วิธีเจริญจิตภาวนาจนถึงจิตเดิมแท้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 14 กรกฎาคม 2018.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,571
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ocvpa57xfiw7tA5F47e-o.jpg

    วิธีเจริญจิตภาวนาจนถึงจิตเดิมแท้
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    วิธีเจริญจิตภาวนาตามแนวการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


    ๑. เริ่มต้นอริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก
    ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว อย่างเดียว

    รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ "รู้อยู่เฉยๆ" ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม

    เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ

    จากนั้น ค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป

    ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

    ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆ ไป

    ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต


    พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง

    ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว

    เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้

    ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที

    เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

    ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ

    เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"
    การบริกรรม "พุทโธ" เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป
    แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

    ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่อง ถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ

    เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคย เปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย
    เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลา และบั่นทอนความศรัทธาตนเองเลย
    เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อย ๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าว ก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบ และคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้น ๆ

    บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

    ๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต)

    ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสาม คือ ราคะ โทสะ โมหะ

    ๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไปก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิตให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)

    ระวัง จิตไม่ให้คิดเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖

    ๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อย ๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยการคิด

    ๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามให้สติสังเกตดูที่ จิต ทำความสงบอยู่ใน จิต ไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติของจิต ได้อย่างละเอียดลออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่า เกิดจากความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่ง หาก่อ หาเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้

    คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง

    ๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใด ๆ ทั้งสิ้น จิตก็อยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น

    เรียกว่า "สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"

    ๗. ใช้หนี้--ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้น ก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะ กรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีก ไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า "พ้นเหตุเกิด"

    ๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่า ไม่มีธรรม นั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)

    เมื่อจิตว่างจาก "พฤติ" ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน

    เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร

    เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของ จักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"

    โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นแบบ "ปริศนาธรรม" มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้น คำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า "พฤติของจิต" แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น

    คำว่า "ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต" เหล่านี้ ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่

    ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ "พฤติแห่งจิต" อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะคำว่า "มรรคปฏิปทา" นั้น จะต้องอยู่ใน "มรรคจิต" เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย

    การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วย วิสุทธิศีล วิสุทธิธรรม พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้


    ........................................ 64.gif 65.gif 64.gif
    :- http://larndham.org/index.php?/topic/44326-วิธีเจริญจิตภาวนาจนถึงจิตเด/
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สาธุ ครับ

    ใครปฏิบัติผิดเข้าใจมีคนสอนว่า การดูจิตคือ การที่ตัวเองปฏิบัติแล้วนั่งดูรอดูความคิดที่เกิดออกมา เป็นการดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ ที่สอนไว้ ให้กลับมาภาวนา พุธโธ ให้ถูกต้องตามคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ นะคับ จะได้ไม่หลงปฏิบัติผิดครับ
     
  3. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    เป็นคำเขียนของลูกศิษย์ อ่านแล้วต้องระมัดระวังด้วยนะครับ
    เพราะเท่าที่รู้มา หลวงปู่ดุลย์ ท่านจะไม่ค่อยพูด พูดสั้น ๆ
    ที่เขียนยาว ๆ มาแบบนี้ อ่านแล้วก็ต้องระวัง ไว้ด้วย

    เพราะส่วนตัวอ่านบทความนี้แล้ว "ไม่เข้าใจครับ"
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    หนังสือ หลวงปู่ดูลย์ฝากไว้ เล่มแรก อ่านได้ครับ ครูบาอาจารย์สายหลวงตามหาบัวท่านรับรองว่าเป็นคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ครับ

    ยกเว้นหนังสือดูจิตที่ออกมาช่วงหลังๆนี้ เล่มนึงอ้างว่าตัวเองเป็นศิษย์สายดูจิต แล้วในหนังสือเขียนอ้างว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านเข้าใจผิด แล้วยกคำสอนของตัวเองขึ้นมาแทนคำสอนของหลวงปู่ดูลย์อธิบายธรรมตามความเข้าใจของตัวเองครับ

    ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่าให้หาเก็บไว้ เพราะต่อไปคำสอนจริงๆในการปฏิบัติของหลวงปู่ดูลย์ จะโดนคนที่ปฏิบัติไม่ถึง ไม่เข้าใจลบล้างคำสอนของหลวงปู่ดูลย์แล้วจะยกคำสอนของตัวเองใส่เข้าไปแทนที่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2018
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ส่วนเรื่องอ่านผมเข้าใจนะคับว่าท่านสอนการปฏิบัติอย่างไรครับ

    จะเข้าใจตามขั้นของตัวเองที่ปฏิบัติถึงครับ

    ครูบาอาจารย์สายหลวงตามหาบัวก็เทศน์สอนไว้เหมือนกันว่า หลวงปู่ดูลย์สอนดูจิต ท่านสอนให้บริกรรมพุธโธ ครับ ถึงจะถูกตามหลักที่หลวงปู่ดูลย์ สอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2018
  6. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    บทความนี้ เอาจิตคือพุทธะ ของฮวงโป
    และคำสอนปริศนาธรรม ของหลวงปู่ ดุลย์ มายำกันมั่ว
    และเรียงลำดับ ขั้นตอนการปฏิบัติผิดหลายอย่าง
    อ่านแล้วไม่รู้สึกแปลก ๆ หรือครับ?

    ลองสังเกตุดู ดี ๆ นะครับ....

    ปล ผมไม่ได้กล่าวถึงหลวงปู่ดุลย์นะ ผมกล่าวถึงคนเขียนบทความนี้
    ถ้าเขียนได้ลึกซึ้ง อธิบายความได้ละเอียดยิ่งกว่าหลวงปู่ดุลย์ ที่ท่านชอบพูดสั้นๆ
    เกรงว่าจะเก่งกว่าหลวงปู่ดุลย์นะครับ
     
  7. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    คุณ SABER
    นี่คือยกตัวอย่างมาง่ายๆ
    เขามีแต่สอนให้ทำให้มาก เจริญให้มาก
    บทความนี้กลับสอน "อย่าทำ"
    เวลาที่จิตฟุ้งซ่าน มีนิวรณ์ พระพุทธเจ้าท่านแนะนำอย่างไร?
    ถ้ายิ่งไม่ทำ นิวรณ์ มันจะหายไปเองไหม?
    รอให้นิวรณ์หายไปเอง โดยไม่ต้องปรารภความเพียร
    อรหันต์คงเต็มไปหมด
    หากอ้างว่าเป็นอุบาย คงเป็นอุบายของโมฆะบุรุษ

    ผมชี้ให้ดูแค่นี้พอนะ เรื่องแบบนี้ไม่อยากพูดมาก
    เพราะมันเกี่ยวกับศรัทธา ไม่อยากไปขัดคอใคร
    ขอบคุณครับ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "ผิดเต็ม ๆ" ไม่ว่า "ใครเข้าใจว่าเป็น "ปริศนา" ย่อม ผิดทั้งหมด

    +++ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นแบบ "สัจจธรรม" ไม่ใช่ "ปริศนาธรรม"

    +++ ให้ "ลงมือทำแบบตรง ๆ" ไม่ใช่ให้ไป "คิดปริศนา" ผู้ที่ "สอดแทรกคำว่า ปริศนา" ลงมาในบทความ คือ "ผู้ที่ยัง ติดอยู่ในความคิด ติดอยู่ในตรรกะ" จึงไม่สมควร "สอดใส้ความเห็นของตนลงมา"
    +++ นี่คือการ "ลงมือทำ โดยแสดง วิธีทำ" ชัดเจน ไม่มีอาการของ "ปริศนาธรรม" อะไรเลย
    +++ แม้กระทั่ง "คำบริกรรม" ยังต้องมาทีหลัง ไม่ใช่ตัวหลัก
    +++ ตรงนี้ "เป็นใจกลาง ของ วจีจิตตะสังขาร" ที่แสดงอาการ "กระพริบ/กระเพื่อม" เป็นอาการ "เกิด/ดับ" ของ "ขณะจิตเดียว" ตรงนี้เป็น "กิริยาจิต"

    +++ "กิริยาจิต" จะเกิดตรงไหนก็ได้ ดังนั้น "ผู้ที่จะรู้ได้" ต้องมีอาการ "รู้/รู้สึก ทั้งตัว เป็นองค์ประกอบ"

    +++ แล้วใช้ "คำบริกรรมว่า พุทโธ เป็นตัวล่อเป้า แล้วจะ เห็น กิริยาจิต ไปปรากฏยัง เป้าที่ล่อ"

    +++ นี่เป็น "วิธีการทำล้วน ๆ" ไม่มี "ปริศนาธรรม" เข้ามาเจือปน
    +++ เจตจำนง คือ "อาการเล็งเป้า ไปที่ พุทโธ" นั่นแหละ จึงจะ "เห็น" กิริยาจิต ได้

    +++ ท่าให้ถืออาการนี้ "เป็นตัวศีล" คือ การเล็ง "กิริยาจิต"

    +++ ผลลัพธ์ ของการ "เล็งกิริยาจิต" จะทำให้ "กิริยาจิต" ไม่เข้ามารวมกับ "ความเป็นตน"

    +++ ทำให้เกิด "การแยกออกของ กิริยาจิต" ทำให้ทราบชัดเจนว่า "กิริยาสังขารจิต ไม่ใช่ตน"

    +++ ตรงนี้ทางกลุ่มฝึกของผมใช้คำศัพท์ว่า "แยกตัวพูดมาก"

    +++ หากใคร "แยกกิริยาจิต ที่บริกรรม พุทโธ ได้แล้ว" ก็จะรู้ได้เองว่า

    +++ ทุกคำพูด ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ที่เรียกว่า "วจีกรรม" นั้น ก็ถูกแยกได้ "ตลอดเวลา" เช่นกัน


    +++ หากใครอ่านในกระทู้
    http://board.palungjit.org/10760313-post34.html

    +++ ก็จะทราบได้เองว่า "เป็นการ แยกกาย/เวทนากาย" เรียกว่า "กาย/เวทนา ไม่ใช่กู" ก็ได้

    +++ แต่ในโพสท์นี้ "เป็นการ แยกกิริยาจิต/สังขารจิต" เรียกว่า "จิต เกิด/ดับ ไม่ใช่กู" ก็ได้

    +++ แต่ยังไม่ใช่การแยก "เวทนาจิต/ธรรมารมณ์/ฌาน" ที่ผมเรียกว่า "ตัวดู" ซึ่งยังไม่กล่าวในที่นี้ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...