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปัญญาบารมีจบลงแล้ว ท้าวอมรินทราธิราช แสดงตนเป็นอุบาสก น้อมเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีพ เหล่าเทวดาทั้งหลายได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า
    http://www.watnongjanson.com/sa wan.htm


    ๑. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
    ถือว่าเป็นสวรรค์ชั้นต่ำ ท่านเล่าว่าเป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราชทั้ง๔ ซึ่งเป็นผู้อภิบาลโลก รักษาโลก มี
    ท้าวธตรฐ มีคนธรรพ์เป็นบริวาร อยู่ทางทิศตะวันออก
    ท้าววิรุฬหก มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร อยู่ทางทิศใต้
    ท้าววิรูปักษ์ มีพวกนาคเป็นบริวาร อยู่ทางทิศตะวันตก
    ท้าวกุเวร มีพวกยักษ์เป็นบริวาร อยู่ทางทิศเหนือ

    ในอาฏานาฏิยสูตร ได้เล่าถึงท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ว่าเป็นห่วงใยพวกมนุษย์ที่ถูกบริวารของท่าน ซึ่งดื้อดึงมารบกวน จึงได้แต่งคาถาขึ้นมากราบทูลถวายพระพุทธเจ้า เพื่อให้มนุษย์ได้สาธยายป้องกันอันตรายจากบุคคลเหล่านั้น ความเป็นอยู่ของเทวดาชั้นจาตุมหาราช ก็เหนือกว่ามนุษย์ขึ้นไป มีการจัดองค์กรบริหาร ซึ่งรับผิดชอบปกครองบริวารที่ลดหลั่นกันลงมาโดยลำดับ ท่านได้แสดงถึงผลอานิสงส์ที่ทำให้บุคคลได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ไว้ โดยสรุปก็คือ บำเพ็ญความสุจริตทางกาย วาจาใจ ที่มีความประณีตขึ้นไปในระดับหนึ่ง ทำให้ท่านบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในสมัยพุทธกาลปรากฎว่า ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ นั้น ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา เป็นพุทธสาวก ปฏิบัติตนเกื้อกูลแก่พระศาสนา ป้องกันอันตรายแก่พระพุทธศาสนาตลอดมา
    เรื่องบุญเป็นเหตุบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในบุญกิริยาวัตถุสูตร โดยใจความก็คือ บุคคลผู้บำเพ็ญบุญด้วยการให้ทาน ด้วยการรักษาศีล และด้วยการบำเพ็ญภาวนา จะทำให้อุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ซึ่งเป็นผู้ที่เหนือกว่าเทวดาในชั้นนั้น ๆ ด้วยอายุทิพย์ ด้วยวรรณะทิพย์ ด้วยความสุขทิพย์ ด้วยยศที่เป็นทิพย์ ด้วยอธิปไตยที่เป็นทิพย์ หรือรูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ และโผฏฐัพพะอันเป็นทิพย์ มีเรื่อง พระเจ้าพิมพิสารเองแม้จะเป็นพระโสดาบัน แต่ก็พอใจในจาตุมหาราชิกาภูมิ เมื่อท่านตายไป ก็ได้ไปบังเกิดเป็นบริวารของท้าวเวสวัณ หรือท้าวกุเวร ซึ่งเป็นจาตุมหาราชผู้ปกครองทิศอุดร เรียกว่า ชนวสภวะ ได้มากราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระบาทเคลื่อนจากเทวโลกนี้ ๗ ครั้ง จากมนุษย์โลกอีก ๗ ครั้ง รวมท่องเที่ยวไปมาอยู่ในโลกทั้งสองนี้ ๑๔ ครั้ง ข้าพระบาทจึงรู้จักภพที่เคยอยู่มาก่อน แสดงว่าท่านพอใจที่จะบังเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นและก็ไปบังเกิดตามความต้องการ เพราะคนที่ทำบุญทำกุศลนั้น ตามหลักของพระพุทธศาสนา สามารถเลือกภูมิที่จะบังเกิดได้ว่าตนตายไปแล้ว จะไปบังเกิดในที่ใด
    ๒. สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ ในกามาวจรภูมิการที่ได้ชื่อเช่นนั้น เพราะว่ามีเทพบดีที่มีมเหสักข์เกิดขึ้นก่อน ๓๓ องค์โดยมี ท้าวสักกเทวราช เป็นราชาแห่งสวรรค์ชั้นนี้ มีเทพ ๓๓ องค์ทรงเป็นอธิบดีผู้ใหญ่ ท่านได้แสดงถึงความสวยงามของสวรรค์ชั้นนี้ไว้ โดยวิจิตรพิสดาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระสูตรได้เล่าถึงว่า สวรรค์ชั้นนี้ประกอบด้วยไพชยนตปราสาท มี ๑๐๐ ชั้น ในชั้นหนึ่ง ๆ มีเรือนยอดแห่งหนึ่ง ๆ มีนางอัปสร ๗๐๐ นาง นางอัปสรนางหนึ่ง ๆ มีเทพธิดาบำเรอถึง ๗๐๐ องค์ด้วยกัน นี้ก็เป็นคำเล่าของท้าวสักกเทวราชถวายพระโมคคัลลานะเถระ และนอกจากนั้นยังมีสถานที่สำคัญเช่น สวนนันทวัน อยู่ทางทิศตะวันออก สวนจิตรลดาวันอยู่ทางทิศตะวันตก สวนมิสกวัน อยู่ทางทิศเหนือ สวนปารุสกวัน อยู่ทางทิศใต้ และเป็นที่ประดิษฐานพระจุฬามณี คือพระเกศเมาลีของพระพุทธเจ้า ตอนเสด็จออกผนวช ทรงโยนพระเมาลีขึ้นไปในอากาศอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์จะได้ตรัสรู้ ก็ขออย่าให้เมาลีนี้ตกลงสู่พื้นดิน ปรากฎว่าท่านสักกเทวราชก็นำไปบรรจุไว้ที่เจดีย์ที่เรียกว่าจุฬามณี พระเกศเมาลี ต่อมาเมื่อมีการแจกพระธาตุ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท้าวสักกเทวราชก็นำพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าไปบรรจุไว้ ในที่นี้จึงมีพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วกับมีพระเกศเมาลีของพระพุทธเจ้า และท่านบอกว่ายังมีต้นไม้ที่ชื่อว่า ปาริชาต มีอุทยานที่ชื่อว่า ปุณฑริกวัน เป็นอุทยานที่กว้างใหญ่มาก มีต้นไม้ทิพย์ ชื่อว่า ปาริชาต กัลปพฤกษ์ ใต้ต้นไม้ก็มีพระแท่นที่ชื่อว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ และได้บรรยายถึงความมีอยู่ของ สุธรรมเทวสถาน ซึ่งเกิดขึ้นด้วยบุญของนางสุธรรมาที่เป็นอดีตภรรยาของท้าวสักกเทวราชในสมัยที่เป็นมฆมานพ ที่สำคัญก็คือว่า พวกเทวดาทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ในวันธรรมสวนะก็มีการกล่าวธรรมกันที่ สุธรรมสภาศาลา
    พระพุทธเจ้าทรงเล่าไว้ในราชสูตรเป็นใจความว่า ในดิถีที่ ๘ แห่งปักษ์ เทวดาผู้เป็นบริวารแห่งท้าวจาตุมหาราชเที่ยวตรวจตราดูโลกนี้ว่าในหมู่มนุษย์ทั้งหลายมนุษย์ที่เกื้อกูลแก่มารดา เกื้อกูลแก่บิดา แก่พระภิกษุ อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล อธิษฐานอุโบสถ ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญกุศลมีอยู่จำนวนมากเท่าไหร่ พวกท้าวจาตุมหาราชก็จะเที่ยวไปในสถานที่เหล่านั้น พอถึงวัน ๑๕ ค่ำ ก็จะตรวจดูเช่นเดียวกัน และท้าวจาตุมหาราชนั้น เป็นบริวารของท้าวสักกเทวราช เมื่อตรวจดูไปแล้ว ถ้าพบเห็นว่าพวกมนุษย์นั้นประพฤติธรรมกันมาก
    ท้าวสักกเทวราช ก็ประกาศให้ทราบว่า มนุษย์ทั้งหลายที่จะได้มาบังเกิดเป็นเพื่อนเราในสวรรค์นี้มากนักหนา ก็ในอบายทั้งสี่ จักว่างเปล่า ความนี้คงจะไม่มีผู้ใดไปเกิดแน่แท้แต่ถ้าพอพบชื่อเสียงของคนว่าทำบาปกรรมไว้มาก ก็ทรงเปล่งวาจาว่า น่าอนาถนัก คนทั้งหลายในโลก กระทำบุญน้อยเหลือเกิน พากันกระทำบาปมาก จักพานไปเกิดแออัดยัดเยียดอยู่ในอบายทั้งสี่ จำเนียรกาลนานไปข้างหน้า เมืองฟ้านี้จะว่างจากเทพบุตรเทพธิดาเสียแน่แท้ ปัญหาสำคัญว่า คนจะไปบังเกิดไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ด้วยอะไร ข้อนี้ทรงแสดงไว้ในบุญกิริยาวัตถุสูตร ในอัฏฐกนิบาต อังคุตตรนิกาย กล่าวโดยสรุปว่า เมื่อเทวดาชั้นดาวดึงส์นั้น ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดาในสวรรค์ชั้นนั้นด้วยการกระทำบุญ มีการให้ทาน มีการรักษาศีล ภาวนาการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ การช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานที่ชอบ การให้ส่วนบุญแก่คนอื่น การอนุโมทนาส่วนบุญของคนอื่น การแสดงธรรม การฟังธรรม และการทำความเห็นของตนให้ตรง แต่ว่าการทำบุญกุศลของคนเรา มากน้อยไม่เหมือนกัน ฉะนั้นคนเหล่านี้จะต่างกันในเรื่องอายุวรรณะ สุข ยศ อธิปไตย รูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เป็นทิพย์ต่าง ๆ พระพุทธศาสนานั้น ได้ให้รายละเอียดเรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอันมาก และรู้สึกว่าเป็นที่คุ้นเคยของคนไทยมากเป็นพิเศษ แม้กรุงเทพมหานคร คำว่ากรุงเทพก็คือเทวนคร เป็นการจำลองผังของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาไว้ ดังนั้นชื่อสวน ชื่อปราสาทราชวัง จึงคงเป็นชื่อของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ส่วนมาก
    กล่าวโดยสรุป สวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเทพผู้ปกครอง ๓๓ องค์มีท้าวสักกเทวราชเป็นประธาน เทพเหล่านั้นมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญด้วยการเสวยทิพย์สมบัติทุกทิพาราตรีกาล เพราะความบันดาลแห่งผลบุญกิริยาวัตถุที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำไว้ จึงทำให้ได้รับความสุขกันปานนี้ ดังนั้นการแสดงเรื่องสวรรค์ก็เพื่อต้องการตอกย้ำให้คนผู้ปรารถนาความสุข รีบเร่งกระทำความดี ทำจิตของตนให้ยินดีในการบริจาคทาน รักษาศีลชำระสันดานแห่งตนให้งดงาม เป็นการรักษาศีลด้วยการเจริญภาวนา เมื่อบุญกุศลที่บุคคลสร้างไว้เพียงพอแล้ว ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช หรือชั้นดาวดึงส์ตามสมควรแก่กรรม
    ๓. สวรรค์ชั้นยามา เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๓
    เป็นที่สถิตของปวงเทพชาวฟ้าทั้งหลายที่ไม่มีความลำบากท่านบอกว่า จอมราชันในสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ ท้าวสุยามเทวาธิ-ราช ปราสาทวิมานมีความสวยงามวิจิตรตระการตายิ่งกว่าประสาทวิมานในสวรรค์ชั้นไตรตรึงหรือดาวดึงส์ มีรัตนปราการกำแพงแก้วรุ่งเรืองสวยงาม ไม่มีพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพราะว่าอยู่ไกลดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ไป แต่ว่าเทวดาชั้นนี้ก็จะอาศัยรัศมีของกันและกัน คือรัศมีที่แผ่ออกจากกายของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็ทำให้สวรรค์ชั้นยามา มีความสว่างรุ่งเรือง ถึงไม่มีกลางคืนกลางวัน การจะรู้ว่าเป็นกลางคืนกลางวัน ดูที่ดอกไม้ทิพย์ เรียกว่า บุปผาชาติดอกไม้ทิพย์ ถ้าดอกไม้ทิพย์บาน ก็แสดงว่า เวลากลางวัน ถ้าดอกไม้ทิพย์หุบ ก็แสดงว่าเป็นเวลากลางคืน ท่านแสดงว่าเทวดาที่ได้รับความสุขในสวรรค์ชั้นนี้ มีความเป็นอยู่อย่างผาสุกแสนจะชื่นบานในหทัย เสวยสมบัติทิพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ
    สำหรับท้าวสุยามเทวาธิราชเอง ผู้เป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นนี้พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยประกอบไปด้วยกุศลยุติธรรม ปกครองเหล่าเทพให้ได้รับความชุ่มฉ่ำ เย็นใจได้สุดที่จะพรรณนา อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสวรรค์ชั้นนี้ ก็คงเป็นเรื่องการบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ เช่นเดียวกัน แต่ว่าเจตนาในการบริจาค สิ่งที่ได้บริจาค บุคคลผู้รับ สิ่งของที่เรากระทำทานเป็นต้น มีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้น คนเหล่านี้ก็รุ่งเรืองด้วยสิ่งที่เป็นทิพย์ทั้ง ๑๐ ประการ ดังที่กล่าวแล้วทั้งอายุ วรรณะ สุข ยศ อธิปไตย รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เป็นทิพย์ ประณีตขึ้นไปกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ดังที่กล่าวมาแล้ว
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า
    http://www.watnongjanson.com/sa wan.htm



    ๔. สวรรค์ชั้นดุสิต
    เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๔ สวรรค์ชั้นนี้มีนามว่า ดุสิต หรือดุสิตาเทวภูมิ เป็นเทพนครที่อยู่ไกลจากชั้นยามาไปไกลแสนไกล ภายในเทพนครนี้ปรากฎว่ามีปราสาทวิมาน ๓ ชนิด คือ
    รัตนวิมาน วิมานแก้ว
    กนกวิมาน วิมานทอง
    รัชตวิมาน วิมานเงิน
    ประดังเรียงรายอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ สำหรับเทพที่อยู่ในชั้นนี้ แต่ละองค์ก็มีรูปร่างสวยงามสง่ากว่าเทพยดาใน ๓ ชั้นดังกล่าวแล้ว ทั้งมีน้ำใจรู้บุญ รู้ธรรม เป็นอย่างดี มีจิตยินดีในการฟังธรรมเทศนายิ่งนัก เมื่อถึงวันธรรมสวนะ วันพระก็มาประชุมกันฟังธรรม โดยมี ท้าวสันดุสิตเทวาธิราช เป็นจอมเทพอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้
    บรรดาคนสำคัญ ๆ ที่มาเกิดในโลกมนุษย์แล้ว เช่น พระพุทธเจ้าก็ดี
    พระโมคคัลลีบุตรก็ดี พระพุทธบิดา พระพุทธมารดา เป็นต้นนั้น เดิมทีก็เป็นเทวดาอยู่ในชั้นนี้ แม้แต่พระศรีอริยเมตไตรที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในโอกาสต่อไป ก็อยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้ พระนางสิริมหามายา ซึ่งเป็น พระพุทธมารดา ก็ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรที่สวรรค์ชั้นนี้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นคำว่าสวรรค์ชั้นดุสิต จึงเป็นสวรรค์ที่น่าชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น สำหรับปฏิปทาที่จะทำบุคคลให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในทานสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต เป็นใจความว่า
    สารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้ว ให้ทานไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย เคยได้ทำมาแล้ว เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหาอาหารกิน แต่สมณะ(พระภิกษุ) ผู้ไม่หุงอาหารกิน ย่อมเป็นการไม่สมควร เขาผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป ก็ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย (เกิด) ในสวรรค์ชั้นดุสิต และในสังคีติสูตร ก็ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตร ไว้เช่นเดียวกันว่า
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวาย ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสุขภัณฑ์สบู่ ที่นอน ที่นั่ง ที่พัก ที่อาศัย และสิ่งที่เป็นอุปกรณ์ประทีป ให้ทานแก่ สมณพราหมณ์ (พระภิกษุ) ก็มุ่งหวังสิ่งที่ตนให้ไป ด้วยเขาได้ฟังมาว่า พวกเทพเจ้าเหล่าดุสิตสวรรค์เป็นเทพที่มีอายุยืน มีวรรณะงาม มากไปด้วยความสุขดังนี้แล้ว จึงจินตนาการดังนี้ว่า หลังจากเราได้ตายไปแล้ว ขอให้เราได้เป็นสหาย (เกิด) ของเทพเจ้าชั้นดุสิตเถิด เขาตั้งจิตนั้นไว้อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขาน้อมไปในสวรรค์ ไม่ได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูงดังนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น ข้อนี้แลเรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่กล่าวสำหรับผู้ไม่มีศีล
    ดังนั้นการบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ก็เป็นเรื่องของบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ที่มีความประณีตสูงยิ่งขึ้น ทำนองเดียวกับการเรียนหนังสือของคนนั้น คือแม้จะเรียนหนังสือชั้นเดียว แต่เข้าใจได้ลึกซึ้งไม่เหมือนกันเวลาคนนำวิชาความรู้นั้นไปทำงานหรือปฏิบัติการ ก็จะได้รับผลจากความรู้ที่แตกต่างกัน
    สวรรค์ชั้นดุสิตนั้น เป็นที่อุบัติบังเกิดของคนสำคัญ ๆ เช่นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ได้ไปบังเกิดอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้ แต่เมื่อท่านบังเกิดแล้ว ท่านก็ระลึกถึงบุญคุณของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ท่านก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูล พระองค์ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเชตวันนี้มีประโยชน์ พระสงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์ผู้เป็นธรรมราชาประทับอยู่ เป็นที่บังเกิดปีติแก่ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยธรรม ๕ ประการ คือ กรรม ๑ วิชชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอันอุดม ๑ ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยโครตหรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล บุคคลผู้เป็นบัณฑิตเมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตนพึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย จะบริสุทธิ์ในธรรมทั้งหลายด้วยอาการอย่างนี้ พระสารีบุตรนั้นแล ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วยปัญญาด้วยศีล ด้วยความสงบ ความจริงผู้ถึงแล้ว จะอย่างยิ่งก็เท่าพระสารีบุตรเท่านั้น
    อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นที่อยู่ของเทพผู้มเหสักข์ ที่มีพระโพธิสัตว์ พระพุทธมารดา พระพุทธบิดา เป็นต้น ซึ่งสรุปได้ว่า ทุกชีวิตในสวรรค์ชั้นนี้ มีความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญชื่นบานโดยการเสวยทิพยสมบัติ เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาล และการบันดาลแห่งบุญกุศลที่มีความประณีตขึ้นไป บุญกุศลที่กระทำนั้น ก็คือเรื่องของบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการนั้นเอง
    ๕. สวรรค์ชั้นนิมมานรดี
    เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๕ ท่านบอกว่าเป็นที่สถิตอยู่ของปวงเทพเจ้า ผู้มีความเพลิดเพลินยินดีอยู่ในกามคุณอารมณ์ และต้องการอะไร ท่านก็เนรมิตเอาตามที่ต้องการ มีท้าวสุนิมมิตเทวาธิราช เป็นอธิบดีปกครอง เพราะฉะนั้นสวรรค์ชั้นนี้จึงมีนามว่า นิมมานรดีภูมิ เพราะเป็นภูมิที่อยู่ของเทพที่มีท้าวสุนิมมิตเทวาธิราชเป็นอธิบดีสวรรค์ชั้นนี้อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าอยู่ห่างจากสวรรค์ชั้นดุสิตไกลแสนไกลในเทพนครนี้ปรากฎว่ามีปราสาทที่สวยงาม มีปราสาทเงิน ปราสาททอง ปราสาทแก้ว มีกำแพงแก้ว กำแพงทองอันเป็นทิพย์ เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย นอกจากนั้น ภูมิภาคก็ดารดาษไปด้วยทอง ราบเรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณี มีสวนอุทยานเป็นทิพย์ ก็ทำนองเดียวกับสวรรค์ชั้นอื่น ๆ เทพผู้สิงสถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้ มีรูปทรงสวยามน่าปรารถนาจะเสวยสุขกามคุณสิ่งใด ก็เนรมิตเอาได้ตามต้องการ ไม่มีความขัดข้องและเดือดร้อนใจในกรณีใด ๆ เลย สำหรับทางไปสู่สวรรค์ชั้นนี้ ก็มีความประณีตขึ้น แต่คงอยู่เรื่องของบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการเหมือนกัน อย่างในกรณีของการให้ทาน คนที่จะเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีจะต้องให้ทาน เพราะปรารภว่า เป็นความดีจึงกระทำ ไม่จำเป็นต้องไปอธิษฐานอะไร ใจก็สะอาดขึ้น ทำให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ส่วนสิ่งที่เป็นทิพย์ทั้ง ๑๐ ประการดังกล่าวแล้ว ก็จะประณีตขึ้นไปกว่าเทพชั้นอื่นเท่านั้นเองในสังคีติสูตรนั้นได้ทรงแสดงว่าถ้าบุคคลบำเพ็ญทานเป็นต้น ประกอบด้วยกุศลจริง ๆ สามารถตั้งความหวังเพื่อจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนั้นได้ ตามที่ตนต้องการ
    สรุปความว่า สวรรค์ชั้นนิมมานรดี อยู่ห่างจากสวรรค์ชั้นดุสิตไกลแสนไกล นับเป็นตัวเลขนั้นไม่ได้ มีท้าวสุนิมมิตเทวาธิราชเป็นผู้ปกครอง เทพทุกองค์นั้นประกอบด้วยอานุภาพ เสวยทิพย์สมบัติสำราญอยู่ทุกทิพาราตรีกาล ด้วยผลแห่งบุญกิริยาวัตถุที่สูงขึ้นกว่าสวรรค์ชั้นก่อน
    ๖. สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    สวรรค์ชั้นนี้เป็นชั้นที่ ๖ และเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในกามาวจรภูมิ ท่านเล่าว่า เทวดาที่สิงสถิตอยู่ในที่นี้เสวยกามคุณอารมณ์ โดยคนอื่นเขาเนรมิตให้ คือไม่ต้องทำแม้แต่เนรมิต จะมีคนอื่นเขาเนรมิตให้ เป็นที่อยู่อันประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าสวรรค์อีก ๕ ชั้นข้างล่าง มีเทพที่เป็นใหญ่ชื่อว่า ท้าวปรนิมมิตสวัตดี สวรรค์จึงมีชื่อตามจอมเทพ ท่านบอกว่า ยอดสวรรค์เหนือฟ้าอันมีนามว่า ปรนิมมิตวสวัตดีภูมินี้ เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นนิมนานรดีไปไกลแสนไกล แต่ประกอบด้วยทิพยสมบัติทำนองเดียวกัน แต่ประณีตกว่า แบ่งออกเป็น ๒ แดน แดนหนึ่งเป็นแดนของเทพยดามี ท้าวปรนิมมิตเทวาธิราชปกครอง อีกแดนหนึ่งเป็นแดนมาร มี ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีเทวาธิราช เป็นผู้ปกครอง แม้จะมี ๒ แดน คือแดนเทพบุตรกับแดนมาร แต่ละชีวิตที่อยู่ในที่นั้น ก็มีความสุขความสงบด้วยกัน สำหรับเหตุปัจจัยก็เช่นเดียวกัน คือ เป็นเรื่องของการทำบุญกุศลที่ประณีตขึ้นไป ความแตกต่างนั้น นอกจากแตกต่างในชั้นสวรรค์ก็ยังแตกต่างในชั้นของอายุ วรรณะ สุข ยศ อธิปไตย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เป็นทิพย์ซึ่งสูงกว่า ประณีตกว่าสวรรค์ชั้นอื่น แล้วก็มีคนสำคัญ ๆ ในสมัยพุทธกาลไปเกิดในสวรรค์ชั้นโสดาบันก็ได้ไปบังเกิดในที่นี้ และคนที่ออกจะมีชื่อเสียงมากก็คือ ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีมาร ที่มาก่อกวนพระพุทธเจ้าอยู่ก่อนกาลตรัสรู้ และหลังกาลตรัสรู้
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...